พระคำของพระยะโฮวาจำเริญขึ้นใน “แดนนกอินทรี”
พระคำของพระยะโฮวาจำเริญขึ้นใน “แดนนกอินทรี”
“แดนนกอินทรี” เป็นชื่อภาษาแอลเบเนียที่ชาวแอลเบเนียเรียกประเทศของตน. ประเทศนี้อยู่ติดฝั่งทะเลเอเดรียติกบนคาบสมุทรบอลข่าน ตั้งอยู่ระหว่างประเทศกรีซและอดีตยูโกสลาเวีย. แม้มีความคิดเห็นหลากหลายในเรื่องต้นกำเนิดชาวแอลเบเนีย นักประวัติศาสตร์ส่วนใหญ่เห็นพ้องกันว่าเชื้อสายชาวแอลเบเนียและภาษาของเขามาจากชาวอิลลีเรียโบราณ ซึ่งมีวัฒนธรรมย้อนหลังไป 2,000 ปีก่อนสากลศักราช ตามที่สารานุกรมบริแทนนิกา กล่าว.
ทิวทัศน์ทางธรรมชาติอันงดงามของแอลเบเนียประกอบด้วยเทือกเขาที่เป็นชะง่อนผาทางเหนือและหาดทรายสีขาวยาวเหยียดทางใต้บนฝั่งทะเลเอเดรียติก. แต่ความงามล้ำเลิศหาพบได้ในตัวผู้คน. พวกเขารับรองแขกด้วยอัธยาศัยไมตรีอันอบอุ่น, เป็นคนร่าเริง, แสดงความรู้สึก, เป็นคนเรียนรู้เร็วด้วยการแสดงความคิดเห็นความรู้สึกออกมาเป็นอากัปกิริยาที่มีชีวิตชีวา.
มิชชันนารีชื่อเสียงโด่งดังเคยแวะเยี่ยมที่นี่
บุคลิกของประชาชนที่น่าดึงดูดใจและภูมิทัศน์อันงดงามของประเทศคงได้ดึงดูดความสนใจนักเดินทางผู้หนึ่งที่โรม 15:19, ฉบับแปลใหม่) พื้นที่ภาคใต้ของเมืองอิลลีริคุมตรงกับดินแดนส่วนกลางและตอนเหนือของแอลเบเนียในปัจจุบัน. เปาโลเขียนจากเมืองโครินท์ ประเทศกรีซ ทางใต้ของเมืองอิลลีริคุม. การที่ท่านกล่าวว่าได้ประกาศอย่างถ้วนถี่ “อ้อมไปยังเมืองอิลลีริคุม” แสดงว่าท่านเดินทางไปไกลจนถึงชายแดนหรือได้เข้าไปในภูมิภาคนั้นจริง ๆ. ไม่ว่าจะอย่างไร ท่านคงเผยแพร่ไปถึงดินแดนซึ่งในปัจจุบันคือภาคใต้ของแอลเบเนีย. ดังนั้น จึงสามารถบอกได้ว่างานประกาศราชอาณาจักรซึ่งรู้จักกันในแอลเบเนียนั้นเริ่มต้นจากเปาโลนั่นเอง.
โดดเด่นกว่าใครอื่นเป็นแน่เมื่อหลายศตวรรษมาแล้ว. ประมาณปีสากลศักราช 56 อัครสาวกเปาโลซึ่งเดินทางไปหลายแห่งเขียนว่า “ข้าพเจ้าได้ประกาศข่าวประเสริฐของพระคริสต์อย่างถ้วนถี่ตั้งแต่กรุงเยรูซาเล็มอ้อมไปยังเมืองอิลลีริคุม.” (หลายศตวรรษผ่านไป. จักรวรรดิต่าง ๆ เรืองอำนาจแล้วก็ล่มจม. ชาติต่าง ๆ มีบทบาทในการปกครองอนุภูมิภาคแถบนี้ของยุโรป กระทั่งแอลเบเนียประกาศเป็นรัฐเอกราชในปี 1912. ประมาณสิบปีต่อมา งานประกาศข่าวราชอาณาจักรของพระยะโฮวาในแอลเบเนียได้เริ่มขึ้นอีกครั้ง.
