พระยะโฮวาทรงช่วยฉันให้พบพระองค์
เรื่องราวชีวิตจริง
พระยะโฮวาทรงช่วยฉันให้พบพระองค์
เล่าโดยฟลอเรนซ์ คลาร์ก
ฉันกำมือสามีที่กำลังป่วยหนัก. ในฐานะเป็นคนเชื่อนิกายแองกลิกัน ฉันทูลอธิษฐานต่อพระเจ้าโปรดช่วยสามีให้หายป่วย และให้คำมั่นสัญญาว่าถ้าเขาไม่ตาย ฉันจะสืบเสาะหาพระเจ้าจนกว่าจะพบพระองค์. แล้วฉันจะเป็นของพระองค์.
ฉันชื่อฟลอเรนซ์ ชูลัง เกิดวันที่ 18 กันยายน 1937 ในชุมชนเผ่าพื้นเมืองอะบอริจินีแห่งอุมบุลเกอร์รี บริเวณที่ราบสูงคิมเบอร์ลีย์อันห่างไกลแห่งรัฐเวสเทิร์นออสเตรเลีย.
ฉันคิดถึงวัยเด็กด้วยความยินดี ช่วงเวลานั้นช่างสุขสบายเสียจริง ๆ ไม่มีเรื่องกังวลใด ๆ ทั้งสิ้น. ฉันได้เรียนความรู้พื้นฐานไม่กี่อย่างจากโบสถ์เรื่องพระเจ้าและคัมภีร์ไบเบิล แต่แม่ต่างหากได้สั่งสอนฉันเกี่ยวกับหลักการคริสเตียน. แม่อ่านพระคัมภีร์ให้ฉันฟังเป็นประจำ และตั้งแต่วัยเยาว์ ฉันได้ปลูกฝังความรักที่จะเรียนรู้เรื่องพระเจ้า. ฉันยังนึกชื่นชมน้าสาวคนหนึ่งซึ่งเป็นมิชชันนารีในโบสถ์ของเธอด้วย. ฉันตระหนักแน่ในใจว่าฉันอยากเอาอย่างน้าสาว.
ชุมชนของเราเมื่อก่อนเป็นที่รู้จักกันว่าเขตปกครองฟอร์เรสต์ริเวอร์ได้จัดเตรียมการเรียนการสอนตั้งแต่ชั้นประถมปีที่หนึ่งถึงปีที่ห้า. ทุกเช้าฉันเข้าเรียนในโรงเรียนแค่สองชั่วโมง. ทั้งนี้จึงหมายความว่าการศึกษาของฉันมีจำกัด จุดนี้เองที่พ่อเป็นห่วง. ท่านต้องการให้ลูก ๆ มีการศึกษาที่ดีกว่านี้ ฉะนั้น ท่านตัดสินใจย้ายครอบครัวออกจากชุมชนอุมบุลเกอร์รีไปอยู่ในเมืองวีนด์แฮม. วันที่เราย้ายเป็นวันที่น่าเศร้ามากสำหรับฉัน แต่ในวีนด์แฮมฉันสามารถเข้าเรียนในโรงเรียนได้เต็มวันตลอดสี่ปีถัดมา ตั้งแต่ปี 1949 ถึงปี 1952. ฉันสำนึกบุญคุณพ่อมากจริง ๆ ที่ท่านเปิดทางให้ฉันได้รับการศึกษาถึงขั้นนั้น.
แม่ทำงานอยู่กับแพทย์ในท้องถิ่น และเมื่อฉันออกโรง
เรียนตอนอายุ 15 ปี แพทย์คนนี้ให้โอกาสฉันได้ทำงานเป็นพยาบาลที่โรงพยาบาลวีนด์แฮม. ฉันรับข้อเสนอด้วยความยินดี เพราะตอนนั้นการจะได้งานทำเป็นเรื่องยาก.หลายปีต่อมา ฉันได้พบอะเล็ก คนงานในฟาร์มปศุสัตว์ซึ่งเป็นคนผิวขาว. เราแต่งงานในปี 1964 ที่เมืองเดอร์บี ฉันไปโบสถ์แองกลิกันในเมืองนี้เป็นประจำ. วันหนึ่งพยานพระยะโฮวาได้มาเยี่ยมที่บ้าน. ฉันบอกพวกเขาว่าฉันไม่สนใจเลยและขอร้องเขาไม่ให้แวะมาอีก. แต่กระนั้น สิ่งหนึ่งที่พวกเขาพูดทำให้ฉันสนใจ—พระเจ้ามีพระนามเฉพาะคือยะโฮวา.
