“คนทั้งปวงที่เต็มใจตอบรับความจริง” กำลังเข้ามา
“คนทั้งปวงที่เต็มใจตอบรับความจริง” กำลังเข้ามา
“คนทั้งปวงที่เต็มใจตอบรับความจริงซึ่งทำให้ได้ชีวิตนิรันดร์ต่างก็เข้ามาเป็นผู้เชื่อถือ.”—กิจการ 13:48.
1, 2. คริสเตียนในยุคแรกตอบสนองอย่างไรต่อคำพยากรณ์ของพระเยซูที่ว่าข่าวดีจะได้รับการประกาศไปทั่วแผ่นดินโลกที่มีคนอาศัยอยู่?
พระธรรมกิจการในคัมภีร์ไบเบิลเก็บรักษาบันทึกที่น่าตื่นเต้นเกี่ยวกับวิธีที่คริสเตียนในยุคแรกตอบสนองต่อคำพยากรณ์ของพระเยซูที่ว่า ข่าวดีเรื่องราชอาณาจักรจะได้รับการประกาศไปทั่วแผ่นดินโลกที่มีคนอาศัยอยู่. (มัด. 24:14) ผู้ประกาศที่ใจแรงกล้าได้เบิกทางไว้ให้ผู้ประกาศรุ่นหลัง. การที่เหล่าสาวกของพระเยซูประกาศอย่างกระตือรือร้นในกรุงเยรูซาเลมยังผลให้มีหลายพันคน รวมทั้ง “ปุโรหิตจำนวนมาก” เข้ามาสมทบกับประชาคมในศตวรรษแรก.—กิจ. 2:41; 4:4; 6:7.
2 มิชชันนารีในยุคแรกได้ช่วยผู้คนอีกมากมายให้ยอมรับหลักการคริสเตียน. ตัวอย่างเช่น ฟิลิปได้ไปที่ซะมาเรีย และผู้คนที่นั่นสนใจฟังท่านพูด. (กิจ. 8:5-8) เปาโลกับเพื่อนร่วมงานหลายคนเดินทางไปทั่ว ประกาศข่าวสารของคริสเตียนที่ไซปรัส, บางส่วนของเอเชียน้อย, มาซิโดเนีย, กรีซ, และอิตาลี. ในเมืองต่าง ๆ ที่ท่านประกาศ ผู้คนมากมายทั้งชาวยิวและชาวกรีกได้เข้ามาเป็นผู้มีความเชื่อ. (กิจ. 14:1; 16:5; 17:4) ทิทุสทำหน้าที่ในงานรับใช้ที่เกาะครีต. (ทิทุส 1:5) เปโตรมีงานยุ่งในบาบิโลน และเมื่อถึงตอนที่ท่านเขียนจดหมายฉบับแรก ประมาณสากลศักราช 62-64 กิจกรรมของคริสเตียนก็เป็นที่รู้จักเป็นอย่างดีแล้วที่ปนโทส, กาลาเทีย, กัปปะโดเกีย, เอเชีย, และบิทีเนีย. (1 เป. 1:1; 5:13) ช่างเป็นช่วงเวลาที่น่าตื่นเต้นจริง ๆ! คริสเตียนผู้ประกาศในศตวรรษแรกกระตือรือร้นมากจนเหล่าศัตรูกล่าวหาว่าพวกเขาได้ “ทำให้แผ่นดินวุ่นวาย.”—กิจ. 17:6; 28:22.
3. ผู้ประกาศราชอาณาจักรประสบผลเช่นไรในงานประกาศสมัยนี้ และนั่นทำให้คุณรู้สึกอย่างไร?
3 ในสมัยปัจจุบันก็เช่นกัน ประชาคมคริสเตียนเติบโตอย่างน่าทึ่ง. คุณมีกำลังใจมากขึ้นมิใช่หรือเมื่ออ่านรายงานประจำปีของพยานพระยะโฮวาและเห็นผลของการงานที่ทำกันทั่วโลก? เป็นเรื่องที่ทำให้คุณยินดีมิใช่หรือที่ทราบว่าผู้ประกาศราชอาณาจักรได้นำการศึกษาคัมภีร์ไบเบิลมากกว่าหกล้านรายในระหว่างปีรับใช้ 2007? นอกจากนั้น จำนวนผู้เข้าร่วมการประชุมอนุสรณ์ระลึกถึงการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูคริสต์ในปีที่แล้วแสดงว่า คนที่ไม่ได้เป็นพยานฯแต่สนใจข่าวดีมากพอที่จะเข้าร่วมรำลึกเหตุการณ์สำคัญนี้มีประมาณสิบล้านคน. ข้อเท็จจริงนี้แสดงว่ายังมีงานอีกมากที่ต้องทำ.
