ครอบครัวของเราเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในที่สุด!
เรื่องราวชีวิตจริง
ครอบครัวของเราเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในที่สุด!
เล่าโดย ซูมิโกะ ฮิราโนะ
ฉันประสบวิถีชีวิตที่เยี่ยมยอด และอยากให้สามีของฉันมีส่วนร่วมด้วย. สี่สิบสองปีผ่านไปกว่าจะสมดังปรารถนา.
เราแต่งงานในปี 1951 ตอนนั้นฉันอายุ 21 ปี. ในช่วงสี่ปี เราได้ลูกชายสองคน และชีวิตฉันดูเหมือนสุขสบายในทุกทาง.
วันหนึ่งในปี 1957 พี่สาวบอกฉันว่ามิชชันนารีพยานพระยะโฮวาได้มาเยี่ยมเธอ. ทั้ง ๆ ที่พี่สาวเป็นชาวพุทธ แต่เธอเริ่มศึกษาคัมภีร์ไบเบิลกับมิชชันนารี และสนับสนุนฉันให้ศึกษาเช่นกัน. ฉันตอบตกลง. ตอนนั้นฉันไปโบสถ์โปรเตสแตนต์อยู่ และฉันคิดว่าฉันสามารถจะชี้ข้อเชื่อหรือคำสอนที่ไม่ถูกต้องของพยานพระยะโฮวาได้.
ไม่นานฉันก็ตระหนักว่าตัวเองแทบไม่รู้เรื่องในคัมภีร์ไบเบิลเลย. ฉันต้องถามมิชชันนารีว่า “พระยะโฮวาคือใคร?” ฉันไม่เคยได้ยินการใช้ชื่อนี้ในโบสถ์. แดฟนี คุก (ทีหลังคือแดฟนี เพตทิตต์) ได้ชี้นำฉันให้เปิดดูยะซายา 42:8 ที่นั่นกล่าวชัดเจนว่ายะโฮวาเป็นพระนามของพระเจ้าผู้ทรงฤทธานุภาพทุกประการ. แดฟนีตอบทุกคำถามของฉันด้วยการใช้คัมภีร์ไบเบิล.
ฉันถามนักเทศน์ด้วยคำถามอย่างเดียวกัน. เขาบอกฉันว่า “การถามเป็นบาป. เชื่อตามที่ผมสอนคุณก็แล้วกัน.” แม้ฉันไม่รู้สึกว่าการถามเป็นบาป กระนั้น เป็นเวลาหกเดือนฉันยังคงไปโบสถ์ทุกเช้าวันอาทิตย์ และตอนบ่ายไปร่วมการประชุมของพยานพระยะโฮวา.
ผลกระทบต่อชีวิตสมรสของฉัน
สิ่งที่ฉันเรียนรู้จากคัมภีร์ไบเบิลก่อความตื่นเต้นแก่ฉัน แล้วฉันก็เล่าให้คาซูฮิโกะ สามีฉันฟัง. หลังการศึกษาและการประชุมแต่ละครั้ง ฉันได้เล่าสิ่งที่ฉันได้เรียนรู้ให้เขาฟัง. ผลคือเกิดบรรยากาศที่เย็นชาระหว่างเรา. เขาไม่ต้องการ
ให้ฉันเป็นพยานพระยะโฮวา. กระนั้น ฉันพอใจกับการศึกษาพระคัมภีร์อย่างยิ่ง ด้วยเหตุนั้น ฉันจึงศึกษาต่อไปและสมาคมคบหากับเหล่าพยานฯ.ก่อนออกบ้านไปร่วมประชุมตอนกลางคืน ฉันมักเตรียมอาหารจานโปรดไว้สำหรับคาซูฮิโกะ แต่เขาเริ่มออกไปกินอาหารนอกบ้าน. เมื่อฉันกลับบ้านหลังเลิกประชุม เขามีอารมณ์ขุ่นมัวและไม่พูดไม่จา. พอผ่านไปสองสามวัน อารมณ์เขาก็จะดีขึ้น แต่แล้วก็ถึงเวลาสำหรับการประชุมครั้งต่อไป.
