ช่วงคริสต์มาสอะไรคือจุดรวมความสนใจ?
ช่วงคริสต์มาสอะไรคือจุดรวมความสนใจ?
สำหรับคนนับล้าน เทศกาลวันหยุดคริสต์มาสเป็นวาระที่จะได้อยู่กับครอบครัวและมิตรสหาย เป็นเวลาที่จะฟื้นความผูกพันรักใคร่ขึ้นมาใหม่. อีกหลายคนถือว่านั่นเป็นเวลาที่จะไตร่ตรองเรื่องการประสูติของพระเยซูคริสต์และบทบาทของพระองค์ในการช่วยมนุษยชาติให้รอด. ไม่เหมือนกับในอีกหลายประเทศ ในรัสเซีย ผู้คนใช่ว่าได้รับอนุญาตให้ฉลองคริสต์มาสเสมอมา. ถึงแม้เป็นเวลาหลายศตวรรษที่คนเหล่านั้นในคริสตจักรออร์โทด็อกซ์ของรัสเซียได้ฉลองคริสต์มาสอย่างเปิดเผยก็ตาม พวกเขาไม่ได้รับอนุญาตให้ฉลองเทศกาลนี้เกือบจะตลอดศตวรรษที่ 20. อะไรได้ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเช่นนั้น?
ทันทีหลังจากการปฏิวัติบอลเชวิกของพวกคอมมิวนิสต์ในปี 1917 ผู้มีอำนาจของโซเวียตได้ดำเนินนโยบายแบบอเทวนิยมที่ก้าวร้าวไปทั่วประเทศ. เทศกาลคริสต์มาสทั้งสิ้นพร้อมกับนัยสำคัญทางศาสนาของเทศกาลนี้ได้กลายเป็นเรื่องที่ไม่ได้รับความเห็นชอบ. รัฐเริ่มรณรงค์ต่อต้านทั้งการฉลองคริสต์มาสและปีใหม่. ถึงกับมีการประณามสัญลักษณ์ของเทศกาลที่ใช้ในท้องถิ่นอย่างเปิดเผย นั่นคือต้นคริสต์มาสและดเยด เมอโรส หรือคุณปู่เคราขาวของรัสเซียซึ่งเหมือนกับซานตาคลอส.
ในปี 1935 ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างสิ้นเชิงในวิธีที่ชาวรัสเซียฉลองเทศกาล. พวกโซเวียตได้รื้อฟื้นธรรมเนียมคุณปู่เคราขาว, ต้นไม้ประจำเทศกาล, และการฉลองปีใหม่—แต่โดยที่มีความแตกต่างอย่างน่าสังเกต. มีการกล่าวว่าคุณปู่เคราขาวจะนำของขวัญมาให้ไม่ใช่ในวันคริสต์มาส แต่เป็นวันปีใหม่. ในทำนองเดียวกัน จะไม่มีต้นคริสต์มาสอีกต่อไป. แต่จะมีต้นไม้ปีใหม่! ดังนั้น จึงมีการเปลี่ยนแปลงส่วนใหญ่เกี่ยวกับจุดรวมความสนใจของเทศกาลในสหภาพโซเวียต. ที่แท้แล้ว การฉลองปีใหม่ได้เข้ามาแทนที่คริสต์มาส.
คริสต์มาสได้กลายเป็นวาระแห่งการเฉลิมฉลองทางโลกอย่างสิ้นเชิง ถูกทำให้หมดความหมายใด ๆ ทางศาสนาอย่างเป็นทางการ. มีการตกแต่งต้นไม้ปีใหม่ ไม่ใช่ด้วยเครื่องประดับทางศาสนา แต่ด้วยเครื่องประดับที่เป็นแบบทางโลกซึ่งแสดงให้เห็นภาพความก้าวหน้าของสหภาพโซเวียต. วารสารของรัสเซียแวครุก สวีตา (รอบโลก) ชี้แจงว่า “มีทางเป็นไปได้ที่จะย้อนรอยประวัติศาสตร์ของการก่อตั้งสังคมคอมมิวนิสต์โดยการตกแต่งต้นไม้ปีใหม่ที่แสดงถึงช่วงปีต่าง ๆ ในยุคโซเวียต. มีการผลิตสิ่งตกแต่งประดับประดาเป็นรูปเคียว, ค้อน, และรถแทรกเตอร์ พร้อมกับกระต่าย, หยาดน้ำแข็ง, และขนมปังก้อนกลม ซึ่งเป็นสิ่งที่มีอยู่ทั่วไป. ต่อมามีการนำรูปปั้นเล็ก ๆ ของคนขุดแร่และนักท่องจักรวาล, อุปกรณ์ขุดเจาะน้ำมัน, จรวด, และรถท่องดวงจันทร์เข้ามาแทนสิ่งเหล่านี้.”