การเริ่มต้นอันน่าตื่นเต้นในสมัยปัจจุบัน
ในช่วงทศวรรษ 1920 ชาวแอลเบเนียเพียงไม่กี่คนที่ได้ย้ายเข้าไปอยู่ในสหรัฐ ได้สมทบกับนักศึกษาพระคัมภีร์นานาชาติ ชื่อเรียกพยานพระยะโฮวาสมัยนั้น แล้วกลับประเทศแอลเบเนียเพื่อบอกกล่าวให้ความรู้แก่ผู้อื่นตามที่พวกเขาได้เรียนรู้. นาโช อิดริซีเป็นหนึ่งในกลุ่มดังกล่าว. บางคนตอบรับด้วยความพึงพอใจ. ที่จะดูแลพวกผู้สนใจที่มีจำนวนเพิ่มขึ้น ในปี 1924 สำนักงานในประเทศโรมาเนียได้รับมอบหมายให้ดูแลงานประกาศในแอลเบเนีย.
ช่วงนั้น ทานัส ดูลิ (อาทาน ดูลิส) อยู่ในกลุ่มผู้ได้เรียนรู้เรื่องพระยะโฮวาในแอลเบเนีย. เขาจำได้ว่า “ปี 1925 มีการจัดตั้งประชาคมขึ้นสามแห่งในแอลเบเนีย รวมถึงกลุ่มนักศึกษาพระคัมภีร์และผู้สนใจซึ่งอยู่โดดเดี่ยวที่นั่นบ้างที่นี่บ้างทั่วประเทศ. ความรักซึ่งกันและกันท่ามกลางพวกเขาเมื่อเทียบกับผู้คนรอบข้างช่างต่างกันลิบ!” *
เพราะขาดเส้นทางสัญจรที่ดี การเดินทางจึงลำบากมาก. กระนั้น ผู้ประกาศที่กระตือรือร้นต่างก็รับเอาภารกิจนี้. เพื่อเป็นตัวอย่าง บนฝั่งทะเลทางใต้ในเมืองวโลเร อเรทิ พีนาได้รับบัพติสมาในปี 1928 ตอนนั้นเธออายุ 18 ปี. เธอเดินขึ้นเขาลงห้วย มือถือพระคัมภีร์ประกาศเผยแพร่ไปตามเส้นทางที่ขรุขระ. เธอทำงานร่วมกับประชาคมที่เข้มแข็งในเมืองวโลเร ในช่วงต้นทศวรรษ 1930.
เมื่อถึงปี 1930 งานเผยแพร่ในประเทศแอลเบเนียอยู่
ภายใต้การดูแลของสำนักงานสาขาในเอเธนส์ ประเทศกรีซ. ปี 1932 ผู้ดูแลเดินทางจากกรีซได้ไปเยี่ยมให้การหนุนใจและชูกำลังพวกพี่น้องในแอลเบเนีย. ระยะนั้นคนส่วนใหญ่ที่ได้เรียนความจริงจากพระคัมภีร์มีความหวังทางภาคสวรรค์. พวกเขามีชื่อเสียงดีเป็นที่ยอมรับนับถือจากประชาชนทุกแห่งเนื่องจากความที่เป็นคนสะอาดและซื่อตรง. การงานที่พี่น้องผู้ซื่อสัตย์เหล่านี้ได้กระทำเกิดผลมากทีเดียว. ปี 1935 และ 1936 มีการจ่ายแจกสรรพหนังสือในแอลเบเนียได้ปีละประมาณ 6,500 เล่ม.วันหนึ่ง ณ ใจกลางเมืองวโลเร นาโช อิดริซี ได้เปิดแผ่นเสียงบันทึกคำบรรยายของเจ. เอฟ. รัทเทอร์ฟอร์ด. ประชาชนต่างพากันปิดร้านชั่วคราวมาฟังโดยมีบราเดอร์อิดริซีช่วยแปลเป็นภาษาแอลเบเนีย. ความกระตือรือร้นไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยของบรรดาผู้สอนคัมภีร์ไบเบิลสมัยแรก ๆ นั้นเกิดผลอุดม. พอถึงปี 1940 ก็มีพยานพระยะโฮวา 50 คนในแอลเบเนีย.