4. ใครกำลังถูกชักนำให้เข้าสู่องค์การของพระยะโฮวา?
4 ปัจจุบัน มีผู้คนมากมายที่ “เต็มใจตอบรับความจริงซึ่งทำให้ได้ชีวิตนิรันดร์” เช่นเดียวกับในศตวรรษแรก. กิจ. 13:48) พระยะโฮวากำลังชักนำผู้คนที่มีลักษณะอย่างนั้นเข้าสู่องค์การของพระองค์. (อ่านฮาฆี 2:7.) เราจำเป็นต้องรักษาเจตคติเช่นไรต่องานรับใช้ของคริสเตียนเพื่อจะร่วมมืออย่างเต็มที่ในงานรวบรวมผู้คนนี้?
(ประกาศอย่างไม่ลำเอียง
5. พระยะโฮวาทรงพอพระทัยคนแบบไหน?
5 คริสเตียนในศตวรรษแรกเข้าใจดีว่า “พระเจ้าไม่ทรงลำเอียง แต่พระองค์ทรงชอบพระทัยคนที่ยำเกรงพระองค์และประพฤติชอบธรรมไม่ว่าจะเป็นคนชาติใด.” (กิจ. 10:34, 35) คนที่ต้องการมีสายสัมพันธ์ที่ดีกับพระยะโฮวาต้องแสดงความเชื่อในเครื่องบูชาไถ่ของพระเยซู. (โย. 3:16, 36) และพระยะโฮวาทรงมีพระทัยประสงค์ให้ “คนทุกชนิดรอดและได้รับความรู้ถ่องแท้เรื่องความจริง.”—1 ติโม. 2:3, 4.
6. ผู้ประกาศราชอาณาจักรต้องระวังอะไร และเพราะเหตุใด?
6 คงไม่เหมาะที่ผู้ประกาศข่าวดีจะมีอคติต่อคนที่มีเชื้อชาติ, สถานภาพทางสังคม, ลักษณะภายนอก, ภูมิหลังทางศาสนา, หรือลักษณะอื่น ๆ ที่ต่างจากคนส่วนใหญ่. ขอให้พิจารณากันสักนิด: คุณรู้สึกขอบคุณมิใช่หรือที่คนแรกที่พูดกับคุณเรื่องความจริงในพระคัมภีร์ไม่ได้มีอคติต่อคุณ? ถ้าอย่างนั้น มีเหตุผลอะไรที่เราจะละเว้นไม่ประกาศข่าวสารที่อาจช่วยชีวิตแก่ใครก็ตามซึ่งอาจฟังข่าวสารนั้น?—อ่านมัดธาย 7:12.
7. เหตุใดเราต้องไม่ตัดสินคนที่เราบอกข่าวดี?
7 พระยะโฮวาทรงแต่งตั้งให้พระเยซูเป็นผู้พิพากษา; ดังนั้น เราไม่มีสิทธิ์จะตัดสินใคร. นั่นนับว่าเป็นเรื่องเหมาะสม เนื่องจากเราสามารถตัดสินผู้อื่นโดยเพียงแต่ดู “ตามที่ปรากฏแก่ตาเท่านั้น” หรือ “ที่ได้ยินกับหูเท่านั้น” ไม่เหมือนกับพระเยซูซึ่งทรงสามารถอ่านความคิดในส่วนลึกและทรงทราบการหาเหตุผลในหัวใจของผู้คน.—ยซา. 11:1-5; 2 ติ-โม. 4:1.
8, 9. (ก) เซาโลเป็นคนแบบไหนก่อนเข้ามาเป็นคริสเตียน? (ข) ประสบการณ์ของอัครสาวกเปาโลน่าจะสอนอะไรแก่เรา?
8 ผู้คนที่มาจากภูมิหลังทุกชนิดได้เข้ามาเป็นผู้รับใช้พระยะโฮวา. ตัวอย่างที่นับว่าเด่นคือเซาโลแห่งทาร์ซัส ซึ่งภายหลังได้เปลี่ยนมาเป็นอัครสาวกเปาโล. เซาโล ซึ่งเป็นฟาริซายคนหนึ่ง ได้ต่อต้านคริสเตียนอย่างร้ายกาจ. เนื่องจากเซาโลเชื่อมั่นว่าคริสเตียนเป็นผู้นมัสการเท็จ เขาจึงข่มเหงประชาคมคริสเตียน. (กลา. 1:13) จากมุมมองของมนุษย์ ดูเหมือนว่าเซาโลเป็นคนที่ไม่น่าจะเปลี่ยนมาเป็นคริสเตียนได้. กระนั้น พระเยซูทรงเห็นส่วนดีในหัวใจของเซาโลและเลือกเขาให้ทำงานมอบหมายพิเศษอย่างหนึ่ง. ผลคือ เซาโลกลายมาเป็นสมาชิกประชาคมคริสเตียนในศตวรรษแรกที่ขยันขันแข็งและใจแรงกล้าที่สุดคนหนึ่ง.
9 ประสบการณ์ของอัครสาวกเปาโลสอนเราในเรื่องใด? ในเขตงานของเรา อาจมีคนหลายกลุ่มที่ดูเหมือนว่าไม่ชอบข่าวสารที่เราประกาศ. แม้อาจดูเหมือนว่าเป็นเรื่องยากที่จะมีใครบางคนในพวกเขาเข้ามาเป็นคริสเตียนแท้ เราไม่ควรเลิกพยายามหาเหตุผลกับพวกเขา. บางครั้ง แม้แต่คนที่ดูเหมือนไม่มีทีท่าแม้แต่น้อยว่าจะตอบรับกลับตอบรับ. งานมอบหมายของเราก็คือการประกาศแก่คนทั้งปวงต่อ ๆ ไป “มิได้ขาด.”—อ่านกิจการ 5:42.
มีพระพรคอยอยู่สำหรับคนที่ประกาศ “มิได้ขาด”
10. เหตุใดเราไม่ควรยับยั้งการประกาศแก่คนที่อาจดูน่ากลัว? จงเล่าประสบการณ์ในท้องถิ่น.
10 ลักษณะภายนอกอาจทำให้ลงความเห็นผิด ๆ ได้. ขอให้ดูตัวอย่างของอิกนาสิโย * ซึ่งเริ่มศึกษาคัมภีร์ไบเบิลกับพยานพระยะโฮวาตอนที่เขาติดคุกในประเทศหนึ่งที่อเมริกาใต้. ผู้คนกลัวเขาเพราะเขามีนิสัยชอบใช้ความรุนแรง. ด้วยเหตุนั้น เพื่อนนักโทษที่ทำของขายให้เพื่อนนักโทษด้วยกันใช้อิกนาสิโยเป็นคนทวงหนี้จากคนที่จ่ายช้า. แต่เมื่ออิกนาสิโยก้าวหน้าทางฝ่ายวิญญาณและใช้ความรู้ที่เขาเรียน ชายคนนี้ที่เคยเป็นคนชอบใช้ความรุนแรงก็กลายเป็นคนกรุณา. ไม่มีใครใช้เขาให้ทวงหนี้อีกต่อไป แต่อิกนาสิโยก็รู้สึกอิ่มใจที่ความจริงในคัมภีร์ไบเบิลและพระวิญญาณของพระเจ้าได้เปลี่ยนบุคลิกภาพของเขา. เขายังรู้สึกขอบคุณด้วยที่ผู้ประกาศราชอาณาจักรไม่มีอคติและพยายามสอนเขา.
11. เหตุใดเราจึงกลับไปเยี่ยมผู้คนอยู่เรื่อย ๆ?
ท่านผู้ประกาศ 9:11.) เหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในโลกอาจกระตุ้นผู้คนให้คิดอย่างจริงจังเกี่ยวกับอนาคต. เหตุการณ์ที่เปลี่ยนไปเช่นนั้นอาจทำให้คนที่ก่อนหน้านั้นไม่เคยแสดงความสนใจเลย—หรือถึงกับต่อต้าน—เปลี่ยนมาตอบรับข่าวดี. ดังนั้น เราควรบอกข่าวดีแก่คนอื่น ๆ ทุกครั้งที่สบโอกาส.
11 เหตุผลอย่างหนึ่งที่เรายังกลับไปเยี่ยมคนที่เราเคยบอกข่าวดีแล้วก็เพราะสภาพการณ์และทัศนคติของผู้คนอาจเปลี่ยนไปและมักจะเปลี่ยนไปจริง ๆ. ตั้งแต่เราเยี่ยมในครั้งที่แล้ว หลังจากนั้นบางคนอาจป่วยหนัก, ตกงาน, หรือคนที่เขารักเสียชีวิต. (อ่าน12. เราควรมองผู้คนที่เราบอกข่าวดีอย่างไร และเพราะเหตุใด?
12 ดูเหมือนว่าเป็นแนวโน้มตามปกติของมนุษย์ที่ชอบแบ่งกลุ่มและตัดสินผู้คน. แต่พระยะโฮวาทรงมองผู้คนเป็นรายบุคคล. พระองค์ทรงเห็นลักษณะที่ดีของแต่ละคน. (อ่าน 1 ซามูเอล 16:7.) เราควรพยายามทำอย่างเดียวกันนั้นในงานรับใช้ของเรา. มีประสบการณ์มากมายที่แสดงถึงผลดีของการมองคนอื่นในแง่ดีเมื่อเราบอกข่าวดี.
13, 14. (ก) เหตุใดไพโอเนียร์คนหนึ่งแสดงปฏิกิริยาในแง่ลบต่อหญิงคนหนึ่งที่เธอพบในการประกาศ? (ข) เราเรียนอะไรได้จากประสบการณ์นี้?
13 แซนดรา ซึ่งเป็นไพโอเนียร์ ขณะประกาศตามบ้านบนเกาะแห่งหนึ่งในแถบแคริบเบียนได้พบกับรูท ซึ่งมีบทบาทเด่นในเทศกาลคาร์นิวาล. รูทได้รับมงกุฎตำแหน่งเทพีเทศกาลคาร์นิวาลประจำชาติถึงสองครั้ง. เธอแสดงความสนใจอย่างยิ่งต่อเรื่องที่แซนดราพูด ดังนั้น จึงมีการนัดจะศึกษาคัมภีร์ไบเบิลด้วยกัน. แซนดราเล่าว่า “เมื่อดิฉันเดินเข้าไปในห้องรับแขก ดิฉันก็เห็นภาพขนาดใหญ่ของรูทที่แต่งชุดเทศกาลคาร์นิวาลเต็มยศ และเห็นถ้วยรางวัลต่าง ๆ ที่เธอได้รับ. ดิฉันเลยคิดเอาเองว่าคนที่ได้รับความนิยมชมชอบขนาดนี้และมีส่วนร่วมในเทศกาลรื่นเริงมากอย่างนี้คงสนใจความจริงได้ไม่นาน. ดิฉันก็เลยไม่ได้ไปเยี่ยมเธออีก.”
14 ในเวลาต่อมา รูทได้มาที่หอประชุมราชอาณาจักร และเมื่อการประชุมจบลง เธอถามแซนดราว่า “ทำไมคุณไม่ไปสอนดิฉันอีก?” แซนดรากล่าวขอโทษและนัดกับเธอเพื่อจะศึกษาด้วยกันต่อไป. รูทก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว เอารูปเธอที่อยู่ในชุดเทศกาลคาร์นิวาลออกไป เริ่มเข้าร่วมกิจกรรมทุกอย่างของประชาคม และอุทิศชีวิตแด่พระยะโฮวา. แน่นอน ตอนนี้แซนดรารู้แล้วว่าปฏิกิริยาที่เธอมีในตอนแรกนั้นไม่ถูกต้อง.
15, 16. (ก) ผลเป็นอย่างไรเมื่อผู้ประกาศคนหนึ่งประกาศกับญาติ? (ข) เหตุใดภูมิหลังของญาติไม่ควรทำให้เราไม่อยากประกาศกับเขา?
15 หลายคนพบว่าเกิดผลที่ดีด้วยเมื่อให้คำพยานแก่สมาชิกครอบครัวที่ไม่มีความเชื่อ แม้แต่เมื่อดูเหมือนไม่มีทีท่าว่าเขาจะตอบรับ. ขอพิจารณาตัวอย่างของจอยซ์ คริสเตียนคนหนึ่งที่สหรัฐ. น้องเขยของเธอเข้าคุกออกคุกอยู่ตลอดตั้งแต่เป็นวัยรุ่น. จอยซ์เล่าว่า “ชาวบ้านพูดกันว่าเขาเป็นคนเหลือเดน เพราะเขาขายยาเสพติด เป็นหัวขโมย และทำเรื่องชั่วช้าสารพัด. แม้มีอุปสรรคมากมาย ดิฉันคุยเรื่องความจริงในพระคัมภีร์กับเขาตลอด 37 ปี.” ความเพียรพยายามของเธอเพื่อจะช่วยญาติได้รับผลตอบแทน
อย่างดีเยี่ยมเมื่อในที่สุดเขาเริ่มศึกษาพระคัมภีร์กับพยานพระยะโฮวาและเปลี่ยนนิสัยจนกลายเป็นคนละคน. เมื่อไม่นานมานี้ น้องเขยคนนี้ของจอยซ์ซึ่งอายุ 50 ปีแล้วได้รับบัพติสมา ณ การประชุมภาคแห่งหนึ่งในแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา. จอยซ์กล่าวว่า “ดิฉันร้องไห้ด้วยความยินดี. ดิฉันดีใจจริง ๆ ที่ไม่ได้เลิกช่วยเขาไปเสียก่อน!”16 คุณอาจลังเลที่จะพูดกับญาติบางคนเกี่ยวกับความจริงในคัมภีร์ไบเบิลเพราะภูมิหลังของเขา. แต่จอยซ์ไม่ปล่อยให้ความลังเลใจเช่นนั้นยับยั้งเธอไว้จากการพูดกับน้องเขย. ที่จริง มีใครล่ะที่รู้ว่ามีอะไรอยู่ในหัวใจของคนอื่น? คนนั้นอาจกำลังแสวงหาความจริงทางศาสนาอย่างจริงใจ. เพราะฉะนั้น อย่ารีรอที่จะให้โอกาสแก่พวกเขาได้พบความจริง.—อ่านสุภาษิต 3:27.
คู่มือศึกษาคัมภีร์ไบเบิลที่มีประสิทธิภาพ
17, 18. (ก) รายงานจากทั่วโลกแสดงอย่างไรถึงคุณค่าของหนังสือคัมภีร์ไบเบิลสอนอะไรจริงๆ? (ข) คุณมีประสบการณ์ที่ดีอะไรบ้างจากการใช้หนังสือนี้?
17 รายงานจากประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกแสดงว่าคนที่มีหัวใจสุจริตจำนวนมากตอบรับอย่างดีต่อหนังสือคู่มือศึกษาพระคัมภีร์ที่ชื่อคัมภีร์ไบเบิลสอนอะไรจริงๆ? เพนนี ไพโอเนียร์คนหนึ่งที่สหรัฐ เริ่มการศึกษาหลายรายโดยใช้หนังสือนี้. สองรายในจำนวนนี้เป็นผู้สูงอายุซึ่งเป็นสมาชิกที่มีศรัทธาแรงกล้าต่อคริสตจักรที่เขาสมทบ. เพนนีไม่แน่ใจนักว่าผู้สนใจทั้งสองคนนี้จะมีปฏิกิริยาอย่างไรต่อความจริงตามหลักพระคัมภีร์ที่อยู่ในหนังสือไบเบิลสอน. แต่เธอเขียนเล่าว่า “เนื่องจากหนังสือนี้เสนอข้อมูลอย่างชัดเจน, มีเหตุผล, และกระชับ ทั้งสองคนยอมรับทันทีว่าสิ่งที่เขากำลังเรียนรู้เป็นความจริง โดยไม่โต้แย้งหรือรู้สึกไม่สบายใจ.”
18 แพต ผู้ประกาศคนหนึ่งที่บริเตน เริ่มศึกษาคัมภีร์ไบเบิลกับผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งเป็นผู้ลี้ภัยจากประเทศหนึ่งทางเอเชีย. ผู้หญิงคนนี้ถูกบีบให้ต้องหนีออกจากประเทศหลังจากที่สามีและลูกชายถูกทหารฝ่ายกบฏจับตัวไปและไม่ได้พบหน้ากันอีกเลย. เธอถูกขู่ฆ่า, บ้านถูกเผา, และถูกเรียงคิวข่มขืน. เหตุการณ์ทั้งหมดนี้ทำให้เธอไม่รู้ว่าจะมีชีวิตอยู่เพื่ออะไร และเธอคิดฆ่าตัวตายหลายครั้ง. แต่การศึกษาคัมภีร์ไบเบิลทำให้เธอมีความหวัง. แพตเขียนเล่าว่า “คำอธิบายที่เรียบง่ายและตัวอย่างประกอบต่าง ๆ ในหนังสือไบเบิลสอนมีผลต่อเธออย่างน่าทึ่ง.” นักศึกษาคนนี้ก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว, มีคุณวุฒิเป็นผู้ประกาศที่ยังไม่รับบัพติสมา, และแสดงความปรารถนาจะรับบัพติสมาในการประชุมใหญ่ครั้งถัดไป. เป็นเรื่องน่ายินดีสักเพียงไรในการช่วยผู้คนที่จริงใจให้เข้าใจและหยั่งรู้ค่าความหวังที่พระคัมภีร์เสนอให้!
“ขอให้เราอย่าท้อถอยในการทำดี”
19. เหตุใดงานประกาศจึงเป็นงานที่เร่งด่วนมาก?
19 ขณะที่แต่ละวันผ่านไป งานมอบหมายที่ให้เราประกาศและสอนคนให้เป็นสาวกก็ยิ่งเร่งด่วนมากขึ้น. คนที่ซฟัน. 1:14, ล.ม.; สุภา. 24:11.
พร้อมจะเรียนรู้เกี่ยวกับพระเจ้าจำนวนมากมายตอบรับข่าวดีที่เราประกาศในแต่ละปี. กระนั้น การที่ “วันใหญ่ของพระยะโฮวาใกล้เข้ามาแล้ว” ย่อมหมายความว่าคนที่ยังอยู่ในความมืดฝ่ายวิญญาณ “จวนจะถูกฆ่า.”—20. เราแต่ละคนควรตั้งใจแน่วแน่จะทำอะไร?
20 เรายังคงสามารถช่วยคนที่อยู่ในสภาพเช่นนั้นได้. แต่เพื่อจะทำอย่างนั้น เป็นเรื่องสำคัญที่เราจะเลียนแบบคริสเตียนในศตวรรษแรก ซึ่ง “สอนและประกาศข่าวดีเรื่องพระคริสต์ คือพระเยซู . . . ต่อไปทุกวันมิได้ขาด.” (กิจ. 5:42) จงทำตามแบบอย่างของพวกเขาด้วยการบากบั่นต่อไปแม้สถานการณ์อาจจะเลวร้าย โดยเอาใจใส่ “ศิลปะในการสอน” และโดยประกาศแก่ทุกคนอย่างไม่ลำเอียง! “ขอให้เราอย่าท้อถอยในการทำดี” เพราะถ้าเราบากบั่นพากเพียร เราจะเกี่ยวเก็บพระพรอันอุดมจากการเป็นที่พอพระทัยพระเจ้า.— 2 ติโม. 4:2; อ่านกาลาเทีย 6:9.
[เชิงอรรถ]
^ วรรค 10 บางชื่อที่กล่าวถึงในบทความนี้เป็นชื่อสมมุติ.
คุณจะตอบอย่างไร?
• ใครกำลังตอบรับข่าวดี?
• เหตุใดเราไม่ควรมีอคติต่อคนที่เราบอก ข่าวดี?
• การใช้หนังสือคัมภีร์ไบเบิลสอนอะไรจริงๆ? กำลังเกิดผลเช่นไรบ้าง?
[คำถาม]
[ภาพหน้า 13]
ผู้คนมากมายที่มีหัวใจสุจริตกำลังตอบรับข่าวดี
[ภาพหน้า 15]
เราเรียนอะไรได้จากการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับอัครสาวกเปาโล?
[ภาพหน้า 16]
ผู้ประกาศข่าวดีไม่มีอคติต่อผู้คน