จงให้พระคำของพระเจ้าชี้นำก้าวเดินของคุณ
จงให้พระคำของพระเจ้าชี้นำก้าวเดินของคุณ
“พระวจนะของพระองค์เป็นโคมสำหรับเท้าของข้าพเจ้า, และเป็นแสงสว่างตามทางของข้าพเจ้า.”—บทเพลงสรรเสริญ 119:105.
1, 2. เหตุใดมนุษยชาติส่วนใหญ่ไม่ประสบความสำเร็จในการแสวงหาสันติสุขและความสุขแท้?
คุณจำได้ไหมถึงบางโอกาสเมื่อคุณจำเป็นต้องถามทางกับบางคน? คุณอาจใกล้ถึงที่หมายแล้ว แต่ไม่แน่ใจว่าควรไปทางไหนเมื่อถึงสองสามแยกสุดท้าย. หรือคุณอาจหลงทางอย่างสิ้นเชิงและจำเป็นต้องเปลี่ยนเส้นทางทั้งหมด. ไม่ว่าเป็นในกรณีใด ย่อมฉลาดสุขุมมิใช่หรือที่จะไปตามการชี้ทางของบางคนที่รู้จักท้องที่นั้นดี? คนที่รู้ที่ทางดีย่อมสามารถช่วยคุณไปถึงจุดหมาย.
2 นับเป็นเวลาหลายพันปีที่มนุษยชาติโดยทั่วไปพยายามกำหนดวิถีชีวิตของตนโดยไม่หมายพึ่งพระเจ้า. แต่เมื่อหมายพึ่งตัวเอง มนุษย์ผู้ไม่สมบูรณ์ก็หลงทางอย่างสิ้นเชิง. พวกเขาไม่สามารถพบเส้นทางที่นำไปสู่สันติสุขและความสุขแท้. เหตุใดพวกเขาไม่สามารถไปถึงจุดหมายนั้น? กว่า 2,500 ปีมาแล้ว ผู้พยากรณ์ยิระมะยากล่าวว่า “ไม่ใช่ที่มนุษย์ซึ่งดำเนินนั้นจะได้กำหนดก้าวของตัวได้.” (ยิระมะยา 10:23) คนที่พยายามกำหนดก้าวเดินของตนเองโดยไม่ยอมรับความช่วยเหลือจากผู้ชำนาญทางย่อมพบกับความผิดหวังอย่างแน่นอน. เป็นความจริงทีเดียวว่ามนุษยชาติจำเป็นต้องได้รับการชี้นำ!
3. เหตุใดพระยะโฮวาพระเจ้าทรงมีคุณสมบัติสูงสุดในการให้การชี้นำแก่มนุษยชาติ และพระองค์ทรงสัญญาไว้เช่นไร?
3 พระยะโฮวาพระเจ้าทรงมีคุณสมบัติสูงสุดในการให้การชี้นำเช่นนั้น. เพราะเหตุใด? เพราะพระองค์ทรงเข้าใจองค์ประกอบของมนุษย์ดียิ่งกว่าใคร ๆ. และพระองค์ทรงทราบดีว่ามนุษย์เริ่มออกนอกทางและหลงทางไปอย่างไร. พระองค์ทรงทราบด้วยว่าพวกเขาต้องทำอะไรจึงจะกลับมาสู่แนวทางที่ถูกต้องได้. นอกจากนั้น ในฐานะพระผู้สร้าง พระยะโฮวาทรงทราบเสมอว่าอะไรดีที่สุดสำหรับเรา. (ยะซายา 48:17) ด้วยเหตุนั้น เราจึงวางใจคำสัญญาของพระองค์ได้อย่างเต็มที่ ดังบันทึกไว้ที่บทเพลงสรรเสริญ 32:8 (ล.ม.) ว่า “เราจะทำให้เจ้ามีความหยั่งเห็นเข้าใจ และสั่งสอนเจ้าในทางที่เจ้าควรดำเนิน. เราจะให้คำแนะนำพร้อมกับเฝ้าดูเจ้า.” ไม่มีข้อสงสัยในเรื่องนี้: พระยะโฮวาทรงให้การชี้นำที่ดีที่สุด. แต่ว่าพระองค์ทรงชี้นำเราโดยวิธีใด?