จะว่าอย่างไรกับวันคริสต์มาสจริง ๆ? แน่นอน ไม่ได้มีการยอมรับวันนี้เป็นทางการ. แทนที่จะเป็นเช่นนั้น ผู้มีอำนาจของโซเวียตได้ลดความสำคัญของวันนั้นลงเป็นวันทำงานตามปกติวันหนึ่ง. คนเหล่านั้นที่ประสงค์จะจัดการฉลองทางศาสนาในวันคริสต์มาสสามารถทำเช่นนั้นได้เฉพาะแต่ด้วยความระมัดระวังจริง ๆ เท่านั้น โดยเสี่ยงต่อความไม่พอใจของรัฐและผลลัพธ์ที่ไม่น่ายินดี. ใช่แล้ว ในศตวรรษที่ 20 รัสเซียมีการเปลี่ยนจุดรวมความสนใจของเทศกาลวันหยุด จากการฉลองทางศาสนามาเป็นการฉลองทางโลก.
การเปลี่ยนแปลงในระยะหลัง ๆ นี้
ในปี 1991 สหภาพโซเวียตล่มสลาย และผู้คนมีเสรีภาพมากขึ้น. นโยบายแบบอเทวนิยมของรัฐได้ผ่านพ้นไป. รัฐเอกราชต่าง ๆ ที่ตั้ง
ขึ้นใหม่เป็นไปในทางโลกเป็นส่วนใหญ่ โดยมีการแยกจากกันระหว่างคริสตจักรกับรัฐ. หลายคนที่มีแนวโน้มศรัทธาในศาสนารู้สึกว่าตอนนี้สามารถปฏิบัติตามความเชื่อมั่นทางศาสนาของตนได้. พวกเขาให้เหตุผลว่าวิธีหนึ่งที่จะทำเช่นนี้คงจะเป็นการฉลองคริสต์มาสซึ่งเป็นวันหยุดทางศาสนา. อย่างไรก็ดี ในไม่ช้าคนเช่นนั้นจำนวนมากรู้สึกผิดหวัง. เพราะเหตุใด?ขณะที่แต่ละปีผ่านไป ได้มีการทำให้วันหยุดนี้เป็นการค้ามากขึ้น. ที่จริง เช่นเดียวกับประเทศทางแถบตะวันตก เทศกาลคริสต์มาสได้กลายเป็นวิธีดีที่สุดอย่างหนึ่งที่ผู้ผลิตสินค้า, พ่อค้าขายส่ง, และพ่อค้าทั่วไปจะทำกำไร. มีการตกแต่งประดับประดาหน้าร้านด้วยสิ่งของต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับคริสต์มาสไว้อย่างโดดเด่น. ดนตรีและการร้องเพลงคริสต์มาสตามแบบตะวันตกซึ่งก่อนหน้านี้ไม่เป็นที่รู้จักกันในรัสเซีย แว่วดังมาจากร้านค้าต่าง ๆ. พวกพนักงานขายที่ถือถุงใบใหญ่ใส่เครื่องประดับกระจุ๋มกระจิ๋มสำหรับคริสต์มาสขายสินค้าของตนบนรถไฟที่คนโดยสารไปทำงานและพาหนะโดยสารสาธารณะอื่น ๆ. นี่เป็นสภาพที่คุณพบเห็นได้ในรัสเซียปัจจุบัน.
