พระเยซูคริสต์คือใคร?
พระเยซูคริสต์คือใคร?
คิดดูซิว่าหนุ่มชาวยิวชื่ออันดะเรอาคงต้องตื่นเต้นเพียงไรที่ได้ยินคำตรัสของพระเยซูชาวนาซาเรทเป็นครั้งแรก! คัมภีร์ไบเบิลกล่าวว่าอันดะเรอารีบไปหาพี่ชายแล้วบอกว่า “เราพบมาซีฮา [หรือ พระคริสต์] แล้ว.” (โยฮัน 1:41) ในภาษาฮีบรูและภาษากรีก คำที่มักได้รับการแปลว่า “มาซีฮา” และ “คริสต์” หมายถึง “ผู้ถูกเจิม.” พระเยซูทรงเป็นผู้ถูกเจิม หรือเป็นผู้ที่พระเจ้าทรงเลือก ซึ่งก็คือผู้นำตามที่สัญญาไว้. (ยะซายา 55:4) พระคัมภีร์มีคำพยากรณ์เกี่ยวกับผู้นี้ และชาวยิวในสมัยนั้นต่างรอคอยพระองค์อยู่.—ลูกา 3:15.
เรารู้ได้อย่างไรว่าพระเยซูเป็นผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกจริง ๆ? ให้เราพิจารณาสิ่งที่เกิดขึ้นในปีสากลศักราช 29 เมื่อพระเยซูทรงมีพระชนมายุ 30 พรรษา. พระองค์เสด็จไปหาโยฮันผู้ให้บัพติสมาเพื่อขอรับบัพติสมาจากเขาในแม่น้ำจอร์แดน. คัมภีร์ไบเบิลกล่าวว่า “ครั้นพระองค์ทรงรับบัพติศมาแล้วก็รีบเสด็จขึ้นจากน้ำ, และท้องฟ้าก็แหวกออกตรงพระองค์, และพระองค์ได้ทรงเห็นพระวิญญาณของพระเจ้าลงมาดุจนกพิราบสถิตอยู่บนพระองค์, และมีพระสุรเสียงตรัสจากฟ้าว่า, ‘ท่านนี้เป็นบุตรที่รักของเรา เราชอบใจท่านมาก.’ ” (มัดธาย 3:16, 17) เมื่อได้ยินคำตรัสแสดงความโปรดปรานนี้แล้ว โยฮันจะยังมีข้อสงสัยใด ๆ ไหมว่าพระเยซูคือผู้ที่พระเจ้าเลือกสรรหรือไม่? โดยการเทพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระองค์ลงบนพระเยซู พระยะโฮวาพระเจ้าได้ทรงเจิม หรือแต่งตั้งพระเยซูให้เป็นกษัตริย์ของราชอาณาจักรที่พระองค์กำลังจะตั้งขึ้น. ด้วยเหตุนั้น พระเยซูจึงกลายมาเป็นพระเยซูคริสต์ หรือ พระเยซูผู้ถูกเจิม. แต่เพราะเหตุใดพระเยซูจึงถูกเรียกว่าพระบุตรของพระเจ้า? พระองค์มาจากที่ไหน?
พระองค์เป็นมา “แต่กาลดึกดำบรรพ์”
ชีวิตของพระเยซูอาจแบ่งได้เป็นสามช่วง. ช่วงแรกเริ่มต้นขึ้นนานก่อนพระองค์จะมาประสูติบนแผ่นดินโลก. มีคา 5:2 บอกว่า พระองค์เป็นมา “แต่กาลดึกดำบรรพ์, จากดั้งเดิมโน้น.” พระเยซูคริสต์เองได้ตรัสว่า “เรามาจากแดนเบื้องบน” ซึ่งก็คือ จากสวรรค์. (โยฮัน 8:23, ล.ม.) พระองค์ทรงเคยเป็นบุคคลวิญญาณที่ทรงฤทธิ์ในสวรรค์.
