พระยะโฮวาทรงให้รางวัลอย่างอุดมสมความปรารถนาของฉันที่ต้องการเป็นมิชชันนารี
เรื่องราวชีวิตจริง
พระยะโฮวาทรงให้รางวัลอย่างอุดมสมความปรารถนาของฉันที่ต้องการเป็นมิชชันนารี
เล่าโดย ชีลา วินฟีลด์ ดา กอนเซซอง
ครั้งหนึ่งมิชชันนารีจากแอฟริกาที่มาเยี่ยมได้เล่าให้เราฟังถึงเรื่องงานในเขตมอบหมายของเธอว่า ทุกคนเชิญเข้าไปนั่งในบ้านและฟังข่าวดีเรื่องราชอาณาจักรของพระเจ้าอย่างใจจดใจจ่อ. ‘ฉันอยากจะไปทำงานในเขตแบบนั้นเสียจริง ๆ!’ ฉันคิด. การสนทนาครั้งนั้นได้เพาะความปรารถนาจะเป็นมิชชันนารีไว้ในหัวใจฉัน ซึ่งตอนนั้นอายุ 13 ปี.
อย่างไรก็ตาม ครอบครัวเราได้เริ่มเรียนรู้เรื่องพระยะโฮวามานานก่อนหน้านั้นแล้ว. เช้าวันหนึ่งในปี 1939 ชายหนุ่มสองคนแต่งกายเรียบร้อยได้มาเคาะประตูบ้านของเราที่เมืองเฮเมล เฮมป์สเตด อยู่ติดกับมหานครลอนดอนประเทศอังกฤษ. ทั้งสองเป็นพยานพระยะโฮวา. อายุฉันเพิ่งขวบเศษ ๆ จึงไม่อาจจำการเยี่ยมครั้งนั้นได้. ความที่แม่ไม่อยากต้อนรับจึงบอกเขาว่าพ่ออาจสนใจ แต่จะกลับบ้านหลังสามทุ่ม. แม่ประหลาดใจเพียงไรเมื่อคนทั้งสองหวนกลับมาในคืนนั้น! หลังจากไต่ถามให้แน่ใจเกี่ยวกับจุดยืนของพวกเขาด้านการเมืองและเรื่องชาตินิยมแล้ว เฮนรี วินฟิลด์ พ่อของฉันก็เชิญเขาเข้าไปในบ้านและตกลงศึกษาคัมภีร์ไบเบิล. พ่อก้าวหน้าเร็วมากและมีคุณสมบัติตามข้อเรียกร้องจนได้รับบัพติสมา. หลายปีต่อมา แคทลีน แม่ของฉันก็เริ่มศึกษาด้วย และได้รับบัพติสมาในปี 1946.
ปี 1948 ฉันเริ่มเข้าส่วนร่วมเป็นประจำในงานประกาศข่าวดีเรื่องราชอาณาจักรของพระเจ้า. ฉันคิดอยากได้นาฬิกาข้อมือสักเรือนหนึ่งเพื่อจะรู้เวลาที่ใช้ไปในงานประกาศได้อย่างถูกต้อง. ถ้าพวกเราเด็ก ๆ ประพฤติเรียบร้อย ทุกวันเสาร์เราก็จะได้เงินส่วนตัวหกเพนนี. ฉันเก็บออมเงินหกเพนนีนานเกือบสองปีเพื่อซื้อนาฬิการาคาถูกที่สุดเท่าที่
หาได้สมัยนั้น. อย่างไรก็ดี เรย์น้องชายฉันมักจะขอเหรียญสามเพนนีสองเหรียญแทนเหรียญหกเพนนีทุกครั้ง. วันหนึ่งเขารบเร้าจะเอาสองเหรียญให้ได้จนพ่อโมโห. เรย์เริ่มร้องไห้และบอกว่าที่เขาต้องการเหรียญสามเพนนีสองเหรียญนั้นเป็นความลับระหว่างเขากับพระยะโฮวา. ในที่สุดเรย์ไขความให้กระจ่างว่า “ผมจะหยอดเหรียญสามเพนนีอันหนึ่งลงกล่องบริจาค และอีกเหรียญหนึ่งเป็นของผม.” แม่ร้องไห้ด้วยความตื้นตัน ส่วนพ่อก็หาสองเหรียญมาเปลี่ยนให้ทันที และฉันได้เรียนรู้ความสำคัญของการใช้เงินสนับสนุนงานราชอาณาจักร.