ประมาณช่วงนั้นฉันป่วยเป็นวัณโรค โรคร้ายที่คร่าชีวิตหลายคนในครอบครัวของสามีฉัน. คาซูฮิโกะวิตกกังวลมากและบอกฉันว่าถ้ากระเตื้องขึ้นเมื่อใด จะทำอะไรก็ได้ตามใจชอบ. ฉันแค่ขอให้เขากรุณาอย่าได้ขัดขวางฉันในการเข้าร่วมประชุมประจำสัปดาห์. เขาตกลง.
ฉันต้องใช้เวลาพักฟื้นหกเดือน และระหว่างนั้นฉันหมกมุ่นอยู่กับการศึกษาพระคัมภีร์อย่างคร่ำเคร่ง. ฉันค้นหาความไม่สอดคล้องกันในหลักคำสอนของพวกพยานฯ และคิดว่าถ้าพบที่ผิดเพียงข้อเดียวฉันจะเลิกศึกษา. แต่ก็หาไม่เจอ. แทนที่จะเป็นเช่นนั้น ข้อผิดพลาดของคริสตจักรโปรเตสแตนต์กลับปรากฏเด่นชัด. ฉันได้มารู้จักความรักและความยุติธรรมของพระยะโฮวา และเห็นผลประโยชน์ของการดำเนินชีวิตสอดคล้องกับข้อกฎหมายต่าง ๆ ของพระองค์.
หลังจากหายป่วยแล้ว สามีฉันปฏิบัติตามคำสัญญาที่ให้ไว้ และไม่ขัดขวางการที่ฉันไปร่วมประชุม. ฉันเติบโตฝ่ายวิญญาณขึ้นเรื่อย ๆ และได้รับบัพติสมาเป็นพยานพระยะโฮวาในเดือนพฤษภาคม ปี 1958. ฉันปรารถนาจะเห็นคนในครอบครัวมาร่วมกันนมัสการพระเจ้าองค์เที่ยงแท้.
การช่วยเหลือลูก ๆ ของฉันทางด้านวิญญาณ
ลูกชายทั้งสองคนได้เข้าร่วมการประชุมและออกประกาศกับฉันเสมอ แต่บางอย่างที่เกิดขึ้นทำให้ฉันเห็นว่าลูกกำลังเติบโตขึ้นในความรู้ด้านคัมภีร์ไบเบิล. วันหนึ่ง มาซาฮิโกะ ลูกชายวัยหกขวบกำลังเล่นอยู่นอกบ้าน. ฉันได้ยินเสียงดังแล้วมีคนร้องเสียงหลง. ผู้หญิงข้างบ้านพรวดพราดเข้ามาและร้องตะโกนว่าลูกชายของฉันถูกรถชน. เขาตายหรือเปล่า? ฉันตั้งสติควบคุมตัวเองขณะวิ่งออกไปดู. ฉันตัวสั่นรู้สึกเย็นวาบไปทั้งตัวเมื่อเห็นจักรยานพังยับ ครั้นแล้วฉันก็เห็นลูกชายเดินมาหา แต่เขาเจ็บไม่มาก. เขาพูดขณะเกาะฉันแน่นว่า “แม่ครับ พระยะโฮวาช่วยผมใช่ไหม?” การที่เห็นเขารอดตายและได้ยินคำพูดน่าฟังเช่นนั้น ฉันถึงกับหลั่งน้ำตา.