เนื่องจากสิ่งทรงสร้างทั้งปวงมีจุดเริ่มต้น จึงมีเวลาหนึ่งที่พระเจ้าทรงอยู่เพียงลำพัง. แต่เป็นเวลานานมาแล้วไม่อาจนับได้ ที่พระเจ้าทรงเริ่มสร้างสิ่งอื่น. ใครคือผู้แรกที่พระเจ้าทรงสร้าง? พระธรรมเล่มสุดท้ายของคัมภีร์ไบเบิลบ่งชี้ว่า พระเยซูทรงเป็น “เบื้องต้นแห่งการทรงสร้างโดยพระเจ้า.” (วิวรณ์ 3:14, ล.ม.) พระเยซูทรงเป็น “ผู้แรกที่บังเกิดก่อนสรรพสิ่งทรงสร้าง.” ที่เป็นเช่นนั้น “เพราะโดยพระองค์ สิ่งอื่นทั้งสิ้นถูกสร้างขึ้นทั้งในสวรรค์และที่แผ่นดินโลก สิ่งที่เห็นได้และสิ่งที่เห็นไม่ได้.” (โกโลซาย 1:15, 16, ล.ม.) ใช่แล้ว พระเยซูทรงเป็นผู้เดียวที่พระเจ้าทรงสร้างโดยตรง. ดังนั้น พระองค์จึงถูกเรียกว่า “พระบุตรองค์เดียว” ของพระเจ้า. (โยฮัน 3:16) นอกจากนั้น พระบุตรหัวปีองค์นี้ยังมีตำแหน่งเป็น “พระวาทะ” ด้วย. (โยฮัน 1:14) เพราะเหตุใด? ก็เนื่องจากก่อนที่จะมาเกิดเป็นมนุษย์ พระองค์ทรงอยู่ในสวรรค์และรับใช้ฐานะโฆษกของพระเจ้า.
“พระวาทะ” ทรงอยู่กับพระยะโฮวาพระเจ้าตั้งแต่ “เริ่มแรก” เมื่อ “ฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก” ถูกสร้างขึ้น. พระองค์คือผู้ที่พระเจ้าตรัสด้วยว่า “ให้เราสร้างมนุษย์ตามแบบเรา.” (โยฮัน 1:1, ล.ม.; เยเนซิศ 1:1, 26, ล.ม.) พระบุตรหัวปีของพระยะโฮวาทรงอยู่เคียงข้างและทำงานร่วมกับพระบิดาอย่างแข็งขัน. ที่สุภาษิต 8:22-31 พระเยซูซึ่งถูกเปรียบเป็นพระปัญญาได้ตรัสว่า “ในเวลานั้นเราอยู่ใกล้ชิดกับ [พระผู้สร้าง] แล้ว, เป็นลูกมือของพระองค์; และเราชื่นชมยินดีทุกวัน. ร่าเริงอยู่เสมอเฉพาะพระองค์.”
พระยะโฮวาพระเจ้าและพระบุตรผู้ได้รับกำเนิดองค์เดียวคงต้องได้รู้จักสนิทสนมกันมากเพียงไรขณะที่ทรงทำงานร่วมกัน! การได้อยู่ร่วมกับพระยะโฮวาอย่างใกล้ชิดเป็นโกโลซาย 1:15 (ล.ม.) เรียกพระเยซูว่า “ภาพสะท้อนของพระเจ้าผู้ซึ่งไม่ประจักษ์แก่ตา.” นี่เป็นเหตุผลอย่างหนึ่งว่าทำไมความรู้เกี่ยวกับพระเยซูจึงเป็นสิ่งสำคัญมากเพื่อสนองความจำเป็นฝ่ายวิญญาณและความปรารถนาตามธรรมชาติของเราที่จะรู้จักพระเจ้า. ทุกสิ่งที่พระเยซูได้ทำเมื่อทรงอยู่บนแผ่นดินโลกล้วนเป็นสิ่งที่พระยะโฮวาทรงคาดหมายให้พระองค์ทำ. ดังนั้น การได้มารู้จักพระเยซูย่อมหมายถึงการมีความรู้เกี่ยวกับพระยะโฮวาเพิ่มขึ้นด้วย. (โยฮัน 8:28; 14:8-10) แต่พระเยซูทรงมายังแผ่นดินโลกได้อย่างไร?