ประมาณช่วงนั้น พ่อจัดแจงย้ายไปอยู่ในเขตที่มีความต้องการผู้ประกาศข่าวราชอาณาจักรมากกว่า. ในปี 1949 พ่อจัดการขายฟาร์มและบ่อกรวดทรายแล้วเริ่มเป็นไพโอเนียร์ ผู้รับใช้ประเภทเต็มเวลาของพยานพระยะโฮวา. ฉันได้รับบัพติสมาแสดงสัญลักษณ์การอุทิศตัวแด่พระยะโฮวาเมื่อวันที่ 24 กันยายน ปี 1950. นับแต่นั้น ฉันสมัครเป็นไพโอเนียร์พักงาน (เดี๋ยวนี้เรียกว่าไพโอเนียร์สมทบ) ในช่วงปิดเทอมภาคฤดูร้อน สละเวลาออกทำงานเผยแพร่เดือนหนึ่ง 100 ชั่วโมง. แต่นั่นเป็นเพียงขั้นเริ่มต้น. ไม่นาน ความปรารถนาอันแรงกล้าทวีขึ้นในหัวใจทำให้ฉันอยากรับใช้มากยิ่งขึ้นเพื่อสนับสนุนการนมัสการบริสุทธิ์.
ฉันปรารถนาจะเป็นมิชชันนารี
ปี 1951 พ่อถูกมอบหมายให้ไปที่เมืองบิเดอฟอร์ด นอร์ทเดวอน. หลังจากเราไปถึงที่นั่นได้ไม่นานก็มีมิชชันนารีซึ่งรับใช้ในแอฟริกามาแวะเยี่ยมประชาคมของเรา ดังที่กล่าวตอนต้น. หลังจากนั้น ความปรารถนาจะเป็นมิชชันนารีนั้นมีผลกระทบการตัดสินใจทุก ๆ เรื่องของฉัน. พวกครูที่โรงเรียนตระหนักถึงเป้าหมายของฉันและพยายามปรามฉันทุกทาง โดยหวังให้ฉันมุ่งไปด้านงานอาชีพ. แต่พอถึงวันสุดท้าย เมื่อฉันไปที่ห้องพักครูเพื่ออำลาและขอบคุณบรรดาครู ครูคนหนึ่งได้พูดว่า “ขอแสดงความยินดีกับเธอนะจ๊ะ! เธอเป็นนักเรียนคนเดียวเท่านั้นที่มีเป้าหมายในชีวิต. พวกเราขอให้เธอบรรลุเป้าหมายนั้นจริง ๆ.”
ฉันไม่ยอมเสียเวลา ฉันรีบหางานที่ไม่ต้องทำเต็มเวลา และวันที่ 1 ธันวาคม 1955 ฉันเริ่มเป็นไพโอเนียร์ประจำ. ต่อมา แม่และน้องชายทั้งสองคนก็เป็นไพโอเนียร์เช่นเดียวกัน. ดังนั้น เป็นเวลาหลายปีทีเดียวที่ทุกคนในครอบครัวของเราอยู่ในงานรับใช้เต็มเวลา.
ไปไอร์แลนด์
ปีถัดมา ฉันได้รับเชิญไปทำงานรับใช้ในไอร์แลนด์. นี่เป็นขั้นตอนหนึ่งที่นำไปสู่เป้าหมายการเป็นมิชชันนารี. เดือนกุมภาพันธ์ 1957 ฉันก็มาถึงเมืองคอร์ก ทางใต้ของไอร์แลนด์พร้อมกับไพโอเนียร์สาวอีกสองคน จูน เนเปียร์และเบอรีล บาร์เกอร์.
การประกาศเผยแพร่ในไอร์แลนด์เป็นงานท้าทายจริง ๆ. มีการต่อต้านขัดขวางมากจากคริสตจักรโรมันคาทอลิก. เราเรียนรู้ที่จะตรวจสอบเพื่อให้แน่ใจว่ามีทางหลบหนีออกจากอาคารชุดหรือหมู่บ้านจัดสรรได้ หากต้องรีบออกทันที. เรามักจะซ่อนจักรยานไว้ห่าง ๆ แต่บ่อยครั้งมีคนไปพบแล้วก็กรีดยางรถหรือไม่ก็ปล่อยลมยาง.