“คุณอธิษฐานเองไม่ได้หรือไง?”
ในปี 1965 ชีวิตเริ่มมีปัญหายุ่งยากมาก. สามีฉันประสบอุบัติเหตุร้ายแรงถึงสามครั้ง—สองครั้งเป็นอุบัติเหตุเกี่ยวเนื่องกับม้า และหนึ่งครั้งเกิดจากรถยนต์ของเขา. น่าดีใจ เขาฟื้นตัวและกลับทำงานได้อย่างเดิม. แต่หลังจากนั้นไม่นาน เขาประสบอุบัติเหตุอีกครั้งหนึ่งจากม้าที่เขาขี่นั่นเอง. ครั้งนี้ เขาได้รับบาดเจ็บสาหัสที่ศีรษะ. เมื่อฉันไปถึงโรงพยาบาล หมอบอกว่าสามีฉันจะไม่รอด. ฉันรู้สึกหดหู่สิ้นหวัง. นางพยาบาลขอร้องให้บาทหลวงประจำตำบลมาเยี่ยมฉัน แต่บาทหลวงพูดว่า “ตอนนี้ไปไม่ได้ จะไปพรุ่งนี้!”
ฉันพูดกับแม่ชีว่าอยากให้บาทหลวงอยู่ใกล้ ๆ เพื่อจะได้อธิษฐานด้วยกัน. แม่ชีพูดว่า “คุณเป็นอะไรไปแล้ว? คุณอธิษฐานเองไม่ได้หรือไง?” ดังนั้น ฉันจึงเริ่มอธิษฐานขอการสงเคราะห์ต่อหน้ารูปปั้นในโบสถ์ แต่ไม่ได้ผล. สามีฉันมีอาการร่อแร่เต็มที. ฉันคิดว่า ‘ฉันจะรับมืออย่างไรหากสามีตาย?’ นอกจากนั้น ฉันเป็นห่วงลูกสามคน—คริสติน, นาเนตต์, และเจฟฟรีย์. ชีวิตความเป็นอยู่ของลูกจะเป็นอย่างไรถ้าขาดพ่อ? น่าดีใจจริง ๆ สามวันต่อมา สามีฟื้นจากสลบ และทางโรงพยาบาลอนุญาตให้กลับบ้านได้เมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 1966.
ถึงแม้อาการป่วยของเขาโดยรวมแล้วดีขึ้นเป็นที่น่าพอใจ ทว่า เขาก็ได้รับความเสียหายทางสมอง. ความจำของเขาเสื่อมไปไม่ใช่น้อยและมาตอนนี้ค่อนข้างจะแสดงความก้าวร้าวและอารมณ์แปรปรวน. การรับมือกับลูก ๆ กลายเป็นเรื่องยากและเขามักจะเกรี้ยวกราดกับลูกถ้าพวกเขาไม่ตอบสนองอย่างที่ผู้ใหญ่พึงกระทำ. การเอาใจใส่ดูแลเขาไม่ง่าย. ฉันต้องช่วยเขาแทบทุกอย่าง. ฉันต้องช่วยสอนเขาให้อ่านและเขียนใหม่อีกครั้งหนึ่งด้วยซ้ำ. ความเครียดอันเนื่องมาจากการเฝ้าดูแลเขา ขณะเดียวกันก็ดูแลงานบ้านและครอบครัว ฉันจึงป่วยเป็นโรคประสาท. เจ็ดปีภายหลังสามีประสบอุบัติเหตุ เราตกลงแยกกันอยู่ชั่วระยะหนึ่งเพื่อฉันจะมีโอกาสได้ฟื้นฟูสุขภาพ.