แม้แต่คนเหล่านั้นที่ยอมรับลักษณะทางการค้าแบบโจ่งแจ้งเช่นนี้ก็อาจรู้สึกไม่สบายใจเนื่องจากลักษณะอีกอย่างหนึ่งของเทศกาลนี้ที่ทำให้เกิดความวุ่นวาย นั่นคือการใช้เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์เกินควรพร้อมกับผลเสียหายทุกอย่างที่ตามมา. นายแพทย์ประจำห้องฉุกเฉินคนหนึ่งในโรงพยาบาลที่มอสโกได้ชี้แจงว่า “สำหรับพวกแพทย์แล้ว เป็นเรื่องแน่นอนว่าการฉลองปีใหม่จะหมายถึงการมีผู้คนได้รับบาดเจ็บจำนวนมากมาย มีตั้งแต่รอยบวมและรอยฟกช้ำดำเขียวไปจนถึงบาดแผลที่เกิดจากการถูกแทงและถูกกระสุนปืน ส่วนใหญ่มีสาเหตุจากการใช้ความรุนแรงในครอบครัว, การทะเลาะวิวาทที่เกิดจากการเมาเหล้า, และอุบัติเหตุทางรถยนต์.” นักวิทยาศาสตร์คนหนึ่งซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงแห่งสถาบันวิทยาศาสตร์สาขาหนึ่งของรัสเซียได้กล่าวว่า “จำนวนคนที่เสียชีวิตเนื่องจากการใช้แอลกอฮอล์ได้เพิ่มขึ้นโดยกะทันหัน. จำนวนดังกล่าวสูงเป็นพิเศษในปี 2000. จำนวนอัตวินิบาตกรรมและฆาตกรรมได้เพิ่มขึ้นด้วย.”
น่าเสียดาย มีปัจจัยอีกอย่างหนึ่งที่ทำให้พฤติกรรมใด ๆ ดังกล่าวระหว่างช่วงเทศกาลในรัสเซียเลวร้ายยิ่งขึ้น. ภายใต้พาดหัวข่าว “ชาวรัสเซียฉลองคริสต์มาสสองครั้ง” หนังสือพิมพ์อีสเวสทียา รายงานว่า “ชาวรัสเซียเกือบ 1 ใน 10 ฉลองคริสต์มาสสองครั้ง. ดังที่มีการยืนยันจากการสำรวจของศูนย์ตรวจสอบการวิจัยตลาดและมติมหาชน ร้อยละ 8 ของผู้ตอบคำถามยอมรับว่าพวกเขาฉลองคริสต์มาสทั้งในวันที่ 25 ธันวาคม ตามปฏิทินคริสต์มาสของคาทอลิก และในวันที่ 7 มกราคม ตามปฏิทินออร์โทด็อกซ์ . . . สำหรับบางคน ดูเหมือนว่าไม่ใช่ความหมายทางด้านศาสนาที่ถือว่าสำคัญ แต่กลับเป็นโอกาสที่จะได้ฉลองซึ่งนับว่าสำคัญ.” *
การฉลองในปัจจุบันถวายเกียรติพระคริสต์จริง ๆ ไหม?
เห็นได้ชัด การประพฤติแบบที่ไม่เลื่อมใสพระเจ้าส่วนใหญ่มีควบคู่ไปกับเทศกาลวันหยุด. แม้ว่าเรื่องนี้ทำให้บางคนไม่สบายใจแต่เขาอาจรู้สึกว่าตนน่าจะฉลองเทศกาลนี้เนื่องด้วยความนับถือพระเจ้าและพระคริสต์. ความปรารถนาที่จะทำให้พระเจ้าพอพระทัยเป็นเรื่องน่าชมเชย. แต่พระเจ้าและพระคริสต์พอพระทัยจริง ๆ ไหมกับเทศกาลคริสต์มาส? ขอพิจารณาต้นตอของเทศกาลนี้.
ตัวอย่างเช่น ไม่ว่าคนเรามีทัศนะเช่นไรก็ตามต่อท่าทีของโซเวียตที่มีต่อคริสต์มาส คงจะเป็นเรื่องยากที่จะโต้แย้งกับข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ต่อไปนี้ตามที่กล่าวไว้ในสารานุกรมโซเวียตที่ยิ่งใหญ่ (ภาษารัสเซีย) ว่า “คริสต์มาส . . . ได้ถูกยืมมาจากการนมัสการพระต่าง ๆ ที่ ‘ตายและเป็นขึ้นจากตาย’ ซึ่งมีอยู่ก่อนยุคคริสเตียน ซึ่งมีแพร่หลายโดยเฉพาะอย่างยิ่งในท่ามกลางผู้คนที่ทำการเกษตรซึ่งฉลองทุกปีเกี่ยวกับ ‘การกำเนิด’ ของพระเจ้าผู้ช่วยให้รอด ผู้ทรงคืนชีวิตใหม่ให้ธรรมชาติ ในช่วงหนึ่งที่มักจำกัดอยู่ในคราวเหมายัน (ช่วงที่กลางคืนยาวที่สุดในฤดูหนาว) ระหว่างวันที่ 21-25 ธันวาคม.”
