ความพากเพียรนำมาซึ่งความปีติยินดี
เรื่องราวชีวิตจริง
ความพากเพียรนำมาซึ่งความปีติยินดี
เล่าโดย มาริโอ โรชา เดอ โซซา
“ไม่น่าเป็นไปได้ที่นายโรชาจะรอดตายหลังผ่าตัด.” ทั้ง ๆ ที่แพทย์คาดคะเนอย่างหมดหวังเช่นนี้ ทุกวันนี้ เวลาผ่านไปประมาณ 20 ปีแล้ว ผมยังคงมีชีวิตอยู่และทำงานรับใช้เป็นผู้เผยแพร่เต็มเวลาของพยานพระยะโฮวา. อะไรได้ช่วยผมให้มีความพากเพียรตลอดหลายปี?
ผมใช้ชีวิตวัยเด็กในฟาร์มใกล้ซังตู เอสตาวาอู หมู่บ้านในรัฐบาเอีย ทางตะวันออกเฉียงเหนือของบราซิล. ตอนอายุเจ็ดขวบผมเริ่มช่วยพ่อทำงานในฟาร์มแล้ว. ทุกวันหลังโรงเรียนเลิก พ่อกำหนดงานให้ผมทำ. ต่อมา เมื่อไรก็ตามที่พ่อไปทำธุรกิจในซัลวาดอร์เมืองหลวงของรัฐ พ่อก็จะให้ผมรับผิดชอบงานในฟาร์ม.
เราไม่มีไฟฟ้า, ไม่มีน้ำประปา, หรือความสะดวกสบายต่าง ๆ ซึ่งในทุกวันนี้ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา กระนั้น เรามีความสุข. ผมมักจะเล่นว่าวหรือเล่นกับรถยนต์ทำจากไม้ที่ผมและเพื่อนช่วยกันทำขึ้นมา. นอกจากนั้น ผมเป่าคลาริเน็ตในขบวนแห่ทางศาสนา. ผมเป็นเด็กในคณะนักร้องของโบสถ์ประจำหมู่บ้าน และที่นั่นเองผมได้เจอหนังสือชื่อประวัติศาสตร์ศักดิ์สิทธิ์ (ภาษาโปรตุเกส) ซึ่งกระตุ้นความอยากรู้อยากเห็นของผมเกี่ยวกับคัมภีร์ไบเบิล.
ปี 1932 ผมอายุ 20 ปี เกิดภัยแล้งสาหัสทางตะวันออกเฉียงเหนือของบราซิลและยืดเยื้ออยู่นาน. ฝูงสัตว์ของเราล้มตาย ไม่มีผลผลิตทางเกษตร ดังนั้น ผมจึงย้ายไปยังเมืองซัลวาดอร์ ผมได้งานทำเป็นคนขับรถราง. ต่อมา ผมเช่าบ้านและพาครอบครัวมาอยู่ด้วยกัน. ปี 1944 พ่อเสียชีวิต ผมจึงรับภาระดูแลแม่และน้องสาวแปดคน น้องชายอีกสามคน.
จากคนขับรถรางมาเป็นผู้เผยแพร่
สิ่งแรกที่ผมทำเมื่อมาถึงซัลวาดอร์คือซื้อคัมภีร์ไบเบิลเล่มหนึ่ง. หลังจากเข้าร่วมกับคริสตจักรแบพติสต์สักระยะ * ให้ผมไว้อ่าน. ถึงแม้ผมเชื่อว่ามนุษย์มีจิตวิญญาณอมตะ แต่ผมอยากรู้อยากเห็นจึงได้ตรวจสอบข้อคัมภีร์ต่าง ๆ ที่ยกมาอ้างไว้ในหนังสือเล่มนั้น. ผมรู้สึกประหลาดใจที่คัมภีร์ไบเบิลยืนยันว่าจิตวิญญาณที่ทำบาปจะตาย.—ยะเอศเคล 18:4.