อีกวันหนึ่ง ขณะเผยแพร่ตามบ้าน เราเจอชายแก่คนหนึ่งตะโกนลั่นว่า “คุณคิดยังไงถึงได้พาลูกตัวกะเปี๊ยกตะลอนไปทั่ว? ผมเวทนาเขา.” ก่อนฉันจะเอ่ยปากตอบ โตโมโยชิวัยแปดขวบก็พูดขึ้นว่า “คุณตาครับ แม่ไม่ได้บังคับผมให้มาเดินเผยแพร่นะครับ. ผมทำงานนี้เพราะผมต้องการรับใช้พระยะโฮวา.” ชายแก่คนนั้นได้แต่จ้องหน้าและอึ้งไปเลย.
ว่ากันทางฝ่ายวิญญาณ ลูกชายของฉันกำพร้าพ่อ. ฉะนั้น จึงขึ้นอยู่กับฉันที่จะสอนความจริงของคัมภีร์ไบเบิลแก่ลูก ทั้ง ๆ ที่ฉันเองยังต้องเรียนรู้อีกมากมาย. ฉันได้เพาะความรัก, ความเชื่อ, และความมีใจแรงกล้าและพยายามวางตัวอย่างที่ดี. ฉันกล่าวขอบคุณพระยะโฮวาต่อหน้าลูก ๆ ทุกวันเป็นประจำ. ฉันเล่าให้ลูกฟังเกี่ยวกับสิ่งต่าง ๆ ที่ได้พบ
เห็นในงานรับใช้. การทำเช่นนี้เป็นกำลังใจให้พวกเขา. ในเวลาต่อมา เมื่อมีคนถามถึงเหตุผลที่พวกเขาได้มาเป็นไพโอเนียร์หรือผู้รับใช้เต็มเวลาแห่งพยานพระยะโฮวา เขาตอบว่า “เราเห็นว่าแม่มีความสุขขณะรับใช้ฐานะไพโอเนียร์ และเราเองก็อยากมีความสุขอย่างนั้นด้วย.”ฉันระมัดระวังมากที่จะไม่พูดติเตียนพ่อของลูกหรือติเตียนใคร ๆ ในประชาคม. ฉันตระหนักว่าการพูดที่ไม่เสริมสร้างอาจส่งผลกระทบในทางเสียหายแก่ลูกของฉัน. พวกเขาอาจเสื่อมความนับถือไม่เฉพาะคนที่ถูกติเตียน แต่จะหมดความนับถือต่อผู้พูดด้วย.
เอาชนะอุปสรรคที่ขวางกั้นความก้าวหน้า
ปี 1963 ธุรกิจของสามีทำให้พวกเราต้องย้ายไปไต้หวัน. เขาบอกฉันว่าหากฉันเผยแพร่ในชุมชนชาวญี่ปุ่นที่นั่น ฉันจะเป็นต้นเหตุทำให้เกิดปัญหา. พวกเราจะถูกส่งกลับประเทศญี่ปุ่น แล้วนั่นจะสร้างปัญหาให้แก่บริษัทของเขา. เขาต้องการแยกเราให้ห่างจากเหล่าพยานพระยะโฮวา.
ในไต้หวัน วาระการประชุมทุกรายการถูกจัดขึ้นเป็นภาษาจีน พี่น้องพยานฯ ต้อนรับพวกเราอย่างอบอุ่น. ฉันตัดสินใจเรียนภาษาจีนก็เพื่อให้คำพยานแก่คนท้องถิ่นได้ แทนที่จะให้คำพยานแก่ชาวญี่ปุ่น. โดยวิธีนี้ ฉันสามารถเลี่ยงปัญหาที่สามียกขึ้นมาอ้าง.
มิตรภาพระหว่างเรากับพวกพยานฯ ที่ไต้หวันเสริมกำลังพวกเราให้เข้มแข็ง. ฮาร์วีย์และแคที โลแกน มิชชันนารีคู่สามีภรรยาได้ช่วยเหลือพวกเรามากมาย. บราเดอร์โลแกนกลายเป็นบิดาฝ่ายวิญญาณของลูกชายฉัน. เขาอธิบายให้ลูกเข้าใจว่าการรับใช้พระยะโฮวาใช่ว่าจะขาดความชื่นชม หรือมีชีวิตที่ถือเคร่ง. ฉันเชื่อมั่นว่าช่วงที่เราอยู่ในไต้หวันนี่เอง ลูกชายของเราตัดสินใจรับใช้พระยะโฮวา.