ฉันพาลูกย้ายลงใต้ไปที่เมืองเพิร์ท. ก่อนย้ายไปที่นั่น น้องสาวฉันเริ่มศึกษาคัมภีร์ไบเบิลกับพยานพระยะโฮวา ในคะนะนะรา เมืองเล็ก ๆ ของรัฐเวสเทิร์นออสเตรเลีย. น้องสาวชี้ให้ฉันดูภาพในหนังสือความจริงซึ่งนำไปสู่ชีวิตถาวร * พรรณนาคำสัญญาของคัมภีร์ไบเบิลเกี่ยวกับแผ่นดินโลกที่เป็นอุทยาน. เธอได้ชี้ให้ฉันดูจากหนังสือเล่มนี้ว่าพระเจ้ามีพระนามคือยะโฮวา และจุดนี้เองดึงดูดใจฉันอย่างมาก. เนื่องจากไม่มีใครเลยที่โบสถ์เคยบอกเรื่องเหล่านี้แก่ฉัน ฉันจึงตัดสินใจว่าจะโทรศัพท์ไปหาพยานพระยะโฮวาหลังจากตั้งหลักแหล่งในเพิร์ทแล้ว.
อย่างไรก็ตาม ฉันรู้สึกลังเลอยู่บ้างที่จะติดต่อพวกเขา. แต่แล้วเย็นวันหนึ่ง เสียงกริ่งดังขึ้นที่ประตู. ลูกชายได้ออกไปดูและรีบกลับมาบอกฉันว่า “แม่ครับ คนที่แม่ว่าจะโทรถึงมาที่นี่แล้ว.” ฉันประหลาดใจอยู่บ้างและสั่งลูกว่า “บอกพวกเขาว่าแม่ไม่อยู่นะ!” แต่ลูกตอบว่า “แม่ครับ แม่รู้ดีว่าผมไม่ควรโกหก.” เมื่อถูกท้วงติง ฉันจึงออกไปเปิดประตู. ขณะที่ทักทายผู้มาเยี่ยม ฉันสังเกตสีหน้าของคนทั้งสองส่อความงุนงง. พวกเขาตั้งใจเยี่ยมคนเช่าบ้านซึ่งตอนนี้ย้ายออกไปแล้ว. ฉันเชิญเขาเข้ามาในบ้านและระดมถามคำถามหลายข้อ และได้คำตอบอย่างน่าพอใจจากคัมภีร์ไบเบิล.
สัปดาห์ต่อมา ฉันเริ่มศึกษาพระคัมภีร์กับพยานฯ เป็นประจำ โดยใช้หนังสือความจริงซึ่งนำไปสู่ชีวิตถาวร. การศึกษาช่วยฟื้นความต้องการของฉันที่จะเรียนรู้เรื่องพระเจ้า
ขึ้นมาอีก. สองสัปดาห์ต่อมา ฉันก็ได้เข้าร่วมการประชุมอนุสรณ์ระลึกการวายพระชนม์ของพระเยซูคริสต์. ฉันเริ่มเข้าร่วมการประชุมทุกวันอาทิตย์ และต่อจากนั้นไม่นานฉันไปร่วมการประชุมรายการต่าง ๆ ระหว่างสัปดาห์ด้วย. นอกจากนั้น ฉันเริ่มบอกเล่าสิ่งที่ฉันเรียนรู้แก่คนอื่น. ฉันค้นพบว่าการช่วยคนอื่น ๆ เรียนความจริงในคัมภีร์ไบเบิลทำให้สุขภาพจิตและอารมณ์ของฉันดีขึ้น. หกเดือนต่อมา ฉันได้รับบัพติสมา ณ การประชุมภาคในเมืองเพิร์ท.ขณะที่ความรู้ด้านคัมภีร์ไบเบิลเพิ่มพูนขึ้น ฉันยิ่งเข้าใจทัศนะของพระยะโฮวาเกี่ยวกับความศักดิ์สิทธิ์ของสายสมรส อีกทั้งได้ทราบหลักการของคัมภีร์ไบเบิลที่ 1 โกรินโธ 7:13 ที่ว่า “ถ้าหญิงคนใดมีสามีที่ไม่เชื่อถือพระคริสต์, และสามีนั้นพอใจจะอยู่กับนาง, อย่าให้นางทิ้งสามีนั้นเลย.” คัมภีร์ข้อนี้กระตุ้นฉันให้กลับไปหาอะเล็ก.