ประเทศที่ไม่เชื่อว่ามีพระเจ้า
ปี 1939 ลัทธิเผด็จการฟาสซิสต์แห่งอิตาลีเข้ายึดครองประเทศ. การยอมรับพยานพระยะโฮวาอย่างถูกต้องตามกฎหมายถูกลบล้างไป และมีการสั่งห้ามงานเผยแพร่. ไม่นานหลังจากนั้น กองกำลังเยอรมันได้บุกรุกเข้าไปในประเทศ. ครั้นสิ้นสงครามโลกครั้งที่ 2 แล้ว เอนเวร์ โฮจา ผู้นำทางทหารที่มีพลังโน้มน้าวก็ปรากฏตัว. พรรคคอมมิวนิสต์ของเขาชนะการเลือกตั้งปี 1946 และเขาได้ก้าวขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี. ปีหลัง ๆ ต่อมามักจะพูดกันว่าเป็นวาระปลดปล่อย แต่เป็นเวลาที่ประชาชนของพระยะโฮวาถูกกดขี่.
ทีละเล็กทีละน้อย รัฐบาลยิ่งไม่ยอมทนกับศาสนามากขึ้น. เนื่องจากการรักษาความเป็นกลาง คริสเตียนพยานพระยะโฮวาในแอลเบเนียจึงปฏิเสธที่จะจับอาวุธขึ้นต่อสู้และไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวทางการเมือง. (ยะซายา 2:2-4; โยฮัน 15:17-19) หลายคนถูกส่งตัวเข้าคุก ไม่มีทั้งอาหารและสิ่งจำเป็นพื้นฐานสำหรับชีวิต. ในหลายกรณี พี่น้องหญิงคริสเตียนที่ไม่ถูกจำคุกได้ช่วยซักเสื้อผ้าและทำอาหารให้พวกเขา.
แม้ถูกข่มเหงแต่ไม่กลัว
ช่วงต้นทศวรรษ 1940 ฟรอซินา เจคา ตอนนั้นเป็นวัยรุ่นอยู่ที่หมู่บ้านใกล้กับตำบลเพอเมต ได้ยินสิ่งที่พวกพี่ชายของเธอเรียนรู้จากพยานฯ ชื่อนาโช โดรี ช่างทำรองเท้า. * หน่วยงานรัฐเข้มงวดมากขึ้นกับพยานพระยะโฮวา แต่ความเชื่อของฟรอซินาเข้มแข็งขึ้นเรื่อย ๆ ทั้ง ๆ ที่พ่อแม่ไม่พอใจ. “ท่านจะเอารองเท้าของฉันไปซ่อนและเฆี่ยนถ้าฉันไปร่วมการประชุมคริสเตียน. ท่านพยายามจัดแจงให้ฉันแต่งงานกับคนไม่มีความเชื่อ. เมื่อฉันปฏิเสธ ท่านก็ไล่ฉันออกจากบ้าน. วันนั้นหิมะตก. นาโช โดรีจึงขอร้องบราเดอร์โกเล ฟลอโกในเมืองจิโรกัสเตอร์ช่วยสงเคราะห์ฉัน. เขาจัดการให้ฉันไปอาศัยอยู่กับครอบครัวของเขา. พวกพี่ชายของฉันติดคุกนานสองปีเพราะการยืนหยัดรักษาความเป็นกลาง. หลังจากพวกพี่ ๆ ถูกปล่อยตัว ฉันก็ย้ายไปอยู่กับพวกเขาที่เมืองวโลเร.”