คราวหนึ่ง ขณะที่ฉันกับเบอรีลได้ไปเยี่ยมชุมชนในหมู่บ้านจัดสรรซึ่งเป็นบริเวณกว้าง มีเด็กกลุ่มหนึ่งได้ตะโกนด่าเราอย่างหยาบคายและเอาก้อนหินขว้างปา. ดังนั้น เราจึงเข้าไปในบ้านที่แบ่งส่วนหนึ่งทำเป็นร้านขายนม. เด็กกลุ่มนั้นรวมตัวกันอยู่นอกร้าน. เนื่องจากเบอรีลชอบดื่มนม เธอดื่มสองสามแก้วให้หมดไปอย่างช้า ๆ โดยหวังว่าเด็กเหล่านั้นจะแยกย้ายกันไป. แต่ไม่เป็นอย่างที่คิด. ครั้นแล้วบาทหลวงหนุ่มคนหนึ่งเดินเข้ามาในร้าน. เขานึกว่าเราเป็นนักท่องเที่ยว เขาบอกว่าอยากพาเราไปดูรอบ ๆ. แต่ทีแรก เขาพาเราเข้าไปอีกห้องหนึ่งของบ้าน ขณะที่เรานั่งเงียบ เขาลงมือทำพิธีให้ชายชราที่กำลังจะตาย. แล้วเราก็เดินออกจากบ้านพร้อมกับบาทหลวง. เด็กพวกนั้นเมื่อเห็นเราพูดคุยกับบาทหลวงก็เลยแยกย้ายกันไป.
ไปกิเลียด
ปี 1958 การประชุมนานาชาติพระทัยประสงค์ของพระเจ้าถูกจัดขึ้นที่นิวยอร์ก. พ่อจะเดินทางไปร่วม ส่วนฉันอยากไปเหมือนกันแต่ไม่มีเงิน. ครั้นแล้วคุณย่าเสียชีวิตกะทันหัน ท่านละมรดกไว้ให้ฉันเป็นตัวเงินประมาณ 10,000 บาท. ค่าตั๋วเดินทางไปกลับอยู่ในวงเงิน 6,700 บาท ดังนั้น ฉันไม่รอช้า รีบจองตั๋วเครื่องบินทันที.
หลังจากนั้นไม่นาน ตัวแทนจากสำนักงานสาขาของพยานพระยะโฮวาในบริเตนได้มาเยี่ยมพวกเราและเชิญชวนไพโอเนียร์พิเศษทุกคนที่เข้าร่วมการประชุมใหญ่ครั้งนั้นกรอกใบสมัครเข้ารับการอบรมหลักสูตรมิชชันนารีของโรงเรียนว็อชเทาเวอร์ไบเบิลแห่งกิเลียด. ฉันไม่อยากจะเชื่อเลย! ตัวแทนคนนั้นแจกใบสมัครให้ทุกคน ยกเว้นฉัน. อายุฉันไม่ถึงเกณฑ์ที่จะเข้าโรงเรียนกิเลียด. ฉันขอร้องเขาให้นับฉันอยู่ในกลุ่มด้วย โดยชี้แจงว่าฉันเองได้ละประเทศบ้านเกิดมา และในความเป็นจริง ฉันเสมือนอยู่ในงานมอบหมายมิชชันนารีแล้ว. เมื่อเห็นความมุ่งมั่นตั้งใจของฉันเขาจึงยื่นแบบฟอร์มให้กรอก. ฉันพร่ำอธิษฐานมากเพียงใดเพื่อจะได้รับอนุญาตให้เข้าเรียน! ในที่สุดก็มีคำตอบกลับมาอย่างรวดเร็ว และฉันได้รับเชิญไปเรียนที่โรงเรียนกิเลียด.
