“จงชื่นใจยินดีด้วยกันกับภรรยาซึ่งอยู่ด้วยกันมาแต่หนุ่มสาว”
“จงชื่นใจยินดีด้วยกันกับภรรยาซึ่งอยู่ด้วยกันมาแต่หนุ่มสาว”
“จงชื่นใจยินดีด้วยกันกับภรรยาซึ่งอยู่ด้วยกันมาแต่หนุ่มสาว. ศิษย์ของเราเอ๋ย, ด้วยเหตุประการใดเจ้าจึงไปรื่นเริงยินดีกับหญิงชั่ว [“หญิงแปลกหน้า,” ล.ม.].”—สุภาษิต 5:18, 20.
1, 2. เหตุใดจึงกล่าวได้ว่าความรักใคร่ทางเพศระหว่างสามีกับภรรยาเป็นพระพร?
คัมภีร์ไบเบิลกล่าวอย่างเปิดเผยตรงไปตรงมาในเรื่องความสัมพันธ์ทางเพศ. ที่สุภาษิต 5:18, 19 เราอ่านดังนี้: “จงให้บ่อน้ำพุของเจ้านำความสุขสำราญมาสู่ตัวเจ้าเอง [“เป็นพระพร,” ล.ม.]; และจงชื่นใจยินดีด้วยกันกับภรรยาซึ่งอยู่ด้วยกันมาแต่หนุ่มสาว. เหมือนอย่างนางเนื้อที่น่ารักและนางกวางที่น่าชม, จงให้ถันของภรรยาเจ้าเป็นที่หนำใจอยู่ทุกเวลา; จงรื่นเริงยินดีกับความรักของภรรยาเสมอ.”
2 ในที่นี้ คำ “บ่อน้ำพุ” หมายถึงแหล่งแห่งความเพลิดเพลินทางเพศ. การที่เรื่องนี้เป็นพระพรก็เพราะความรู้สึกรักใคร่ทางเพศและความปีติยินดีที่คู่สมรสมีร่วมกันเป็นของประทานจากพระเจ้า. อย่างไรก็ตาม ความสัมพันธ์ทางเพศนี้จำกัดไว้เฉพาะในสายสมรสเท่านั้น. ด้วยเหตุนั้น กษัตริย์ซะโลโมแห่งอิสราเอลโบราณ ผู้เขียนพระธรรมสุภาษิต ตั้งคำถามเชิงวาทะศิลป์ดังนี้: “บุตรชายของเราเอ๋ย เจ้าจะเคลิบเคลิ้มอยู่กับหญิงชั่ว [“หญิงแปลกหน้า,” ล.ม.] ทำไมเล่าและโอบกอดอกของนางสัญจรอยู่ทำไม?”—สุภาษิต 5:20, ฉบับแปลใหม่.
3. (ก) มีความจริงอันน่าเศร้าเช่นไรสำหรับชีวิตสมรสมากมาย? (ข) พระเจ้าทรงมีทัศนะอย่างไรต่อการเล่นชู้?
3 ในวันแต่งงาน ชายและหญิงให้คำสัตย์ปฏิญาณว่าจะรักและซื่อสัตย์ต่อกัน. แต่กระนั้น ชีวิตสมรสจำนวนมากพังทลายเพราะการเล่นชู้. ที่จริง หลังจากวิเคราะห์การสำรวจมากกว่า 24 ครั้ง นักวิจัยคนหนึ่งลงความเห็นว่า “ร้อยละ 25 ของภรรยาและร้อยละ 44 ของสามีมีความสัมพันธ์ทางเพศนอกสายสมรส.” อัครสาวกเปาโลกล่าวว่า “อย่าให้เขาล่อลวงท่านให้หลง, คนผิดประเวณี, หรือคนไหว้รูปเคารพ, หรือผิดผัวเมียเขา, หรือหญิงเล่นเพื่อน, หรือชายเล่นน้องสวาท . . . จะไม่ได้รับส่วนในแผ่นดินของพระเจ้า.” 1 โกรินโธ 6:9, 10) ไม่มีข้อสงสัยในเรื่องนี้. การเล่นชู้เป็นบาปร้ายแรงในสายพระเนตรพระเจ้า และผู้นมัสการแท้ต้องระวังการนอกใจคู่สมรส. อะไรจะช่วยเราทำให้ “การสมรสเป็นที่นับถือแก่คนทั้งปวง และให้เตียงสมรสปราศจากมลทิน”?—เฮ็บราย 13:4, ฉบับแปล 2002.
(จงระวังหัวใจทรยศ
4. มีทางใดบ้างที่คู่สมรสคริสเตียนอาจเข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องรัก ๆ ใคร่ ๆ นอกสายสมรสได้โดยไม่ทันรู้ตัว?
4 ในบรรยากาศอันเสื่อมทรามด้านศีลธรรมของทุกวันนี้ ผู้คนจำนวนมากมีตาที่ “เต็มไปด้วยความปรารถนาแห่งการล่วงประเวณี, และเขาหยุดกระทำบาปไม่ได้เลย.” (2 เปโตร 2:14) พวกเขาจงใจแสวงหาสายสัมพันธ์ทางเพศนอกสายสมรส. ในบางดินแดน สตรีจำนวนมากได้เข้าสู่อุตสาหกรรมแรงงาน และการทำงานร่วมกันกับเพศตรงข้ามได้สร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อให้เกิดความรักฉันชู้สาวที่ไม่เหมาะสมในที่ทำงาน. แล้วก็ยังมีห้องสนทนาในอินเทอร์เน็ตซึ่งทำให้เป็นเรื่องง่ายแม้แต่สำหรับคนที่ขี้อายที่สุดจะสร้างสายสัมพันธ์ฉันเพื่อนที่สนิทชิดเชื้อทางคอมพิวเตอร์. คู่สมรสหลายคนติดบ่วงแร้วเช่นนั้นโดยไม่ทันรู้ตัว.
5, 6. สตรีคริสเตียนคนหนึ่งติดบ่วงแร้วโดยตกอยู่ในสถานการณ์อันตรายอย่างไร และเราเรียนอะไรได้จากเรื่องนี้?
5 ขอพิจารณาวิธีที่คริสเตียนคนหนึ่ง ซึ่งเราจะเรียกเธอว่าแมรี ได้ตกอยู่ในสถานการณ์ที่ทำให้เธอเกือบพลาดพลั้งทำผิดศีลธรรมทางเพศ. สามีเธอ ซึ่งไม่ได้เป็นพยานพระยะโฮวา แสดงความรักความสนใจต่อครอบครัวน้อยมาก. แมรีเล่าถึงช่วงหนึ่งเมื่อหลายปีมาแล้วที่เธอพบกับเพื่อนร่วมงานคนหนึ่งของสามี. ชายคนนี้มีมารยาทดีทีเดียว และในเวลาต่อมา เขาถึงกับแสดงความสนใจในความเชื่อทางศาสนาของแมรี. เธอบอกว่า “เขาน่ารักมาก และแตกต่างจากสามีของดิฉันมาก.” ไม่นานนัก แมรีกับเพื่อนร่วมงานของสามีคนนี้ก็เกิดความรู้สึกผูกพันในเชิงชู้สาวต่อกัน. เธอหาเหตุผลว่า “ฉันไม่ได้ทำผิดศีลธรรมทางเพศ และชายคนนี้ก็สนใจพระคัมภีร์. บางทีฉันอาจจะช่วยเขาได้.”
6 ก่อนที่ความผูกพันเชิงชู้สาวจะชักนำให้เธอทำผิดศีลธรรม แมรีได้สติ. (ฆะลาเตีย 5:19-21; เอเฟโซ 4:19) สติรู้สึกผิดชอบของเธอเริ่มทำงาน และเธอลงมือแก้ไขเรื่องนี้ให้ถูกต้อง. ประสบการณ์ของแมรีแสดงว่า “หัวใจทรยศยิ่งกว่าสิ่งอื่นใดและสิ้นคิด.” (ยิระมะยา 17:9, ล.ม.) คัมภีร์ไบเบิลแนะเตือนเราว่า “จงป้องกันรักษาหัวใจของเจ้าไว้ยิ่งกว่าสิ่งอื่นที่ควรปกป้อง.” (สุภาษิต 4:23, ล.ม.) เราจะทำเช่นนั้นได้อย่างไร?
‘คนฉลาดหนีไปซ่อนตัว’
7. เมื่อช่วยบางคนที่มีปัญหาครอบครัว การทำตามคำแนะนำอะไรในพระคัมภีร์จะช่วยป้องกันปัญหา?
7 อัครสาวกเปาโลเขียนว่า “คนที่คิดว่าตัวมั่นคงดีอยู่แล้วจงระวังให้ดี, กลัวว่าจะหลงผิดไป.” (1 โกรินโธ 10:12) และสุภาษิต 22:3 กล่าวว่า “คนฉลาดมองเห็นภัยแล้วหนีไปซ่อนตัว.” แทนที่จะคิดอย่างมั่นใจตัวเองเกินไปว่า ‘ไม่มีอะไรจะเกิดขึ้นกับฉันได้หรอก’ นับว่าฉลาดที่คุณจะคาดการณ์ไว้ก่อนว่าสถานการณ์แบบใดอาจนำไปสู่ปัญหาได้. ตัวอย่างเช่น จงหลีกเลี่ยงการเป็นที่ปรึกษาเพียงผู้เดียวให้แก่บางคนที่เป็นเพศตรงข้ามซึ่งกำลังประสบปัญหายุ่งยากที่ทำให้สับสน ในชีวิตสมรส. (สุภาษิต 11:14) บอกคนนั้นว่าดีที่สุดที่จะพิจารณาปัญหาครอบครัวด้วยกันกับคู่ของตน, กับคริสเตียนอาวุโสเพศเดียวกันที่ปรารถนาจะเห็นชีวิตสมรสของเขาประสบความสำเร็จ, หรือกับผู้ปกครอง. (ติโต 2:3, 4) ผู้ปกครองในประชาคมแห่งพยานพระยะโฮวาวางตัวอย่างที่ดีในเรื่องนี้. เมื่อผู้ปกครองคนหนึ่งจำเป็นต้องคุยเป็นส่วนตัวกับพี่น้องหญิง เขาจะคุยในที่เปิดเผย—เช่น ที่หอประชุม.
8. จำเป็นต้องระวังอะไรในที่ทำงาน?
8 ในที่ทำงานและที่อื่น ๆ จงระวังสถานการณ์ที่อาจส่งเสริมให้เกิดความสนิทชิดเชื้อกับเพศตรงข้าม. ตัวอย่างเช่น การทำงานนอกเวลาอย่างใกล้ชิดกับบางคนที่เป็นเพศตรงข้ามอาจนำไปสู่การล่อใจได้. ในฐานะชายหรือหญิงที่สมรสแล้ว คุณควรทำให้ชัดเจนด้วยคำพูดและท่าทีว่าคุณสมรสแล้วและไม่ต้องการสร้างความสัมพันธ์ฉันชู้สาวกับใครอื่น. ในฐานะคนที่ดำเนินด้วยความเลื่อมใสพระเจ้า คุณย่อมจะไม่ต้องการเชื้อเชิญให้คนอื่นสนใจตัวคุณอย่างไม่เหมาะสมด้วยการเกี้ยวพานหรือด้วยการแต่งกายและประดับตัวอย่างไม่สุภาพเรียบร้อย. (1 ติโมเธียว 4:8; 6:11; 1 เปโตร 3:3, 4) การติดหรือวางรูปคู่สมรสและลูกไว้ในที่ทำงานจะช่วยเตือนใจตัวคุณเองและคนอื่น ๆ ให้เห็นว่าคุณให้ความสำคัญแก่ครอบครัวมากขนาดไหน. จงตั้งใจแน่วแน่ว่าจะไม่กระตุ้น—หรือแม้แต่จะยอม—ให้ใครมาเกี้ยวพานเด็ดขาด.—โยบ 31:1.
“เจ้าจงอยู่กินด้วยความชื่นชมยินดีกับภรรยาซึ่งเจ้ารัก”
9. ลูกโซ่ของเหตุการณ์เช่นไรที่อาจทำให้เกิดสายสัมพันธ์ใหม่เชิงรัก ๆ ใคร่ ๆ ที่ทำให้หลงใหล?
9 การป้องกันรักษาหัวใจจำเป็นต้องทำไม่เพียงแค่หลีกเลี่ยงสถานการณ์อันตราย. การที่เกิดความรู้สึกถูกดึงดูดใจในเชิงรัก ๆ ใคร่ ๆ จากใครบางคนนอกสายสมรสอาจเป็นข้อบ่งชี้ว่าสามีและภรรยาไม่ได้ใส่ใจความต้องการของกันและกัน. อาจเป็นได้ว่าภรรยาถูกละเลยมาโดยตลอด หรือสามีถูกวิพากษ์วิจารณ์อยู่เสมอ. และโดยไม่คาดคิดก็มีอีกคนหนึ่ง—ซึ่งอาจจะพบกันในที่ทำงานหรือแม้แต่ในประชาคมคริสเตียน—ที่ดูเหมือนว่ามีคุณลักษณะที่คู่ของตนไม่มี. ไม่ช้า ความผูกพันก็ก่อตัว และสายสัมพันธ์ใหม่ก็เริ่มกลายเป็นความหลงใหลอย่างที่แทบไม่อาจต้านทานได้. ลำดับเหตุการณ์ที่เป็นลูกโซ่ซึ่งยากจะสังเกตเห็นนี้ยืนยันความเป็นจริงในคำกล่าวของคัมภีร์ไบเบิลที่ว่า “ทุกคนถูกทดลองโดยที่ถูกความปรารถนาของเขาเองชักนำและล่อใจเขา.”—ยาโกโบ 1:14, ล.ม.
10. สามีและภรรยาจะทำให้สายสัมพันธ์ของตนแน่นแฟ้นได้อย่างไร?
10 แทนที่จะมองหาจากสายสัมพันธ์นอกสายสมรสเพื่อสนองความปรารถนา—ไม่ว่าจะเป็นความปรารถนาจะได้ความรัก, มิตรภาพ, หรือการสนับสนุนในช่วงที่ประสบความยุ่งยากลำบาก—สามีและภรรยาควรพยายามเสริมความสัมพันธ์อันเปี่ยมด้วยความรักกับคู่ของตนให้แน่นแฟ้น. และในทุกวิถีทาง จงพยายามใช้เวลาด้วยกัน และใกล้ชิดกันและกันมากขึ้น. ขอให้คิดทบทวนว่าอะไรทำให้คุณตกหลุมรัก. พยายามฟื้นความรู้สึกอบอุ่นที่คุณเคยมีต่อคนที่ได้กลายมาเป็นคู่ชีวิตของคุณให้กลับคืนมา. คิดถึงช่วงเวลาดี ๆ ที่เคยมีร่วมกัน. อธิษฐานถึงพระเจ้าเกี่ยวกับเรื่องนี้. ดาวิด ผู้ประพันธ์เพลงสรรเสริญ วิงวอนพระยะโฮวาดังนี้: “ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงสร้างใจสะอาดภายในข้าพระองค์ และฟื้นน้ำใจที่หนักแน่นขึ้นใหม่ภายในข้าพระองค์.” (บทเพลงสรรเสริญ 51:10, ฉบับแปลใหม่) จงตั้งใจแน่วแน่ที่จะ ‘อยู่กินด้วยความชื่นชมยินดีกับภรรยาซึ่งคุณรักมากที่สุดตลอดอายุของคุณ, ซึ่งพระองค์ได้ทรงประทานให้แก่คุณภายใต้ดวงอาทิตย์.’—ท่านผู้ประกาศ 9:9.
11. ความรู้, สติปัญญา, และความสังเกตเข้าใจมีบทบาทเช่นไรในการเสริมสายสมรสให้เข้มแข็ง?
11 สิ่งที่ต้องไม่มองข้ามในการเสริมสายสมรสให้เข้มแข็งคือคุณค่าของความรู้, สติปัญญา, และการสังเกตเข้าใจ. สุภาษิต 24:3, 4 กล่าวว่า “เมื่อจะก่อตึกต้องอาศัยปัญญา, และเมื่อจะสร้างบ้านก็ต้องอาศัยความเข้าใจ; และอาศัยความรู้ ห้องทั้งหลายนั้นจะเต็มไปด้วยของมีค่าและที่ชื่นตา.” สิ่งที่รวมอยู่ในบรรดาของมีค่าที่ทำให้ครอบครัวมีความสุขก็คือคุณลักษณะต่าง ๆ เช่น ความรัก, ความภักดี, ความเกรงกลัวพระเจ้า, และความเชื่อ. เพื่อจะได้มาซึ่ง คุณลักษณะเหล่านี้ต้องอาศัยความรู้ของพระเจ้า. ดังนั้น คู่สมรสควรเป็นนักศึกษาคัมภีร์ไบเบิลที่เอาจริงเอาจัง. และสติปัญญากับการสังเกตเข้าใจสำคัญอย่างไร? เพื่อจะรับมือกับปัญหาในแต่ละวันได้เป็นอย่างดีต้องอาศัยสติปัญญา ซึ่งก็คือความสามารถในการใช้ความรู้จากพระคัมภีร์. คนที่มีความสังเกตเข้าใจสามารถเข้าใจความคิดและความรู้สึกของคู่สมรส. (สุภาษิต 20:5) พระยะโฮวาตรัสโดยทางซะโลโมว่า “ศิษย์ของเราเอ๋ย, จงสนใจในปัญญาของเรา; จงเงี่ยหูของเจ้าฟังความเข้าใจของเรา.”—สุภาษิต 5:1.
เมื่อมี “ความลำบาก”
12. เหตุใดจึงไม่น่าแปลกใจที่คู่สมรสประสบปัญหา?
12 ไม่มีชีวิตสมรสคู่ไหนสมบูรณ์แบบ. คัมภีร์ไบเบิลถึงกับกล่าวไว้ว่าสามีและภรรยาจะมี “ความลำบากในเนื้อหนังของตน.” (1 โกรินโธ 7:28, ล.ม.) ความกระวนกระวาย, ความเจ็บป่วย, การข่มเหง, และปัจจัยอื่น ๆ อาจทำให้ชีวิตสมรสตึงเครียด. แต่เมื่อเกิดปัญหาขึ้นมา คุณจำเป็นต้องมองหาทางแก้ด้วยกันในฐานะคู่สมรสที่ภักดีซึ่งพยายามทำให้พระยะโฮวาพอพระทัย.
13. สามีและภรรยาอาจวิเคราะห์ตัวเองในขอบเขตใดได้บ้าง?
13 จะว่าอย่างไรหากชีวิตสมรสตกอยู่ในความตึงเครียดเพราะวิธีที่คู่สมรสปฏิบัติต่อกัน? การหาทางแก้ไขต้องอาศัยความพยายาม. ตัวอย่างเช่น อาจเป็นได้ว่ารูปแบบของคำพูดที่ไม่กรุณาค่อย ๆ เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตสมรสของคุณและในเวลานี้ได้กลายเป็นเรื่องธรรมดาไปแล้ว. (สุภาษิต 12:18) ดังพิจารณาแล้วในบทความก่อน นี่อาจก่อผลเสียหายร้ายแรง. สุภาษิตข้อหนึ่งในคัมภีร์ไบเบิลกล่าวว่า “ไปอาศัยอยู่ที่ป่าเปลี่ยวดีกว่าอาศัยอยู่กับหญิงที่มักทะเลาะและบ่นจู้จี้.” (สุภาษิต 21:19) หากคุณเป็นภรรยาในครอบครัวที่เป็นอย่างนั้น ก็ขอให้ถามตัวเองว่า ‘นิสัยของฉันทำให้เป็นเรื่องยากที่สามีจะอยู่ใกล้ ๆ ฉันไหม?’ คัมภีร์ไบเบิลบอกสามีดังนี้: “จงรักภรรยาของตนและอย่ามีใจขมขื่นต่อนาง.” (โกโลซาย 3:19, ฉบับแปลใหม่) หากคุณเป็นสามี จงถามตัวเองว่า ‘ฉันมีท่าทีเย็นชา ซึ่งยั่วยุให้ภรรยาแสวงหาความอบอุ่นจากที่อื่นไหม?’ แน่ล่ะ ไม่มีข้อแก้ตัวสำหรับการประพฤติผิดศีลธรรมทางเพศ. แต่กระนั้น ข้อเท็จจริงที่ว่าเรื่องน่าเศร้าเช่นนั้นอาจเกิดขึ้นได้เป็นเหตุผลที่ดีที่จะพิจารณาปัญหากันอย่างเปิดเผยตรงไปตรงมา.
14, 15. เหตุใดการหวังพึ่งสายสัมพันธ์นอกสายสมรสไม่ใช่ทางแก้ปัญหาครอบครัว?