“ตำรวจพยายามบังคับฉันให้เข้าร่วมกิจกรรมการเมือง. ฉันปฏิเสธ. พวกเขาจับกุมฉันและพาไปที่ห้องแล้วยืนล้อม
ฉันไว้. คนหนึ่งในกลุ่มขู่ฉันว่า ‘เธอรู้ไหมว่าเราสามารถจะจัดการกับเธออย่างไร?’ ฉันตอบว่า ‘พวกคุณทำได้เท่าที่พระยะโฮวาปล่อยให้ทำเท่านั้น.’ เขาย้อนตอบอย่างโมโหว่า ‘เธอมันบ้าสิ้นดี! ออกไปให้พ้นหน้า!’ ”ความซื่อสัตย์ภักดีทำนองนี้เป็นลักษณะพิเศษของพี่น้องชาวแอลเบเนียตลอดหลายปีที่ถูกสั่งห้าม. ถึงปี 1957 ยอดจำนวนผู้ประกาศราชอาณาจักรมี 75 คน. ต้นทศวรรษ 1960 สำนักงานใหญ่ของพยานพระยะโฮวาได้จัดให้จอห์น มาคส์ ชาวแอลเบเนียซึ่งเคยอพยพไปอยู่สหรัฐเดินทางเยี่ยมติรานาเพื่อจัดระเบียบงานคริสเตียนที่นั่น. * แต่ไม่นานต่อมา ลูชิ เจคา, มิฮัล ซเวซิ, เลโอนิทา โปเป, และบราเดอร์บางคนที่มีหน้าที่รับผิดชอบถูกส่งไปอยู่ในค่ายแรงงาน.
ความหวังจะได้รับการปลดเปลื้องจากสภาพการณ์ที่ยากลำบาก
กระทั่งปี 1967 แอลเบเนียไม่เห็นชอบกับศาสนาใด ๆ ทั้งสิ้น. ในเวลาต่อมาก็ไม่มีการผ่อนปรนอีกต่อไป. บาทหลวงคาทอลิก, บาทหลวงนิกายออร์โทด็อกซ์, หรือผู้นำศาสนาอิสลามไม่สามารถประกอบพิธีกรรมทางศาสนา. มีการปิดโบสถ์และสุเหร่าหรือเปลี่ยนให้เป็นสถานออกกำลังกาย, พิพิธภัณฑสถาน, หรือที่จำหน่ายสินค้า. ไม่อนุญาตให้ใครมีคัมภีร์ไบเบิลในครอบครอง. ไม่อนุญาตให้พูดหรือแสดงแนวคิดใด ๆ เกี่ยวกับความเชื่อศรัทธาพระเจ้า.
การประกาศและการประชุมแทบเป็นไปไม่ได้. พยานฯ แต่ละคนพยายามสุดความสามารถที่จะรับใช้พระยะโฮวา ทั้งที่ถูกแยกให้อยู่ห่างกัน. ระหว่างช่วงทศวรรษ 1960 ถึงทศวรรษ 1980 จำนวนพยานพระยะโฮวาลดน้อยลง เหลือเพียงไม่กี่คน. กระนั้น พยานฯ เหล่านี้มั่นคงเข้มแข็งฝ่ายวิญญาณ.
ตอนปลายทศวรรษ 1980 การเมืองในแอลเบเนียเริ่มเปลี่ยนแปลงอย่างค่อยเป็นค่อยไป. อาหารและเสื้อผ้าเป็นของหายาก. ประชาชนเดือดร้อนลำเค็ญ. การปฏิรูปที่แผ่ไปทั่วภูมิภาคตะวันออกของยุโรปในช่วงต้น ๆ ทศวรรษ 1990 ก็เกิดขึ้นที่แอลเบเนียด้วย. หลังการปกครองแบบรวบอำนาจนาน 45 ปี รัฐบาลใหม่จึงยอมให้มีเสรีภาพทางศาสนาอีกครั้งหนึ่ง.
