เมืองเล็ก ๆ อันห่างไกลในโบลิเวียได้ยินข่าวดี
เมืองเล็ก ๆ อันห่างไกลในโบลิเวียได้ยินข่าวดี
พวกเราประมาณ 20 คนรวมกลุ่มกันอยู่ริมแม่น้ำ และรอคอยอย่างใจจดใจจ่อสำหรับการเดินทางหนึ่งวันเยี่ยมเยียนหมู่บ้านต่าง ๆ เหนือขึ้นไปตามแม่น้ำ. เราอยู่ที่เชิงเขาของเทือกเขาแอนดีส ณ จุดที่แม่น้ำเบนีไหลมาถึงที่ราบอันกว้างใหญ่แห่งลุ่มน้ำแอมะซอน. สถานที่แห่งนี้มีความงดงามเป็นพิเศษ.
แต่พวกเราไม่ใช่นักท่องเที่ยว. พวกเราบางคนเป็นคนท้องถิ่นในแถบนี้; บางคนย้ายมาจากเมืองที่ห่างไกลเพื่อมาอยู่ที่รูร์เรนาบากี เมืองเล็ก ๆ ที่สวยงามซึ่งมีต้นไม้ออกดอกบานสะพรั่ง, บ้านหลังคามุงจาก, และถนนหนทางซึ่งนาน ๆ ทีจึงจะมีรถมอเตอร์ไซค์รับจ้างผ่านมา. พวกเรามาที่นี่ทำไม?
สิ่งที่เกิดขึ้นที่นี่เหมือนกับสิ่งที่เกิดขึ้นในอีกหลายแห่งในโบลิเวีย. พยานพระยะโฮวาจากเมืองใหญ่และจากประเทศอื่น ๆ กำลังนำข่าวดีเรื่องราชอาณาจักรของพระเจ้าไปยังเมืองเล็ก ๆ.—มัดธาย 24:14.
โบลิเวียอยู่กลางทวีปอเมริกาใต้. ประเทศนี้มีพื้นที่กว้างกว่าประเทศฝรั่งเศสสองเท่า แต่มีประชากรราว ๆ หนึ่งในสิบของฝรั่งเศส. ชาวโบลิเวียส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในเมืองใหญ่หรือไม่ก็ในเมืองที่มีการทำเหมืองซึ่งอยู่บนเขาสูงหรือในศูนย์กลางการเกษตรในเขตหุบเขา. อย่างไรก็ตาม ที่ราบต่ำเขตร้อนมีเมืองเล็ก ๆ ที่อยู่โดดเดี่ยวเนื่องจากป่าไม้อันกว้างใหญ่.
ในทศวรรษ 1950 และ 1960 เหล่ามิชชันนารีที่กล้าหาญ เช่น เบตตี แจ็กสัน, เอลซี
ไมน์เบิร์ก, พาเมลา โมสลีย์, และชาร์ลอตต์ โทมาชาฟสกี ได้นำหน้าในงานประกาศในเมืองที่อยู่ห่างไกลหลายเมือง. พวกเขาสอนความจริงในคัมภีร์ไบเบิลให้แก่ผู้คนที่จริงใจและช่วยตั้งประชาคมเล็ก ๆ ขึ้นบางประชาคม. ระหว่างทศวรรษ 1980 และ 1990 พยานพระยะโฮวามีจำนวนเพิ่มขึ้นหกเท่า โดยส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในเขตเมืองใหญ่. ตอนนี้มีประชาคมอยู่ทุกย่านในเมือง. จะพบพยานฯ ได้ทั้งในเขตคนรวยที่ซึ่งผู้คนทำงานในตึกสำนักงานสูง ๆ, อยู่ในคฤหาสน์หรู, และจับจ่ายซื้อของในซูเปอร์มาร์เกต. แต่ก็มีประชาคมในย่านชานเมืองด้วย ที่ซึ่งผู้คนอาศัยในกระท่อมที่สร้างด้วยอิฐ, ซื้อของในตลาดนัดกลางแจ้ง, และสวมใส่เสื้อผ้าพื้นเมืองสีสันสดใส. กระนั้น จะทำอะไรได้เพื่อช่วยผู้คนมากขึ้นในสถานที่อันห่างไกลให้มาเรียนรู้จักพระยะโฮวา?สละชีวิตที่สะดวกสบายในเมือง
ในช่วงราว ๆ ยี่สิบปีที่ผ่านมา ผู้คนจำนวนมากย้ายจากเมืองที่มีการทำเหมืองและแถบชนบทของโบลิเวียเข้ามาในเมืองใหญ่ ๆ. ผู้คนที่ย้ายจากเมืองใหญ่ไปยังหมู่บ้านเล็ก ๆ ดูเป็นเรื่องแปลก. หมู่บ้านหลายแห่งมีโทรศัพท์เพียงเครื่องเดียวและมีไฟฟ้าใช้วันละไม่กี่ชั่วโมง. พยานฯ ที่อยู่ในเมืองเล็ก ๆ เหล่านี้อาจพบเพื่อนร่วมความเชื่อเฉพาะในการประชุมภาคปีละครั้ง และการเดินทางไปยังการประชุมเหล่านี้ก็อาจต้องเสียค่าใช้จ่ายสูง, มีอันตราย, และทำให้เหนื่อยอ่อน. โรงเรียนตามหมู่บ้านก็มีการศึกษาแค่ในระดับพื้นฐาน. แล้วอะไรกระตุ้นให้พยานพระยะโฮวาหลายคนย้ายจากเมืองใหญ่ไปยังหมู่บ้านต่าง ๆ?