โตโมโยชิและมาซาฮิโกะเรียนที่โรงเรียนอเมริกัน เขาเรียนควบทั้งภาษาอังกฤษและภาษาจีน. การศึกษาแบบนี้เตรียมเขาไว้พร้อมสำหรับงานรับใช้ในอนาคต ฐานะเป็นผู้ปรนนิบัติพระยะโฮวาพระเจ้าองค์เที่ยงแท้. ฉันซาบซึ้งบุญคุณของพระยะโฮวาสำหรับการเปลี่ยนแปลงซึ่งอาจเป็นช่วงยากลำบากให้กลายเป็นเวลาที่เราได้รับพระพรยั่งยืน. ภายหลังสามปีครึ่งที่น่าจดจำในไต้หวัน ครอบครัวของเราได้ย้ายกลับมาที่ประเทศญี่ปุ่น.
ตอนนี้ลูกชายของเราโตเป็นวัยรุ่นแล้ว และเริ่มไม่อยากอยู่ในบังคับใคร. ฉันได้ใช้เวลาหลายชั่วโมงหาเหตุผลกับเขา โดยอาศัยหลักการในคัมภีร์ไบเบิล และพระยะโฮวาทรงช่วยเขาผ่านช่วงที่ยากลำบากนั้น. เมื่อเรียนจบมัธยมปลาย โตโมโยชิเริ่มเป็นไพโอเนียร์. ระหว่างสองสามปีแรกที่เขาเป็นไพโอเนียร์ เขาสามารถช่วยสี่คนถึงขั้นอุทิศตัวและรับบัพติสมา. มาซาฮิโกะติดตามตัวอย่างพี่ชายและเริ่มงานไพโอเนียร์หลังจากจบชั้นมัธยมต้น. เขาได้ช่วยหนุ่มสาวสี่คนเข้ามาเป็นพยานพระยะโฮวาในช่วงสี่ปีแรกที่เขาเป็นไพโอเนียร์.
จากนั้นพระยะโฮวาทรงอวยพรลูกมากยิ่งขึ้น. โตโมโยชิได้นำการศึกษากับสามีของผู้หญิงที่ฉันเคยช่วยเธอเรียนรู้ความจริง. ลูกสาวสองคนของครอบครัวนี้ได้เข้ามาเป็นพยานฯ เช่นกัน. ต่อมา โตโมโยชิแต่งงานกับโนบุโกะพี่สาว และมาซาฮิโกะแต่งกับมาซาโกะน้องสาว. เวลานี้โตโมโยชิกับโนบุโกะรับใช้ที่สำนักงานใหญ่ของพยานพระยะโฮวาในบรุกลิน นิวยอร์ก. ส่วนมาซาฮิโกะกับมาซาโกะรับใช้ฐานะมิชชันนารีในประเทศปารากวัย.
การเปลี่ยนแปลงอย่างค่อยเป็นค่อยไปในส่วนของสามี
เมื่อหลายปีก่อน สามีฉันดูเหมือนไม่ค่อยสนใจความเชื่อของเรา แต่พวกเราเห็นทีท่าอาการของเขากำลังเปลี่ยน. เมื่อบางคนต่อต้านฉัน เขาแก้ต่างความเชื่อของฉัน อันที่จริงเขาสนับสนุนความจริงของคัมภีร์ไบเบิลโดยไม่รู้ตัว. เขามักจะให้การเกื้อหนุนด้านวัตถุแก่พยานฯ ในยามขัดสน. ในวันแต่งงานของลูกชาย เขากล่าวปราศรัยสั้น ๆ ดังนี้: “การสอนผู้คนให้รู้วิถีชีวิตที่ถูกต้องเป็นงานที่ดีเยี่ยม และเป็นงานยากที่สุด. ลูกชายทั้งสองของผมและภรรยาของเขาได้เลือกทางเดินที่แสนยากลำบากนี้เป็นงานประจำชีพ. โปรดสนับสนุนลูกของผมด้วย.” การกระทำทั้งหมดนี้ทำให้ฉันคิดว่าเขาคงจะสมทบพวกเราในการรับใช้พระยะโฮวาแน่ ๆ.