หนึ่ง ผมกลายเป็นเพื่อนกับดูร์วัล คนขับรถรางด้วยกัน. บ่อยครั้งผมกับดูร์วัลจะคุยกันนานเกี่ยวกับเรื่องพระคัมภีร์. วันหนึ่ง เขาฝากหนังสือเล่มเล็กชื่อคนตายอยู่ที่ไหน?เมื่อสังเกตเห็นว่าผมสนใจ ดูร์วัลได้ขออันโตนยู อันดราเด ผู้รับใช้ประเภทเต็มเวลาคนหนึ่งของพยานพระยะโฮวามาเยี่ยมผมที่บ้าน. หลังการเยี่ยมครั้งที่สาม อันโตนยูได้ชวนผมออกไปในงานสอนพระคัมภีร์แก่คนอื่น ๆ. หลังจากเขาพูดคุยกับสองบ้านแรกแล้ว เขาบอกผมว่า “ตอนนี้เป็นคราวของคุณบ้าง.” ผมรู้สึกประหม่ามาก แต่ดีใจเมื่อเห็นครอบครัวหนึ่งตั้งใจฟัง แถมยังรับเอาหนังสือที่ผมเสนอให้เขาสองเล่ม. มาถึงวันนี้ ผมรู้สึกปลาบปลื้มยินดีเช่นเดียวกันเมื่อได้พบคนสนใจความจริงของคัมภีร์ไบเบิล.
ปีนั้น วันที่ 19 เมษายน 1943 ตรงกับวันฉลองครบรอบการสิ้นพระชนม์ของพระคริสต์ ผมได้รับบัพติสมาในมหาสมุทรแอตแลนติกใกล้เมืองซัลวาดอร์. เนื่องจากขาดผู้ชายคริสเตียนที่มีประสบการณ์ ผมได้รับการแต่งตั้งให้ช่วยกลุ่มพยานฯ ที่ประชุมกันในบ้านบราเดอร์อันดราเดบนถนนสายแคบ ๆ ซึ่งเชื่อมส่วนที่อยู่บนเนินสูงกับส่วนที่อยู่ต่ำกว่าของตัวเมืองซัลวาดอร์.
การต่อต้านในช่วงแรก ๆ
กิจกรรมคริสเตียนของพวกเราไม่เป็นที่นิยมในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 (1939-1945). เจ้าหน้าที่บางคนสงสัยว่าเราเป็นพวกสืบราชการลับของอเมริกาเหนือ เพราะหนังสือส่วนใหญ่ของเราส่งมาจากสหรัฐ. ผลก็คือ การจับกุมและการไต่สวนเป็นเรื่องปกติ. เมื่อพยานฯ คนใดไม่กลับจากงานประกาศ เราลงความเห็นว่าเขาถูกกักตัว และเราก็จะไปที่สถานีตำรวจเพื่อเจรจาให้ปล่อยตัวเขา.
เดือนสิงหาคม 1943 อะดอลฟ์ เมสเมอร์พยานฯ ชาวเยอรมันได้มาถึงเมืองซัลวาดอร์เพื่อช่วยจัดระเบียบการประชุมภาคครั้งแรกของพวกเรา. ภายหลังได้รับอนุมัติจากเจ้าหน้าที่ให้จัดการประชุมได้ จึงมีการดำเนินงานโฆษณาปาฐกถา “เสรีภาพในโลกใหม่” โดยทางหนังสือพิมพ์รายวันของท้องถิ่น และปิดโฆษณาตามตู้กระจกหน้าร้านและด้านข้างรถราง. แต่เมื่อประชุมวันที่สอง เจ้าหน้าที่ตำรวจได้แจ้งว่าใบอนุญาตการประชุมนั้นถูกเพิกถอน. อาร์ชบิชอปประจำเมืองซัลวาดอร์กดดันผู้กำกับการตำรวจให้ระงับการประชุมของพวกเรา. อย่างไรก็ตาม เดือนเมษายนปีถัดไป ในที่สุดเราก็ได้รับอนุญาตจัดคำบรรยายสาธารณะที่ได้โฆษณาไว้.