กลับไปยังเดอร์บี
ฉันกลับไปเดอร์บีเมื่อวันที่ 21 มิถุนายน 1979 หลังจากแยกกันอยู่นานกว่าห้าปี. แน่ละ ฉันเกิดความรู้สึกไม่แน่ใจและสงสัยว่าเขาจะแสดงปฏิกิริยาอย่างไรต่อการกลับมาครั้งนี้. ฉันประหลาดใจมาก เขาดีใจที่ฉันกลับมาหาเขา แม้ว่าเขาแสดงความผิดหวังบ้างที่ฉันกลายเป็นหนึ่งในหมู่พยานพระยะโฮวา. เขาแนะนำฉันทันทีให้เข้าร่วมคริสตจักรของเขา ซึ่งฉันเคยสมทบอยู่ก่อนย้ายไปเมืองเพิร์ท. ฉันจึงชี้แจงว่าไม่สามารถทำเช่นนั้นได้. ฉันมุ่งเอาจริงเอาจังในการแสดงความนับถือเขาฐานะเป็นประมุข และฉันพยายามทำสุดความสามารถฐานะเป็นภรรยาคริสเตียน. ฉันพยายามพูดคุยให้เขาฟังเรื่องพระยะโฮวาและคำสัญญาต่าง ๆ ของพระองค์เกี่ยวด้วยอนาคตที่น่าพิศวง แต่เขาไม่แสดงความสนใจเรื่องราวใด ๆ ที่ฉันบอกเขา.
ในที่สุด อะเล็กไม่เพียงแต่ยอมรับวิถีชีวิตใหม่ของฉัน แต่เขาเริ่มช่วยด้านการเงิน เพื่อที่ฉันจะได้เข้าร่วมการประชุมภาคและการประชุมหมวด รวมทั้งการประชุมประจำสัปดาห์ด้วย. ฉันรู้สึกขอบคุณเขาเป็นอย่างมากเมื่อเขาซื้อรถยนต์ให้ฉันใช้เมื่อออกไปประกาศ ซึ่งอำนวยประโยชน์ได้มากในภูมิภาคที่ห่างไกลนี้ของออสเตรเลีย. พี่น้องชายหญิง รวมทั้งผู้ดูแลหมวดมักจะแวะพักค้างคืนที่บ้านของเราบ่อย ๆ. ทั้งนี้ทำให้อะเล็กมีโอกาสรู้จักมักคุ้นพยานฯ หลายคน และดูเหมือนเขาชอบคบเป็นเพื่อนกับเหล่าพยานฯ.
ฉันรู้สึกเหมือนยะเอศเคล
ฉันเพลิดเพลินกับการเยี่ยมของพี่น้องชายหญิงทั้งหลาย แต่ฉันเผชิญข้อท้าทาย. ฉันเป็นพยานฯ คนเดียวอยู่ในเมืองเดอร์บี. ประชาคมที่ใกล้ที่สุดอยู่ในเมืองบรูม ห่างจากบ้านฉันถึง 220 กิโลเมตร. ดังนั้น ฉันจึงตัดสินใจทำดีที่สุดที่จะเผยแพร่ข่าวดีให้กว้างไกล. ด้วยการสนับสนุนของพระยะโฮวา ฉันได้จัดระเบียบตัวเองและเริ่มให้คำพยานตามบ้านเรือน. ฉันพบว่าภารกิจนี้ไม่ง่าย แต่คอยเตือนตัวเองโดยอาศัยถ้อยคำของอัครสาวกเปาโลที่ว่า “ข้าพเจ้ากระทำทุกสิ่งได้โดยพระเยซูคริสต์ผู้ทรงชูกำลังข้าพเจ้า.”—ฟิลิปปอย 4:13.
นักเทศน์นักบวชในท้องถิ่นไม่ชอบกิจกรรมของฉัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการให้คำพยานแก่ชนเผ่าพื้นเมืองอะบอริจินี. พวกเขาพยายามข่มขู่ให้ฉันเลิกกิจกรรมงานเผยแพร่. การขัดขวางของเขายิ่งทำให้ฉันมุ่งมั่นจะทำต่อไป และฉันทูลอธิษฐานเป็นประจำขอพระยะโฮวาช่วยฉัน. บ่อยครั้ง ฉันนึกทบทวนคำตรัสของพระองค์ที่หนุนใจยะเอศเคลดังนี้: “นี่แน่ะ เราทำหน้าของท่านให้แข็งอยู่ต่อหน้าของเขา, ทั้งหน้าผากของท่านให้แข็งต่อหน้าผากของเขา. เราทำหน้าผากของท่านให้เป็นดังเพชรที่แข็งกว่าหิน, ท่านอย่าได้กลัวเขา, และอย่าตกตะลึงเพราะหน้าเขา.”—ยะเอศเคล 3:8, 9.