ฉันจัดแจงให้สามีได้มีโอกาสคบหากับเพื่อนพยานฯ ในบ้านของเรา. ฉันชวนคาซูฮิโกะไปร่วมการประชุมคริสเตียนประจำสัปดาห์, การประชุมใหญ่, รวมทั้งการประชุมอนุสรณ์ระลึกถึงการสิ้นพระชนม์ของพระคริสต์ด้วย. ถ้าเขาไม่ติดงาน เขาก็ไปร่วมการประชุมต่าง ๆ ดังกล่าวแม้ไม่สู้เต็มใจนัก. หลายครั้งฉันคิดว่าเขาจะตกลงใจยอมศึกษาพระคัมภีร์ ดังนั้น ฉันได้เชิญคริสเตียนผู้ปกครองมาที่บ้าน. แต่เขาไม่ยอมศึกษา. ฉันสงสัยว่ามีอะไรผิดพลาดไปหรือเปล่า.
ถ้อยคำของอัครสาวกเปโตรผุดขึ้นในจิตใจฉันที่ว่า “ท่านทั้งหลายที่เป็นภรรยา จงยอมอยู่ใต้อำนาจสามีของท่าน เพื่อว่า ถ้าคนใดไม่เชื่อฟังพระคำ แม้นไม่เอ่ยปาก เขาก็อาจถูกโน้มน้าวโดยการประพฤติของภรรยา เนื่องจากได้เห็นประจักษ์ถึงการประพฤติอันบริสุทธิ์ของท่านทั้งหลายพร้อมกับความนับถืออันสุดซึ้ง.” (1 เปโตร 3:1, 2, ล.ม.) ฉันตระหนักว่าฉันไม่ได้ปฏิบัติตามคำแนะนำนี้เสมอไป. เพื่อจะทำให้ได้เต็มที่กับคำแนะนำนี้ ฉันจำเป็นต้องปรับปรุงสภาพฝ่ายวิญญาณของตัวเอง. ปี 1970 ฉันเริ่มงานไพโอเนียร์พร้อมด้วยเป้าหมายจะเป็นบุคคลที่เลื่อมใสพระเจ้ามากขึ้น.
ผ่านไปสิบปีก็แล้ว 20 ปีก็แล้ว กระนั้น ฉันยังไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงฝ่ายวิญญาณใด ๆ ในตัวสามี. ครั้งหนึ่งนักศึกษาพระคัมภีร์คนหนึ่งถึงกับพูดว่า “การช่วยคนอื่นคงต้องเป็นงานหนักแน่ ๆ ในเมื่อคุณไม่สามารถช่วยสามีของคุณเองได้.” คำพูดเช่นนั้นทำให้รู้สึกท้อแท้ แต่ฉันไม่ยอมแพ้.
พอถึงปลายทศวรรษ 1980 พ่อแม่ของเราชรามากเปรียบเหมือนไม้ใกล้ฝั่ง. การที่ต้องใส่ใจดูแลท่านและปฏิบัติหน้าที่อื่น ๆ ให้ครบถ้วนทำให้ฉันอ่อนเพลียและเครียดจัด. นานนับปี ท่านได้ขัดขวางความเชื่อของฉันในพระยะโฮวามาโดยตลอด แต่ฉันพยายามให้ความรักแก่ท่านมากเท่าที่ทำได้. ไม่นานก่อนเสียชีวิต ตอนนั้นแม่อายุ 96 ปี ท่านพูดกับฉันว่า “ซูมิโกะ ถ้าแม่เป็นขึ้นจากตาย แม่จะเข้าร่วมศาสนาของลูกนะ.” ฉันรับรู้ว่าความพยายามของฉันไม่ไร้ผลเสียทีเดียว.