การติดตามเป้าหมาย
ปี 1946 ผมได้รับเชิญไปร่วมการประชุมภาคตามระบอบของพระเจ้าที่มีชื่อว่า “ประชาชาติทั้งหลายจงชื่นใจยินดี” ในนครเซาเปาลู. กัปตันเรือสินค้าในซัลวาดอร์ยอม
ให้เราไปกับเรือของเขาได้ถ้าจะนอนบนดาดฟ้าเรือ. แม้การผจญพายุใหญ่ระหว่างทางทำให้พวกเราเมาคลื่นกันทุกคน แต่หลังจากสี่วันในทะเล เรือก็นำเราเข้าเทียบท่าที่นครริวเดจาเนโรอย่างปลอดภัย. เหล่าพยานฯ ที่นั่นต้อนรับพวกเรา พาไปพักในบ้านของเขาหลายวันก่อนจะเดินทางต่อโดยรถไฟ. ชนกลุ่มเล็ก ๆ ที่ถือป้าย “ยินดีต้อนรับพยานพระยะโฮวา” ต่างก็ทักทายพวกเราเมื่อรถไฟไปถึงเซาเปาลู.ไม่นานหลังจากกลับมาที่ซัลวาดอร์ ผมได้พูดคุยกับแฮร์รี แบล็ก มิชชันนารีจากสหรัฐเกี่ยวกับเรื่องที่ผมปรารถนาจะเป็นไพโอเนียร์ ซึ่งเป็นชื่อเรียกผู้ประกาศประเภทเต็มเวลาของพยานพระยะโฮวา. แฮร์รีเตือนผมให้นึกถึงหน้าที่รับผิดชอบภายในครอบครัวที่ต้องเอาใจใส่ และแนะนำผมให้อดใจรอ. ในที่สุด เมื่อถึงเดือนมิถุนายน 1952 น้องชายน้องสาวของผมทุกคนดูแลตัวเองได้ โดยไม่ต้องพึ่งผมด้านการเงินอีก และผมได้รับมอบหมายให้ทำงานรับใช้ฐานะไพโอเนียร์ในประชาคมเล็ก ๆ ที่เมืองอีลยาอุส ลงไปทางใต้ตามแนวชายฝั่งห่างจากซัลวาดอร์ประมาณ 210 กิโลเมตร.
การจัดเตรียมด้วยความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่
ปีต่อมา ผมได้รับมอบหมายให้ไปที่เชคเย เมืองใหญ่ส่วนกลางของรัฐบาเอียบนพื้นที่สูง ไม่มีพยานฯ ในเมืองนั้น. คนแรกที่ผมได้เยี่ยมเป็นบาทหลวงท้องถิ่น. เขาชี้แจงว่าเมืองนี้เป็นเขตปกครองของเขาและห้ามผมประกาศที่นั่น. เขาเตือนสมาชิกให้รู้เกี่ยวกับการมาของ “ผู้พยากรณ์เท็จ” และจัดพวกสอดแนมอยู่ทั่วเมืองคอยติดตามดูกิจกรรมของผม. กระนั้นก็ตาม วันนั้นผมจำหน่ายคู่มือศึกษาพระคัมภีร์ได้ 90 กว่าเล่มและเริ่มการศึกษาพระคัมภีร์สี่ราย. สองปีต่อมา มีการจัดตั้งหอประชุมราชอาณาจักรขึ้นในเมืองเชคเย และมีพยานฯ 36 คน! เมืองเชคเยในปัจจุบันมีแปดประชาคมและพยานฯ ประมาณ 700 คน.