4, 5. คำตรัสของพระเจ้าชี้นำเราได้โดยวิธีใด?
4 ผู้ประพันธ์เพลงสรรเสริญคนหนึ่งกล่าวในคำอธิษฐานถึงพระยะโฮวาว่า “พระวจนะของพระองค์เป็นโคมสำหรับเท้าของข้าพเจ้า, และเป็นแสงสว่างตามทางของข้าพเจ้า.” (บทเพลงสรรเสริญ 119:105) เราพบพระดำรัสและข้อเตือนใจของพระเจ้าในคัมภีร์ไบเบิล และคำตรัสเหล่านี้สามารถช่วยเราเอาชนะอุปสรรคที่เราอาจเผชิญบนเส้นทางชีวิต. ที่จริง เมื่อเราอ่านคัมภีร์ไบเบิลและให้พระคำชี้นำ เราประสบด้วยตัวเองตามที่มีพรรณนาไว้ในยะซายา 30:21 ว่า “หูของเจ้าก็จะได้ยินเสียงแนะมาข้างหลังของเจ้าว่า, ‘ทางนี้แหละ; เดินไปเถอะ!’ ”
5 แต่โปรดสังเกตว่าบทเพลงสรรเสริญ 119:105 ชี้ถึงหน้าที่สองอย่างที่เกี่ยวข้องกันของพระคำของพระเจ้า. ประการแรก พระคำของพระเจ้าทำหน้าที่เป็นโคมส่องเท้าให้เรา. เมื่อเราเผชิญปัญหายุ่งยากในแต่ละวัน หลักการที่พบในคัมภีร์ไบเบิลน่าจะนำก้าวเดินของเราเพื่อเราจะตัดสินใจอย่างฉลาดสุขุมและหลีกเลี่ยงกับดักและหลุมพรางของโลกนี้. ประการที่สอง ข้อเตือนใจของพระเจ้าส่องสว่างแก่ทางที่เราดำเนิน ช่วยเราเลือกอย่างที่สอดคล้องกับความหวังที่จะอยู่ตลอดไปในอุทยานที่พระเจ้าทรงสัญญา. เมื่อ ทางที่เราดำเนินไปมีความสว่างเพียงพอ เราจะสามารถมองออกว่าแนวทางอย่างใดอย่างหนึ่งนั้นจะก่อผลเช่นไร—ดีหรือไม่ดี. (โรม 14:21; 1 ติโมเธียว 6:9; วิวรณ์ 22:12) ให้เรามาพิจารณาด้วยกันอย่างละเอียดยิ่งขึ้นถึงวิธีที่คำตรัสของพระเจ้าซึ่งพบในคัมภีร์ไบเบิลสามารถเป็นโคมส่องเท้าและเป็นแสงสว่างส่องทางให้เรา.
“โคมสำหรับเท้าของข้าพเจ้า”
6. ภายใต้สถานการณ์เช่นไรบ้างที่คำตรัสของพระเจ้าจะเป็นโคมส่องเท้าให้เรา?
6 ทุกวัน เราตัดสินใจในเรื่องต่าง ๆ. การตัดสินใจบางอย่างอาจดูเหมือนเป็นเรื่องค่อนข้างเล็ก แต่บางครั้งเราอาจเผชิญกับสถานการณ์ที่ทดสอบศีลธรรมทางเพศ, ความซื่อสัตย์, หรือจุดยืนในเรื่องความเป็นกลางของเรา. เพื่อจะเผชิญการทดลองเช่นนั้นอย่างประสบผลสำเร็จ เราต้อง “ฝึกฝนความสามารถในการสังเกตเข้าใจเพื่อแยกออกว่าอะไรถูกอะไรผิด.” (เฮ็บราย 5:14, ล.ม.) โดยรับเอาความรู้ที่ถูกต้องในพระคำของพระเจ้าและพัฒนาความเข้าใจในหลักการพระคัมภีร์ เราฝึกฝนสติรู้สึกผิดชอบของเราเพื่อเราจะตัดสินใจอย่างที่พระยะโฮวาทรงพอพระทัย.—สุภาษิต 3:21.
7. จงพรรณนาสถานการณ์อย่างหนึ่งที่คริสเตียนอาจมีแนวโน้มจะคบหาใกล้ชิดกับเพื่อนร่วมงานที่ไม่มีความเชื่อ.
7 ขอให้พิจารณาตัวอย่าง. คุณเป็นผู้ใหญ่ที่พยายามอย่างจริงใจเพื่อทำให้พระทัยของพระยะโฮวายินดีไหม? (สุภาษิต 27:11) หากเป็นอย่างนั้นก็เป็นเรื่องน่าชมเชย. แต่สมมุติว่าเพื่อนร่วมงานบางคนเสนอตั๋วใบหนึ่งให้คุณไปชมการแข่งขันกีฬาด้วยกัน. พวกเขาเห็นว่าคุณเป็นเพื่อนที่ดีในที่ทำงานและอยากสังสรรค์กับคุณนอกเวลางาน. คุณอาจรู้สึกมั่นใจทีเดียวว่าเพื่อนร่วมงานเหล่านี้ไม่ใช่คนไม่ดี. ในบางแง่พวกเขาอาจมีหลักการที่ดีด้วยซ้ำ. คุณจะทำอย่างไร? จะมีอันตรายไหมหากตอบรับคำเชิญนั้น? พระคำของพระเจ้าช่วยคุณได้อย่างไรให้ตัดสินใจอย่างถูกต้องในเรื่องนี้?
8. หลักการอะไรในพระคัมภีร์ช่วยเราหาเหตุผลในเรื่องการคบหาสมาคม?
8 ขอให้นึกถึงหลักการบางอย่างในพระคัมภีร์. หลักการแรกที่เราอาจนึกขึ้นมาได้อยู่ใน 1 โกรินโธ 15:33 (ล.ม.) ซึ่งกล่าวว่า “การคบหาสมาคมที่ไม่ดีย่อมทำให้นิสัยดีเสียไป.” เพื่อจะยึดมั่นหลักการข้อนี้ คุณต้องหลีกเลี่ยงคนที่ไม่มีความเชื่ออย่างสิ้นเชิงไหม? คำตอบของพระคัมภีร์สำหรับคำถามนี้คือ ไม่. ที่จริง อัครสาวกเปาโลเองแสดงการคำนึงถึงผู้อื่นด้วยความรักต่อ “คนทุกชนิด” รวมถึงคนที่ไม่มีความเชื่อด้วย. (1 โกรินโธ 9:22) แก่นแท้ของหลักการคริสเตียนเรียกร้องให้เราแสดงความสนใจในคนอื่น ๆ—รวมถึงคนที่ไม่มีความเชื่อเหมือนกับเรา. (โรม 10:13-15) ที่จริง เราจะทำตามคำแนะนำที่ให้ “ทำดีต่อทุกคน” ได้อย่างไรหากเราแยกตัวจากผู้คนที่อาจจำเป็นต้องได้รับความช่วยเหลือจากเรา?—ฆะลาเตีย 6:10, ฉบับแปล 2002.
9. คำแนะนำอะไรในคัมภีร์ไบเบิลช่วยเราให้รักษาความสมดุลในความสัมพันธ์ของเรากับเพื่อนร่วมงาน?
9 อย่างไรก็ตาม มีความแตกต่างกันชัดเจนระหว่างการแสดงความเป็นมิตรต่อเพื่อนร่วมงานกับการเป็นเพื่อนสนิท. ตรงนี้เองที่หลักการอีกข้อหนึ่งของพระคัมภีร์เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย. อัครสาวกเปาโลเตือนคริสเตียนว่า “อย่า2 โกรินโธ 6:14, ล.ม.) วลี “อย่าเข้าเทียมแอกอย่างไม่เสมอกัน” นี้หมายถึงอะไร? ฉบับแปลคัมภีร์ไบเบิลบางฉบับแปลวลีดังกล่าวว่า “อย่าเข้าร่วมกลุ่ม,” “อย่าพยายามทำงานด้วยอย่างคนที่เท่าเทียมกัน,” หรือ “จงเลิกสร้างสายสัมพันธ์ที่ไม่เหมาะสม.” เมื่อไรที่ความสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงานจะกลายเป็นเรื่องไม่เหมาะสม? เมื่อไรจึงจะถือได้ว่าเลยขีดที่เหมาะสมและกลายเป็นการเทียมแอกอย่างไม่เสมอกัน? คัมภีร์ไบเบิล พระคำของพระเจ้า สามารถชี้นำก้าวเดินของคุณในสถานการณ์นี้.
เข้าเทียมแอกอย่างไม่เสมอกันกับคนไม่มีความเชื่อ.” (10. (ก) พระเยซูทรงเลือกเพื่อนอย่างไร? (ข) คำถามอะไรอาจช่วยคนเราได้ให้ตัดสินใจอย่างฉลาดสุขุมเกี่ยวกับการคบหาสมาคม?
10 ขอให้พิจารณาตัวอย่างของพระเยซู ผู้ทรงรักมนุษย์มาตั้งแต่ที่ทรงสร้างมนุษย์. (สุภาษิต 8:31) ขณะอยู่บนแผ่นดินโลก พระองค์ทรงสร้างความสัมพันธ์อันใกล้ชิดกับเหล่าสาวก. (โยฮัน 13:1) พระองค์ถึงกับ “ทรงรัก” ชายคนหนึ่งที่ถูกนำไปผิดทางในการนมัสการ. (มาระโก 10:17-22) แต่พระเยซูทรงวางขอบเขตไว้ชัดเจนเกี่ยวกับการเลือกเพื่อนสนิท. พระองค์ไม่สร้างความผูกพันใกล้ชิดกับผู้คนที่ไม่มีความสนใจอย่างจริงใจในการทำตามพระทัยประสงค์ของพระบิดา. ในโอกาสหนึ่ง พระเยซูทรงบอกว่า “ถ้าท่านทั้งหลายจะประพฤติตามที่เราสั่งท่าน ๆ จะเป็นมิตรสหายของเรา.” (โยฮัน 15:14) จริงอยู่ คุณอาจเข้ากันได้ดีกับเพื่อนร่วมงานบางคน. แต่ขอให้ถามตัวคุณเองว่า ‘เขาเต็มใจจะทำสิ่งที่พระเยซูทรงมีพระบัญชาไหม? เขาต้องการเรียนรู้เกี่ยวกับพระยะโฮวาผู้ที่พระเยซูทรงสอนเราให้นมัสการไหม? เขามีมาตรฐานด้านศีลธรรมเหมือนกับที่ฉันมีในฐานะเป็นคริสเตียนไหม?’ (มัดธาย 4:10) เมื่อคุณคุยกับเพื่อนร่วมงานและยืนยันหนักแน่นที่จะดำเนินตามมาตรฐานของคัมภีร์ไบเบิล คำตอบสำหรับคำถามเหล่านี้ก็จะปรากฏชัด.
11. จงกล่าวถึงสถานการณ์บางอย่างที่คำตรัสของพระเจ้าน่าจะชี้นำก้าวเดินของเรา.
11 มีอีกหลายสถานการณ์ที่คำตรัสของพระเจ้าสามารถเป็นเหมือนโคมส่องเท้าให้เรา. ตัวอย่างเช่น คริสเตียนคนหนึ่งที่ตกงานซึ่งปรารถนาจะได้งานทำอย่างยิ่งอาจได้รับข้อเสนอให้ทำงานอย่างหนึ่ง. อย่างไรก็ตาม ตารางงานเรียกร้องเวลาและแรงกายมาก และหากเขาตอบรับงานนั้น เขาจะขาดการประชุมคริสเตียนบางรายการและไม่สามารถเข้าร่วมกิจกรรมอื่น ๆ ที่เกี่ยวกับการนมัสการแท้. (บทเพลงสรรเสริญ 37:25) คริสเตียนอีกคนหนึ่งอาจถูกล่อใจอย่างมากให้ชมความบันเทิงที่เห็นได้ชัดว่าละเมิดหลักการในคัมภีร์ ไบเบิล. (เอเฟโซ 4:17-19) นอกจากนั้น คริสเตียนบางคนอาจมีนิสัยขุ่นเคืองง่ายกับความไม่สมบูรณ์ของเพื่อนร่วมความเชื่อ. (โกโลซาย 3:13) ในสถานการณ์เช่นนั้นทั้งหมด เราควรให้พระคำของพระเจ้าเป็นโคมส่องเท้าให้เรา. ที่จริง โดยปฏิบัติตามหลักการในคัมภีร์ไบเบิล เราจะเผชิญข้อท้าทายใด ๆ ในชีวิตได้อย่างประสบผลสำเร็จ. พระคำของพระเจ้า “เป็นประโยชน์สำหรับการสอน, สำหรับการว่ากล่าว, สำหรับการจัดการเรื่องราวให้เรียบร้อย, สำหรับการตีสอนด้วยความชอบธรรม.”—2 ติโมเธียว 3:16, ล.ม.
“แสงสว่างตามทางของข้าพเจ้า”
12. คำตรัสของพระเจ้าเป็นแสงสว่างส่องทางเดินให้เราอย่างไร?
12 บทเพลงสรรเสริญ 119:105 ยังบอกด้วยว่าคำตรัสของพระเจ้าสามารถส่องสว่างแก่ถนนหนทาง ทำให้เราเห็นทางเดินที่อยู่ข้างหน้าชัดเจน. เราไม่ถูกปล่อยไว้ในความมืดและมองไม่เห็นอนาคต เพราะคัมภีร์ไบเบิลอธิบายความหมายของสภาพโลกที่ทำให้เป็นทุกข์และบอกว่าผลที่สุดจะเป็นอย่างไร. ใช่ เราทราบว่าเรากำลังมีชีวิตอยู่ใน “สมัยสุดท้าย” ของระบบชั่วนี้. (2 ติโมเธียว 3:1-5, ล.ม.) การรู้ว่ามีอะไรรออยู่ข้างหน้าน่าจะมีผลกระทบอย่างมากต่อวิธีที่เราดำเนินชีวิตในขณะนี้. อัครสาวกเปโตรเขียนว่า “โดยเหตุที่สิ่งทั้งปวงเหล่านี้จะต้องถูกละลายไปทั้งสิ้น ท่านทั้งหลายควรเป็นคนชนิดใดในการประพฤติอันบริสุทธิ์ และการกระทำด้วยความเลื่อมใสในพระเจ้า คอยท่าและคำนึงถึงวันของพระยะโฮวาเสมอ!”—2 เปโตร 3:11, 12, ล.ม.
13. ความเร่งด่วนของยุคสมัยนี้ควรมีผลอย่างไรต่อความคิดและรูปแบบชีวิตของเรา?
13 ความคิดและรูปแบบชีวิตของเราควรสะท้อนถึงความเชื่อมั่นว่า “โลกนี้กับความใคร่ของโลกกำลังผ่านพ้นไป.” (1 โยฮัน 2:17) การใช้แนวทางการประพฤติที่คัมภีร์ไบเบิลวางไว้จะช่วยเราให้ตัดสินใจอย่างฉลาดสุขุมเกี่ยวกับอนาคตของเรา. ตัวอย่างเช่น พระเยซูทรงบอกว่า “ดังนั้น จงแสวงหาราชอาณาจักรและความชอบธรรมของพระองค์ก่อนเสมอไป แล้วสิ่งอื่นเหล่านี้ทั้งหมดจะเพิ่มเติมให้แก่ท่าน.” (มัดธาย 6:33, ล.ม.) ช่างน่าชมเชยสักเพียงไรที่เห็นคนหนุ่มสาวจำนวนมากแสดงความเชื่อในคำตรัสของพระเยซูโดยดำเนินชีวิตในงานรับใช้เต็มเวลา! คนอื่น ๆ—รวมถึงหลาย ๆ ครอบครัวที่ไปด้วยกันทั้งครอบครัว—ได้สมัครใจย้ายไปอยู่ในดินแดนที่ต้องการผู้ประกาศราชอาณาจักรอย่างเร่งด่วน.
14. คริสเตียนครอบครัวหนึ่งขยายงานรับใช้ของตนโดยวิธีใด?
14 ขอให้พิจารณาตัวอย่างของคริสเตียนครอบครัวหนึ่งซึ่งมีสมาชิกสี่คนที่ได้ย้ายจากสหรัฐไปอยู่ที่สาธารณรัฐโดมินิกันเพื่อรับใช้กับประชาคมหนึ่งในเมืองเล็ก ๆ ซึ่งมีโยฮัน 4:35, ฉบับแปล 2002) ผู้เป็นพ่ออธิบายว่า “มีพี่น้อง 30 คนที่ได้ย้ายมาช่วยประชาคมที่นี่. ประมาณ 20 คนมาจากสหรัฐ คนอื่น ๆ ที่เหลือมาจากแคนาดา, นิวซีแลนด์, บาฮามาส, สเปน, และอิตาลี. พวกเขามาถึงพร้อมด้วยความกระหายจะเข้าร่วมในงานรับใช้ และได้ก่อผลกระทบอย่างมากช่วยให้พี่น้องท้องถิ่นกระตือรือร้นมากขึ้น.”
ประชากร 50,000 คน. ประชาคมนี้มีผู้ประกาศราชอาณาจักรประมาณ 130 คน. ทว่า ในวันที่ 12 เมษายน 2006 มีผู้เข้าร่วมการประชุมอนุสรณ์ระลึกถึงการสิ้นพระชนม์ของพระคริสต์ประมาณ 1,300 คน! เขตงานในท้องถิ่นนี้ “เหลืองอร่ามและถึงเวลาเกี่ยวแล้ว” ถึงขนาดที่หลังจากย้ายมาเพียงห้าเดือน พ่อ, แม่, ลูกชาย, และลูกสาวนำการศึกษาคัมภีร์ไบเบิลรวมกันทั้งหมด 30 ราย. (15. คุณได้รับพระพรอะไรจากการให้ผลประโยชน์ของราชอาณาจักรมาเป็นอันดับแรกในชีวิต?
15 เป็นเรื่องเข้าใจได้ หลายคนไม่อยู่ในฐานะที่จะย้ายไปต่างแดนเพื่อรับใช้ในที่ที่มีความจำเป็นมากกว่าได้. แต่คนที่สามารถทำได้—หรือคนที่สามารถปรับสภาพการณ์ในชีวิตเพื่อจะอยู่พร้อม—จะประสบพระพรมากมายอย่างแน่นอนจากการมีส่วนร่วมในงานรับใช้แง่นี้. และไม่ว่าคุณรับใช้ที่ไหน ขออย่าได้พลาดโอกาสรับเอาความยินดีที่คุณสามารถมีได้เมื่อคุณรับใช้พระยะโฮวาด้วยสุดกำลัง. หากคุณให้ผลประโยชน์ของราชอาณาจักรมาเป็นอันดับแรกในชีวิต พระยะโฮวาทรงสัญญาว่าจะ ‘เทพรให้แก่คุณจนเกินความต้องการ.’—มาลาคี 3:10.
รับประโยชน์จากการชี้นำของพระยะโฮวา
16. เราจะรับประโยชน์อย่างไรจากการให้คำตรัสของพระเจ้าชี้นำเรา?
16 ดังที่เราเห็นแล้ว คำตรัสของพระยะโฮวาชี้นำเราในสองทางที่เกี่ยวข้องกัน. คำตรัสของพระยะโฮวาเป็นเหมือนโคมส่องเท้าให้เรา ช่วยเราให้รุดหน้าไปในทิศทางที่ถูกต้องและชี้นำเราเมื่อเราต้องตัดสินใจในเรื่องต่าง ๆ. นอกจากนั้นแล้ว คำตรัสของพระเจ้าส่องสว่างแก่ทางของเรา ช่วยเรามองเห็นได้ชัดเจนว่ามีอะไรอยู่ข้างหน้า. ในเมื่อเป็นอย่างนั้น นั่นก็จะช่วยเราให้ทำตามคำแนะนำของเปโตรที่ว่า “จงเตรียมจิตใจของท่านทั้งหลายเพื่อการงาน จงรักษาสติของท่านให้ครบถ้วน; จงตั้งความหวังของท่านในพระกรุณาอันไม่พึงได้รับซึ่งจะทรงนำมาถึงท่านในคราวการปรากฏของพระเยซูคริสต์.”—1 เปโตร 1:13, ล.ม.
17. การศึกษาคัมภีร์ไบเบิลจะช่วยเราอย่างไรให้ทำตามการชี้นำของพระเจ้า?
17 ไม่มีข้อสงสัยว่าพระยะโฮวาประทานการชี้นำ. ปัญหาอยู่ที่ว่าคุณจะยอมรับการชี้นำจากพระองค์หรือไม่. เพื่อจะเข้าใจการชี้นำของพระยะโฮวา ขอให้คุณตั้งใจไว้ว่าจะอ่านส่วนหนึ่งของคัมภีร์ไบเบิลในแต่ละวัน. คิดรำพึงถึงสิ่งที่คุณอ่าน, พยายามเข้าใจพระทัยประสงค์ของพระยะโฮวาในเรื่องต่าง ๆ, และคิดถึงวิธีที่จะนำเอาเรื่องนั้นไปใช้. (1 ติโมเธียว 4:15) จากนั้น ขอให้ใช้ ‘ความสามารถในการหาเหตุผล’ เมื่อคุณตัดสินใจในเรื่องส่วนตัว.—โรม 12:1, ล.ม.
18. เมื่อเราให้พระคำของพระเจ้าชี้นำ เราได้รับพระพรอะไร?
18 หากเรายอมให้หลักการที่พบในพระคำของพระเจ้าชี้นำ หลักการนั้นก็จะทำให้เราเห็นทางสว่างและให้การชี้นำที่เราจำเป็นต้องได้รับเมื่อเราตัดสินเกี่ยวกับแนวทางที่ถูกต้องควรดำเนิน. เรามั่นใจได้ว่าคำตรัสของพระยะโฮวาที่มีบันทึกไว้ทำให้ “ผู้ที่ขาดประสบการณ์มีปัญญา.” (บทเพลงสรรเสริญ 19:7, ล.ม.) เมื่อเรายอมให้คัมภีร์ไบเบิลชี้นำ เราจะมีสติรู้สึกผิดชอบที่สะอาดและได้รับความพึงพอใจที่มาจากการทำให้พระยะโฮวาพอพระทัย. (1 ติโมเธียว 1:18, 19) หากเราให้คำตรัสของพระเจ้าชี้นำก้าวเดินของเราในแต่ละวัน พระยะโฮวาจะประทานบำเหน็จแก่เราให้ได้รับพระพรในขั้นสุดยอดด้วยการมีชีวิตนิรันดร์.—โยฮัน 17:3.
คุณจำได้ไหม?
• เหตุใดจึงสำคัญที่จะให้พระยะโฮวาพระเจ้าชี้นำก้าวเดินของเรา?
• คำตรัสของพระยะโฮวาเป็นโคมส่องเท้าให้เราได้ในทางใด?
• คำตรัสของพระเจ้าเป็นแสงสว่างส่องทางให้เราได้อย่างไร?
• การศึกษาคัมภีร์ไบเบิลจะช่วยเราอย่างไรให้ทำตามการชี้นำของพระเจ้า?
[คำถาม]
[ภาพหน้า 15]
เมื่อไรที่การคบหาสมาคมกับผู้ไม่มีความเชื่อกลายเป็นเรื่องไม่ฉลาด?
[ภาพหน้า 16]
เพื่อนสนิทของพระเยซูได้แก่คนที่ทำตามพระทัยประสงค์ของพระยะโฮวา
[ภาพหน้า 17]
รูปแบบชีวิตของเราแสดงไหมว่าเราให้ผลประโยชน์ของราชอาณาจักรมาเป็นอันดับแรก?