ข้ามไปยังเนื้อหา

ข้ามไปยังสารบัญ

พระยะโฮวาทรงช่วยฉันให้พบพระองค์

พระยะโฮวาทรงช่วยฉันให้พบพระองค์

เรื่อง​ราว​ชีวิต​จริง

พระ​ยะโฮวา​ทรง​ช่วย​ฉัน​ให้​พบ​พระองค์

เล่า​โดย​ฟลอเรนซ์ คลาร์ก

ฉัน​กำ​มือ​สามี​ที่​กำลัง​ป่วย​หนัก. ใน​ฐานะ​เป็น​คน​เชื่อ​นิกาย​แองกลิกัน ฉัน​ทูล​อธิษฐาน​ต่อ​พระเจ้า​โปรด​ช่วย​สามี​ให้​หาย​ป่วย และ​ให้​คำ​มั่น​สัญญา​ว่า​ถ้า​เขา​ไม่​ตาย ฉัน​จะ​สืบ​เสาะ​หา​พระเจ้า​จน​กว่า​จะ​พบ​พระองค์. แล้ว​ฉัน​จะ​เป็น​ของ​พระองค์.

ฉัน​ชื่อ​ฟลอเรนซ์ ชูลัง เกิด​วัน​ที่ 18 กันยายน 1937 ใน​ชุมชน​เผ่า​พื้นเมือง​อะบอริจินี​แห่ง​อุมบุลเกอร์รี บริเวณ​ที่​ราบ​สูง​คิม​เบอร์ลีย์​อัน​ห่าง​ไกล​แห่ง​รัฐ​เวสเทิร์น​ออสเตรเลีย.

ฉัน​คิด​ถึง​วัย​เด็ก​ด้วย​ความ​ยินดี ช่วง​เวลา​นั้น​ช่าง​สุข​สบาย​เสีย​จริง ๆ ไม่​มี​เรื่อง​กังวล​ใด ๆ ทั้ง​สิ้น. ฉัน​ได้​เรียน​ความ​รู้​พื้น​ฐาน​ไม่​กี่​อย่าง​จาก​โบสถ์​เรื่อง​พระเจ้า​และ​คัมภีร์​ไบเบิล แต่​แม่​ต่าง​หาก​ได้​สั่ง​สอน​ฉัน​เกี่ยว​กับ​หลักการ​คริสเตียน. แม่​อ่าน​พระ​คัมภีร์​ให้​ฉัน​ฟัง​เป็น​ประจำ และ​ตั้ง​แต่​วัย​เยาว์ ฉัน​ได้​ปลูกฝัง​ความ​รัก​ที่​จะ​เรียน​รู้​เรื่อง​พระเจ้า. ฉัน​ยัง​นึก​ชื่นชม​น้า​สาว​คน​หนึ่ง​ซึ่ง​เป็น​มิชชันนารี​ใน​โบสถ์​ของ​เธอ​ด้วย. ฉัน​ตระหนัก​แน่​ใน​ใจ​ว่า​ฉัน​อยาก​เอา​อย่าง​น้า​สาว.

ชุมชน​ของ​เรา​เมื่อ​ก่อน​เป็น​ที่​รู้​จัก​กัน​ว่า​เขต​ปกครอง​ฟอร์เรสต์​ริเวอร์​ได้​จัด​เตรียม​การ​เรียน​การ​สอน​ตั้ง​แต่​ชั้น​ประถม​ปี​ที่​หนึ่ง​ถึง​ปี​ที่​ห้า. ทุก​เช้า​ฉัน​เข้า​เรียน​ใน​โรง​เรียน​แค่​สอง​ชั่วโมง. ทั้ง​นี้​จึง​หมาย​ความ​ว่า​การ​ศึกษา​ของ​ฉัน​มี​จำกัด จุด​นี้​เอง​ที่​พ่อ​เป็น​ห่วง. ท่าน​ต้องการ​ให้​ลูก ๆ มี​การ​ศึกษา​ที่​ดี​กว่า​นี้ ฉะนั้น ท่าน​ตัดสิน​ใจ​ย้าย​ครอบครัว​ออก​จาก​ชุมชน​อุมบุลเกอร์รี​ไป​อยู่​ใน​เมือง​วีนด์แฮม. วัน​ที่​เรา​ย้าย​เป็น​วัน​ที่​น่า​เศร้า​มาก​สำหรับ​ฉัน แต่​ใน​วีนด์แฮม​ฉัน​สามารถ​เข้า​เรียน​ใน​โรง​เรียน​ได้​เต็ม​วัน​ตลอด​สี่​ปี​ถัด​มา ตั้ง​แต่​ปี 1949 ถึง​ปี 1952. ฉัน​สำนึก​บุญคุณ​พ่อ​มาก​จริง ๆ ที่​ท่าน​เปิด​ทาง​ให้​ฉัน​ได้​รับ​การ​ศึกษา​ถึง​ขั้น​นั้น.