ช่วงเดือนแรก ๆ ที่มาอยู่ในเชคเย ผมเช่าห้องเล็ก ๆ แถบชานเมืองอยู่. แล้วผมได้พบมิเกล วัส ดี โอลิเวรา เจ้าของโรงแรมซูเดอเอสเทอ (เซาท์เวสต์โฮเต็ล) หนึ่งในโรงแรมดีที่สุดของเมืองเชคเย. มิเกลตอบรับการศึกษาพระคัมภีร์และยืนกรานให้ผมย้ายไปพักที่โรงแรมของเขา. ในเวลาต่อมา มิเกลพร้อมด้วยภรรยาได้เข้ามาเป็นพยานพระยะโฮวา.
ความทรงจำที่ดีของผมอีกเรื่องหนึ่งตอนที่อยู่ในเชคเยเกี่ยวข้องกับลูอิส โคทริม ครูโรงเรียนมัธยมปลายที่ผมได้นำการศึกษากับเขา. ลูอิสเสนอช่วยผมปรับปรุงความรู้ด้านภาษาโปรตุเกสและคณิตศาสตร์. ผมเรียนจบแค่ระดับประถม ดังนั้นผมตอบรับคำเชิญทันที. วิชาที่ลูอิสสอนผมทุกสัปดาห์หลังการศึกษาพระคัมภีร์ได้ช่วยเตรียมผมไว้พร้อมสำหรับสิทธิพิเศษที่ผมได้รับเพิ่มเติมจากองค์การของพระยะโฮวาหลังจากนั้นไม่นาน.
เผชิญการท้าทายใหม่
ปี 1956 ผมได้รับจดหมายเชิญเข้าไปรับการอบรมเป็นผู้ดูแลหมวด ชื่อเรียกผู้เผยแพร่เดินทางของพยานพระยะโฮวา ณ สำนักงานสาขา ซึ่งเวลานั้นสำนักงานตั้งอยู่ในนครริวเดจาเนโร. หลักสูตรนี้ใช้เวลาเรียนเดือนกว่า มีผู้เข้ารับการอบรมแปดคน. ขณะใกล้จบหลักสูตร ผมได้รับมอบหมายให้ไปที่รัฐเซาเปาลู ซึ่งทำให้ผมรู้สึกกังวล. ผมถามตัวเองว่า ‘คนผิวดำอย่างผมนะหรือจะไปทำงานที่นั่นท่ามกลางคนอิตาลี? พวกเขาจะยอมรับผมหรือ?’ *
ณ ประชาคมแรกที่ผมได้เข้าเยี่ยมในเขตซังตู อะมารู ผมมีกำลังใจเมื่อเห็นเพื่อนพยานฯ และผู้สนใจมากันเต็มหอประชุม. สิ่งที่ทำให้ผมสำนึกว่าความวิตกกังวลของผมไม่มีเหตุอันควรก็คือทั้ง 97 คนในประชาคมได้ออกไปในงานเผยแพร่กับผมตอนวันสุดสัปดาห์. ผมรำพึงกับตัวเองว่า ‘จริง ๆ แล้ว คนเหล่านี้ล้วนเป็นพี่น้องของผมทั้งสิ้น.’ ความรักอันอบอุ่นของพี่น้องทั้งชายและหญิงนั่นเองเป็นกำลังใจให้ผมเพียรอดทนในงานเดินทางดูแลหมวด.
ลา, ม้า, และตัวลิ่น
ข้อท้าทายแสนสาหัสที่ผู้ดูแลเดินทางสมัยนั้นเคยเผชิญได้แก่การเดินทางระยะไกลไปเยี่ยมประชาคมต่าง ๆ รวมถึงพยานฯ กลุ่มเล็ก ๆ ในชนบท. รถโดยสารประจำทางในเขตเหล่านั้นไม่ปลอดภัยหรือไม่มีรถวิ่งประจำด้วยซ้ำ และถนนส่วนมากเป็นแค่ทางแคบ ๆ ไม่ลาดยาง.