ลูอิส กล่าวไว้ไม่นานมานี้ว่า “ผมมีโอกาสทำงานอาชีพในกรุงลาปาซ. แต่พ่อแม่ของผมสอนไว้เสมอว่างานทำคนเป็นสาวกเป็นงานประจำชีพที่น่าปรารถนาที่สุด. ดังนั้น ผมจึงเรียนวิชาก่อสร้างหลักสูตรระยะสั้น. ในช่วงไปพักร้อนที่เมืองรูร์เรนาบากี ผมสังเกตว่าผู้คนสนใจอยากฟังข่าวดีมาก. เมื่อผมเห็นว่ามีพี่น้องอยู่ที่นี่น้อยจริง ๆ ผมจึงรู้สึกว่าผมต้องย้ายมาช่วย. ตอนนี้ผมนำการศึกษาพระคัมภีร์ 12 ราย. ตัวอย่างเช่น ผมศึกษากับสามีภรรยาหนุ่มสาวคู่หนึ่งซึ่งมีลูกสี่คน. เขาเคยดื่มจัดและเล่นการพนัน แต่เขาเลิกทุกสิ่งและเริ่มบอกให้เพื่อน ๆ ฟังสิ่งที่เขากำลังเรียนรู้เกี่ยวกับพระยะโฮวา. เขาเตรียมบทเรียนที่จะศึกษาทุกครั้ง. เมื่อเขาต้องเดินทางไปทำไม้ในป่าเป็นเวลาสามหรือสี่วัน เขาก็รู้สึกไม่สบายใจ เพราะเขาไม่อยากพลาดอะไรเลย. เมื่อผมเห็นครอบครัวนี้ทั้งครอบครัวอยู่ในการประชุมคริสเตียน ผมรู้สึกว่าการที่ผมเสียสละมาที่นี่เป็นสิ่งที่คุ้มค่าเหลือเกิน.”
ฮัวนา เป็นคุณแม่ไร้คู่. เธอเล่าว่า “ดิฉันเคยทำงานเป็นแม่บ้านในกรุงลาปาซ. ตอนที่ลูกชายยังเล็ก ดิฉันทำงานเผยแพร่เต็มเวลาในเมืองนั้น. เมื่อดิฉันมาเยี่ยมที่เมืองรูร์เรนาบากี ดิฉันก็ตระหนักว่าดิฉันจะทำอะไรได้มากมายถ้า
ย้ายมาที่นี่. ดังนั้นเราจึงย้ายมา และดิฉันได้งานเป็นแม่บ้าน. ตอนแรก อากาศร้อนเหลือเกินและแมลงก็ชุม จนดิฉันแทบจะทนไม่ได้. แต่เราก็อยู่ที่นี่มาเจ็ดปีแล้ว. ดิฉันสามารถนำการศึกษาพระคัมภีร์ได้หลายรายในแต่ละสัปดาห์ และนักศึกษาหลายคนก็แสดงความหยั่งรู้ค่าโดยมาร่วมประชุม.” ฮัวนากับลูกชายของเธออยู่ในกลุ่มของเราที่รอจะลงเรือลำที่จะแล่นขึ้นไปตามแม่น้ำ. ขอเชิญคุณเดินทางมากับเรา.การเดินทางขึ้นไปตามแม่น้ำ
เครื่องยนต์ที่ติดตั้งอยู่นอกลำเรือส่งเสียงคำรามขณะที่เรามุ่งหน้าเข้าไปในช่องแคบ ๆ ระหว่างภูเขา. นกแก้วฝูงหนึ่งส่งเสียงร้อง ราวกับจะต่อว่าที่เรารุกล้ำเข้ามา. น้ำขุ่น ๆ จากเทือกเขาไหลเชี่ยวหมุนวนรอบลำเรือ แต่คนขับเรือก็บังคับเรือให้แล่นฝ่ากระแสน้ำไปด้วยความเชี่ยวชาญ. พอเริ่มสาย เราก็ขึ้นฝั่งที่หมู่บ้านเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง. ที่นั่นเราพบกับผู้ดูแลคนหนึ่งในประชาคมรูร์เรนาบากี แล้วเขาก็ชี้ให้เราดูเขตที่เราจะประกาศ.