แม่​ทำ​งาน​อยู่​กับ​แพทย์​ใน​ท้องถิ่น และ​เมื่อ​ฉัน​ออก​โรง​เรียน​ตอน​อายุ 15 ปี แพทย์​คน​นี้​ให้​โอกาส​ฉัน​ได้​ทำ​งาน​เป็น​พยาบาล​ที่​โรง​พยาบาล​วีนด์แฮม. ฉัน​รับ​ข้อ​เสนอ​ด้วย​ความ​ยินดี เพราะ​ตอน​นั้น​การ​จะ​ได้​งาน​ทำ​เป็น​เรื่อง​ยาก.

หลาย​ปี​ต่อ​มา ฉัน​ได้​พบ​อะเล็ก คน​งาน​ใน​ฟาร์ม​ปศุสัตว์​ซึ่ง​เป็น​คน​ผิว​ขาว. เรา​แต่งงาน​ใน​ปี 1964 ที่​เมือง​เดอร์บี ฉัน​ไป​โบสถ์​แองกลิกัน​ใน​เมือง​นี้​เป็น​ประจำ. วัน​หนึ่ง​พยาน​พระ​ยะโฮวา​ได้​มา​เยี่ยม​ที่​บ้าน. ฉัน​บอก​พวก​เขา​ว่า​ฉัน​ไม่​สนใจ​เลย​และ​ขอร้อง​เขา​ไม่​ให้​แวะ​มา​อีก. แต่​กระนั้น สิ่ง​หนึ่ง​ที่​พวก​เขา​พูด​ทำ​ให้​ฉัน​สนใจ—พระเจ้า​มี​พระ​นาม​เฉพาะ​คือ​ยะโฮวา.

“คุณ​อธิษฐาน​เอง​ไม่​ได้​หรือ​ไง?”

ใน​ปี 1965 ชีวิต​เริ่ม​มี​ปัญหา​ยุ่งยาก​มาก. สามี​ฉัน​ประสบ​อุบัติเหตุ​ร้ายแรง​ถึง​สาม​ครั้ง—สอง​ครั้ง​เป็น​อุบัติเหตุ​เกี่ยว​เนื่อง​กับ​ม้า และ​หนึ่ง​ครั้ง​เกิด​จาก​รถยนต์​ของ​เขา. น่า​ดีใจ เขา​ฟื้น​ตัว​และ​กลับ​ทำ​งาน​ได้​อย่าง​เดิม. แต่​หลัง​จาก​นั้น​ไม่​นาน เขา​ประสบ​อุบัติเหตุ​อีก​ครั้ง​หนึ่ง​จาก​ม้า​ที่​เขา​ขี่​นั่น​เอง. ครั้ง​นี้ เขา​ได้​รับ​บาดเจ็บ​สาหัส​ที่​ศีรษะ. เมื่อ​ฉัน​ไป​ถึง​โรง​พยาบาล หมอ​บอก​ว่า​สามี​ฉัน​จะ​ไม่​รอด. ฉัน​รู้สึก​หดหู่​สิ้น​หวัง. นาง​พยาบาล​ขอร้อง​ให้​บาทหลวง​ประจำ​ตำบล​มา​เยี่ยม​ฉัน แต่​บาทหลวง​พูด​ว่า “ตอน​นี้​ไป​ไม่​ได้ จะ​ไป​พรุ่ง​นี้!”

ฉัน​พูด​กับ​แม่ชี​ว่า​อยาก​ให้​บาทหลวง​อยู่​ใกล้ ๆ เพื่อ​จะ​ได้​อธิษฐาน​ด้วย​กัน. แม่ชี​พูด​ว่า “คุณ​เป็น​อะไร​ไป​แล้ว? คุณ​อธิษฐาน​เอง​ไม่​ได้​หรือ​ไง?” ดัง​นั้น ฉัน​จึง​เริ่ม​อธิษฐาน​ขอ​การ​สงเคราะห์​ต่อ​หน้า​รูป​ปั้น​ใน​โบสถ์ แต่​ไม่​ได้​ผล. สามี​ฉัน​มี​อาการ​ร่อ​แร่​เต็ม​ที. ฉัน​คิด​ว่า ‘ฉัน​จะ​รับมือ​อย่าง​ไร​หาก​สามี​ตาย?’ นอก​จาก​นั้น ฉัน​เป็น​ห่วง​ลูก​สาม​คน—คริสติน, นาเนตต์, และ​เจฟฟรีย์. ชีวิต​ความ​เป็น​อยู่​ของ​ลูก​จะ​เป็น​อย่าง​ไร​ถ้า​ขาด​พ่อ? น่า​ดีใจ​จริง ๆ สาม​วัน​ต่อ​มา สามี​ฟื้น​จาก​สลบ และ​ทาง​โรง​พยาบาล​อนุญาต​ให้​กลับ​บ้าน​ได้​เมื่อ​วัน​ที่ 6 ธันวาคม 1966.

ถึง​แม้​อาการ​ป่วย​ของ​เขา​โดย​รวม​แล้ว​ดี​ขึ้น​เป็น​ที่​น่า​พอ​ใจ ทว่า เขา​ก็​ได้​รับ​ความ​เสียหาย​ทาง​สมอง. ความ​จำ​ของ​เขา​เสื่อม​ไป​ไม่​ใช่​น้อย​และ​มา​ตอน​นี้​ค่อนข้าง​จะ​แสดง​ความ​ก้าวร้าว​และ​อารมณ์​แปรปรวน. การ​รับมือ​กับ​ลูก ๆ กลาย​เป็น​เรื่อง​ยาก​และ​เขา​มัก​จะ​เกรี้ยวกราด​กับ​ลูก​ถ้า​พวก​เขา​ไม่​ตอบ​สนอง​อย่าง​ที่​ผู้​ใหญ่​พึง​กระทำ. การ​เอา​ใจ​ใส่​ดู​แล​เขา​ไม่​ง่าย. ฉัน​ต้อง​ช่วย​เขา​แทบ​ทุก​อย่าง. ฉัน​ต้อง​ช่วย​สอน​เขา​ให้​อ่าน​และ​เขียน​ใหม่​อีก​ครั้ง​หนึ่ง​ด้วย​ซ้ำ. ความ​เครียด​อัน​เนื่อง​มา​จาก​การ​เฝ้า​ดู​แล​เขา ขณะ​เดียว​กัน​ก็​ดู​แล​งาน​บ้าน​และ​ครอบครัว ฉัน​จึง​ป่วย​เป็น​โรค​ประสาท. เจ็ด​ปี​ภาย​หลัง​สามี​ประสบ​อุบัติเหตุ เรา​ตก​ลง​แยก​กัน​อยู่​ชั่ว​ระยะ​หนึ่ง​เพื่อ​ฉัน​จะ​มี​โอกาส​ได้​ฟื้นฟู​สุขภาพ.

ฉัน​พา​ลูก​ย้าย​ลง​ใต้​ไป​ที่​เมือง​เพิร์ท. ก่อน​ย้าย​ไป​ที่​นั่น น้อง​สาว​ฉัน​เริ่ม​ศึกษา​คัมภีร์​ไบเบิล​กับ​พยาน​พระ​ยะโฮวา ใน​คะ​นะ​นะ​รา เมือง​เล็ก ๆ ของ​รัฐ​เวสเทิร์น​ออสเตรเลีย. น้อง​สาว​ชี้​ให้​ฉัน​ดู​ภาพ​ใน​หนังสือ​ความ​จริง​ซึ่ง​นำ​ไป​สู่​ชีวิต​ถาวร * พรรณนา​คำ​สัญญา​ของ​คัมภีร์​ไบเบิล​เกี่ยว​กับ​แผ่นดิน​โลก​ที่​เป็น​อุทยาน. เธอ​ได้​ชี้​ให้​ฉัน​ดู​จาก​หนังสือ​เล่ม​นี้​ว่า​พระเจ้า​มี​พระ​นาม​คือ​ยะโฮวา และ​จุด​นี้​เอง​ดึงดูด​ใจ​ฉัน​อย่าง​มาก. เนื่อง​จาก​ไม่​มี​ใคร​เลย​ที่​โบสถ์​เคย​บอก​เรื่อง​เหล่า​นี้​แก่​ฉัน ฉัน​จึง​ตัดสิน​ใจ​ว่า​จะ​โทรศัพท์​ไป​หา​พยาน​พระ​ยะโฮวา​หลัง​จาก​ตั้ง​หลัก​แหล่ง​ใน​เพิร์ท​แล้ว.

อย่าง​ไร​ก็​ตาม ฉัน​รู้สึก​ลังเล​อยู่​บ้าง​ที่​จะ​ติด​ต่อ​พวก​เขา. แต่​แล้ว​เย็น​วัน​หนึ่ง เสียง​กริ่ง​ดัง​ขึ้น​ที่​ประตู. ลูก​ชาย​ได้​ออก​ไป​ดู​และ​รีบ​กลับ​มา​บอก​ฉัน​ว่า “แม่​ครับ คน​ที่​แม่​ว่า​จะ​โทร​ถึง​มา​ที่​นี่​แล้ว.” ฉัน​ประหลาด​ใจ​อยู่​บ้าง​และ​สั่ง​ลูก​ว่า “บอก​พวก​เขา​ว่า​แม่​ไม่​อยู่​นะ!” แต่​ลูก​ตอบ​ว่า “แม่​ครับ แม่​รู้​ดี​ว่า​ผม​ไม่​ควร​โกหก.” เมื่อ​ถูก​ท้วง​ติง ฉัน​จึง​ออก​ไป​เปิด​ประตู. ขณะ​ที่​ทักทาย​ผู้​มา​เยี่ยม ฉัน​สังเกต​สี​หน้า​ของ​คน​ทั้ง​สอง​ส่อ​ความ​งุนงง. พวก​เขา​ตั้งใจ​เยี่ยม​คน​เช่า​บ้าน​ซึ่ง​ตอน​นี้​ย้าย​ออก​ไป​แล้ว. ฉัน​เชิญ​เขา​เข้า​มา​ใน​บ้าน​และ​ระดม​ถาม​คำ​ถาม​หลาย​ข้อ และ​ได้​คำ​ตอบ​อย่าง​น่า​พอ​ใจ​จาก​คัมภีร์​ไบเบิล.

สัปดาห์​ต่อ​มา ฉัน​เริ่ม​ศึกษา​พระ​คัมภีร์​กับ​พยาน​ฯ เป็น​ประจำ โดย​ใช้​หนังสือ​ความ​จริง​ซึ่ง​นำ​ไป​สู่​ชีวิต​ถาวร. การ​ศึกษา​ช่วย​ฟื้น​ความ​ต้องการ​ของ​ฉัน​ที่​จะ​เรียน​รู้​เรื่อง​พระเจ้า​ขึ้น​มา​อีก. สอง​สัปดาห์​ต่อ​มา ฉัน​ก็​ได้​เข้า​ร่วม​การ​ประชุม​อนุสรณ์​ระลึก​การ​วาย​พระ​ชนม์​ของ​พระ​เยซู​คริสต์. ฉัน​เริ่ม​เข้า​ร่วม​การ​ประชุม​ทุก​วัน​อาทิตย์ และ​ต่อ​จาก​นั้น​ไม่​นาน​ฉัน​ไป​ร่วม​การ​ประชุม​รายการ​ต่าง ๆ ระหว่าง​สัปดาห์​ด้วย. นอก​จาก​นั้น ฉัน​เริ่ม​บอก​เล่า​สิ่ง​ที่​ฉัน​เรียน​รู้​แก่​คน​อื่น. ฉัน​ค้น​พบ​ว่า​การ​ช่วย​คน​อื่น ๆ เรียน​ความ​จริง​ใน​คัมภีร์​ไบเบิล​ทำ​ให้​สุขภาพ​จิต​และ​อารมณ์​ของ​ฉัน​ดี​ขึ้น. หก​เดือน​ต่อ​มา ฉัน​ได้​รับ​บัพติสมา ณ การ​ประชุม​ภาค​ใน​เมือง​เพิร์ท.

ขณะ​ที่​ความ​รู้​ด้าน​คัมภีร์​ไบเบิล​เพิ่ม​พูน​ขึ้น ฉัน​ยิ่ง​เข้าใจ​ทัศนะ​ของ​พระ​ยะโฮวา​เกี่ยว​กับ​ความ​ศักดิ์สิทธิ์​ของ​สาย​สมรส อีก​ทั้ง​ได้​ทราบ​หลักการ​ของ​คัมภีร์​ไบเบิล​ที่ 1 โกรินโธ 7:13 ที่​ว่า “ถ้า​หญิง​คน​ใด​มี​สามี​ที่​ไม่​เชื่อถือ​พระ​คริสต์, และ​สามี​นั้น​พอ​ใจ​จะ​อยู่​กับ​นาง, อย่า​ให้​นาง​ทิ้ง​สามี​นั้น​เลย.” คัมภีร์​ข้อ​นี้​กระตุ้น​ฉัน​ให้​กลับ​ไป​หา​อะเล็ก.

กลับ​ไป​ยัง​เดอร์บี

ฉัน​กลับ​ไป​เดอร์บี​เมื่อ​วัน​ที่ 21 มิถุนายน 1979 หลัง​จาก​แยก​กัน​อยู่​นาน​กว่า​ห้า​ปี. แน่​ละ ฉัน​เกิด​ความ​รู้สึก​ไม่​แน่​ใจ​และ​สงสัย​ว่า​เขา​จะ​แสดง​ปฏิกิริยา​อย่าง​ไร​ต่อ​การ​กลับ​มา​ครั้ง​นี้. ฉัน​ประหลาด​ใจ​มาก เขา​ดีใจ​ที่​ฉัน​กลับ​มา​หา​เขา แม้​ว่า​เขา​แสดง​ความ​ผิด​หวัง​บ้าง​ที่​ฉัน​กลาย​เป็น​หนึ่ง​ใน​หมู่​พยาน​พระ​ยะโฮวา. เขา​แนะ​นำ​ฉัน​ทันที​ให้​เข้า​ร่วม​คริสตจักร​ของ​เขา ซึ่ง​ฉัน​เคย​สมทบ​อยู่​ก่อน​ย้าย​ไป​เมือง​เพิร์ท. ฉัน​จึง​ชี้​แจง​ว่า​ไม่​สามารถ​ทำ​เช่น​นั้น​ได้. ฉัน​มุ่ง​เอา​จริง​เอา​จัง​ใน​การ​แสดง​ความ​นับถือ​เขา​ฐานะ​เป็น​ประมุข และ​ฉัน​พยายาม​ทำ​สุด​ความ​สามารถ​ฐานะ​เป็น​ภรรยา​คริสเตียน. ฉัน​พยายาม​พูด​คุย​ให้​เขา​ฟัง​เรื่อง​พระ​ยะโฮวา​และ​คำ​สัญญา​ต่าง ๆ ของ​พระองค์​เกี่ยว​ด้วย​อนาคต​ที่​น่า​พิศวง แต่​เขา​ไม่​แสดง​ความ​สนใจ​เรื่อง​ราว​ใด ๆ ที่​ฉัน​บอก​เขา.

ใน​ที่​สุด อะเล็ก​ไม่​เพียง​แต่​ยอม​รับ​วิถี​ชีวิต​ใหม่​ของ​ฉัน แต่​เขา​เริ่ม​ช่วย​ด้าน​การ​เงิน เพื่อ​ที่​ฉัน​จะ​ได้​เข้า​ร่วม​การ​ประชุม​ภาค​และ​การ​ประชุม​หมวด รวม​ทั้ง​การ​ประชุม​ประจำ​สัปดาห์​ด้วย. ฉัน​รู้สึก​ขอบคุณ​เขา​เป็น​อย่าง​มาก​เมื่อ​เขา​ซื้อ​รถยนต์​ให้​ฉัน​ใช้​เมื่อ​ออก​ไป​ประกาศ ซึ่ง​อำนวย​ประโยชน์​ได้​มาก​ใน​ภูมิภาค​ที่​ห่าง​ไกล​นี้​ของ​ออสเตรเลีย. พี่​น้อง​ชาย​หญิง รวม​ทั้ง​ผู้​ดู​แล​หมวด​มัก​จะ​แวะ​พัก​ค้าง​คืน​ที่​บ้าน​ของ​เรา​บ่อย ๆ. ทั้ง​นี้​ทำ​ให้​อะเล็ก​มี​โอกาส​รู้​จัก​มัก​คุ้น​พยาน​ฯ หลาย​คน และ​ดู​เหมือน​เขา​ชอบ​คบ​เป็น​เพื่อน​กับ​เหล่า​พยาน​ฯ.

ฉัน​รู้สึก​เหมือน​ยะเอศเคล

ฉัน​เพลิดเพลิน​กับ​การ​เยี่ยม​ของ​พี่​น้อง​ชาย​หญิง​ทั้ง​หลาย แต่​ฉัน​เผชิญ​ข้อ​ท้าทาย. ฉัน​เป็น​พยาน​ฯ คน​เดียว​อยู่​ใน​เมือง​เดอร์บี. ประชาคม​ที่​ใกล้​ที่​สุด​อยู่​ใน​เมือง​บรูม ห่าง​จาก​บ้าน​ฉัน​ถึง 220 กิโลเมตร. ดัง​นั้น ฉัน​จึง​ตัดสิน​ใจ​ทำ​ดี​ที่​สุด​ที่​จะ​เผยแพร่​ข่าว​ดี​ให้​กว้าง​ไกล. ด้วย​การ​สนับสนุน​ของ​พระ​ยะโฮวา ฉัน​ได้​จัด​ระเบียบ​ตัว​เอง​และ​เริ่ม​ให้​คำ​พยาน​ตาม​บ้าน​เรือน. ฉัน​พบ​ว่า​ภารกิจ​นี้​ไม่​ง่าย แต่​คอย​เตือน​ตัว​เอง​โดย​อาศัย​ถ้อย​คำ​ของ​อัครสาวก​เปาโล​ที่​ว่า “ข้าพเจ้า​กระทำ​ทุก​สิ่ง​ได้​โดย​พระ​เยซู​คริสต์​ผู้​ทรง​ชู​กำลัง​ข้าพเจ้า.”—ฟิลิปปอย 4:13.

นัก​เทศน์​นัก​บวช​ใน​ท้องถิ่น​ไม่​ชอบ​กิจกรรม​ของ​ฉัน โดย​เฉพาะ​อย่าง​ยิ่ง​การ​ให้​คำ​พยาน​แก่​ชน​เผ่า​พื้นเมือง​อะบอริจินี. พวก​เขา​พยายาม​ข่มขู่​ให้​ฉัน​เลิก​กิจกรรม​งาน​เผยแพร่. การ​ขัด​ขวาง​ของ​เขา​ยิ่ง​ทำ​ให้​ฉัน​มุ่ง​มั่น​จะ​ทำ​ต่อ​ไป และ​ฉัน​ทูล​อธิษฐาน​เป็น​ประจำ​ขอ​พระ​ยะโฮวา​ช่วย​ฉัน. บ่อย​ครั้ง ฉัน​นึก​ทบทวน​คำ​ตรัส​ของ​พระองค์​ที่​หนุน​ใจ​ยะเอศเคล​ดัง​นี้: “นี่​แน่ะ เรา​ทำ​หน้า​ของ​ท่าน​ให้​แข็ง​อยู่​ต่อ​หน้า​ของ​เขา, ทั้ง​หน้าผาก​ของ​ท่าน​ให้​แข็ง​ต่อ​หน้าผาก​ของ​เขา. เรา​ทำ​หน้าผาก​ของ​ท่าน​ให้​เป็น​ดัง​เพชร​ที่​แข็ง​กว่า​หิน, ท่าน​อย่า​ได้​กลัว​เขา, และ​อย่า​ตกตะลึง​เพราะ​หน้า​เขา.”—ยะเอศเคล 3:8, 9.

หลาย​ครั้ง​มี​ผู้​ชาย​สอง​คน​จาก​กลุ่ม​ต่าง​คริสตจักร​กัน​เดิน​เข้า​มา​หา​ฉัน​ระหว่าง​ที่​จับจ่าย​ซื้อ​ของ. พวก​เขา​พูด​เสียง​ดัง​เยาะเย้ย​ฉัน พยายาม​ให้​คน​ใน​ร้าน​ค้า​หัน​มา​มอง. ฉัน​ทำ​เป็น​ไม่​รู้​ไม่​ชี้. มี​อยู่​คราว​หนึ่ง ขณะ​ที่​ฉัน​กลับ​ไป​เยี่ยม​สตรี​ที่​แสดง​ความ​สนใจ นัก​เทศน์​จาก​คริสตจักร​ท้องถิ่น​แวะ​เข้า​ไป​ที่​บ้าน​นั้น​และ​กล่าวหา​ฉัน​ว่า​ไม่​เชื่อ​ศรัทธา​ใน​พระ​เยซู. เขา​ฉก​เอา​คัมภีร์​ไบเบิล​ไป​จาก​มือ​ของ​ฉัน และ​ชู​ขึ้น​แกว่ง​ไป​มา​ตรง​หน้า​ฉัน​แล้ว​ยัด​ใส่​มือ​คืน​ให้. ฉัน​จ้อง​หน้า​เขา​เขม็ง และ​ยก​ข้อ​ความ​จาก​โยฮัน 3:16 ขึ้น​มา​พูด​กับ​เขา​อย่าง​สุภาพ​แต่​ด้วย​น้ำ​เสียง​หนักแน่น ให้​เขา​มั่น​ใจ​ว่า​ฉัน​เชื่อ​ใน​พระ​เยซู​จริง ๆ. เมื่อ​ฉัน​ตอบ​ด้วย​ความ​เชื่อ​มั่น เขา​ถึง​กับ​ตะลึง​พูด​ไม่​ออก และ​เดิน​หนี​โดย​ไม่​พูด​อะไร​เลย.

ฉัน​ชอบ​ประกาศ​ท่ามกลาง​ชาว​อะบอริจินี​ใน​เขต​พื้น​ที่​เดอร์บี. บาทหลวง​ประจำ​ตำบล​พยายาม​เกียดกัน​ฉัน​ไม่​ให้​เข้า​ถึง​ประชาชน​ใน​ชุมชน​หนึ่ง​โดย​เฉพาะ แต่​แล้ว​เขา​ถูก​ย้าย​ไป​ที่​อื่น. ดัง​นั้น ฉัน​จึง​สามารถ​นำ​ข่าวสาร​ของ​คัมภีร์​ไบเบิล​ไป​ถึง​พวก​เขา​ได้. ตลอด​เวลา​ฉัน​ต้องการ​จะ​เป็น​มิชชันนารี​เหมือน​น้า​สาว และ​ตอน​นี้​ฉัน​ก็​กำลัง​ทำ​งาน​มิชชันนารี​ช่วย​คน​อื่น​เรียน​พระ​คำ​ของ​พระเจ้า. ชาว​เผ่า​อะบอริจินี​หลาย​คน​ตอบรับ​งาน​ประกาศ​เป็น​อย่าง​ดี และ​ฉัน​เริ่ม​นำ​การ​ศึกษา​คัมภีร์​ไบเบิล​ได้​หลาย​ราย.

สำนึก​ถึง​ความ​จำเป็น​ของ​ฉัน​ทาง​ด้าน​วิญญาณ

เป็น​เวลา​ห้า​ปี ฉัน​เป็น​พยาน​พระ​ยะโฮวา​เพียง​คน​เดียว​ใน​เมือง​เดอร์บี. ฉัน​รู้สึก​ว่า​ยาก​ที่​จะ​รักษา​ความ​เข้มแข็ง​ฝ่าย​วิญญาณ​โดย​ไม่​ได้​ร่วม​การ​ประชุม​อย่าง​สม่ำเสมอ​กับ​เพื่อน​ร่วม​นมัสการ​เพื่อ​รับ​การ​หนุน​ใจ. มี​อยู่​ครั้ง​หนึ่ง ฉัน​รู้สึก​ท้อ​ใจ​มาก ๆ เลย​ขับ​รถ​ออก​ไป​เที่ยว. พอ​กลับ​บ้าน​บ่าย​วัน​นั้น พยาน​ฯ หญิง​คน​หนึ่ง​พร้อม​กับ​ลูก​ของ​เธอ​เจ็ด​คน​กำลัง​รอ​พบ​ฉัน​อยู่. พวก​เขา​ได้​นำ​เอา​สรรพหนังสือ​กล่อง​ใหญ่​จาก​ประชาคม​บรูม​ซึ่ง​อยู่​ห่าง​ออก​ไป​หลาย​กิโลเมตร​มา​มอบ​ให้​ฉัน. นับ​แต่​นั้น ซิสเตอร์​เบตตี บัตเตอร์ฟีลด์​ได้​เตรียม​การ​มา​ที่​เดอร์บี​เดือน​ละ​ครั้ง และ​ค้าง​อยู่​กับ​ฉัน​ใน​วัน​เสาร์​วัน​อาทิตย์. เรา​ออก​ประกาศ​ด้วย​กัน​และ​ร่วม​ศึกษา​วารสาร​หอสังเกตการณ์ ที่​บ้าน​ของ​ฉัน. ฉัน​ก็​เดิน​ทาง​ไป​ยัง​บรูม​เดือน​ละ​ครั้ง​เช่น​กัน.

พี่​น้อง​ที่​ประชาคม​บรูม​ช่วย​ฉัน​มาก​และ​บาง​ครั้ง​บาง​คราว​พวก​เขา​สามารถ​เดิน​ทาง​ระยะ​ไกล​มา​สนับสนุน​ฉัน​ทำ​งาน​รับใช้​ที่​เดอร์บี. พวก​เขา​ได้​กระตุ้น​เตือน​พี่​น้อง​ชาย​หญิง​ไม่​ว่า​จะ​เป็น​ใคร​ก็​ตาม​จาก​เมือง​อื่น​เมื่อ​ผ่าน​เดอร์บี​ก็​ขอ​ให้​แวะ​เยี่ยม​และ​สมทบ​กับ​ฉัน พา​กัน​ออก​ไป​ประกาศ​ด้วย​กัน. นัก​เดิน​ทาง​เหล่า​นี้​ยัง​ได้​นำ​เทป​บันทึก​คำ​บรรยาย​สาธารณะ​มา​ฝาก. บาง​คน​ก็​อยู่​ร่วม​ศึกษา​หอสังเกตการณ์ กับ​ฉัน​ด้วย. แม้​การ​แวะ​เยี่ยม​เป็น​ช่วง​สั้น ๆ แต่​ก็​ให้​การ​ชู​ใจ​อย่าง​มาก.

ความ​ช่วยเหลือ​มี​มาก​ขึ้น

ฉัน​ได้​รับ​การ​กระตุ้น​หนุน​ใจ​มาก​ขึ้น​เป็น​เวลา​หลาย​ปี เมื่อ​อาเทอร์​และ​แมรี วิลลิส สอง​สามี​ภรรยา​ที่​เกษียณ​อายุ​จาก​ภาค​ใต้​ของ​รัฐ​เวสเทิร์น​ออสเตรเลีย​ได้​มา​สนับสนุน​ฉัน แต่​ละ​ครั้ง​เป็น​เวลา​สาม​เดือน​ใน​ช่วง​กลาง​ปี. บราเดอร์​วิลลิส​นำ​การ​ประชุม​ส่วน​ใหญ่​และ​นำ​หน้า​ใน​การ​ประกาศ. เรา​ร่วม​เดิน​ทาง​ด้วย​กัน​ไป​ยัง​ภูมิภาค​แถบ​ที่​ราบ​สูง​คิม​เบอร์ลีย์​ที่​ไกล​มาก เรา​เยี่ยม​ไร่​ปศุสัตว์​ใน​พื้น​ที่​อัน​ห่าง​ไกล. แต่​ละ​ครั้ง​ที่​บราเดอร์​และ​ซิสเตอร์​วิลลิส​จาก​ไป ชีวิต​ฉัน​จะ​เกิด​ความ​รู้สึก​อ้างว้าง.

ใน​ที่​สุด จวน​สิ้น​ปี 1983 ฉัน​ได้​รับ​ข่าว​ที่​น่า​ชื่น​ใจ​ว่า​มี​ครอบครัว​ของ​แดนนี​และ​เดนนิส สเตอร์เจน พร้อม​กับ​บุตร​ชาย​สี่​คน​จะ​มา​อยู่​อาศัย​ใน​เดอร์บี. หลัง​จาก​พวก​เขา​ได้​มา​ถึง เรา​สามารถ​จัด​การ​ประชุม​ประจำ​สัปดาห์​เป็น​ประจำ​และ​ร่วม​งาน​รับใช้​ใน​เขต​งาน​ด้วย​กัน. ปี 2001 จึง​ได้​จัด​ตั้ง​ประชาคม​ขึ้น. ปัจจุบัน เดอร์บี​มี​ประชาคม​เข้มแข็ง มี​ผู้​ประกาศ​ราชอาณาจักร 24 คน มี​ผู้​ปกครอง​สอง​คน​และ​ผู้​ช่วย​งาน​รับใช้​หนึ่ง​คน​ที่​ให้​การ​ดู​แล​ฝ่าย​วิญญาณ​แก่​พวก​เรา​เป็น​อย่าง​ดี. บาง​ครั้ง เรา​มี​ผู้​เข้า​ร่วม​การ​ประชุม​เกือบ 30 คน.

เมื่อ​ฉัน​มอง​ย้อน​หลัง​ไป​ตลอด​หลาย​ปี​ที่​ผ่าน​มา ฉัน​รู้สึก​อบอุ่น​ใจ​ที่​เห็น​วิธี​ที่​พระ​ยะโฮวา​ได้​ช่วย​ฉัน​ให้​รับใช้​พระองค์. ถึง​แม้​สามี​ยัง​ไม่​ได้​ร่วม​ความ​เชื่อ​เดียว​กัน​กับ​ฉัน แต่​เขา​ก็​ได้​สนับสนุน​ฉัน​เรื่อย​มา​ใน​หลาย​ทาง. สมาชิก​ครอบครัว​ของ​ฉัน​ห้า​คน​เข้า​มา​เป็น​พยาน​ฯ ที่​รับ​บัพติสมา​แล้ว นั่น​คือ​ลูก​สาว​สอง​คน​พร้อม​ทั้ง​หลาน​สาว​สาม​คน. นอก​จาก​นั้น ยัง​มี​ญาติ​บาง​คน​ศึกษา​พระ​คัมภีร์​กับ​พยาน​ของ​พระ​ยะโฮวา​อยู่​ใน​ขณะ​นี้.

ฉัน​สำนึก​ใน​พระคุณ​ของ​พระ​ยะโฮวา​อย่าง​แท้​จริง​ที่​โปรด​ช่วย​ฉัน​ได้​มา​พบ​พระองค์. ฉัน​ตั้งใจ​แน่วแน่​จะ​เป็น​ของ​พระองค์​ตลอด​ไป.—บทเพลง​สรรเสริญ 65:2.

[เชิงอรรถ]

^ วรรค 14 จัด​พิมพ์​โดย​พยาน​พระ​ยะโฮวา แต่​เดี๋ยว​นี้​งด​พิมพ์​แล้ว.

[แผนที่/ภาพ​หน้า 15]

(ราย​ละเอียด​ดู​จาก​วารสาร)

ออสเตรเลีย

วีนด์แฮม

ที่​ราบ​สูง​คิมเบอร์ลีย์

เดอร์บี

บรูม

เพิร์ท

[ที่​มา​ของ​ภาพ]

Kangaroo and lyrebird: Lydekker; koala: Meyers

[ภาพ​หน้า 14]

ทำ​งาน​เป็น​พยาบาล ณ โรง​พยาบาล​วีนด์แฮม ปี 1953

[ภาพ​หน้า 15]

ประชาคม​เดอร์บี ปี 2005