สามีสังเกตทุกสิ่งที่ฉันทำไปเพื่อพ่อแม่ของเรา. เพื่อแสดงความหยั่งรู้ค่า เขาจึงเริ่มเข้าร่วมประชุมสม่ำเสมอ. เขาทำอย่างนั้นเป็นเวลาหลายปีแต่ไม่ก้าวหน้าฝ่ายวิญญาณ. ฉันพยายามเอาอกเอาใจเขามิได้ขาด. ฉันเชิญเพื่อน ๆ ของเขา อีกทั้งผู้ร่วมธุรกิจชาวต่างชาติด้วยซ้ำมาร่วมรับประทานอาหารที่บ้านของเรา. ฉันสมทบกับเขาเสมอในยามพักผ่อนหย่อนใจ. เมื่อข้อเรียกร้องในเรื่องเวลาทำงานของไพโอเนียร์ลดลง ฉันสามารถใช้เวลาอยู่กับเขามากขึ้น.
การเกษียณอายุนำไปสู่การเปลี่ยนแปลง
สามีของฉันเกษียณอายุในปี 1993. ถึงตอนนั้น ฉันคิดว่าในที่สุดเขาจะมีเวลาศึกษาพระคัมภีร์. แต่เขากลับพูดว่าการนมัสการพระเจ้าเพราะมีเวลาว่างคงเป็นการหมิ่นประมาท
ศาสนา. แทนที่จะทำอย่างนั้น เขาพูดว่าเขาจะนมัสการพระเจ้าต่อเมื่อมีแรงบันดาลใจให้ปฏิบัติ ฉะนั้น ฉันไม่ควรเร่งเร้าเขา.วันหนึ่ง คาซูฮิโกะถามฉันว่าจะใช้ชีวิตที่เหลืออยู่เพื่อเขาได้ไหม. คำพูดทำนองนี้เสียดแทงใจนัก เพราะฉันทำทุกอย่างสุดความสามารถก็เพื่อเขานับตั้งแต่ที่ฉันแต่งงานกับเขา. ฉันพยายามเต็มที่เพื่อให้เขามีความสุข แต่เขากลับคิดว่าฉันดำเนินชีวิตเพื่อพระยะโฮวามากกว่าทำเพื่อเขา. หลังจากคิดใคร่ครวญอยู่ระยะหนึ่ง ฉันจึงบอกเขาว่าฉันไม่อาจทำเพื่อเขาได้มากกว่านี้. แต่หากเขาจะร่วมมือร่วมใจทำสิ่งที่ฉันกำลังทำอยู่ เราจะเริ่มชีวิตใหม่ที่ดีเยี่ยมด้วยกัน ไม่ใช่เพียงไม่กี่ปี ทว่า ยั่งยืนตลอดกาล. หลายวันผ่านไป ไม่มีคำตอบจากสามี. ในที่สุดเขาถามว่า “เอาละ คุณจะศึกษาพระคัมภีร์กับผมไหม?” ฉันนึกถึงคำพูดเหล่านั้นทีไร ใจฉันเต้นด้วยความปีติ.
ทีแรก ฉันจัดเตรียมให้คริสเตียนผู้ปกครองคนหนึ่งศึกษากับสามี แต่เขาบอกฉันว่า “ผมจะไม่ศึกษากับใครทั้งนั้นนอกจากคุณ.” ดังนั้น เราเริ่มศึกษาพระคัมภีร์เป็นประจำทุกวัน. เนื่องจากฉันอยู่ในประชาคมภาษาจีน และสามีคล่องภาษานั้นอยู่แล้ว เราจึงศึกษาด้วยกันเป็นภาษาจีน. นอกจากนั้นเราอ่านคัมภีร์ไบเบิลด้วยกันและไม่ถึงปีก็อ่านจบทั้งเล่ม.