ชาวบ้านต้อนรับเราอย่างอบอุ่น ถ้าไม่ใช่ใต้ร่มไม้ก็ข้างในบ้านไม้ไผ่ซึ่งมีหลังคามุงจาก. ไม่นานเราก็พบกับคู่สมรสคู่หนึ่งกำลังขะมักเขม้นคั้นน้ำอ้อยโดยใช้เครื่องคั้นไม้ที่สร้างกันขึ้นมาเอง. น้ำอ้อยไหลลงอ่างทองแดง. จากนั้น พวกเขาจะเคี่ยวน้ำอ้อยจนกลายเป็นกากน้ำตาลสีเข้มซึ่งจะเอาไปขายในเมืองได้. ทั้งสองคนเชิญเราเข้าไปในบ้านและถามคำถามหลายข้อเกี่ยวกับคัมภีร์ไบเบิล.
เราเดินทางขึ้นเหนือต่อไปตามแม่น้ำ ประกาศจากหมู่บ้านหนึ่งไปยังอีกหมู่บ้านหนึ่ง. หลายคนหยั่งรู้ค่าที่ได้ยินสิ่งที่คัมภีร์ไบเบิลกล่าวเกี่ยวกับจุดจบของความเจ็บป่วยและความตาย. (ยะซายา 25:8; 33:24) ที่นี่ ที่ซึ่งการรักษาพยาบาลมีไม่เพียงพอ ครอบครัวส่วนใหญ่เคยประสบกับเหตุการณ์อันน่าเศร้าเมื่อลูกเสียชีวิตไป. ชีวิตของผู้คนที่ยังชีพด้วยการทำไร่และจับปลาเป็นชีวิตที่ยากลำบากและไม่มั่นคง. ด้วยเหตุนี้ หลายคนจึงรู้สึกว่าคำสัญญาของพระเจ้าที่บทเพลงสรรเสริญบท 72 น่าสนใจมากที่ว่าจะมีรัฐบาลซึ่งจะมาขจัดความยากจนให้หมดไป. กระนั้น คุณคิดว่าผู้สนใจที่อยู่ห่างไกลเช่นนี้จะใช้ความพยายามมาร่วมการประชุมคริสเตียนไหม? คำถามนี้เป็นสิ่งที่เอริกกับวิกกีเป็นห่วง เขาทั้งสองเป็นผู้เผยแพร่เต็มเวลาอยู่ที่ซานตาโรซา ซึ่งต้องใช้เวลาขับรถสามชั่วโมงเข้าไปในลุ่มน้ำแอมะซอนเพื่อจะเข้าไปถึงได้.
ผู้สนใจจะมาไหม?