หลายครั้งมีผู้ชายสองคนจากกลุ่มต่างคริสตจักรกันเดินโยฮัน 3:16 ขึ้นมาพูดกับเขาอย่างสุภาพแต่ด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ให้เขามั่นใจว่าฉันเชื่อในพระเยซูจริง ๆ. เมื่อฉันตอบด้วยความเชื่อมั่น เขาถึงกับตะลึงพูดไม่ออก และเดินหนีโดยไม่พูดอะไรเลย.
เข้ามาหาฉันระหว่างที่จับจ่ายซื้อของ. พวกเขาพูดเสียงดังเยาะเย้ยฉัน พยายามให้คนในร้านค้าหันมามอง. ฉันทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้. มีอยู่คราวหนึ่ง ขณะที่ฉันกลับไปเยี่ยมสตรีที่แสดงความสนใจ นักเทศน์จากคริสตจักรท้องถิ่นแวะเข้าไปที่บ้านนั้นและกล่าวหาฉันว่าไม่เชื่อศรัทธาในพระเยซู. เขาฉกเอาคัมภีร์ไบเบิลไปจากมือของฉัน และชูขึ้นแกว่งไปมาตรงหน้าฉันแล้วยัดใส่มือคืนให้. ฉันจ้องหน้าเขาเขม็ง และยกข้อความจากฉันชอบประกาศท่ามกลางชาวอะบอริจินีในเขตพื้นที่เดอร์บี. บาทหลวงประจำตำบลพยายามเกียดกันฉันไม่ให้เข้าถึงประชาชนในชุมชนหนึ่งโดยเฉพาะ แต่แล้วเขาถูกย้ายไปที่อื่น. ดังนั้น ฉันจึงสามารถนำข่าวสารของคัมภีร์ไบเบิลไปถึงพวกเขาได้. ตลอดเวลาฉันต้องการจะเป็นมิชชันนารีเหมือนน้าสาว และตอนนี้ฉันก็กำลังทำงานมิชชันนารีช่วยคนอื่นเรียนพระคำของพระเจ้า. ชาวเผ่าอะบอริจินีหลายคนตอบรับงานประกาศเป็นอย่างดี และฉันเริ่มนำการศึกษาคัมภีร์ไบเบิลได้หลายราย.
สำนึกถึงความจำเป็นของฉันทางด้านวิญญาณ
เป็นเวลาห้าปี ฉันเป็นพยานพระยะโฮวาเพียงคนเดียวในเมืองเดอร์บี. ฉันรู้สึกว่ายากที่จะรักษาความเข้มแข็งฝ่ายวิญญาณโดยไม่ได้ร่วมการประชุมอย่างสม่ำเสมอกับเพื่อนร่วมนมัสการเพื่อรับการหนุนใจ. มีอยู่ครั้งหนึ่ง ฉันรู้สึกท้อใจมาก ๆ เลยขับรถออกไปเที่ยว. พอกลับบ้านบ่ายวันนั้น พยานฯ หญิงคนหนึ่งพร้อมกับลูกของเธอเจ็ดคนกำลัง
รอพบฉันอยู่. พวกเขาได้นำเอาสรรพหนังสือกล่องใหญ่จากประชาคมบรูมซึ่งอยู่ห่างออกไปหลายกิโลเมตรมามอบให้ฉัน. นับแต่นั้น ซิสเตอร์เบตตี บัตเตอร์ฟีลด์ได้เตรียมการมาที่เดอร์บีเดือนละครั้ง และค้างอยู่กับฉันในวันเสาร์วันอาทิตย์. เราออกประกาศด้วยกันและร่วมศึกษาวารสารหอสังเกตการณ์ ที่บ้านของฉัน. ฉันก็เดินทางไปยังบรูมเดือนละครั้งเช่นกัน.พี่น้องที่ประชาคมบรูมช่วยฉันมากและบางครั้งบางคราวพวกเขาสามารถเดินทางระยะไกลมาสนับสนุนฉันทำงานรับใช้ที่เดอร์บี. พวกเขาได้กระตุ้นเตือนพี่น้องชายหญิงไม่ว่าจะเป็นใครก็ตามจากเมืองอื่นเมื่อผ่านเดอร์บีก็ขอให้แวะเยี่ยมและสมทบกับฉัน พากันออกไปประกาศด้วยกัน. นักเดินทางเหล่านี้ยังได้นำเทปบันทึกคำบรรยายสาธารณะมาฝาก. บางคนก็อยู่ร่วมศึกษาหอสังเกตการณ์ กับฉันด้วย. แม้การแวะเยี่ยมเป็นช่วงสั้น ๆ แต่ก็ให้การชูใจอย่างมาก.
ความช่วยเหลือมีมากขึ้น
ฉันได้รับการกระตุ้นหนุนใจมากขึ้นเป็นเวลาหลายปี เมื่ออาเทอร์และแมรี วิลลิส สองสามีภรรยาที่เกษียณอายุจากภาคใต้ของรัฐเวสเทิร์นออสเตรเลียได้มาสนับสนุนฉัน แต่ละครั้งเป็นเวลาสามเดือนในช่วงกลางปี. บราเดอร์วิลลิสนำการประชุมส่วนใหญ่และนำหน้าในการประกาศ. เราร่วมเดินทางด้วยกันไปยังภูมิภาคแถบที่ราบสูงคิมเบอร์ลีย์ที่ไกลมาก เราเยี่ยมไร่ปศุสัตว์ในพื้นที่อันห่างไกล. แต่ละครั้งที่บราเดอร์และซิสเตอร์วิลลิสจากไป ชีวิตฉันจะเกิดความรู้สึกอ้างว้าง.
ในที่สุด จวนสิ้นปี 1983 ฉันได้รับข่าวที่น่าชื่นใจว่ามีครอบครัวของแดนนีและเดนนิส สเตอร์เจน พร้อมกับบุตรชายสี่คนจะมาอยู่อาศัยในเดอร์บี. หลังจากพวกเขาได้มาถึง เราสามารถจัดการประชุมประจำสัปดาห์เป็นประจำและร่วมงานรับใช้ในเขตงานด้วยกัน. ปี 2001 จึงได้จัดตั้งประชาคมขึ้น. ปัจจุบัน เดอร์บีมีประชาคมเข้มแข็ง มีผู้ประกาศราชอาณาจักร 24 คน มีผู้ปกครองสองคนและผู้ช่วยงานรับใช้หนึ่งคนที่ให้การดูแลฝ่ายวิญญาณแก่พวกเราเป็นอย่างดี. บางครั้ง เรามีผู้เข้าร่วมการประชุมเกือบ 30 คน.
เมื่อฉันมองย้อนหลังไปตลอดหลายปีที่ผ่านมา ฉันรู้สึกอบอุ่นใจที่เห็นวิธีที่พระยะโฮวาได้ช่วยฉันให้รับใช้พระองค์. ถึงแม้สามียังไม่ได้ร่วมความเชื่อเดียวกันกับฉัน แต่เขาก็ได้สนับสนุนฉันเรื่อยมาในหลายทาง. สมาชิกครอบครัวของฉันห้าคนเข้ามาเป็นพยานฯ ที่รับบัพติสมาแล้ว นั่นคือลูกสาวสองคนพร้อมทั้งหลานสาวสามคน. นอกจากนั้น ยังมีญาติบางคนศึกษาพระคัมภีร์กับพยานของพระยะโฮวาอยู่ในขณะนี้.
ฉันสำนึกในพระคุณของพระยะโฮวาอย่างแท้จริงที่โปรดช่วยฉันได้มาพบพระองค์. ฉันตั้งใจแน่วแน่จะเป็นของพระองค์ตลอดไป.—บทเพลงสรรเสริญ 65:2.
[เชิงอรรถ]
^ วรรค 14 จัดพิมพ์โดยพยานพระยะโฮวา แต่เดี๋ยวนี้งดพิมพ์แล้ว.
[แผนที่/ภาพหน้า 15]
(รายละเอียดดูจากวารสาร)
ออสเตรเลีย
วีนด์แฮม
ที่ราบสูงคิมเบอร์ลีย์
เดอร์บี
บรูม
เพิร์ท
[ที่มาของภาพ]
Kangaroo and lyrebird: Lydekker; koala: Meyers
[ภาพหน้า 14]
ทำงานเป็นพยาบาล ณ โรงพยาบาลวีนด์แฮม ปี 1953
[ภาพหน้า 15]
ประชาคมเดอร์บี ปี 2005