ระหว่างนั้น ผู้ปกครองคนหนึ่งในประชาคมภาษาจีนพร้อมด้วยภรรยาได้ให้ความเอาใจใส่เราฐานะเป็นคู่สามีภรรยา. แม้อายุของคนทั้งสองอ่อนกว่าลูกของเรา แต่เขาได้กลายเป็นมิตรแท้ของเรา. พยานฯ คนอื่น ๆ มากมายให้ความสนใจเป็นพิเศษต่อสามีฉัน. พวกเขาแสดงความโอบอ้อมอารีต่อเราและพูดคุยกับคาซูฮิโกะเสมือนคุยกับบิดา. นั่นทำให้เขามีความสุขเสียจริง ๆ.
วันหนึ่ง มีบัตรเชิญไปงานแต่งงานที่ประชาคมส่งมาที่บ้าน จ่าหน้าซองถึงสามีฉัน. เขารู้สึกประทับใจที่ยอมรับเขาฐานะประมุขครอบครัว และจึงตัดสินใจไปร่วม. ในเวลาต่อมา เขาเปิดใจแสดงความเป็นมิตรต่อพยานฯ และเริ่มศึกษาพระคัมภีร์กับคริสเตียนผู้ปกครอง. การที่ได้ศึกษาพระคัมภีร์, เข้าร่วมประชุม, และมีความรักต่อประชาคมได้ช่วยเขาก้าวหน้าฝ่ายวิญญาณเป็นอย่างดี.
ครอบครัวเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในที่สุด
เดือนธันวาคม ปี 2000 สามีฉันได้รับบัพติสมา แสดงสัญลักษณ์การอุทิศตัวแด่พระยะโฮวา. ลูกชายทั้งสองพร้อมด้วยภรรยาของเขาได้เดินทางจากแดนไกลมาดู “การอัศจรรย์” สมัยใหม่. ต้องใช้เวลานานถึง 42 ปี แต่ในที่สุดครอบครัวของเราก็เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน.
บัดนี้ เราสองคนพิจารณาข้อคัมภีร์ประจำวันทุกเช้าและอ่านคัมภีร์ไบเบิลด้วยกัน. ทุกวัน เราชื่นชมกับการสนทนาเรื่องฝ่ายวิญญาณและเข้าร่วมทำกิจกรรมคริสเตียน. เวลานี้ สามีของฉันเป็นผู้ช่วยงานรับใช้ในประชาคม และไม่นานมานี้ได้ให้คำบรรยายสาธารณะเป็นภาษาจีน. ฉันขอบพระคุณพระยะโฮวาที่ทรงชักนำพวกเรามาอยู่ร่วมกัน. พร้อม ๆ กันกับทุกคนในครอบครัวที่ฉันรักและบรรดามิตรสหาย ฉันตั้งตาคอยที่จะเชิดชูพระนามและพระบรมเดชานุภาพของพระองค์ตลอดไป.
[แผนที่หน้า 13]
(รายละเอียดดูจากวารสาร)
จีน
สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลี
สาธารณรัฐเกาหลี
ทะเลญี่ปุ่น
ญี่ปุ่น
โตเกียว
ทะเลจีนตะวันออก
ไต้หวัน
ไทเป
[ภาพหน้า 12]
กับครอบครัวของฉันในปี 1958 ปีที่ฉันรับบัพติสมา
[ภาพหน้า 13]
เราได้รับการเสริมกำลังฝ่ายวิญญาณจากบรรดาเพื่อน ๆ อย่างฮาร์วีย์และแคที โลแกน คราวที่เราย้ายจากโตเกียวไปไทเป
[ภาพหน้า 15]
ปัจจุบัน ครอบครัวของฉันเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในการนมัสการแท้