เรา “ถูกสร้างอย่างน่าพิศวง”
เรา “ถูกสร้างอย่างน่าพิศวง”
“ข้าพเจ้าถูกสร้างอย่างน่าพิศวงในวิธีที่น่าเกรงขาม.”—บทเพลงสรรเสริญ 139:14, ล.ม.
1. เหตุใดหลายคนที่มีความคิดจึงให้เกียรติแด่พระเจ้าสำหรับสิ่งน่าพิศวงต่าง ๆ ในแผ่นดินโลก?
โลกธรรมชาติเต็มด้วยสิ่งทรงสร้างอันน่าพิศวง. สิ่งเหล่านี้เกิดมาอย่างไร? บางคนเชื่อว่าอาจพบคำตอบได้โดยไม่ต้องอ้างถึงพระผู้สร้างผู้มีเชาวน์ปัญญา. คนอื่น ๆ เชื่อว่าการปฏิเสธเรื่องพระผู้สร้างอย่างมีอคติจำกัดขอบเขตความสามารถของเราในการเข้าใจธรรมชาติ. พวกเขาเชื่อว่าสิ่งมีชีวิตทั้งหลายในโลกซับซ้อนอย่างยิ่ง, หลากหลายอย่างยิ่ง, และอาจกล่าวเพิ่มอีกได้ว่าน่าพิศวงอย่างยิ่ง เกินกว่าที่จะเกิดขึ้นเองโดยบังเอิญ. สำหรับหลายคน รวมทั้งนักวิทยาศาสตร์บางคนด้วย หลักฐานแสดงให้เห็นว่าเอกภพมีพระผู้สร้างที่ฉลาดสุขุม, ทรงฤทธานุภาพ, และเมตตากรุณา. *
2. อะไรกระตุ้นดาวิดให้สรรเสริญพระยะโฮวา?
2 กษัตริย์ดาวิดแห่งอิสราเอลโบราณเป็นคนหนึ่งที่เชื่อมั่นว่าต้องมีพระผู้สร้างที่สมควรได้รับคำสรรเสริญสำหรับการสร้างอันน่าพิศวง. แม้ดาวิดมีชีวิตอยู่นานแล้วก่อนยุควิทยาศาสตร์ในสมัยปัจจุบัน แต่ท่านเข้าใจว่าท่านถูกแวดล้อมโดยตัวอย่างงานสร้างสรรค์อันน่าพิศวงของพระเจ้า. สิ่งที่ดาวิดจำเป็นต้องทำก็มีเพียงแค่พิจารณาองค์ประกอบของตัวท่านเองเพื่อจะรู้สึกเกรงขามอย่างล้ำลึกต่อพระปรีชาสามารถในการสร้างสรรค์ของพระเจ้า. ท่านเขียนว่า “ข้าพเจ้าจะสรรเสริญพระองค์ เพราะข้าพเจ้าถูกสร้างอย่างน่าพิศวงในวิธีที่น่าเกรงขาม. พระราชกิจของพระองค์เป็นที่น่าพิศวง ดังที่ข้าพเจ้าตระหนักทีเดียว.”—บทเพลงสรรเสริญ 139:14, ล.ม.
3, 4. เหตุใดจึงสำคัญที่เราแต่ละคนจะคิดอย่างจริงจังเกี่ยวกับพระราชกิจของพระยะโฮวา?
3 ดาวิดมีความเชื่อมั่นคงอย่างนี้จากการใคร่ครวญอย่างจริงจัง. ในทุกวันนี้ หลักสูตรในโรงเรียนและสื่อต่าง ๆ เต็มไปด้วยทฤษฎีที่ทำลายความเชื่อเกี่ยวกับต้นกำเนิดของมนุษย์. เพื่อเราจะมีความเชื่อแบบดาวิด เราต้องใคร่ครวญอย่างจริงจัง. นับว่าอันตรายทีเดียวที่จะให้ความคิดของคนอื่นมีอิทธิพลต่อความคิดของเรา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเด็นสำคัญอย่างเรื่องการดำรงอยู่ และบทบาทของพระผู้สร้าง.
4 นอกจากนั้น การใคร่ครวญถึงพระราชกิจของพระยะโฮวาทำให้เราหยั่งรู้ค่าพระองค์ยิ่งขึ้นและเชื่อมั่นในคำสัญญาของพระองค์ในเรื่องอนาคต. เมื่อเป็นอย่างนั้น นั่นก็จะกระตุ้นเราให้ทำความรู้จักพระยะโฮวาให้ดีขึ้นและรับใช้พระองค์. ด้วยเหตุนั้น ให้เรามาพิจารณากันว่าวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ยืนยันการลงความเห็นของดาวิดอย่างไรที่ว่า เรา “ถูกสร้างอย่างน่าพิศวง.”
พัฒนาการด้านร่างกายของเราอันน่าพิศวง
5, 6. (ก) เราทุกคนเริ่มต้นชีวิตอย่างไร? (ข) ไตของเรามีบทบาทเช่นไร?
5 “พระองค์เองได้สร้างไตของข้าพเจ้า; พระองค์ทรงดูบทเพลงสรรเสริญ 139:13, ล.ม.) เราทุกคนเริ่มมีชีวิตภายในร่างกายมารดาโดยเป็นเซลล์ที่มีขนาดเล็กกว่าเครื่องหมายมหัพภาค (.) ที่ท้ายประโยคนี้. เซลล์นั้น ซึ่งเล็กมากจนต้องใช้กล้องจุลทรรศน์ส่องจึงจะมองเห็น มีความซับซ้อนอย่างยิ่งจนเหมือนกับโรงงานเคมีย่อส่วน! เซลล์นี้เจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว. เมื่อถึงตอนสิ้นเดือนที่สองในครรภ์มารดา อวัยวะสำคัญ ๆ ของคุณก็ก่อรูปขึ้นมาเรียบร้อยแล้ว. อวัยวะอย่างหนึ่งก็คือไต. เมื่อคุณเกิดมา ไตของคุณอยู่พร้อมที่จะกรองเลือดของคุณ—ขจัดสารพิษและน้ำส่วนเกินออกไปแต่เก็บกักสารที่เป็นประโยชน์ไว้. ไตทั้งสองข้างของคุณ หากสมบูรณ์ดี จะกรองน้ำในเลือดของคุณ—ในผู้ใหญ่ประมาณห้าลิตร—ทุก ๆ 45 นาที!
แลให้ข้าพเจ้าปิดคลุมไว้ในครรภ์มารดาของข้าพเจ้า.” (6 ไตของคุณยังช่วยควบคุมปริมาณเกลือแร่ในเลือดรวมทั้งค่าความเป็นกรดและความดันของเลือดด้วย. ไตทำหน้าที่สำคัญอื่น ๆ อีกหลายอย่างด้วย เช่น เปลี่ยนวิตามินดีให้อยู่ในรูปที่ใช้งานได้ซึ่งจำเป็นสำหรับพัฒนาการของกระดูกอย่างเหมาะสม และผลิตฮอร์โมนอิริโทรพอยเอตินซึ่งกระตุ้นการสร้างเซลล์เม็ดเลือดแดงในกระดูก. ไม่แปลกเลยที่ไตถูกเรียกว่า “นักเคมีใหญ่แห่งร่างกาย”! *
7, 8. (ก) จงพรรณนาการเจริญเติบโตระยะเริ่มแรกของทารกในครรภ์. (ข) ตัวอ่อนที่กำลังพัฒนาเติบโต “ถูกสานในที่ต่ำสุดแห่งแผ่นดินโลก” อย่างไร?
7 “กระดูกของข้าพเจ้ามิได้ถูกซ่อนไว้จากพระองค์ เมื่อข้าพเจ้าถูกสร้างในที่ลับ เมื่อข้าพเจ้าถูกสานในที่ต่ำสุดแห่งแผ่นดินโลก.” (บทเพลงสรรเสริญ 139:15, ล.ม.) เซลล์แรกแบ่งตัว แล้วเซลล์ใหม่ก็แบ่งตัวต่อไปเรื่อย ๆ. ไม่ช้า เซลล์ต่าง ๆ ก็เริ่มผิดแผกแตกต่างกัน เปลี่ยนแปลงกลายเป็นเซลล์ประสาท, เซลล์กล้ามเนื้อ, เซลล์ผิวหนัง, และอื่น ๆ. เซลล์ประเภทเดียวกันจะรวมกลุ่มกันกลายเป็นเนื้อเยื่อแล้วก็เป็นอวัยวะในที่สุด. ตัวอย่างเช่น ระหว่างสัปดาห์ที่สามนับจากการปฏิสนธิ คุณก็เริ่มพัฒนาระบบโครงกระดูก. เมื่อถึงตอนที่คุณอายุเพียงแค่เจ็ดสัปดาห์และมีขนาดยาวเพียงประมาณหนึ่งนิ้ว รูปแบบขั้นต้นของกระดูกผู้ใหญ่ทั้ง 206 ชิ้นก็อยู่ในที่ของมันแล้ว แม้ว่ายังไม่เปลี่ยนเป็นกระดูกแข็ง.
8 กระบวนการของพัฒนาการที่น่าทึ่งนี้เกิดขึ้นภายในครรภ์มารดา ซ่อนไว้จากสายตามนุษย์ราวกับถูกฝังลึกในแผ่นดิน. จริงทีเดียว ยังมีเรื่องอีกมากที่มนุษย์ไม่รู้เกี่ยวกับวิธีที่คนเราพัฒนาเติบโต. ตัวอย่างเช่น อะไรกระตุ้นยีนใดยีนหนึ่งโดยเฉพาะในเซลล์ของคุณให้เริ่มกระบวนการเปลี่ยนแปลงเป็นเซลล์เฉพาะอย่าง? ในที่สุด นักวิทยาศาสตร์อาจพบคำตอบ แต่ดังที่ดาวิดให้ข้อสังเกตถัดจากนั้น พระยะโฮวาพระผู้สร้างของเราทรงเข้าใจอย่างเต็มที่เสมอมา.
9, 10. การก่อตัวของส่วนต่าง ๆ ของตัวอ่อนถูก “เขียนลงในสมุด” ของพระเจ้าอย่างไร?
9 “พระเนตรของพระองค์เห็นกระทั่งตัวอ่อนของข้าพเจ้าด้วยซ้ำ และทุกส่วนของตัวอ่อนนั้นถูกเขียนลงในสมุดของพระองค์ เกี่ยวกับวันทั้งหลายเมื่อส่วนเหล่านั้นถูกก่อรูปขึ้น และเมื่อยังไม่มีสักอันในส่วนเหล่านั้น.” (บทเพลงสรรเสริญ 139:16, ล.ม.) เซลล์แรกของคุณมีแบบพิมพ์เขียวที่ครบถ้วนสำหรับทั้งร่างกายอยู่ในนั้น. แบบพิมพ์เขียวนี้กำหนดแนวทางการพัฒนาเติบโตในช่วงเก้าเดือนในครรภ์มารดาก่อนคลอดออกมา แล้วก็ต่อไปอีกเป็นเวลามากกว่ายี่สิบปีที่เติบโตขึ้นจนเป็นผู้ใหญ่. ในช่วงเวลาดังกล่าว ร่างกายของคุณก็จะผ่านการเปลี่ยนแปลงหลายระยะ โดยที่ทั้งหมดถูกกำหนดไว้โดยข้อมูลที่เขียนเป็นรายการไว้แล้วในเซลล์แรกนั้น.
10 ดาวิดไม่มีความรู้เรื่องเซลล์และยีน และไม่มีแม้กระทั่งกล้องจุลทรรศน์. แต่ท่านเข้าใจอย่างถูกต้องว่าการพัฒนา
เติบโตของร่างกายท่านเองเป็นหลักฐานว่ามีการวางแผนไว้ล่วงหน้า. ดาวิดอาจมีความรู้อยู่บ้างเกี่ยวกับวิธีที่ตัวอ่อนพัฒนาเติบโต ดังนั้นท่านสามารถหาเหตุผลได้ว่าแต่ละขั้นตอนต้องเกิดขึ้นตามการออกแบบและตารางเวลาที่มีอยู่ก่อนแล้ว. ท่านพรรณนาการออกแบบนี้ ด้วยภาษากวีนิพนธ์ ว่าเป็นการ “เขียนลงในสมุด” ของพระเจ้า.11. อะไรกำหนดลักษณะต่าง ๆ ทางกายของเรา?
11 ปัจจุบัน เป็นที่รู้กันว่าบุคลิกลักษณะที่คุณได้รับมาจากบิดามารดาและบรรพบุรุษ—ความสูง, ลักษณะใบหน้า, ตาและสีผม, และลักษณะอื่น ๆ อีกเป็นพัน ๆ อย่าง—ถูกกำหนดไว้แล้วโดยยีนของคุณ. แต่ละเซลล์ของคุณมียีนอยู่ในนั้นหลายหมื่นยีน และแต่ละยีนเป็นส่วนของสายอันยาวเหยียดซึ่งประกอบกันเป็นดีเอ็นเอ (deoxyribonucleic acid). คำสั่งสร้างสำหรับร่างกายของคุณถูก “เขียน” ในโครงสร้างทางเคมีของดีเอ็นเอของตัวคุณเอง. ทุกครั้งที่เซลล์ของคุณแบ่งตัว—เพื่อสร้างเซลล์ใหม่หรือเพื่อทดแทนเซลล์เก่า—ดีเอ็นเอของคุณก็จะถ่ายทอดคำสั่งเหล่านั้นไปด้วย โดยวิธีนี้จึงทำให้คุณมีชีวิตอยู่และคงรูปร่างหน้าตาพื้นฐานของตัวคุณไว้. ช่างเป็นตัวอย่างของอำนาจและสติปัญญาของพระผู้สร้างผู้สถิตในสวรรค์ที่น่าทึ่งจริง ๆ!
จิตใจของเราซึ่งไม่มีอะไรเหมือน
12. อะไรโดยเฉพาะที่ทำให้มนุษย์ต่างจากสัตว์ทั้งหลาย?
12 “ฉะนั้น ความคิดของพระองค์ช่างประเสริฐสักเพียงไรสำหรับข้าพเจ้า! ข้าแต่พระเจ้า ยอดรวมของความคิดเหล่านั้นก็มากสักเท่าไร! ถ้าข้าพเจ้าพยายามจะนับ ความคิดเหล่านั้นก็มีมากกว่าเม็ดทรายด้วยซ้ำ.” (บทเพลงสรรเสริญ 139:17, 18ก, ล.ม.) สัตว์ต่าง ๆ ก็ถูกสร้างอย่างน่าพิศวงด้วยเหมือนกัน และบางชนิดมีประสาทสัมผัสและความสามารถบางอย่างดีกว่ามนุษย์. แต่พระเจ้าประทานความสามารถด้านจิตใจแก่มนุษย์ซึ่งเหนือกว่าสัตว์ชนิดใด ๆ มาก. ตำราวิทยาศาสตร์เล่มหนึ่งกล่าวว่า “แม้มนุษย์คล้ายคลึงกับสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นในหลาย ๆ ทาง แต่เรามีลักษณะเฉพาะที่ไม่เหมือนสิ่งมีชีวิตรูปแบบอื่นใดในโลกในเรื่องความสามารถในการใช้ภาษาและความคิด. นอกจากนั้น เราไม่เหมือนใครในเรื่องความสนใจใคร่รู้อย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับตัวเอง เช่น ร่างกายเราถูกออกแบบไว้อย่างไร? เราถูกประกอบขึ้นอย่างไร?” ดาวิดก็ใคร่ครวญคำถามดังกล่าวเหมือนกัน.
13. (ก) ดาวิดสามารถคิดรำพึงเกี่ยวกับความคิดของพระเจ้าได้อย่างไร? (ข) เราสามารถทำตามตัวอย่างของดาวิดได้อย่างไร?
13 ที่สำคัญที่สุด เมื่อเทียบกับสัตว์แล้ว เราโดดเด่นในเรื่องความสามารถที่จะใคร่ครวญเกี่ยวกับความคิดของพระเจ้า. * ของประทานพิเศษนี้เป็นวิธีหนึ่งที่เราถูกสร้าง ‘ตามแบบพระเจ้า.’ (เยเนซิศ 1:27, ล.ม.) ดาวิดใช้ประโยชน์จากของประทานนี้. ท่านคิดรำพึงถึงหลักฐานเกี่ยวกับการดำรงอยู่ของพระเจ้าและคุณลักษณะที่ดีต่าง ๆ ซึ่งสะท้อนให้เห็นในโลกรอบตัวท่าน. ดาวิดยังมีพระธรรมเล่มแรก ๆ ของพระคัมภีร์บริสุทธิ์ด้วย ซึ่งพระเจ้าทรงเปิดเผยเกี่ยวกับพระองค์เองและพระราชกิจของพระองค์ในนั้น. ข้อเขียนที่มีขึ้นโดยการดลใจเหล่านี้ช่วยดาวิดให้เข้าใจความคิด, บุคลิกภาพ, และพระประสงค์ของพระเจ้า. การคิดรำพึงในเรื่องพระคัมภีร์, การทรงสร้าง, และการติดต่อสัมพันธ์ระหว่างพระเจ้ากับท่านกระตุ้นดาวิดให้สรรเสริญพระผู้สร้าง.
สิ่งที่ความเชื่อเกี่ยวข้องด้วย
14. เหตุใดเราไม่จำเป็นต้องรู้ทุกสิ่งเกี่ยวกับพระเจ้าเพื่อจะมีความเชื่อในพระองค์?
14 ยิ่งดาวิดใคร่ครวญเกี่ยวกับการทรงสร้างและพระคัมภีร์มากเท่าไร ท่านก็ยิ่งตระหนักว่าการที่จะเข้าใจความรู้และความสามารถของพระเจ้าอย่างครบถ้วนนั้นเป็นเรื่องที่ไกลเกินเอื้อมสำหรับท่าน. (บทเพลงสรรเสริญ 139:6) เป็นจริงอย่างนั้นสำหรับเราด้วย. เราจะไม่มีทางเข้าใจทุกสิ่งเกี่ยวกับงานสร้างสรรค์ทั้งสิ้นของพระเจ้า. (ท่านผู้ประกาศ 3:11; 8:17) แต่พระเจ้าได้ “ทรงสำแดงให้ปรากฏแจ้ง” ในเรื่องความรู้ที่มากพอโดยทางพระคัมภีร์และในธรรมชาติเพื่อให้ผู้แสวงหาความจริงซึ่งมีชีวิตในยุคสมัยใดก็ตามสามารถมีความเชื่อซึ่งอาศัยหลักฐาน.—โรม 1:19, 20, ล.ม.; เฮ็บราย 11:1, 3.
15. จงยกตัวอย่างให้เห็นว่าความเชื่อและความสัมพันธ์ของเรากับพระเจ้าเกี่ยวข้องกันอย่างไร.
15 การมีความเชื่อไม่ได้เกี่ยวข้องเพียงแค่ยอมรับว่าชีวิตและเอกภพต้องมีบ่อเกิดจากแหล่งที่มีเชาวน์ปัญญา. การมีความเชื่อหมายรวมถึงการไว้วางใจในพระยะโฮวาพระเจ้าผู้ทรงเป็นบุคคล และเป็นผู้ที่ประสงค์ให้เรารู้จักพระองค์และรักษาสายสัมพันธ์ที่ดีกับพระองค์. (ยาโกโบ 4:8) เราอาจคิดถึงความเชื่อและความไว้วางใจที่คนหนึ่งมีต่อบิดาที่เปี่ยมด้วยความรัก. หากมีคนที่ข้องใจตั้งข้อสงสัยว่าบิดาของคุณจะช่วยคุณจริง ๆ ไหมเมื่อตกอยู่ในวิกฤติ คุณอาจจะไม่สามารถทำให้เขาเชื่อว่าบิดาของคุณเป็นคนที่ไว้วางใจได้. แต่หากคุณได้สั่งสมประสบการณ์ที่ให้หลักฐานถึงคุณลักษณะที่ดีของบิดาคุณ คุณสามารถเชื่อมั่นว่าท่านจะไม่ทำให้คุณผิดหวัง. คล้ายกัน การได้มารู้จักพระยะโฮวาด้วยการศึกษาพระคัมภีร์, การใคร่ครวญถึงการทรงสร้าง, และการได้รับความช่วยเหลือจากพระองค์ที่เป็นการตอบคำอธิษฐานกระตุ้นเราให้ไว้วางใจพระองค์. นั่นทำให้เราต้องการเรียนรู้มากยิ่งขึ้นเกี่ยวกับพระองค์และสรรเสริญพระองค์ตลอดไปด้วยความรักอันไม่เห็นแก่ตัวและความเลื่อมใส. นั่นเป็นเป้าหมายที่สูงส่งที่สุดที่ใคร ๆ ก็สามารถพยายามบรรลุได้.—เอเฟโซ 5:1, 2.
จงขอการชี้นำจากพระผู้สร้างของเรา!
16. เราสามารถเรียนอะไรได้จากความสัมพันธ์อันใกล้ชิดของดาวิดกับพระยะโฮวา?
16 “ข้าแต่พระเจ้า ขอโปรดพินิจพิเคราะห์ดูข้าพเจ้า และทรงทราบหัวใจของข้าพเจ้า. ขอโปรดตรวจสอบดูข้าพเจ้า และทรงทราบความคิดที่รบกวนใจของข้าพเจ้า และทอดพระเนตรดูว่ามีวิถีที่ก่อความปวดร้าวใด ๆ ในตัวข้าพเจ้าหรือไม่ และโปรดนำข้าพเจ้าไปในหนทางที่ดำเนินสืบไปโดยไม่มีเวลากำหนด.” (บทเพลงสรรเสริญ 139:23, 24, ล.ม.) ดาวิดตระหนักว่าพระยะโฮวาทรงรู้จักท่านอย่างทะลุปรุโปร่งอยู่แล้ว—ทุกสิ่งที่ท่านคิด, พูด, หรือทำล้วนอยู่ในรัศมีแห่งการรับรู้ของพระผู้สร้าง. (บทเพลงสรรเสริญ 139:1-12; เฮ็บราย 4:13) การที่พระเจ้าทรงรู้จักคุ้นเคยอย่างดีเช่นนั้นทำให้ดาวิดรู้สึกมั่นคง เช่นเดียวกับที่เด็กเล็ก ๆ รู้สึกมั่นคงเมื่ออยู่ในอ้อมแขนของบิดามารดาที่เปี่ยมด้วยความรัก. ดาวิดเห็นคุณค่าอย่างยิ่งในความสัมพันธ์อันใกล้ชิดกับพระยะโฮวาและพยายามรักษาไว้โดยใคร่ครวญอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับพระหัตถกิจของพระองค์และโดยอธิษฐานถึงพระองค์. ที่จริง เพลงสรรเสริญหลายบทของดาวิด—รวมทั้งเพลงสรรเสริญบท 139—โดยพื้นฐานแล้วเป็นคำอธิษฐานที่มีดนตรีคลอประกอบ. การคิดรำพึงและการอธิษฐานสามารถช่วยเราได้เช่นกันให้เข้าใกล้พระยะโฮวา.
17. (ก) เหตุใดดาวิดต้องการให้พระยะโฮวาตรวจสอบหัวใจท่าน? (ข) วิธีที่เราใช้เจตจำนงเสรีส่งผลกระทบต่อชีวิตเราอย่างไร?
บทเพลงสรรเสริญ 139:19-22) ท่านต้องการหลีกเลี่ยงความผิดพลาดที่สร้างความเจ็บปวด. ด้วยเหตุนั้น เมื่อใคร่ครวญเกี่ยวกับความรู้อันรอบด้านของพระยะโฮวา ดาวิดขอด้วยความถ่อมใจให้พระเจ้าทรงตรวจสอบบุคคลที่ลึกที่สุดภายในท่านและให้ชี้นำท่านไปในทางที่นำไปสู่ชีวิต. มาตรฐานด้านศีลธรรมอันชอบธรรมของพระเจ้าใช้ได้กับทุกคน; ดังนั้น เราเองก็จำเป็นต้องเลือกให้ถูกต้อง. พระยะโฮวาทรงกระตุ้นเราทุกคนให้เชื่อฟังพระองค์. การทำอย่างนั้นทำให้เราได้รับความพอพระทัยและผลประโยชน์มากมาย. (โยฮัน 12:50; 1 ติโมเธียว 4:8) การดำเนินกับพระยะโฮวาในแต่ละวันไปช่วยเราให้ปลูกฝังความสงบภายใน แม้แต่เมื่อเผชิญกับปัญหาที่ทำให้เป็นทุกข์.—ฟิลิปปอย 4:6, 7.
17 เนื่องจากถูกสร้างตามแบบพระเจ้า เรามีเจตจำนงเสรี. เราสามารถเลือกได้ว่าจะทำดีหรือทำชั่ว. สิ่งที่มาพร้อมกับเสรีภาพคือความรับผิดชอบด้านศีลธรรม. ดาวิดไม่ต้องการถูกจัดไว้ในจำพวกเดียวกับคนชั่ว. (จงดำเนินตามพระผู้สร้างองค์ยอดเยี่ยมของเรา!
18. ดาวิดลงความเห็นไว้เช่นไรหลังจากที่ท่านใคร่ครวญเกี่ยวกับการทรงสร้าง?
18 เมื่อยังหนุ่ม ดาวิดมักเลี้ยงฝูงแกะอยู่กลางแจ้ง. แกะก้มหัวลงกินหญ้า แต่ท่านเงยหน้ามองดูฟ้า. ในความมืดมิดของค่ำคืน ดาวิดคิดรำพึงถึงความยิ่งใหญ่ของเอกภพและใคร่ครวญว่าทั้งหมดนี้หมายถึงอะไร. ดาวิดเขียนไว้ว่า “ฟ้าสวรรค์แสดงพระรัศมีของพระเจ้า; และท้องฟ้าประกาศพระหัตถกิจ. วันต่อวันกล่าววาจา, และคืนต่อคืนสำแดงความรู้.” (บทเพลงสรรเสริญ 19:1, 2) ดาวิดเข้าใจว่าท่านจำเป็นต้องแสวงหาและดำเนินตามองค์ยิ่งใหญ่ผู้ได้สร้างทุกสิ่งไว้อย่างน่าพิศวง. เราจำเป็นต้องทำอย่างเดียวกันนั้น.
19. คนหนุ่มและผู้สูงอายุสามารถได้บทเรียนอะไรจากการ “ถูกสร้างอย่างน่าพิศวง”?
19 ดาวิดเป็นตัวอย่างตามคำแนะนำที่ซะโลโมราชบุตรของท่านได้ให้แก่คนหนุ่มสาวในเวลาต่อมา ที่ว่า “ในปฐมวัยของเจ้าจงระลึกถึงพระองค์ผู้ได้ทรงสร้างตัวเจ้านั้น . . . จงเกรงกลัวพระเจ้า, จงถือรักษาบัญญัติทั้งปวงของพระองค์; เพราะว่าการนี้เป็นหน้าที่ของมนุษย์ทุกคน.” (ท่านผู้ประกาศ 12:1, 13) เมื่อยังหนุ่ม ดาวิดเข้าใจอยู่แล้วว่าท่าน “ถูกสร้างอย่างน่าพิศวง.” โดยดำเนินชีวิตตามความหยั่งเห็นเข้าใจนี้ ท่านได้รับประโยชน์มากมายตลอดชีวิตท่าน. หากเรา ไม่ว่าหนุ่มหรือสูงอายุ สรรเสริญและรับใช้พระผู้สร้างองค์ยิ่งใหญ่ ชีวิตของเราในปัจจุบันและในอนาคตจะเปี่ยมด้วยความยินดี. คัมภีร์ไบเบิลให้สัญญาแก่คนที่ติดสนิทกับพระยะโฮวาและดำเนินชีวิตตามวิถีอันชอบธรรมของพระองค์ว่า “เมื่อผู้นั้นแก่แล้วยังจะเกิดผล; จะประกอบไปด้วยน้ำเลี้ยงและยังเขียวสดอยู่ เพื่อแสดงให้เห็นว่าพระยะโฮวาเป็นผู้สัตย์ซื่อ.” (บทเพลงสรรเสริญ 92:14, 15) และเราจะมีความหวังที่จะชื่นชมกับพระหัตถกิจอันน่าพิศวงของพระผู้สร้างของเราตลอดไป.
[เชิงอรรถ]
^ วรรค 1 โปรดดูตื่นเถิด! (ภาษาอังกฤษ) ฉบับ 22 มิถุนายน 2004 จัดพิมพ์โดยพยานพระยะโฮวา.
^ วรรค 6 ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่บทความ “ไตของคุณ—เครื่องกรองที่ค้ำจุนชีวิต” ในตื่นเถิด! ฉบับ 8 สิงหาคม 1997.
^ วรรค 13 ถ้อยคำของดาวิดที่บทเพลงสรรเสริญ 139:18ข ดูเหมือนจะหมายความว่าหากท่านใช้เวลาทั้งวันนับความคิดของพระยะโฮวาจนกระทั่งท่านผล็อยหลับไปตอนกลางคืน เมื่อตื่นขึ้นมาในตอนเช้า ก็จะยังคงมีอีกมากให้ท่านนับต่อได้.
คุณอธิบายได้ไหม?
• วิธีที่ตัวอ่อนพัฒนาเติบโตแสดงอย่างไรว่าเรา “ถูกสร้างอย่างน่าพิศวง”?
• เหตุใดเราควรคิดรำพึงถึงความคิดของพระยะโฮวา?
• ความเชื่อและความสัมพันธ์ของเรากับพระยะโฮวาเกี่ยวข้องกันอย่างไร?
[คำถาม]
[ภาพหน้า 23]
พัฒนาการของทารกในครรภ์มารดาดำเนินไปตามการออกแบบที่กำหนดไว้อยู่ก่อนแล้ว
ดีเอ็นเอ
[ที่มาของภาพ]
Unborn fetus: Lennart Nilsson
[ภาพหน้า 24]
เช่นเดียวกับเด็ก ๆ ที่ไว้วางใจบิดาที่เปี่ยมด้วยความรัก เราเชื่อมั่นในพระยะโฮวา
[ภาพหน้า 25]
การใคร่ครวญพระหัตถกิจของพระยะโฮวากระตุ้นดาวิดให้สรรเสริญพระองค์