14 การหาคำปลอบใจจากความรักนอกสายสมรสไม่ใช่วิธีแก้ปัญหาครอบครัว. สายสัมพันธ์เช่นนั้นอาจนำไปสู่อะไร? นำไปสู่การสมรสใหม่ที่ดีกว่าไหม? บางคนอาจคิดอย่างนั้น. เขาอาจยืนยันว่า ‘จริง ๆ แล้ว เขามีคุณสมบัติที่ฉันอยากเห็นในคนที่จะมาเป็นคู่.’ แต่นั่นเป็นการหาเหตุผลที่ไม่ถูกต้อง เพราะใครก็ตามที่ทิ้งคู่ของตัวเอง—หรือสนับสนุนคุณให้ทิ้งคู่สมรส—ไม่นับถือความศักดิ์สิทธิ์ของการสมรสแม้แต่น้อย. เป็นเรื่องไม่สมเหตุผลที่จะคาดหมายว่าความสัมพันธ์นั้นจะก่อผลเป็นการสมรสที่ดีกว่า.
15 แมรี ซึ่งกล่าวถึงในตอนต้น ได้คิดอย่างจริงจังถึงผลที่จะเกิดจากการกระทำของเธอ รวมถึงความเป็นไปได้ที่จะทำให้เธอหรือคนอื่นสูญเสียความโปรดปรานจากพระเจ้า. (ฆะลาเตีย 6:7) เธอกล่าวว่า “เมื่อดิฉันเริ่มตรวจสอบความรู้สึกที่ตัวเองมีต่อเพื่อนร่วมงานของสามี ดิฉันตระหนักว่า หากชายคนนี้จะมีโอกาสเข้ามารับเอาความรู้เกี่ยวกับความจริง ตัวฉันเองกำลังขัดขวางเขา. การทำผิดจะก่อผลเสียต่อทุกคนที่เกี่ยวข้องและทำให้คนอื่นสะดุด!”—2 โกรินโธ 6:3.
แรงกระตุ้นที่มีพลังที่สุด
16. ผลบางอย่างของความไม่สะอาดทางศีลธรรมคืออะไร?
16 คัมภีร์ไบเบิลเตือนดังนี้: “ริมฝีปากของหญิงชั่วนั้นก็หยาดน้ำผึ้งออกมา และคำพูดของนางก็ลื่นยิ่งกว่าน้ำมัน. แต่ในที่สุดนางขมขื่นยิ่งกว่าบอระเพ็ดและคมอย่างดาบสองคม.” (สุภาษิต 5:3, 4, ฉบับแปลใหม่) ผลที่ตามมาของความไม่สะอาดทางศีลธรรมนั้นเจ็บปวดและอาจร้ายแรงถึงตาย. ผลดังกล่าวรวมถึงสติรู้สึกผิดชอบที่รบกวนใจ, โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์, และผลเสียหายทางอารมณ์ที่เกิดขึ้นกับคู่สมรสของคนที่ไม่ซื่อสัตย์. นี่เป็นเหตุผลที่เตือนใจเราอย่างหนักแน่นไม่ให้เริ่มเดินในแนวทางที่อาจนำไปสู่การนอกใจคู่สมรส.
17. เหตุผลที่หนักแน่นที่สุดที่จะรักษาความซื่อสัตย์ต่อคู่สมรสคืออะไร?
17 เหตุผลพื้นฐานที่ว่าทำไมความไม่ซื่อสัตย์ต่อคู่สมรสเป็นเรื่องผิดก็คือ พระยะโฮวาผู้ก่อตั้งการสมรสและผู้ประทานให้มนุษย์มีความสัมพันธ์ทางเพศทรงตำหนิการทำเช่นนี้. พระองค์ตรัสโดยทางผู้พยากรณ์มาลาคีว่า “เราจะมาใกล้เจ้าเพื่อการพิพากษา เราจะเป็นพยานที่รวดเร็วที่กล่าวโทษ . . . พวกผิดประเวณี.” (มาลาคี 3:5, ฉบับแปลใหม่) สุภาษิต 5:21 (ฉบับแปลใหม่) กล่าวเกี่ยวกับสิ่งที่พระยะโฮวาทรงเห็นว่า “ทางของคนก็อยู่ในสายพระเนตรพระเจ้า และพระองค์ทรงเฝ้าดูวิถีทั้งสิ้นของเขา.” ใช่แล้ว “สรรพสิ่งปรากฏแจ้งต่อพระเนตรของพระองค์ผู้ซึ่งเราต้องให้การนั้น.” (เฮ็บราย 4:13) ดังนั้น แรงกระตุ้นที่มีพลังที่สุดในการรักษาความซื่อสัตย์ต่อคู่สมรสคือการตระหนักว่า ไม่ว่าการนอกใจอาจถูกปิดเป็นความลับอย่างไรและไม่ว่าผลทางกายหรือผลทางสังคมอาจดูเหมือนว่าเล็กน้อยเพียงไรก็ตาม การกระทำใด ๆ ที่ไม่สะอาดทางเพศสร้างความเสียหายต่อสายสัมพันธ์ของเรากับพระยะโฮวา.