ฉันชื่นชมยินดีเหลือล้นเมื่อได้เข้าเรียนที่กิเลียดรุ่นที่ 33 ร่วมกับไพโอเนียร์อีก 81 คนจาก 14 ประเทศ. หลักสูตรห้าเดือนผ่านไปอย่างรวดเร็ว. พอใกล้จะจบ บราเดอร์นาทาน เอช. นอรร์ได้บรรยายให้การกระตุ้นหนุนใจพวกเรานานสี่ชั่วโมง. ท่านสนับสนุนคนเหล่านั้นที่ยังโสดให้ครองความเป็นโสดต่อไป. (1 โกรินโธ 7:37, 38) แต่สำหรับพวกเราซึ่งสักวันหนึ่งประสงค์จะแต่งงาน ท่านแนะนำว่าเราควรทำรายการส่วนตัวจดข้อกำหนดคุณสมบัติของคนที่จะแต่งงานด้วย. ครั้นหากมีคนที่แสดงทีท่าจะมาเป็นคู่ครอง เราก็สามารถพิจารณาตรวจสอบคุณสมบัติของผู้นั้นตามข้อกำหนดที่เราตั้งไว้.
ฉันตั้งข้อกำหนดส่วนตัวของฉันสำหรับผู้ที่จะมาเป็นสามีดังต่อไปนี้. เขาต้องเป็นมิชชันนารีและรักพระยะโฮวา,
ต้องมีความรู้ลึกซึ้งด้านความจริงของคัมภีร์ไบเบิลมากกว่าฉัน, ยอมตัดเรื่องการมีบุตรก่อนอาร์มาเก็ดดอนออกไป ทั้งนี้ก็เพื่อจะสามารถรับใช้เต็มเวลาได้อย่างต่อเนื่อง, พูดภาษาอังกฤษคล่อง, และอายุต้องมากกว่าฉัน. รายการนี้ช่วยได้มากทีเดียว ตอนนั้นฉันอายุ 20 ปีกำลังได้รับหน้าที่มอบหมายให้ไปทำงานในแดนไกล.ไปบราซิล
วันอาทิตย์ที่ 2 สิงหาคม ปี 1959 เป็นวันจบหลักสูตรและพวกเราได้รับแจ้งเรื่องเขตมอบหมาย. เวียนุช ยาเซดเจียน, ซาราห์ เกรโก, เรย์และอิงเกอร์ แฮตฟิลด์, ซอนยา สปริงเกต, ดอรีน ไฮนซ์, และฉันได้รับมอบหมายให้ไปบราซิล. เราตื่นเต้นดีใจกันยกใหญ่. ฉันนึกภาพป่าเขา, งู, สวนยางพารา, และชาวอินเดียนแดงเผ่าพื้นเมือง. แต่เมื่อไปถึงที่นั่นไม่เป็นไปอย่างที่คิดฝันไว้เลย! แทนที่จะเห็นป่าดิบแอมะซอน สิ่งที่ฉันพบเห็นคือรีโอเดจาเนโรเมืองใหญ่ที่มีอากาศแจ่มใสและทันสมัย เป็นเมืองหลวงของประเทศสมัยนั้น.
ทันทีทันใด สิ่งใหม่และยากสำหรับพวกเราคือต้องมุ่งมั่นเรียนภาษาโปรตุเกส. ในช่วงเดือนแรก เราเรียนวันละ 11 ชั่วโมงทุกวัน. หลังจากทำงานประกาศในรีโอเดจาเนโรและพักอยู่ที่สำนักงานสาขาของพยานพระยะโฮวาระยะหนึ่ง ฉันถูกส่งไปประจำที่บ้านมิชชันนารีในเมืองปิราซิกาบา ในรัฐเซาเปาลู ต่อมาย้ายไปอยู่ที่บ้านมิชชันนารีในเมืองโปร์ตูอาเลเกร รัฐริวกรังเดโดซูล.
ครั้นแล้ว ต้นปี 1963 ฉันได้รับจดหมายเชิญให้เข้าไปทำงานในแผนกแปลที่สำนักงานสาขา. ฟลอริอานู อิกเนส ดา กอนเซซอง คนที่เคยสอนภาษาโปรตุเกสเมื่อเรามาถึงตอนแรกนั้นได้เป็นผู้ดูแลแผนกนี้. เขาเรียนความจริงเมื่อปี 1944 ช่วงนั้นมีพยานพระยะโฮวาประมาณ 300 คนในบราซิล และเขาเข้าโรงเรียนกิเลียดรุ่นที่ 22. สองสามเดือนผ่านไป วันหนึ่ง บราเดอร์กอนเซซองขอให้ฉันรออยู่ที่ห้องหลังจากเสียงกริ่งแรกบอกเวลาพักเที่ยง เพราะเขาต้องการบอกอะไรบางอย่าง. ทีแรก ฉันรู้สึกกังวลว่าฉันทำผิดอะไรหรือเปล่า. ในที่สุดเมื่อเสียงกริ่งที่สองบอกเวลารับประทานอาหารดังขึ้น ฉันก็ถามเขาว่าต้องการบอกอะไรฉัน. เขาก็เลยถามฉันว่า “คุณจะแต่งงานกับผมไหม?” ฉันตะลึงพูดไม่ออก. ฉันตอบว่าขอคิดดูก่อน แล้วฉันก็ผละไปรับประทานอาหารกลางวัน.
ฟลอริอานูไม่ใช่ผู้ชายคนแรกที่แสดงทีท่าชอบพอฉัน. อย่างไรก็ดี จนถึงขณะนั้นยังไม่มีใครบรรลุข้อเรียกร้องของฉันที่จะมาเป็นคู่ครองที่เหมาะสม. ฉันเชื่อว่ารายการที่ฉันทำไว้นั้นช่วยป้องกันฉันไม่ให้ตัดสินใจผิดพลาด. แต่มาครั้งนี้ต่างออกไป. ฟลอริอานูอยู่ในเกณฑ์ที่กำหนดไว้ทุกอย่าง! ฉะนั้น เราแต่งงานกัน ณ วันที่ 15 พฤษภาคม 1965.
เผชิญโรคร้าย
ชีวิตสมรสเป็นประสบการณ์ที่น่ายินดีสำหรับฉันและฟลอริอานู ถึงแม้เราเองก็ได้ประสบปัญหาหลายอย่าง. อย่างหนึ่งคือปัญหาสุขภาพของฟลอริอานู ซึ่งเริ่มขึ้นไม่นานก่อนการแต่งงานของเรา. เมื่อหลายปีก่อน ปอดข้างซ้ายของเขาแฟบ และผลที่ตามมา ในตอนนี้เขาเริ่มหายใจไม่สะดวก. ฉะนั้น เราออกจากเบเธลและรับเอาหน้าที่มอบหมายฐานะไพโอเนียร์พิเศษไปทำงานที่เมืองเทเรโซปูลิส อันเป็นเขตงานแถบเทือกเขาของรัฐรีโอเดจาเนโร. เราหวังว่าภูมิอากาศที่นั่นคงจะช่วยเขาหายโรค.
นอกจากนั้น ในเดือนธันวาคม 1965 ฉันได้รับข่าวว่าแม่ป่วยหนักเป็นมะเร็ง. เราเขียนจดหมายติดต่อถึงกันเป็นประจำ แต่ฉันไม่ได้เห็นหน้าแม่มานานตั้งเจ็ดปี. ดังนั้น แม่จึงได้จ่ายค่าตั๋วเดินทางให้เราไปเยี่ยมแม่ที่อังกฤษ. แม่เข้ารับการผ่าตัด แต่พวกแพทย์ก็ไม่สามารถกำจัดเนื้อร้ายได้. แม้ว่าท่านป่วยหนัก ลุกขึ้นไปไหนไม่ได้ แม่ก็ยังมีความปรารถนาจะมีส่วนร่วมในงานประกาศ. แม่มีเครื่องพิมพ์ดีดไว้ในห้องนอน เพื่อจะมีคนพิมพ์จดหมายตามคำบอกของแม่. นอกจากนั้น แม่ยังใช้เวลาสั้น ๆ ให้คำพยานแก่คนที่มาเยี่ยม. ท่านเสียชีวิตในวันที่ 27 พฤศจิกายน 1966. เดือนนั้นแม่ลงรายงานการประกาศสิบชั่วโมง! ส่วนพ่อยังคงรับใช้ประเภทไพโอเนียร์อย่างต่อเนื่องด้วยความซื่อสัตย์กระทั่งสิ้นชีวิตในปี 1979.
หลังจากแม่เสียแล้ว ฉันกับฟลอริอานูก็กลับไปบราซิล และเรารับใช้ที่รัฐรีโอเดจาเนโรตั้งแต่นั้นมา. เบื้องต้น เราได้รับมอบหมายงานหมวดในเมืองหลวง ทว่า ความชื่นชม
ยินดีในงานนี้มีเพียงระยะสั้น เพราะฟลอริอานูล้มป่วยอีก. เมื่อเป็นเช่นนั้น เราจึงกลับไปที่เทเรโซปูลิสฐานะไพโอเนียร์พิเศษ.หลังจากรับการบำบัดรักษาด้วยวิธีที่เจ็บปวดมาหลายปี ในที่สุด ปี 1974 แพทย์ก็ได้ตัดปอดข้างซ้ายของฟลอริอานูทิ้งไป. ช่วงนั้น เขาไม่สามารถทำหน้าที่ผู้ดูแลผู้เป็นประธานหรือไพโอเนียร์พิเศษ แต่เขาสามารถนำการศึกษาพระคัมภีร์ในชั่วโมงเยี่ยมผู้ป่วยที่โรงพยาบาล คนหนึ่งที่เขานำการศึกษาโดยใช้ภาษาอังกฤษคือบ็อบ ชาวอเมริกันที่เกษียณอายุแล้ว. บ็อบตอบรับความจริงและได้รับบัพติสมาในเวลาต่อมา. ครั้นอาการป่วยของฟลอริอานูค่อย ๆ หายจนเป็นปกติ เขาก็ได้รับใช้ในฐานะไพโอเนียร์ประจำตั้งแต่นั้นเรื่อยมา.
พระยะโฮวาทรงอวยพรงานรับใช้ของฉัน
ตลอดเวลาหลายปี ฉันรับใช้ฐานะไพโอเนียร์พิเศษอย่างต่อเนื่อง และพระยะโฮวาทรงอวยพรงานรับใช้ของฉัน. ที่เมืองเทเรโซปูลิส ฉันมีสิทธิพิเศษอย่างน่าพิศวงที่ได้ช่วย 60 กว่าคนอุทิศตัวแด่พระยะโฮวา. หนึ่งในจำนวนนี้เป็นผู้หญิงชื่อชูปิรา เป็นคนที่ฉันสอนหนังสือให้. ต่อมา ฉันได้นำการศึกษากับลูกชายหญิงแปดคนของเธอซึ่งทุกคนเป็นผู้ใหญ่แล้ว. ผลที่ตามมา เวลานี้ชูปิราและสมาชิกครอบครัวรวมทั้งญาติมากกว่า 20 คนกำลังรับใช้พระยะโฮวาอย่างขยันขันแข็ง. คนหนึ่งเป็นผู้ปกครอง, สามคนเป็นผู้ช่วยงานรับใช้, และสองคนเป็นไพโอเนียร์.
ฉันได้เรียนรู้ที่จะรักษาทัศนคติในแง่ดีเสมอว่ามีความเป็นไปได้ที่ผู้คนจะเรียนความจริง. ณ โอกาสหนึ่ง ขณะนำการศึกษาพระคัมภีร์กับหญิงสาวชื่ออัลเซอมิรา อันโตนยูสามีของเธอขู่จะปล่อยสุนัขตัวใหญ่สองตัวออกมากัด ถ้าฉันไม่รีบออกไปจากบ้านทันที. หลังจากนั้น โอกาสจะได้พบปะอัลเซอมิราก็เป็นโดยบังเอิญเท่านั้น กระทั่งเจ็ดปีต่อมา เมื่ออันโตนยูอนุญาตให้ฉันศึกษากับเธออีก. แต่เขาก็ยังคงห้ามฉันพูดเรื่องพระคัมภีร์กับเขา. อย่างไรก็ตาม วันหนึ่งฝนตกหนัก ฉันชวนอันโตนยูมานั่งร่วมในการศึกษาด้วย. ตอนนั้นทีเดียวฉันได้มารู้ปัญหาของเขาคือเขาไม่รู้หนังสือ. นับแต่ครั้งนั้นฟลอริอานูและคนอื่นได้นำการศึกษากับเขาและสอนเขาให้อ่านออกเขียนได้. ปัจจุบัน ทั้งอัลเซอมิราและอันโตนยูรับบัพติสมาแล้ว. เขามีส่วนช่วยประชาคมได้มาก โดยออกไปกับเยาวชนหลายคนในงานรับใช้.