บางหมวดแก้ปัญหานี้โดยการซื้อลาหรือม้าสำหรับให้ผู้ดูแลเดินทางใช้. พอถึงวันต้นสัปดาห์ ผมก็ผูกอานม้าหรือลา แล้วเอาของใช้ส่วนตัวผูกไว้ข้างอาน และขี่ม้าร่วม 12 ชั่วโมงไปเยี่ยมอีกประชาคมหนึ่ง. ที่เมืองซังตา เฟ ดู ซูล พยานฯ มีลาตัวหนึ่ง ตั้งชื่อมันว่าโดราดู (หรือโกลดี) มันรู้จักทางไปยังกลุ่มศึกษาในเขตชนบท. โดราดูจะหยุดตรงประตูเข้าออกไร่และอดทนคอยเมื่อผมเปิดประตู. เมื่อเสร็จการเยี่ยม ผมกับโดราดูก็จะเดินทางเยี่ยมอีกกลุ่มหนึ่ง.
การไม่มีการติดต่อสื่อสารที่ไว้วางใจได้เป็นข้อท้าทายสำหรับงานเยี่ยมหมวดเช่นกัน. ตัวอย่างเช่น เพื่อจะเยี่ยมพยานฯ กลุ่มเล็ก ๆ ที่ประชุมร่วมกันในไร่รัฐมาโตโกรสโซ ผมต้องนั่งเรือข้ามแม่น้ำอาราไกวอา แล้วขี่ม้าหรือลาผ่านป่าอีกประมาณ 25 กิโลเมตร. คราวหนึ่ง ผมได้เขียนจดหมายแจ้งการเยี่ยมพี่น้องกลุ่มนี้ แต่ดูเหมือนจดหมายไปไม่ถึง เพราะไม่มีคนมารับเมื่อผมข้ามแม่น้ำ. ใกล้ย่ำค่ำแล้ว ผมจึงขอฝากสัมภาระไว้กับชายเจ้าของร้านขายเหล้าเล็ก ๆ ให้ช่วยดูแล แล้วผมก็ออกเดินต่อไปพร้อมกับมีแค่กระเป๋าใส่เอกสารเท่านั้น.
ไม่นานก็พลบค่ำ. ขณะเดินสะดุดกุกกักฝ่าความมืดไปนั้น ผมได้ยินเสียงตัวลิ่นพ่นลมออกทางจมูก. ผมเคยได้ยินมาว่าเจ้าตัวนี้ลุกขึ้นยืนสองขาได้และใช้ขาหน้าอันมีพลังทำร้ายชายคนหนึ่งถึงแก่ชีวิต. ดังนั้น ไม่ว่าสัตว์อะไรที่ส่งเสียงมาจากพุ่มไม้เตี้ย ๆ ผมจะก้าวต่อไปอย่างระวังตัวและหอบกระเป๋าไว้ด้านหน้าเพื่อป้องกันตัว. หลังจากเดินหลายชั่วโมงแล้ว ผมก็มาถึงลำธารเล็ก ๆ. แย่หน่อย เพราะความมืดนี่เอง ผมมองไม่เห็นรั้วลวดหนามที่อยู่ฝั่งตรงกันข้าม. ผมกระโดดพรวดเดียวข้ามลำธาร เลยโดนลวดหนามทิ่มเป็นแผล!
ในที่สุดผมได้มาถึงไร่และสุนัขหลายตัวพากันเห่าเสียงเกรียวเป็นการทักทาย. สมัยนั้นถือเป็นเรื่องปกติหากขโมยเข้ามาลักแกะในเวลากลางคืน ฉะนั้นพอเขาเปิดประตู ผมรีบแสดงตัวทันที. สภาพของผมในชุดเสื้อผ้าที่ฉีกขาด
และเปื้อนเลือดก็คงน่าสงสารไม่น้อย แต่พี่น้องดีใจเมื่อเห็นหน้าผม.ทั้ง ๆ ที่มีความยากลำบาก วันเหล่านั้นก็เป็นช่วงที่ผมมีความสุข. ผมเพลิดเพลินกับการเดินทางไกลไม่ว่าจะนั่งไปบนหลังม้าหรือเดินเท้า บางครั้งพักผ่อนใต้ร่มไม้ ฟังเสียงนกร้อง และจับตาดูฝูงสุนัขจิ้งจอกวิ่งตัดหน้าขณะที่ผมอยู่บนทางเปลี่ยว. อีกสิ่งหนึ่งที่ก่อความยินดีคือผมรู้ว่าการเยี่ยมของผมเป็นประโยชน์ต่อผู้คนอย่างแท้จริง. หลายคนเขียนจดหมายแสดงความขอบคุณ. บางคนกล่าวขอบคุณผมเป็นส่วนตัวเมื่อเราพบปะกัน ณ การประชุมใหญ่. ช่างเป็นความสุขใจสำหรับผมเสียจริง ๆ ที่เห็นผู้คนเอาชนะปัญหาส่วนตัวได้ และก้าวหน้าฝ่ายวิญญาณ!
ได้ผู้ช่วยในที่สุด
ระหว่างหลายปีที่เยี่ยมหมวด ผมเดินทางเพียงลำพังอยู่เนือง ๆ และนั่นเป็นบทเรียนสอนผมให้หมายพึ่งพระยะโฮวา ประหนึ่ง ‘เป็นศิลาและเป็นป้อมของผม.’ (บทเพลงสรรเสริญ 18:2) นอกจากนี้ ผมได้ตระหนักว่า การอยู่เป็นโสดช่วยผมที่จะจดจ่อใส่ใจในผลประโยชน์แห่งราชอาณาจักรได้เต็มที่.
อย่างไรก็ดี ปี 1978 ผมได้รู้จักไพโอเนียร์สาวชื่อชูเลีย ทาคาฮาชิ. เธอสละงานที่มั่นคงมีรายได้ดีฐานะเป็นพยาบาลในโรงพยาบาลใหญ่ของเมืองเซาเปาลู เพื่อไปรับใช้ในเขตที่มีความต้องการผู้ประกาศราชอาณาจักรมากกว่า. คริสเตียนผู้ปกครองที่รู้จักเธอดีต่างก็ชมชอบคุณลักษณะที่ดีทั้งด้านวิญญาณและความสามารถของเธอฐานะเป็นไพโอเนียร์. คุณคงนึกภาพได้ที่บางคนรู้สึกประหลาดใจเมื่อผมตกลงใจจะแต่งงานหลังจากอยู่เป็นโสดนานหลายปี. เพื่อนสนิทคนหนึ่งไม่อยากจะเชื่อ และเขาสัญญาว่าจะยกโคน้ำหนัก 270 กิโลกรัมให้ผม หากผมแต่งงานจริง ๆ. เราย่างโคตัวนั้นฉลองเลี้ยงวันสมรสของเราในวันที่ 1 กรกฎาคม 1978.
พากเพียรอดทนถึงแม้สุขภาพไม่แข็งแรง
ตลอดแปดปีหลังการแต่งงาน ชูเลียร่วมกับผมในงานเยี่ยมหมวด เราไปด้วยกันเมื่อเยี่ยมประชาคมต่าง ๆ ทางใต้และทางตะวันออกเฉียงใต้ของบราซิล. ครั้นแล้วผมเริ่มมีอาการโรคหัวใจ. ผมหมดสติสองครั้งในระหว่างการประกาศ ขณะที่ยังคุยกับเจ้าของบ้านอยู่. เมื่อคำนึงถึงข้อจำกัดของผม เราตกลงรับงานมอบหมายฐานะไพโอเนียร์พิเศษในเมืองบิริกวี รัฐเซาเปาลู.
เมื่อมาถึงจุดนี้ พยานฯ ในเมืองบิริกวีอาสาพาผมนั่งรถยนต์ไปพบแพทย์ในเมืองกอยยาเนีย ระยะทางห่างออกไปประมาณ 500 กิโลเมตร. เมื่อสภาพร่างกายของผมยังพอไหว ผมได้รับการผ่าตัดฝังเครื่องคุมจังหวะการเต้นของหัวใจ. นั่นเป็นเหตุการณ์เมื่อ 20 ปีที่แล้ว. แม้ว่าผ่านการผ่าตัดหัวใจอีกสองครั้ง ผมยังคงแข็งขันในงานทำให้คนเป็นสาวก. ชูเลียก็เหมือนภรรยาคริสเตียนที่ซื่อสัตย์ภักดีคนอื่น ๆ หลายคนที่เป็นแหล่งเสริมกำลังและให้การหนุนใจมิได้ขาด.
ถึงแม้ปัญหาสุขภาพจำกัดกิจกรรมของผม และบางครั้งเป็นเหตุทำให้ผมท้อแท้ แต่ผมก็ยังสามารถเป็นไพโอเนียร์ได้. ผมเตือนใจตัวเองว่าพระยะโฮวาไม่เคยสัญญากับเราว่าชีวิตในระบบเก่านี้จะมีสภาพที่น่าพอใจหรือปราศจากปัญหาโดยสิ้นเชิง. ถ้าอัครสาวกเปาโลและคริสเตียนคนอื่น ๆ ที่ซื่อสัตย์ครั้งโบราณต้องพากเพียรอดทน ทำไมในกรณีของเราจะต้องแตกต่างออกไปล่ะ?—กิจการ 14:22.
ไม่นานมานี้ ผมเจอพระคัมภีร์เล่มแรกที่ได้มาในช่วงทศวรรษ 1930. ที่ปกด้านใน ผมจดตัวเลข 350 ไว้ นั่นคือจำนวนผู้ประกาศในประเทศบราซิล ตอนที่ผมเริ่มเข้าร่วมการประชุมคริสเตียนปี 1943. ดูเหมือนไม่น่าเชื่อเลยว่า เวลานี้มีพยานพระยะโฮวามากกว่า 600,000 คนในประเทศบราซิล. ช่างเป็นสิทธิพิเศษจริง ๆ ที่ได้มีส่วนเล็กน้อยในการเติบโตเช่นนี้! แน่นอน พระยะโฮวาทรงอวยพรความพากเพียรของผมอย่างอุดมบริบูรณ์. ผมสามารถพูดได้อย่างผู้ประพันธ์เพลงสรรเสริญที่กล่าวดังนี้: “พระยะโฮวาได้ทรงกระทำการมโหฬารแก่พวกข้าพเจ้า, และพวกข้าพเจ้าจึงชื่นชมยินดี.”—บทเพลงสรรเสริญ 126:3.
[เชิงอรรถ]
^ วรรค 9 จัดพิมพ์โดยพยานพระยะโฮวา แต่เวลานี้งดพิมพ์แล้ว.
^ วรรค 23 ชาวอิตาลีเกือบ 1,000,000 คนได้ย้ายถิ่นเข้าไปอยู่ในเซาเปาลูระหว่างปี 1870–1920.
[ภาพหน้า 9]
เหล่าพยานฯ โฆษณา คำบรรยายสาธารณะ ณ การประชุมภาคครั้งแรกในเมืองซัลวาดอร์ ปี 1943
[ภาพหน้า 10]
เหล่าพยานฯ เดินทางมาถึงนครเซาเปาลู เพื่อร่วมการประชุมภาค “ประชาชาติทั้งหลายจงชื่นใจยินดี” ปี 1946
[ภาพหน้า 11]
ขณะอยู่ในงานเดินทางเยี่ยมประชาคม ช่วงปลายทศวรรษ 1950
[ภาพหน้า 12]
กับชูเลีย ภรรยาของผม