18, 19. เราเรียนอะไรจากประสบการณ์ของโยเซฟกับภรรยาของโพติฟา?
18 ตัวอย่างของโยเซฟ บุตรชายของยาโคบปฐมบรรพบุรุษ แสดงว่าความปรารถนาที่จะมีสายสัมพันธ์อันสงบสุขกับพระเจ้าเป็นแรงกระตุ้นที่มีพลัง. เมื่อได้มาเป็นที่ชอบในสายตาของโพติฟา ข้าราชสำนักของฟาโรห์ โยเซฟได้รับตำแหน่งสูงในครัวเรือนของโพติฟา. โยเซฟยัง “เป็นคนรูปงาม” ด้วย ซึ่งเป็นข้อเท็จจริงที่มิได้พ้นจากการสังเกตของภรรยาโพติฟา. ทุกวัน เธอพยายามยั่วยวนโยเซฟ แต่ความพยายามของเธอไม่เป็นผล. อะไรทำให้โยเซฟปฏิเสธการทอดสะพานทั้งหมดของเธอ? คัมภีร์ไบเบิลบอกเราว่า “โยเซฟไม่ยอม; จึงตอบแก่ภรรยาของนายว่า, ‘คิดดูเถิด, . . . นายมิได้หวงสิ่งใดไว้จากข้าพเจ้า; ยกเสียแต่ตัวท่านเพราะเป็นภรรยาของนาย. ข้าพเจ้าจะทำผิดดังนี้อย่างไรได้, เป็นบาปใหญ่หลวงนักต่อพระเจ้า.’ ”—เยเนซิศ 39:1-12.
19 โยเซฟซึ่งเป็นคนโสดรักษาความบริสุทธิ์สะอาดด้านศีลธรรมด้วยการปฏิเสธที่จะยุ่งเกี่ยวกับภรรยาผู้อื่น. สุภาษิต 5:15 กล่าวต่อชายที่สมรสแล้วว่า “จงดื่มน้ำจากถังเก็บน้ำของเจ้าเอง, และน้ำอันไหลซึมที่บ่อของเจ้าเอง.” จงระวังอย่าได้สร้างความรักผูกพันนอกสายสมรสแม้แต่ที่อาจเกิดขึ้นโดยไม่ได้ตั้งใจ. พยายามเสริมสายใยแห่งความรักในชีวิตสมรสของคุณเองให้เหนียวแน่น และพยายามอย่างเต็มที่เพื่อแก้ปัญหาใดก็ตามที่คุณอาจประสบในชีวิตสมรส. ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม “จงชื่นใจยินดีด้วยกันกับภรรยาซึ่งอยู่ด้วยกันมาแต่หนุ่มสาว.”—สุภาษิต 5:18.
คุณได้เรียนรู้อะไรบ้าง?
• คริสเตียนอาจติดบ่วงแร้วของความสัมพันธ์ฉันชู้สาวโดยไม่ทันรู้ตัวอย่างไร?
• ข้อพึงระวังอะไรบ้างอาจช่วยคนเราได้ให้หลีกเลี่ยงการสร้างความผูกพันรักใคร่นอกสายสมรส?
• เมื่อประสบปัญหา คู่สมรสควรทำอะไร?
• แรงกระตุ้นที่มีพลังที่สุดที่จะรักษาความซื่อสัตย์ต่อคู่สมรสคืออะไร?
[คำถาม]
[ภาพหน้า 26]
น่าเศร้าที่ทำงานอาจกลายเป็นสถานที่ซึ่งเอื้อให้เกิดความรักฉันชู้สาวที่ไม่เหมาะสม
[ภาพหน้า 28]
‘อาศัยความรู้ ห้องทั้งหลายนั้นจะเต็มไปด้วยของที่ชื่นตา’