ที่กล่าวมานี้เป็นประสบการณ์เพียงไม่กี่เรื่องตลอดช่วง 20 กว่าปีที่เรารับใช้ในเมืองเทเรโซปูลิส. ต้นปี 1988 เราได้รับเขตมอบหมายใหม่ที่เมืองนีเตรอย เรารับใช้ที่นั่นห้าปีก่อนย้ายไปที่ซานตู อะเลคโซ. หลังจากนั้นเราย้ายไปยังประชาคมเมืองชาปูอีบา ในใจกลางของรัฐรีโอเดจาเนโร และมีสิทธิพิเศษได้จัดตั้งประชาคมริเบรา.
ชีวิตเรียบง่ายแต่น่าพอใจ
ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ฟลอริอานูและฉันมีสิทธิพิเศษได้ช่วยเหลือผู้คนมากกว่า 300 คนอุทิศชีวิตของเขาแด่พระยะโฮวา. ปัจจุบัน บางคนรับใช้อยู่ที่สำนักงานสาขา, บางคนเป็นไพโอเนียร์, ผู้ปกครอง, และผู้ช่วยงานรับใช้. ฉันสำนึกในพระคุณของพระเจ้ามากเพียงใด พระองค์ทรงใช้พวกเราโดยทางพระวิญญาณบริสุทธิ์เพื่อจะช่วยประชาชนมากมาย!—มาระโก 10:29, 30.
เป็นความจริงที่ฟลอริอานูต้องรับมือกับปัญหาร้ายแรงด้านสุขภาพ. แต่ทั้ง ๆ ที่อยู่ในสภาพเช่นนั้น เขายังคงยืนหยัดมั่นคง มีความชื่นชมและวางใจพระยะโฮวา. เขาพูดบ่อย ๆ ว่า “ความสุขในทุกวันนี้ใช่ว่าจะเกิดจากการดำเนินชีวิตอย่างที่ปลอดปัญหา. ความสุขมาจากการมีพระยะโฮวาช่วยเราจัดการกับปัญหาต่าง ๆ ต่างหาก.”—บทเพลงสรรเสริญ 34:19.
ปี 2003 มีการตรวจพบว่าฉันเป็นมะเร็งในตาข้างซ้าย. ฉันเข้ารับการผ่าตัดแล้วใส่ตาปลอมแทน ซึ่งต้องล้างตาให้สะอาดวันละหลายครั้ง. กระนั้นก็ตาม พระยะโฮวาทรงอวยพรฉันโดยประทานพลังเพื่อจะได้รับใช้พระองค์ต่อ ๆ ไปในฐานะไพโอเนียร์พิเศษ.
พูดถึงสิ่งฝ่ายวัตถุ ฉันจัดวิถีชีวิตให้เรียบง่าย. กระนั้น พระยะโฮวาทรงประทานรางวัลแก่ฉันระหว่างที่อยู่ในงานมอบหมายและทรงโปรดให้ฉันมั่งคั่งฝ่ายวิญญาณ. ความเห็นของซิสเตอร์มิชชันนารีคนนั้นในเรื่องงานเผยแพร่ที่แอฟริกาปรากฏเป็นจริงตรงกับงานมอบหมายของเราในประเทศบราซิล. จริงทีเดียว พระยะโฮวาทรงให้รางวัลอย่างอุดมสมความปรารถนาของฉันที่ต้องการเป็นมิชชันนารี!
[ภาพหน้า 9]
กับครอบครัวของฉันเมื่อปี 1953
[ภาพหน้า 9]
การให้คำพยานในไอร์แลนด์ ปี 1957
[ภาพหน้า 10]
ที่บราซิล ปี 1959 กับเพื่อน ๆ มิชชันนารี. จากซ้ายไปขวา: ฉัน, อิงเกอร์ แฮตฟิลด์, ดอรีน ไฮนซ์, และซอนยา สปริงเกต
[ภาพหน้า 10]
กับสามี