เวลานานเหลือที่จะนับได้ มีผลกระทบอย่างลึกซึ้งต่อพระบุตรของพระเจ้า. พระบุตรผู้เชื่อฟังองค์นี้ได้กลายมาเป็นเหมือนกับพระยะโฮวา พระบิดาของพระองค์. ที่จริงชีวิตพระองค์ฐานะมนุษย์
ชีวิตช่วงที่สองของพระเยซูเริ่มต้นเมื่อพระเจ้าทรงส่งพระบุตรของพระองค์ลงมาอยู่บนแผ่นดินโลก. พระยะโฮวาทรงทำเช่นนั้นโดยย้ายชีวิตของพระเยซูอย่างน่าอัศจรรย์จากสวรรค์มาสู่ครรภ์ของหญิงพรหมจารีชาวยิวที่ซื่อสัตย์ชื่อมาเรีย. พระเยซูไม่ได้สืบทอดความไม่สมบูรณ์เนื่องจากพระองค์ไม่มีบิดาที่เป็นมนุษย์. พระวิญญาณบริสุทธิ์ หรือพลังปฏิบัติการของพระยะโฮวาได้ลงมาบนมาเรีย และฤทธิ์เดชของพระองค์ก็ “สวมทับ” เธอ ทำให้เธอตั้งครรภ์อย่างน่าอัศจรรย์. (ลูกา 1:34, 35) มาเรียจึงให้กำเนิดทารกที่เป็นมนุษย์สมบูรณ์. พระเยซูทรงเป็นบุตรบุญธรรมของโยเซฟ ซึ่งเป็นช่างไม้ พระองค์จึงเติบโตมาในครอบครัวธรรมดาและทรงเป็นบุตรคนแรกของครอบครัวที่มีลูกหลายคน.—ยะซายา 7:14; มัดธาย 1:22, 23; มาระโก 6:3.
เราไม่ทราบอะไรมากนักเกี่ยวกับชีวิตวัยเด็กของพระเยซู แต่มีเหตุการณ์หนึ่งที่น่าสนใจ. เมื่อพระเยซูทรงมีพระชนมายุ 12 พรรษา บิดามารดาได้พาพระองค์ไปร่วมฉลองปัศคาประจำปีที่กรุงเยรูซาเลม. เมื่ออยู่ที่นั่น พระองค์ใช้เวลานานอยู่ที่พระวิหาร ทรง “นั่งอยู่ในพระวิหารท่ามกลางพวกอาจารย์ ฟังและไต่ถามพวกอาจารย์เหล่านั้น.” ยิ่งกว่านั้น “คนทั้งปวงที่ได้ยินก็ประหลาดใจในสติปัญญาและคำตอบของพระกุมาร.” ใช่แล้ว พระกุมารเยซูไม่เพียงสามารถถามคำถามที่กระตุ้นความคิดและเกี่ยวข้องกับศาสนาเท่านั้น แต่พระองค์ทรงตอบคำถามได้อย่างฉลาดหลักแหลมด้วย ซึ่งทำให้คนอื่น ๆ ประหลาดใจ. (ลูกา 2:41-50, ฉบับแปลใหม่) ขณะที่พระองค์ทรงเติบโตขึ้นในเมืองนาซาเรท พระองค์ทรงเรียนเพื่อจะเป็นช่างไม้ ซึ่งก็คงจากโยเซฟบิดาเลี้ยงของพระองค์นั่นเอง.—มัดธาย 13:55.
พระเยซูทรงอาศัยอยู่ที่เมืองนาซาเรทจนมีพระชนมายุได้ 30 พรรษา. แล้วพระองค์จึงเสด็จไปหาโยฮันเพื่อรับบัพติสมา. หลังจากรับบัพติสมาแล้ว พระเยซูทรงเริ่มทำงานรับใช้อย่างขยันขันแข็ง. เป็นเวลาสามปีครึ่งที่พระองค์ทรงเดินทางไปทั่วแผ่นดินเกิดของพระองค์เพื่อประกาศข่าวดีเรื่องราชอาณาจักรของพระเจ้า. พระองค์ทรงให้หลักฐานว่าทรงเป็นผู้ที่พระเจ้าส่งมา. โดยวิธีใด? ก็โดยทรงทำการอัศจรรย์หลายอย่างที่มนุษย์ธรรมดาไม่สามารถทำได้.—มัดธาย 4:17; ลูกา 19:37, 38.
พระเยซูทรงเป็นคนที่อบอุ่นอ่อนโยนและมีความรู้สึกลึกซึ้งด้วย. ความอ่อนโยนของพระองค์เห็นได้ชัดเป็นพิเศษในวิธีที่ทรงมองและปฏิบัติต่อผู้อื่น. เนื่องจากพระเยซูทรงเป็นคนที่เข้าหาได้ง่ายและมีความกรุณา ประชาชนจึงชอบพระองค์. แม้แต่เด็ก ๆ ก็รู้สึกสบายใจเมื่ออยู่กับพระองค์. มาระโก 10:13-16) พระเยซูทรงปฏิบัติต่อผู้หญิงด้วยความนับถือ แม้บางคนในสมัยนั้นจะดูถูกเหยียดหยามพวกเธอ. (โยฮัน 4:9, 27) พระองค์ทรงช่วยเหลือคนจนและคนที่ถูกกดขี่ให้ ‘ได้ความสุขสำราญในใจของเขา.’ (มัดธาย 11:28-30) วิธีสอนของพระองค์ก็ชัดเจน, เข้าใจง่าย, และนำไปใช้ได้จริง. สิ่งที่พระองค์สอนก็สะท้อนให้เห็นว่าพระองค์มีความปรารถนาอย่างจริงใจที่จะช่วยผู้ที่ฟังพระองค์ให้รู้จักพระยะโฮวา พระเจ้าเที่ยงแท้.—โยฮัน 17:6-8.
(พระเยซูทรงใช้พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าทำการอัศจรรย์ต่าง ๆ เพื่อรักษาคนที่เจ็บป่วยและทุกข์ทรมาน เพราะทรงสงสารพวกเขา. (มัดธาย 15:30, 31) ตัวอย่างเช่น คนโรคเรื้อนคนหนึ่งมาหาพระเยซูและทูลว่า “ถ้าพระองค์พอพระทัยจะทรงโปรดแก่ข้าพเจ้า, พระองค์ก็อาจจะให้ข้าพเจ้าหายโรคและสะอาดได้.” พระเยซูทรงทำเช่นไร? พระองค์ทรงยื่นพระหัตถ์ออกแตะชายคนนั้น และตรัสกับเขาว่า “เราพอใจแล้ว, จงหายโรคและสะอาดเถิด.” แล้วชายคนนั้นก็หายโรค!—มัดธาย 8:2-4.
ขอให้นึกถึงโอกาสหนึ่งด้วย เมื่อฝูงชนซึ่งมาหาพระเยซูพักอยู่กับพระองค์ถึงสามวันโดยไม่มีอะไรรับประทาน. พระองค์ทรงรู้สึกสงสารพวกเขาและทรงทำการอัศจรรย์เลี้ยงอาหาร “ผู้ชายถึงสี่พันคน, มิได้นับผู้หญิงและเด็ก.” (มัดธาย 15:32-38) ในอีกโอกาสหนึ่ง พระเยซูทรงทำให้พายุสงบเพราะเหล่าสหายของพระองค์กำลังอยู่ในอันตราย. (มาระโก 4:37-39) พระเยซูทรงปลุกคนตาย คือ ทำให้พวกเขากลับมีชีวิตอีก. * (ลูกา 7:22; โยฮัน 11:43, 44) พระเยซูถึงกับเต็มพระทัยสละชีวิตมนุษย์สมบูรณ์ของพระองค์ เพื่อมนุษย์ที่ไม่สมบูรณ์จะมีความหวังสำหรับอนาคต. ความรักที่พระเยซูทรงมีต่อมนุษย์ช่างลึกซึ้งอะไรเช่นนี้!
ขณะนี้พระเยซูอยู่ที่ไหน?
พระเยซูสิ้นพระชนม์บนหลักทรมานเมื่อพระชนมายุได้ 33 พรรษาครึ่ง. * แต่ความตายไม่ใช่จุดจบของชีวิตพระองค์. ช่วงที่สามของชีวิตพระเยซูเริ่มต้นประมาณสามวันหลังจากนั้น เมื่อพระยะโฮวาพระเจ้าทรงปลุกพระบุตรของพระองค์ให้เป็นบุคคลวิญญาณ. เมื่อฟื้นคืนพระชนม์แล้ว พระเยซูทรงปรากฏแก่หลายร้อยคนที่มีชีวิตอยู่ในสมัยนั้น. (1 โกรินโธ 15:3-8) หลังจากนั้น พระองค์ได้ “เสด็จนั่งเบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า” และรอรับอำนาจฐานะกษัตริย์. (เฮ็บราย 10:12, 13) เมื่อถึงเวลานั้น พระเยซูทรงเริ่มปกครองเป็นกษัตริย์. ดังนั้น เราควรนึกภาพพระเยซูเป็นอย่างไรในขณะนี้? เราควรนึกภาพพระองค์เป็นชายผู้ทุกข์ทรมานซึ่งกำลังจะสิ้นชีวิตไหม? หรือเราควรคิดถึงพระองค์ฐานะเป็นผู้สมควรได้รับการนมัสการ? พระเยซูในปัจจุบันไม่ใช่มนุษย์และไม่ใช่พระเจ้าองค์ทรงฤทธานุภาพทุกประการ. พระองค์ทรงเป็นกายวิญญาณที่ทรงฤทธิ์ เป็นกษัตริย์ที่ปกครองอยู่. อีกไม่นาน พระองค์จะสำแดงอำนาจการปกครองของพระองค์เหนือแผ่นดินโลกที่วุ่นวายนี้.
วิวรณ์ 19:11-16 พรรณนาพระเยซูคริสต์ด้วยภาษาที่เป็นนัยว่า เป็นกษัตริย์ทรงม้าขาวกำลังเสด็จมาพิพากษาและทำสงครามด้วยความชอบธรรม. พระองค์ทรงมี ‘พระแสงคม . . . เพื่อจะได้ฟันพวกนานาประเทศด้วยพระแสงนั้น.’ ใช่แล้ว พระเยซูจะทรงใช้อำนาจอันมหาศาลของพระองค์ทำลายคนชั่ว. แล้วจะเกิดอะไรขึ้นกับคนที่พยายามเลียนแบบตัวอย่างที่พระองค์ทรงวางไว้เมื่ออยู่บนแผ่นดินโลก? (1 เปโตร 2:21) พระเยซูกับพระบิดาของพระองค์จะรักษาชีวิตพวกเขาผ่าน “สงครามในวันใหญ่ของพระเจ้าผู้ทรงฤทธิ์” ซึ่งมักเรียกว่า อาร์มาเก็ดดอน เพื่อพวกเขาจะได้อยู่ตลอดไปฐานะราษฎรบนแผ่นดินโลกแห่งราชอาณาจักรฝ่ายสวรรค์ของพระเจ้า.—วิวรณ์ 7:9, 14; 16:14, 16; 21:3, 4.
ระหว่างการปกครองอันสงบสุขของพระองค์ พระเยซูจะทรงทำสิ่งอัศจรรย์มากมายเพื่อมนุษย์ทุกคน! (ยะซายา 9:6, 7; 11:1-10) พระองค์จะทรงรักษาคนป่วยและกำจัดความตาย. พระเจ้าจะทรงให้พระเยซูปลุกหลายพันล้านคนขึ้นมาจากตาย และให้โอกาสพวกเขาได้อยู่ตลอดไปบนแผ่นดินโลก. (โยฮัน 5:28, 29) เรานึกภาพไม่ออกด้วยซ้ำว่าชีวิตของเราจะวิเศษสักเพียงไรเมื่ออยู่ภายใต้การปกครองของราชอาณาจักร. ดังนั้น เป็นเรื่องสำคัญที่เราจะรับความรู้จากคัมภีร์ไบเบิลต่อ ๆ ไปและรู้จักพระเยซูคริสต์ให้มากยิ่งขึ้น.
[เชิงอรรถ]
^ วรรค 15 การอัศจรรย์ที่พระเยซูทรงกระทำเป็นเรื่องที่รู้กันทั่วไป. แม้แต่ศัตรูของพระองค์ก็ยอมรับว่าพระองค์ “ทำสิ่งที่เป็นหมายสำคัญหลายประการ.”—โยฮัน 11:47, 48, ฉบับแปลใหม่.
^ วรรค 17 สำหรับคำอธิบายว่าพระคริสต์สิ้นพระชนม์บนท่อนไม้หรือบนไม้กางเขน โปรดดูหนังสือการหาเหตุผลจากพระคัมภีร์ (ภาษาอังกฤษ) หน้า 89-90 จัดพิมพ์โดยพยานพระยะโฮวา.
[กรอบหน้า 7]
พระเยซูคือพระเจ้าองค์ทรงฤทธานุภาพทุกประการไหม?
หลายคนที่เคร่งศาสนาบอกว่าพระเยซูคือพระเจ้า. บางคนอ้างว่าพระเจ้าเป็นตรีเอกานุภาพ. ตามคำสอนเรื่องตรีเอกานุภาพนั้น “พระบิดาเป็นพระเจ้า, พระบุตรเป็นพระเจ้า และพระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นพระเจ้า แต่กระนั้นไม่ใช่มีพระเจ้าสามองค์ แต่มีพระเจ้าองค์เดียว.” มีการถือว่าทั้งสาม “ยั่งยืนอยู่ด้วยกันและเท่าเทียมกัน.” (สารานุกรมคาทอลิก) ทัศนะดังกล่าวถูกต้องไหม?
พระยะโฮวาพระเจ้าทรงเป็นพระผู้สร้าง. (วิวรณ์ 4:11) พระองค์ไม่มีการเริ่มต้น ไม่มีการสิ้นสุด และพระองค์ทรงฤทธานุภาพทุกประการ. (บทเพลงสรรเสริญ 90:2) ตรงกันข้าม พระเยซูทรงมีการเริ่มต้น. (โกโลซาย 1:15, 16) โดยอ้างถึงพระเจ้าฐานะพระบิดาของพระองค์ พระเยซูตรัสว่า “พระบิดาเป็นใหญ่กว่าเรา.” (โยฮัน 14:28) พระเยซูยังทรงอธิบายด้วยว่ามีบางสิ่งที่พระองค์และทูตสวรรค์ไม่รู้ เฉพาะแต่พระบิดาเท่านั้นที่ทรงทราบ.—มาระโก 13:32.
ยิ่งกว่านั้น พระเยซูทรงอธิษฐานถึงพระบิดาของพระองค์ว่า “ขออย่าให้เป็นไปตามใจข้าพเจ้า, ขอให้เป็นไปตามพระทัยของพระองค์เถิด.” (ลูกา 22:42) พระเยซูทรงอธิษฐานถึงใคร หากไม่ใช่ถึงบุคคลผู้หนึ่งที่สูงส่งกว่าพระองค์? นอกจากนั้น พระเจ้าเป็นผู้ปลุกพระเยซูให้เป็นขึ้นจากตาย มิใช่ว่าพระเยซูได้ปลุกพระองค์เอง. (กิจการ 2:32) เห็นได้ชัดว่า พระบิดาและพระบุตรมิได้เท่าเทียมกัน ไม่ว่าก่อนที่พระเยซูจะเสด็จมาหรือขณะที่ทรงอยู่บนแผ่นดินโลกนี้. แล้วหลังจากที่พระเยซูคืนพระชนม์กลับไปยังสวรรค์ล่ะ? พระธรรม 1 โกรินโธ 11:3 กล่าวว่า “พระเจ้าเป็นศีรษะของพระคริสต์.” ที่จริง พระบุตรจะทรงอยู่ใต้อำนาจพระเจ้าเสมอ. (1 โกรินโธ 15:28) พระคัมภีร์แสดงให้เห็นแล้วว่าพระเยซูไม่ใช่พระเจ้าองค์ทรงฤทธานุภาพทุกประการ. แทนที่จะเป็นเช่นนั้น พระองค์ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า.
สิ่งที่เรียกกันว่าบุคคลที่สามของตรีเอกานุภาพ หรือพระวิญญาณบริสุทธิ์นั้น ไม่ใช่บุคคล. ผู้ประพันธ์เพลงสรรเสริญทูลพระเจ้าในคำอธิษฐานของท่านว่า “พระองค์ทรงประทานพระวิญญาณของพระองค์สร้าง, แล้วสัตว์ก็เป็นขึ้น.” (บทเพลงสรรเสริญ 104:30) พระวิญญาณนี้ไม่ใช่พระเจ้าเอง แต่เป็นพลังปฏิบัติการที่พระองค์ส่งออกไปหรือใช้เพื่อทำให้พระประสงค์ใด ๆ ของพระองค์สำเร็จ. โดยพระวิญญาณนี้ พระเจ้าได้ทรงสร้างท้องฟ้า, แผ่นดินโลก, และสิ่งมีชีวิตทุกอย่าง. (เยเนซิศ 1:2; โยบ 33:4) พระเจ้าทรงใช้พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระองค์ดลใจมนุษย์ที่เขียนคัมภีร์ไบเบิล. (2 เปโตร 1:20, 21) ดังนั้น คำสอนเรื่องตรีเอกานุภาพไม่ใช่คำสอนตามหลักพระคัมภีร์. * คัมภีร์ไบเบิลกล่าวว่า “พระยะโฮวาพระเจ้าของเราเป็นเอกพระยะโฮวา.”—พระบัญญัติ 6:4.
[เชิงอรรถ]
^ วรรค 28 สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม โปรดดูจุลสาร คุณควรเชื่อในตรีเอกานุภาพไหม? (ภาษาอังกฤษ) จัดพิมพ์โดยพยานพระยะโฮวา.
[ภาพหน้า 5]
เมื่อทรงรับบัพติสมา พระเยซูกลายมาเป็นผู้ถูกเจิมของพระเจ้า
[ภาพหน้า 7]
พระเยซูอุทิศกำลังของพระองค์ทำงานมอบหมายที่ได้รับจากพระเจ้า
[ภาพหน้า 7]
ทุกวันนี้ พระเยซูทรงเป็นกษัตริย์ที่มีฤทธิ์อำนาจ