คุณอาจพบว่าสิ่งที่สารานุกรมชี้แจงอย่างถูกต้องนั้นนับว่าสำคัญ “ศาสนาคริสเตียนในศตวรรษแรกไม่รู้จักการฉลองคริสต์มาส. . . . ตั้งแต่กลางศตวรรษที่สี่ ศาสนาคริสเตียนได้รับเอาธรรมเนียมการฉลองเทศกาลเหมายันมาจากการนมัสการพระอาทิตย์ โดยเปลี่ยนธรรมเนียมดังกล่าวเป็นการฉลองคริสต์มาส. ชุมชนทางศาสนาของกรุงโรมเป็นพวกแรกที่ฉลองคริสต์มาส. ในศตวรรษที่สิบ คริสต์มาสแพร่ไปถึงรัสเซียพร้อมกับศาสนาคริสเตียน ที่นั่นได้มีการเอาคริสต์มาสมารวมกับการฉลองเทศกาลฤดูหนาวของชาวสลาฟโบราณ เพื่อเป็นการให้เกียรติวิญญาณของบรรพบุรุษ.”
คุณอาจถามว่า ‘คัมภีร์ไบเบิลพระคำของพระเจ้ากล่าวเช่นไรเกี่ยวกับการประสูติของพระเยซูในวันที่ 25 ธันวาคม?’ ที่จริง คัมภีร์ไบเบิลไม่ได้ระบุวันเดือนปีที่พระเยซูประสูติ และไม่มีบันทึกว่าพระเยซูเองได้ตรัสถึงเรื่องนี้ อย่าว่าแต่ทรงสั่งให้ฉลองวันนั้นเลย. อย่างไรก็ดี คัมภีร์ไบเบิลช่วยเราให้คำนวณว่าพระเยซูประสูติในช่วงเวลาใดของปี.
ตามที่บันทึกในกิตติคุณของมัดธาย บท 26 และ 27 พระเยซูถูกประหารในวันที่ 14 เดือนไนซาน ตอนบ่ายวันปัศคาของยิวซึ่งได้เริ่มต้นในวันที่ 31 มีนาคม สากลศักราช 33. เราเรียนรู้จากกิตติคุณของลูกาว่าพระเยซูมีพระชนมายุประมาณ 30 พรรษาตอนที่พระองค์ได้รับบัพติสมาและเริ่มงานรับใช้ของพระองค์. (ลูกา 3:21-23) งานรับใช้ดังกล่าวนานสามปีครึ่ง. ฉะนั้น พระเยซูมีพระชนมายุประมาณ 33 พรรษาครึ่งตอนสิ้นพระชนม์. พระองค์คงจะมีพระชนมายุ 34 พรรษาราว ๆ วันที่ 1 ตุลาคม ส.ศ. 33. ลูการายงานว่าในตอนที่พระเยซูประสูติ คนเลี้ยงแกะ “อยู่ในทุ่งนาเฝ้าฝูงแกะของเขาในเวลากลางคืน.” (ลูกา 2:8) คนเลี้ยงแกะคงจะไม่อยู่ข้างนอกกับฝูงแกะของเขาในเดือนธันวาคมที่อากาศหนาวเย็น ตอนที่อาจมีหิมะตกในบริเวณเมืองเบทเลเฮมด้วยซ้ำ. แต่พวกเขาสามารถอยู่ที่ทุ่งนากับฝูงแกะของตนได้ในราว ๆ วันที่ 1 ตุลาคม ซึ่งตามหลักฐานแล้วเป็นเวลาที่พระเยซูประสูติ.
อนึ่ง จะว่าอย่างไรเรื่องการฉลองปีใหม่? ดังที่เราได้เห็นแล้ว การฉลองนั้นเต็มไปด้วยพฤติกรรมที่เสเพล. ทั้ง ๆ
ที่มีการพยายามทำให้การฉลองนี้เป็นแบบทางโลก แต่ก็มีต้นตอที่น่าสงสัยด้วยเช่นกัน.เห็นได้ชัดว่า โดยอาศัยหลักฐานเกี่ยวกับข้อเท็จจริงที่เป็นส่วนประกอบของเทศกาลวันหยุด คำขวัญเช่น พระเยซูเป็นเหตุของเทศกาลนี้ จึงฟังไม่ขึ้น. หากคุณรู้สึกไม่สบายใจเนื่องจากการเน้นหนักเกินควรในเรื่องการค้าและความประพฤติที่ทำให้เกิดความวุ่นวายซึ่งเกี่ยวข้องกับเทศกาลคริสต์มาส อีกทั้งต้นตอแบบนอกรีตที่น่ารังเกียจของเทศกาลนี้ ก็อย่าได้รู้สึกท้อใจ. มีวิธีเหมาะสมที่เราสามารถแสดงความเคารพยำเกรงที่สมควรต่อพระเจ้าและถวาย
เกียรติพระคริสต์ ในเวลาเดียวกันก็เสริมความผูกพันในครอบครัวให้แน่นแฟ้นขึ้น.วิธีถวายเกียรติพระเจ้าและพระคริสต์แบบที่ดีกว่า
คัมภีร์ไบเบิลบอกเราว่าพระเยซูคริสต์เสด็จมา “เพื่อ . . . ประทานชีวิตของท่านให้เป็นค่าไถ่คนเป็นอันมาก.” (มัดธาย 20:28) พระองค์ทรงยอมถูกประหารชีวิต เต็มพระทัยวายพระชนม์เนื่องจากบาปของเรา. บางคนอาจปรารถนาจะถวายเกียรติพระคริสต์; เขารู้สึกว่าสามารถทำเช่นนี้ได้ระหว่างเทศกาลคริสต์มาส. แต่ดังที่เราเห็นแล้ว คริสต์มาสและปีใหม่ไม่เกี่ยวข้องอะไรเลยกับพระคริสต์และมีต้นตอมาจากการฉลองแบบนอกรีต. นอกจากนี้ เทศกาลคริสต์มาส ไม่ว่าจะน่าดึงดูดใจเพียงไรสำหรับบางคนก็ตาม ก็ปรากฏชัดว่ามีลักษณะทางการค้าอย่างโจ่งแจ้ง. ยิ่งกว่านั้น ต้องยอมรับว่าเทศกาลคริสต์มาสเกี่ยวข้องกับความประพฤติที่น่าอายซึ่งทำให้พระเจ้าและพระคริสต์ไม่พอพระทัย.
คนที่พยายามจะทำให้พระเจ้าพอพระทัยควรมีปฏิกิริยาอย่างไร? แทนที่จะยึดติดกับประเพณีของมนุษย์ซึ่งอาจสนองความเลื่อมใสในศาสนาแต่ก็ตรงกันข้ามกับพระคัมภีร์ บุคคลที่จริงใจจะแสวงหาวิธีที่ถูกต้องในการถวายเกียรติพระเจ้าและพระคริสต์. วิธีที่ถูกต้องนั้นคืออะไร และเราควรทำเช่นไร?
พระคริสต์เองทรงแจ้งให้เราทราบว่า “นี่แหละเป็นชีวิตนิรันดร์, คือว่าให้เขารู้จักพระองค์ผู้เป็นพระเจ้าเที่ยงแท้องค์เดียว และรู้จักผู้ที่พระองค์ทรงใช้มาคือพระเยซูคริสต์.” (โยฮัน 17:3) ใช่แล้ว บุคคลที่จริงใจอย่างแท้จริงพยายามจะรับเอาความรู้ถ่องแท้เกี่ยวกับวิธีถวายเกียรติพระเจ้าและพระคริสต์. แล้วเขาก็นำความรู้นี้ไปใช้ ไม่เพียงระหว่างช่วงเวลาหนึ่งของปี แต่ใช้ในชีวิตประจำวัน. พระเจ้าทรงพอพระทัยความพยายามอย่างจริงใจดังกล่าว ซึ่งสามารถนำไปสู่ชีวิตนิรันดร์ได้.
คุณปรารถนาจะให้ครอบครัวของคุณอยู่ในท่ามกลางคนเหล่านั้นที่ถวายเกียรติพระเจ้าและพระคริสต์จริง ๆ อย่างที่สอดคล้องกับพระคัมภีร์ไหม? พยานพระยะโฮวาได้ช่วยหลายล้านครอบครัวทั่วโลกให้รับเอาความรู้ที่สำคัญจากคัมภีร์ไบเบิล. เราเชิญคุณอย่างอบอุ่นให้ติดต่อกับพยานพระยะโฮวาในท้องถิ่นของคุณหรือเขียนถึงพวกเขาตามที่อยู่ที่เหมาะสมในหน้า 2 ของวารสารนี้.
[เชิงอรรถ]
^ วรรค 11 ก่อนการปฏิวัติบอลเชวิกในเดือนตุลาคม 1917 รัสเซียใช้ปฏิทินจูเลียนซึ่งเก่ากว่า แต่ประเทศต่าง ๆ ส่วนใหญ่ได้เปลี่ยนมาใช้ปฏิทินเกรกอเรียน. ในปี 1917 ปฏิทินจูเลียน ล้าหลังกว่าปฏิทินเกรกอเรียนที่คู่กันนั้นไป 13 วัน. ภายหลังการปฏิวัติ พวกโซเวียตได้เปลี่ยนมาใช้ปฏิทินเกรกอเรียน ทำให้รัสเซียใช้ปฏิทินอย่างเดียวกันกับประเทศอื่น ๆ ในโลก. อย่างไรก็ดี คริสตจักรออร์โทด็อกซ์ได้รักษาปฏิทินจูเลียนไว้สำหรับการฉลองต่าง ๆ ตามปฏิทินนี้ โดยระบุว่านี่เป็นปฏิทิน “แบบเก่า.” คุณอาจได้ยินว่ามีการฉลองคริสต์มาสที่รัสเซียในวันที่ 7 มกราคม. แต่ขอจำไว้ว่า วันที่ 7 มกราคมตามปฏิทินเกรกอเรียนคือวันที่ 25 ธันวาคมตามปฏิทินจูเลียน. ด้วยเหตุนี้ ชาวรัสเซียจำนวนมากจัดฉลองเทศกาลวันหยุดของเขาดังต่อไปนี้: วันที่ 25 ธันวาคม คริสต์มาสแบบประเทศตะวันตก; วันที่ 1 มกราคม วันปีใหม่ของโลก; วันที่ 7 มกราคม คริสต์มาสของออร์โทด็อกซ์; วันที่ 14 มกราคม ปีใหม่แบบเดิม.
[กรอบ/ภาพหน้า 7]
ต้นตอของการฉลองปีใหม่
นักบวชออร์โทด็อกซ์แห่งจอร์เจียกล้าพูดออกมา
“วันหยุดปีใหม่มีต้นตอมาจากวันหยุดนอกรีตบางวันของโรมโบราณ. วันที่ 1 มกราคมเป็นวันหยุดที่อุทิศให้เจนัส (Janus) เทพเจ้านอกรีต และชื่อของเดือนนี้ในภาษาอังกฤษ (January) ก็มาจากชื่อของเทพเจ้าองค์นี้. รูปปั้นของเจนัสมีสองหน้าหันไปคนละด้าน ซึ่งหมายความว่าเทพเจ้าองค์นี้มองเห็นทั้งอดีตและปัจจุบัน. มีการกล่าวว่าใครก็ตามที่ทักทายกันในวันที่ 1 มกราคมด้วยความร่าเริง, หัวเราะร่า, และอวยพรกันให้มีกินและดื่มอย่างบริบูรณ์จะประสบความสุขและอยู่ดีกินดีไปตลอดทั้งปี. การเชื่อโชคลางอย่างเดียวกันนี้แหละมีควบคู่ไปกับการฉลองปีใหม่สำหรับเพื่อนร่วมชาติของเราหลายคน . . . ระหว่างวันหยุดนอกรีตบางวัน ผู้คนจะนำเครื่องเซ่นไหว้มาถวายรูปเคารพโดยตรง. บางคนมีชื่อเสียงฉาวโฉ่ในเรื่องการปล่อยตัวทำผิดศีลธรรม, การเล่นชู้, และการผิดประเวณี. ในโอกาสอื่น ๆ ตัวอย่างเช่น ระหว่างวันหยุดเจนัส มีการกินและดื่มมากเกินไป, การเมาเหล้า, และการโสโครกทุกรูปแบบที่ควบคู่ไปกับการทำสิ่งดังกล่าว. หากเราจำได้ว่าตัวเองเคยฉลองปีใหม่อย่างไรในช่วงเวลาที่ผ่านมา ดังนั้นแล้ว เราต้องยอมรับว่าเราทุกคนได้มีส่วนร่วมในการฉลองแบบนอกรีตนี้.”—หนังสือพิมพ์จอร์เจียฉบับหนึ่ง.
[ภาพหน้า 6]
คริสต์ศาสนจักรได้รับเอาการนมัสการพระอาทิตย์
[ที่มาของภาพ]
Museum Wiesbaden
[ภาพหน้า 7]
คนเลี้ยงแกะคงจะไม่อยู่ข้างนอกกับฝูงแกะของเขาในเดือนธันวาคมที่อากาศหนาวเย็น