เอริกกับวิกกีจากแคลิฟอร์เนีย สหรัฐ มาที่โบลิเวียเมื่อ 12 ปีที่แล้ว. ผู้ดูแลเดินทางคนหนึ่งแนะนำให้เขาย้ายไปซานตาโรซา. วิกกีบอกว่า “มีโทรศัพท์เพียงแค่สองเครื่องในเมืองนี้ และไม่มีอินเทอร์เน็ต. มีสัตว์ป่ามากมาย. เรามักจะเห็นจระเข้, นกกระจอกเทศ, และงูตัวใหญ่ ๆ ขณะที่เราขี่จักรยานยนต์ไปในเขตชานเมือง. อย่างไรก็ตาม สิ่งที่น่าสนใจมากกว่าสัตว์ก็คือคน. เราศึกษาคัมภีร์ไบเบิลกับครอบครัววากา เป็นสามีภรรยาหนุ่มสาวซึ่งมีลูกเล็ก ๆ สี่คน. พวกเขาอยู่นอกเมืองออกไปประมาณ 26 กิโลเมตร. ผู้เป็นพ่อเคยเป็นคนขี้เมา แต่ตอนนี้เขากลับตัวแล้ว. ทุกสัปดาห์ เขาพาทั้งครอบครัวพร้อมกับน้องสาวของเขามายังหอประชุม. เขาขี่จักรยานคันใหญ่โดยให้ภรรยาอุ้มลูกวัยทารกนั่งซ้อนท้าย. ลูกชายวัยเก้าขวบขี่จักรยานอีกคันและให้น้องสาวซ้อนท้าย ส่วนลูกชายอีกคนวัยแปดขวบขี่จักรยานคนเดียว. พวกเขาต้องใช้เวลาสามชั่วโมงเพื่อจะไปถึงที่ประชุม.” ครอบครัวนี้รักพระยะโฮวาจริง ๆ และพยายามทำทุกอย่างเพื่อสมทบกับประชาคม.
ภายในเวลาเพียงแค่ 18 เดือน มี 3 คนบรรลุคุณวุฒิที่จะรับบัพติสมา และมีประมาณ 25 คนที่มาที่หอประชุมแห่งใหม่ในซานตาโรซา. แม้ว่ามีคนมากมายอยากศึกษาพระคัมภีร์ แต่หลายคนก็มีอุปสรรคที่ใหญ่มากซึ่งจำเป็นต้องเอาชนะเพื่อจะรับใช้พระยะโฮวาได้.
ความยากลำบากในการจดทะเบียนสมรส
มารีนากับออสนี ซึ่งเป็นมิชชันนารีที่รับใช้อยู่ในเมืองเล็ก ๆ อันห่างไกลใกล้พรมแดนระหว่างโบลิเวียกับบราซิล อธิบายว่าหลายคนที่นี่ไม่ได้มองว่าการสมรสเป็นสายสัมพันธ์ที่ถาวร. พวกเขาเปลี่ยนคู่ไปเรื่อย ๆ. ออสนีกล่าวว่า “นี่เป็นปัญหาที่ขัดขวางความก้าวหน้าฝ่ายวิญญาณ. เมื่อมีคนต้องการเข้ามาเป็นคริสเตียนแท้ เขาก็ต้องทำตามขั้นตอนที่ซับซ้อนและเสียค่าใช้จ่ายสูง. บางคนต้องแก้ปัญหาเรื่องสายสัมพันธ์ในอดีตและทำการสมรสอย่างถูกต้องตามกฎหมาย. กระนั้น เมื่อตระหนักว่าการจดทะเบียนสมรสอย่างถูกต้องเป็นข้อเรียกร้องของพระคัมภีร์ บางคนจึงได้พยายามอย่างหนักเพื่อหาเงินไปจดทะเบียน.”—โรม 13:1, 2; เฮ็บราย 13:4.
มารีนาเล่าประสบการณ์ของนอร์เบอร์โต. “เขาเคยอยู่กินกับผู้หญิงหลายคนก่อนจะย้ายไปอยู่กับผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งเป็นคนทำขนมปัง. เธอมีอายุอ่อนกว่าเขาราว 35 ปีและมีลูกติดคนหนึ่งซึ่งนอร์เบอร์โตรับไว้เป็นลูกตัวเอง. เมื่อเด็กชายคนนั้นโตขึ้น นอร์เบอร์โตก็ต้องการเป็นตัวอย่างที่ดีให้เขา. ดังนั้น เมื่อพยานฯ มาประกาศที่ร้านขนมปังและเสนอการศึกษาพระคัมภีร์ฟรีที่บ้าน นอร์เบอร์โตจึงยินดีรับ แม้ว่าเขาอ่านหนังสือไม่ออกและมีอายุกว่า 70 ปีแล้ว. เมื่อนอร์เบอร์โตกับคู่ของเขาเรียนรู้เกี่ยวกับข้อเรียกร้องของพระยะโฮวา พวกเขาก็จดทะเบียนสมรสตามกฎหมายและรับบัพติสมาหลังจากนั้น. เด็กคนนั้นโตขึ้นกลายเป็นวัยรุ่นคริสเตียนที่มีความรับผิดชอบ เป็นอย่างที่พ่อเลี้ยงของเขาหวังไว้ทีเดียว. นอร์เบอร์โตเรียนอ่านหนังสือ และเขาถึงกับขึ้นบรรยายที่การประชุมประชาคมด้วย. แม้พละกำลังจะถดถอยเนื่องจากวัยชรา แต่เขาก็ยังคงเป็นผู้เผยแพร่ข่าวดีที่มีใจแรงกล้า.”
ได้รับกำลังโดยพระวิญญาณของพระยะโฮวา
พระเยซูตรัสแก่สาวกรุ่นแรกของพระองค์ว่า “ท่านทั้งหลายจะได้รับพระราชทานฤทธิ์เดชเมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์จะเสด็จมาเหนือท่าน และท่านทั้งหลายจะเป็นพยานฝ่ายเรา . . . จนถึงที่สุดปลายแผ่นดินโลก.” (กิจการ 1:8) ช่างเป็นการหนุนกำลังใจจริง ๆ ที่เห็นพระวิญญาณของพระเจ้ากระตุ้นใจคริสเตียนทั้งชายและหญิงให้ย้ายไปยังเขตแดนอันห่างไกล! ตัวอย่างเช่น ในปี 2004 คริสเตียนที่กระตือรือร้นประมาณ 30 คน ได้รับงานมอบหมายชั่วคราวให้ไปยังเขตโดดเดี่ยวในฐานะไพโอเนียร์พิเศษ. พวกเขาหยั่งรู้ค่าตัวอย่างของชาวต่างชาติประมาณ 180 คนที่มายังโบลิเวีย เพื่อรับใช้เป็นไพโอเนียร์, ผู้ดูแลหมวด, อาสาสมัครทำงานในเบเธล, หรือมิชชันนารี. ผู้ประกาศราชอาณาจักร 17,000 คนในโบลิเวียนำการศึกษาพระคัมภีร์ประมาณ 22,000 รายตามบ้านของผู้สนใจ.
การสำนึกว่าพวกเขาได้รับการชี้นำโดยพระวิญญาณของพระยะโฮวาทำให้พี่น้องเหล่านี้ทั้งหมดมีความยินดีอย่างยิ่ง. ตัวอย่างเช่น โรเบิร์ตกับแคทีได้ตอบรับการมอบหมายในฐานะมิชชันนารีที่กามีรี. เมืองเล็ก ๆ แห่งนี้ตั้งอยู่ท่ามกลางภูเขาสูงต่ำอันเขียวชอุ่มใกล้แม่น้ำสายหนึ่งและเป็นเมืองที่อยู่โดดเดี่ยวเสมอมา. โรเบิร์ตบอกว่า “ดูเหมือนเรามาได้ถูกเวลาจริง ๆ. ภายในสองปี มีประมาณ 40 คนได้เริ่มเป็นผู้ประกาศข่าวดี.”
คนที่ดื่มจัดและติดการพนันฟังข่าวดี
ชาวบ้านหลายคนประทับใจกับการเปลี่ยนแปลงของคนที่ศึกษาพระคัมภีร์. เพื่อเป็นตัวอย่าง วันหนึ่งประมาณสี่ปีที่แล้ว ชายที่ดื่มจัดคนหนึ่งชื่ออาเรียลกำลังนอนอยู่บนที่นอนเนื่องจากเมาค้าง. แม้ว่าการที่เขาเล่นพนันทำให้เขามีชื่อเสียง แต่เขาคิดกังวลเกี่ยวกับหนี้สินที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ, ชีวิตสมรสที่มีปัญหา, และลูกสาวที่ไม่มีใครดูแล. ความคิดของเขาถูกขัดจังหวะเนื่องจากมีพยานพระยะโฮวาคนหนึ่งมาเยี่ยมตามบ้าน. อาเรียลฟังอย่างตั้งใจเป็นเวลานานขณะที่พี่น้องของเราอธิบายพระคัมภีร์ให้เขาฟัง. ไม่นาน อาเรียลก็กลับไปที่นอนอีก แต่เขาไปนอนอ่านหนังสือเกี่ยวกับชีวิตครอบครัวที่มีความสุข, อุทยาน, และการรับใช้พระเจ้า. ต่อมาเขาก็ตอบรับการศึกษาพระคัมภีร์.
พอถึงเวลาที่มิชชันนารีมาถึงกามีรี อาร์มินดา ภรรยาของอาเรียล ก็ศึกษาด้วย แต่ไม่ค่อยกระตือรือร้นเท่าไรนัก. เธอบอกว่า “ฉันพร้อมจะทำทุกอย่างเพื่อทำให้เขาเลิกดื่มเหล้า. แต่ฉันว่าคงไม่มีประโยชน์อะไร. เขาเป็นคนที่หมดหวังจะกลับตัวได้อีกแล้ว.” อย่างไรก็ตาม การศึกษาพระคัมภีร์น่าสนใจกว่าที่เธอคาดไว้. ภายในหนึ่งปี เธอก็รับบัพติสมาและให้คำพยานกับครอบครัวของเธอ. ไม่นาน ญาติหลายคนของเธอก็อุทิศชีวิตแด่พระยะโฮวา.
ส่วนอาเรียล เป็นเรื่องยากมากที่จะเลิกดื่ม, เลิกสูบบุหรี่, และเลิกเล่นการพนัน. จุดเปลี่ยนมาถึงตอนที่เขาเชิญคนรู้จักของเขาทุกคนให้มาร่วมประชุมอนุสรณ์ระลึกถึงการวายพระชนม์ของพระเยซู. เขาตั้งใจว่า “คนที่ไม่มา ผมจะเลิกคบ. แล้วผมจะนำการศึกษาพระคัมภีร์กับคนที่มา.” เขาเริ่มการศึกษาพระคัมภีร์สามรายด้วยวิธีนี้. แม้แต่ก่อนที่อาเรียลจะกลายมาเป็นสมาชิกของประชาคม เขาได้ศึกษาพระคัมภีร์กับญาติคนหนึ่งซึ่งก้าวหน้าอย่างดีและรับบัพติสมาในวันเดียวกันกับอาเรียล. อาร์มินดาบอกว่า “ดูเหมือนไม่มีอาเรียลคนเดิมอีกต่อไปแล้ว.”
โรเบิร์ตรายงานว่า “ในการสำรวจคราวล่าสุด มี 24 คนจากครอบครัวนี้เข้าร่วมประชุมเป็นประจำ. สิบคนรับบัพติสมาแล้ว และอีกแปดคนเป็นผู้ประกาศที่ยังไม่รับบัพติสมา. บางคนที่เห็นพวกเขาเปลี่ยนความประพฤติก็เริ่มศึกษาพระคัมภีร์และมาร่วมประชุมในประชาคมด้วย. ผู้เข้าร่วมประชุมเพิ่มจาก 100 คนเป็น 190 คน. แคทีกับผมกำลังนำการศึกษาพระคัมภีร์ประมาณ 30 ราย และทุกคนเข้าร่วมประชุม. เราดีใจมากที่ได้มาอยู่ที่นี่.”
สิ่งที่เกิดขึ้นในเมืองเล็ก ๆ อันห่างไกลของโบลิเวียเป็นเพียงส่วนเล็กน้อยของงานรวบรวมทั่วโลกซึ่งบอกไว้ล่วงหน้าที่วิวรณ์บท 7 ซึ่งกล่าวเกี่ยวกับการเก็บรวบรวมผู้ที่จะรอดจากความทุกข์ลำบากครั้งใหญ่ใน “วันขององค์พระผู้เป็นเจ้า.” (วิวรณ์ 1:10; 7:9-14) ไม่เคยมีสมัยใดในประวัติศาสตร์ของมนุษย์ที่มีคนหลายล้านคนจากทุกชาติร่วมกันเป็นเอกภาพในการนมัสการพระเจ้าเที่ยงแท้องค์เดียว. ช่างเป็นหลักฐานที่น่าตื่นเต้นสักเพียงไรที่คำสัญญาของพระเจ้าใกล้จะสำเร็จเป็นจริงแล้ว!
[ภาพหน้า 9]
เบตตี แจ็กสัน
[ภาพหน้า 9]
เอลซี ไมน์เบิร์ก
[ภาพหน้า 9]
พาเมลา โมสลีย์
[ภาพหน้า 9]
ชาร์ลอตต์ โทมาชาฟสกี ขวาสุด
[ภาพหน้า 10]
เอริกกับวิกกีมารับใช้ในที่ที่มีความต้องการผู้ประกาศราชอาณาจักรมากขึ้น
[ภาพหน้า 10]
ครอบครัววากาปั่นจักรยานไปหอประชุมสัปดาห์ละสามชั่วโมง
[ภาพหน้า 11]
ชาวบ้านใกล้แม่น้ำเบนีฟังข่าวดีด้วยความตั้งใจ
[ภาพหน้า 12]
โรเบิร์ตกับแคทีรับใช้เป็นมิชชันนารีในกามีรี