โดยการชี้นำจากคณะกรรมการปกครองของพยานพระยะโฮวา สำนักงานสาขาในประเทศออสเตรียและกรีซจึงเริ่มติดต่อพี่น้องในแอลเบเนียทันที. พี่น้องชาวกรีกที่รู้ภาษาแอลเบเนียได้นำเอาสรรพหนังสืออธิบายคัมภีร์ไบเบิลเล่มใหม่ ๆ ที่เพิ่งแปลไปให้พวกพี่น้องที่เมืองติรานาและเบอรัท. พี่น้องท้องถิ่นซึ่งเคยกระเจิดกระเจิงไปรู้สึกตื้นตันใจมากเมื่อได้พบปะพี่น้องพยานฯ จากต่างประเทศเป็นครั้งแรกหลังจากเวลาผ่านไปหลายปี.
ไพโอเนียร์ใจแรงกล้าจากประเทศอื่นเป็นกองหน้าทำงาน
ช่วงต้นปี 1992 คณะกรรมการปกครองได้ดำเนินการย้ายไมเคิลและลินดา ดิเกรกอริโอสองสามีภรรยามิชชันนารีเชื้อสายแอลเบเนียไปที่ประเทศแอลเบเนีย. พวกเขาติดต่อช่วยเหลือพี่น้องผู้สูงอายุที่ซื่อสัตย์มั่นคงให้ได้เข้าร่วมการประชุมด้วยกันฐานะเป็นครอบครัวนานาชาติฝ่ายวิญญาณ. กลุ่มไพโอเนียร์พิเศษ หรือผู้เผยแพร่เต็มเวลาชาวอิตาลีจำนวน 16 คนซึ่งมีความบากบั่นพยายามได้เดินทางมาถึงเมื่อเดือนพฤศจิกายน พร้อมกับพี่น้องไพโอเนียร์ชาวกรีกสี่คน. มีการจัดหลักสูตรสอนภาษาแอลเบเนียเพื่อช่วยไพโอเนียร์เหล่านี้ในด้านภาษา.
ชีวิตประจำวันลำบากสำหรับไพโอเนียร์จากต่างประเทศ. การจ่ายกระแสไฟฟ้าไม่แน่นอน ปิด ๆ เปิด ๆ, ฤดูหนาวอากาศหนาวและชื้น. ประชาชนเข้าแถวนานหลายชั่วโมงรอรับอาหารและสิ่งจำเป็นเพื่อปากท้อง. กระนั้น ปัญหาใหญ่ที่สุดที่พี่น้องต้องเผชิญคือจะหาสถานที่กว้างขวาง
พอรับรองผู้สนใจที่ตอบรับความจริงจำนวนมากได้อย่างไร!ไพโอเนียร์ที่พยายามจะฝึกพูดภาษาแอลเบเนียพบว่าการพูดภาษาอย่างถูกต้องเป็นสิ่งช่วยอย่างหนึ่งเพื่อที่จะบรรลุผลสำเร็จ. แต่ผู้สอนคัมภีร์ไบเบิลที่มีประสบการณ์บอกพวกไพโอเนียร์ว่า “ไม่จำเป็นต้องพูดให้ถูกไวยากรณ์ตรงเผงเพื่อจะสร้างรอยยิ้มแห่งความเป็นมิตรหรือสวมกอดพี่น้องของเรา. ชาวแอลเบเนียจะตอบสนองความรักจากใจจริงของคุณ ไม่ใช่ด้วยคำพูดที่ถูกไวยากรณ์. อย่าวิตก ถึงอย่างไรเขาก็จะเข้าใจ.”
หลังจากเข้าชั้นเรียนแรกและผ่านหลักสูตรการเรียนภาษาแล้ว พวกไพโอเนียร์ได้เริ่มงานที่เมืองเบอรัท, เดอร์เรส, จิโรกัสเตอร์, ชโกเดอร์, ติรานา, และวโลเร. จากนั้นไม่นาน ในเมืองเหล่านั้นก็มีประชาคมต่าง ๆ ผุดขึ้นมาอย่างรวดเร็ว. ตอนนั้นอเรทิ พีนา ซึ่งอายุ 80 กว่าและสุขภาพร่างกายไม่แข็งแรง ยังคงอาศัยอยู่ในเมืองวโลเร. ไพโอเนียร์พิเศษสองคนถูกส่งไปประกาศด้วยกันกับอเรทิที่นั่น. ผู้คนรู้สึกทึ่งที่ชาวต่างชาติพูดคุยภาษาแอลเบเนีย: “มิชชันนารีคณะอื่น ๆ ที่เข้ามาสอนศาสนาบอกเราให้เรียนภาษาอังกฤษหรือภาษาอิตาลี หากเราต้องการรู้เรื่องอะไรก็แล้วแต่. ส่วนพวกคุณคงรักเราแน่ ๆ และมีเรื่องสำคัญอยากบอกให้รู้ เพราะคุณตั้งใจเรียนภาษาแอลเบเนียจริง ๆ!” อเรทิสิ้นชีวิตทางแผ่นดินโลกอย่างซื่อสัตย์เมื่อเดือนมกราคม 1994 เธอขยันขันแข็งทำการประกาศจนถึงเดือนสุดท้ายของชีวิต. การแสดงความกระตือรือร้นของเธอและของพวกไพโอเนียร์ได้รับการอวยพร. ประชาคมหนึ่งในวโลเรได้รับการบูรณะขึ้นใหม่ในปี 1995. ปัจจุบัน สามประชาคมที่กำลังเจริญเติบโตต่างก็ขันแข็งทำงานประกาศเผยแพร่ที่เมืองท่านี้.
ผู้คนทั่วประเทศอดอยากฝ่ายวิญญาณและไม่ค่อยจะมีอคติเรื่องศาสนา. พวกเขาเต็มใจรับสรรพหนังสือที่อธิบายคัมภีร์ไบเบิลและกระตือรือร้นอ่านทุกเล่มที่ได้รับจากพยานฯ. หนุ่มสาวจำนวนมากเริ่มต้นศึกษาและก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว.
มากกว่า 90 ประชาคมและกลุ่มต่าง ๆ ทั่วทั้งประเทศ “ได้รับการเสริมต่อ ๆ ไปให้มั่นคงอยู่ในความเชื่อ และทวีจำนวนมากขึ้นทุกวัน.” (กิจการ 16:5, ล.ม.) เหล่าพยานฯ 3,513 คนในแอลเบเนียยังคงมีงานที่จะทำอีกมาก. เดือนมีนาคม 2005 ในการประชุมอนุสรณ์ระลึกการวายพระชนม์ของพระคริสต์นั้นมี 10,144 คนได้เข้าร่วมประชุม. การพิจารณาโต้ตอบเมื่อพยานฯ ประกาศแก่ชาวแอลเบเนียที่เอื้อเฟื้อนั้นก่อผลดีทีเดียว มีการศึกษาคัมภีร์ไบเบิลมากกว่า 6,000 ราย. เห็นได้ชัดว่า หลายพันคนจะได้รับประโยชน์จากพระคัมภีร์ฉบับแปลโลกใหม่ ที่ออกเป็นภาษาแอลเบเนียไม่นานมานี้. จริงทีเดียว พระคำของพระยะโฮวาจำเริญขึ้นใน “แดนนกอินทรี” เป็นคำสรรเสริญแด่พระยะโฮวา.
[เชิงอรรถ]
^ วรรค 9 สำหรับชีวประวัติของทานัส ดูลิ โปรดอ่านจากหอสังเกตการณ์ ฉบับ 1 ธันวาคม 1968 (ภาษาอังกฤษ).
^ วรรค 17 อ่านชีวประวัติของนาโช โดรีได้จากหอสังเกตการณ์ ฉบับ 1 มกราคม 1996.
^ วรรค 19 อ่านชีวประวัติของเฮเลน ภรรยาของจอห์น มาคส์ได้จากหอสังเกตการณ์ ฉบับ 1 มกราคม 2002.
[กรอบหน้า 20]
การต่อสู้กันอันเนื่องมาจากชาติพันธุ์มลายหายไปในโคโซโว!
โคโซโวเป็นชื่อที่ได้ยินบ่อยในช่วงปลายทศวรรษ 1990 ในคราวที่เกิดกรณีพิพาทแยกดินแดนและการเกลียดชังทางด้านชาติพันธุ์ที่ฝังรากลึกซึ่งนำไปสู่สงครามและการแทรกแซงจากนานาชาติ.
ช่วงสงครามบนคาบสมุทรบอลข่าน พยานฯ หลายคนต้องลี้ภัยเข้าไปยังประเทศใกล้เคียง. หลังสงครามสงบ พยานฯ กลุ่มเล็ก ๆ ก็ได้กลับมาที่โคโซโว พร้อมจะทำงานให้คำพยานที่นั่น. ไพโอเนียร์พิเศษทั้งชาวแอลเบเนียและชาวอิตาลีได้อาสาไปเผยแพร่ที่โคโซโว เพื่อช่วยผู้คน 2,350,000 คนในดินแดนแห่งนี้. สี่ประชาคมและหกกลุ่มประกอบด้วยผู้ประกาศที่ทำงานขยันขันแข็งรวมทั้งสิ้น 130 คนกำลังรับใช้พระยะโฮวาในเขตงานนี้.
การประชุมพิเศษหนึ่งวันได้จัดขึ้นที่เมืองพริสตินา ในฤดูใบไม้ผลิปี 2003 มีผู้เข้าร่วมประชุม 252 คน. ท่ามกลางคนเหล่านั้นมีผู้คนซึ่งพื้นเพเป็นชาวแอลเบเนีย, เยอรมัน, อิตาลี, ยิปซี, และเซิร์บ. ตอนจบคำบรรยายการรับบัพติสมา ผู้บรรยายขอให้ตอบคำถามสองข้อ. มีสามคนได้ยืนขึ้นตอบให้คำยืนยัน เป็นผู้ชายเชื้อสายแอลเบเนียคนหนึ่ง, หญิงยิปซี, และอีกคนเป็นหญิงชาวเซิร์บ.
เสียงปรบมือดังกึกก้องหลังจากผู้ร่วมประชุมได้ยินผู้ที่พร้อมรับบัพติสมาสามคนเปล่งเสียงตอบพร้อมกันคือ “วา!,” “ดา!,” และ “โป!” แล้วทั้งสามก็โผเข้ากอดกัน. พวกเขาพบคำตอบสำหรับปัญหาที่ฝังรากลึกเกี่ยวกับชาติพันธุ์ซึ่งเป็นต้นเหตุแห่งความยากลำบากภายในประเทศของพวกเขา.
[แผนที่หน้า 17]
(รายละเอียดดูจากวารสาร)
ทะเลเมดิเตอร์เรเนียน
อิตาลี
แอลเบเนีย
กรีซ
[ภาพหน้า 18]
เยาวชนพยานฯ เลียนแบบอย่างความกระตือรือร้นของผู้สูงอายุ
[ภาพหน้า 18]
อเรทิ พีนารับใช้ด้วยความซื่อสัตย์ตั้งแต่ปี 1928 กระทั่งเสียชีวิตในปี 1994
[ภาพหน้า 19]
ไพโอเนียร์ชาวต่างชาติรุ่นแรกได้เรียนหลักสูตรสอนภาษา
[ที่มาของภาพหน้า 16]
Eagle: © Brian K. Wheeler/VIREO