“จงดูแลงานเผยแพร่ที่ท่านได้รับในฐานะเป็นสาวกขององค์พระผู้เป็นเจ้าให้ดี”
“จงดูแลงานเผยแพร่ที่ท่านได้รับในฐานะเป็นสาวกขององค์พระผู้เป็นเจ้าให้ดี”
“จงดูแลงานเผยแพร่ที่ท่านได้รับในฐานะเป็นสาวกขององค์พระผู้เป็นเจ้าให้ดี จะได้ทำงานนี้ให้สำเร็จ.”—โกโล. 4:17.
1, 2. คริสเตียนมีหน้าที่รับผิดชอบอะไรต่อมนุษยชาติ?
เรามีหน้าที่รับผิดชอบสำคัญต่อมนุษยชาติ. การตัดสินใจของเขาในขณะนี้จะหมายถึงชีวิตหรือความตายในระหว่างที่เกิด “ความทุกข์ลำบากครั้งใหญ่.” (วิ. 7:14) ผู้เขียนพระธรรมสุภาษิตซึ่งได้รับการดลใจกล่าวดังนี้: “เจ้าจงช่วยชีวิตเหล่าคนที่กำลังถูกนำไปประหาร, และจงช่วยคนทั้งหลายที่จวนจะถูกฆ่าให้รอดตาย.” ช่างเป็นถ้อยคำที่หนักแน่นจริง ๆ! การไม่เตือนผู้คนเกี่ยวกับทางเลือกที่พวกเขามีอาจทำให้เรามีความผิดฐานทำให้โลหิตตก. อันที่จริง ข้อความเดียวกันนี้กล่าวต่อไปว่า “ถ้าเจ้าจะแก้ตัวว่า, ‘นี่แหละเราไม่ได้รู้เรื่องนี้เลย’ ท่านผู้ทรงชั่งใจมนุษย์จะไม่ทรงพิเคราะห์เรื่องนั้นทีเดียวหรือ? และท่านผู้ทรงคุ้มครองดวงจิตต์ของเจ้าจะไม่ทรงทราบหรือ? และท่านจะไม่ทรงทดแทนให้ทุกคนตามทางการกระทำของเขาหรือ?” เห็นได้ชัด ผู้รับใช้ของพระยะโฮวาไม่อาจพูดได้ว่าเขา ‘ไม่รู้’ ว่าผู้คนกำลังประสบอันตราย.—สุภา. 24:11, 12.
2 พระยะโฮวาทรงมองว่าชีวิตมีค่า. พระองค์กระตุ้นผู้รับใช้ของพระองค์ให้พยายามเต็มที่เท่าที่ทำได้เพื่อช่วยชีวิตผู้คนให้ได้มากที่สุด. ผู้รับใช้ของพระเจ้าแต่ละคนต้องประกาศข่าวสารที่ช่วยชีวิตที่อยู่ในพระคำของพระเจ้า. งานของเราคล้ายกับงานของคนยามที่ส่งเสียงเตือนเมื่อเห็นอันตรายกำลังใกล้เข้ามา. เราไม่ต้องการให้โลหิตของผู้ที่อยู่ในอันตรายตกบนศีรษะของเรา. (ยเอศ. 33:1-7) ดังนั้น เป็นเรื่องสำคัญสักเพียงไรที่เราพยายาม “ประกาศพระคำ” ต่อ ๆ ไป!—อ่าน 2 ติโมเธียว 4:1, 2, 5.
3. เราจะพิจารณาเรื่องอะไรในบทความนี้และในอีกสองบทความถัดไป?
3 บทความนี้จะพิจารณาว่าคุณจะเอาชนะอุปสรรคที่ขัดขวางงานเผยแพร่ที่ช่วยชีวิตได้อย่างไร และคุณอาจทำอย่างไรเพื่อสามารถช่วยผู้คนในจำนวนที่มากขึ้น. บทความถัดไปจะพิจารณาว่าคุณจะพัฒนาศิลปะในการสอนความจริงที่สำคัญยิ่งได้อย่างไร. บทความศึกษาที่สามจะรายงานให้ทราบถึงการเกิดผลที่ให้กำลังใจของผู้ประกาศราชอาณาจักรตลอดทั่วโลก. แต่ก่อนจะพิจารณาเรื่องเหล่านั้น คงจะดีที่เราจะทบทวนเหตุผลบางประการที่ว่าเหตุใดสมัยของเราจึงวิกฤติเหลือเกิน.
เหตุที่หลายคนไม่มีความหวัง
4, 5. มนุษยชาติกำลังประสบสิ่งใด และหลายคนมีท่าทีเช่นไร?
4 เหตุการณ์ต่าง ๆ ในโลกบ่งชี้ว่าเราอยู่ใน “ช่วงสุดท้ายของยุค” และอวสานใกล้เข้ามาทุกขณะ. มนุษยชาติกำลังประสบเหตุการณ์และสถานการณ์ที่พระเยซูกับเหล่าสาวกของพระองค์ได้บอกไว้ว่าจะเกิดขึ้นใน “สมัยสุดท้าย.” “ความทุกข์ปวดร้าว” หมายรวมถึงสงคราม, การขาดแคลนอาหาร, แผ่นดินไหว, และภัยพิบัติอื่น ๆ ที่ก่อความทุกข์ยากแก่มนุษยชาติ. ทัศนะที่ละเลยกฎหมาย, เห็นแก่ตัว, และไม่เลื่อมใสพระเจ้ามีอยู่แพร่หลาย. นี่เป็น “วิกฤตกาลซึ่งยากจะรับมือได้” แม้แต่กับผู้ที่พยายามดำเนินชีวิตตามมาตรฐานของคัมภีร์ไบเบิล.—มัด. 24:3, 6-8, 12; 2 ติโม. 3:1-5.
5 อย่างไรก็ตาม มนุษยชาติส่วนใหญ่ไม่รู้ความหมายที่แท้จริงของเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในโลก. ผลคือ หลายเอเฟ. 2:12.
คนกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยของตนเองและของครอบครัว. การสูญเสียคนที่รักเนื่องจากความตายหรือเหตุการณ์ร้ายอื่น ๆ ที่เกิดขึ้นกับตัวเองทำให้หลายคนรู้สึกเจ็บปวด. เนื่องจากไม่มีความรู้ถ่องแท้ว่าเหตุใดสิ่งเหล่านี้จึงเกิดขึ้นและไม่รู้จะหาทางออกอย่างไร ผู้คนเหล่านั้นจึงอยู่อย่างไม่มีความหวัง.—6. เหตุใด “บาบิโลนใหญ่” จึงไม่สามารถช่วยสมาชิกได้?
6 “บาบิโลนใหญ่” จักรวรรดิโลกแห่งศาสนาเท็จไม่ได้ให้คำปลอบโยนแก่มนุษยชาติ. ในทางตรงกันข้าม โดยทาง “เหล้าองุ่นแห่งการผิดประเวณี” บาบิโลนใหญ่ทำให้ผู้คนจำนวนมากสับสนทางฝ่ายวิญญาณ. ยิ่งกว่านั้น โดยการกระทำเยี่ยงหญิงแพศยา ศาสนาเท็จได้ชักจูงและควบคุม “กษัตริย์ทั้งหลายแห่งแผ่นดินโลก” อีกทั้งใช้คำสอนเท็จและกิจปฏิบัติเกี่ยวกับผีปิศาจเพื่อให้มนุษยชาติส่วนใหญ่ยอมอยู่ใต้อำนาจรัฐบาลของพวกเขาแต่โดยดี. ด้วยเหตุนี้ ศาสนาเท็จจึงมีอำนาจและอิทธิพล แต่ในเวลาเดียวกันก็ปฏิเสธความจริงทางศาสนาอย่างสิ้นเชิง.—วิ. 17:1, 2, 5; 18:23.
7. จะเกิดอะไรขึ้นกับมนุษยชาติส่วนใหญ่ในวันข้างหน้า แต่บางคนอาจได้รับการช่วยอย่างไร?
7 พระเยซูทรงสอนว่าผู้คนส่วนใหญ่กำลังเดินบนทางกว้างที่นำไปสู่ความพินาศ. (มัด. 7:13, 14) บางคนอยู่บนทางกว้างเพราะเขาจงใจเลือกที่จะปฏิเสธสิ่งที่คัมภีร์ไบเบิลสอน แต่หลายคนอยู่บนทางนี้เพราะถูกหลอกลวง หรืออยู่ในความมืด เพราะผู้นำศาสนาไม่ได้สอนให้รู้ว่าพระยะโฮวาประสงค์จะให้พวกเขาทำอะไรจริง ๆ. บางทีบางคนอาจเปลี่ยนรูปแบบชีวิตถ้ามีคนหาเหตุผลกับเขาอย่างชัดเจนตามหลักพระคัมภีร์ว่าเขาควรเปลี่ยน. แต่ผู้ที่ยังอยู่ในบาบิโลนใหญ่และผู้ที่ยังปฏิเสธมาตรฐานของคัมภีร์ไบเบิลอยู่ต่อไปจะไม่ได้รับความรอดผ่าน “ความทุกข์ลำบากครั้งใหญ่.”—วิ. 7:14.
จงประกาศต่อไป “มิได้ขาด”
8, 9. คริสเตียนสมัยศตวรรษแรกทำอย่างไรเมื่อเผชิญการต่อต้าน และเพราะเหตุใด?
8 พระเยซูตรัสว่าสาวกของพระองค์จะประกาศข่าวดีเรื่องราชอาณาจักรและสอนคนให้เป็นสาวก. (มัด. 28:19, 20) ดังนั้น คริสเตียนแท้คิดคำนึงอยู่เสมอว่าการมีส่วนร่วมในงานประกาศเกี่ยวข้องกับความภักดีต่อพระเจ้าและเป็นข้อเรียกร้องพื้นฐานสำหรับความเชื่อของเขา. ดังนั้น สาวกของพระเยซูในยุคแรก ๆ จึงประกาศต่อไปแม้เผชิญการต่อต้าน. พวกเขาพึ่งอาศัยกำลังที่มาจากพระยะโฮวา และอธิษฐานขอพระองค์ช่วยพวกเขาให้สามารถ “กล่าวคำของพระองค์ต่อไปด้วยใจกล้า.” พระยะโฮวาทรงตอบคำอธิษฐานโดยประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์แก่พวกเขา และพวกเขาจึงกล่าวพระคำของพระเจ้าด้วยความกล้าหาญ.—กิจ. 4:18, 29, 31.
9 เมื่อการต่อต้านกลายเป็นเหตุการณ์รุนแรง สาวกของพระเยซูเลิกประกาศข่าวดีไหม? ไม่เลย. พวกหัวหน้าศาสนาชาวยิวขุ่นเคืองที่เหล่าอัครสาวกประกาศ จึงจับกุม, ข่มขู่, กิจ. 5:28, 29, 40-42.
และเฆี่ยนพวกเขา. กระนั้น เหล่าอัครสาวก “สอนและประกาศข่าวดีเรื่องพระคริสต์ คือพระเยซู . . . ต่อไป . . . มิได้ขาด.” พวกเขาเข้าใจอย่างชัดเจนว่าต้อง “เชื่อฟังพระเจ้าในฐานะผู้มีอำนาจปกครอง ไม่ใช่เชื่อฟังมนุษย์.”—10. คริสเตียนเผชิญข้อท้าทายอะไรในทุกวันนี้ กระนั้นการประพฤติที่ดีของเขาอาจก่อผลเช่นไร?
10 ผู้รับใช้ส่วนใหญ่ของพระเจ้าในทุกวันนี้ไม่ต้องอดทนกับการทุบตีหรือการถูกจับกุมเนื่องจากกิจกรรมงานประกาศ. อย่างไรก็ตาม คริสเตียนแท้ทุกคนเผชิญการทดลองและความยากลำบากต่าง ๆ กันไป. ยกตัวอย่าง สติรู้สึกผิดชอบของคุณที่ได้รับการฝึกตามหลักพระคัมภีร์อาจกระตุ้นคุณให้ติดตามแนวการประพฤติที่คนส่วนใหญ่ไม่นิยมหรือที่ทำให้คุณดูต่างออกไป. เพื่อนร่วมงาน, เพื่อนที่โรงเรียน, หรือเพื่อนบ้านอาจคิดว่าคุณเป็นคนไม่ปกติที่คุณตัดสินใจโดยอาศัยหลักการในคัมภีร์ไบเบิล. กระนั้น การไม่เป็นที่ชื่นชอบไม่ควรทำให้คุณหมดกำลังใจ. โลกอยู่ในความมืดฝ่ายวิญญาณ แต่คริสเตียนต้อง “[ส่องแสง] ดุจดวงสว่าง.” (ฟิลิป. 2:15) บางคนที่สังเกตด้วยความจริงใจอาจจะเห็นและหยั่งรู้ค่างานที่ดีของคุณและยังผลให้เขาถวายคำสรรเสริญแด่พระยะโฮวา.—อ่านมัดธาย 5:16.
11. (ก) บางคนอาจมีปฏิกิริยาอย่างไรต่องานประกาศ? (ข) อัครสาวกเปาโลเผชิญกับการต่อต้านแบบใดบ้าง? ท่านมีปฏิกิริยาอย่างไร?
11 ความกล้าหาญเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับเราเพื่อจะประกาศข่าวสารราชอาณาจักรต่อ ๆ ไป. บางคนหรือแม้แต่ญาติด้วยซ้ำอาจเยาะเย้ยหรือทำบางอย่างเพื่อให้คุณท้อใจ. (มัด. 10:36) อัครสาวกเปาโลถูกทุบตีมากกว่าหนึ่งครั้งเนื่องจากท่านทำงานเผยแพร่อย่างซื่อสัตย์. ขอสังเกตว่าท่านมีปฏิกิริยาอย่างไรต่อการต่อต้านเช่นนั้น: “เมื่อเราทนทุกข์และถูกปฏิบัติอย่างเหยียดหยาม . . . เราได้รวบรวมความกล้าโดยการช่วยเหลือจากพระเจ้าของเราเพื่อบอกข่าวดีของพระองค์แก่พวกท่านทั้ง ๆ ที่ต้องฝ่าฟันอุปสรรคมากมาย.” (1 เทส. 2:2) แน่นอนว่าท่านเปาโลต้องใช้ความกล้าเพื่อจะประกาศข่าวดีต่อ ๆ ไปหลังจากถูกจับ, ถูกกระชากเสื้อคลุมออก, ถูกตีด้วยไม้, และถูกจำคุก. (กิจ. 16:19-24) อะไรทำให้ท่านมีความกล้าหาญที่จะประกาศต่อไป? ท่านกล้าหาญเพราะมีความปรารถนาแรงกล้าที่จะทำงานประกาศที่ได้รับมอบหมายจากพระเจ้าให้สำเร็จ.—1 โค. 9:16.
12, 13. บางคนเผชิญปัญหาอะไร และพวกเขาพยายามเอาชนะปัญหาเหล่านั้นอย่างไร?
12 นอกจากนั้น อาจเป็นเรื่องท้าทายด้วยที่เราจะรักษาความกระตือรือร้นในเขตประกาศเมื่อผู้คนไม่ค่อยอยู่บ้านหรือไม่ค่อยสนใจข่าวสารราชอาณาจักร. เราจะทำอะไรได้เมื่อเจอสถานการณ์เช่นนั้น? เราอาจจำต้องเร้าใจให้กล้าเป็นพิเศษเพื่อพูดในลักษณะที่ไม่เป็นทางการกับผู้คน. นอกจากนั้น เราอาจต้องปรับตารางเวลาของเราหรือใช้ความพยายามมากขึ้นเพื่อประกาศในเขตที่สามารถพบผู้คนได้มากขึ้น.—เทียบกับโยฮัน 4:7-15; กิจการ 16:13; 17:17.
13 ปัญหาอื่น ๆ ที่หลายคนต้องรับมือคืออายุที่มากขึ้นและสุขภาพที่ไม่ดีซึ่งอาจทำให้เขาไม่สามารถประกาศได้มาก. ถ้านี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นกับคุณ ก็อย่าท้อแท้ใจ. พระยะโฮวาทรงรู้ข้อจำกัดของคุณดีและพอพระทัยในสิ่งที่คุณสามารถทำได้. (อ่าน 2 โครินท์ 8:12.) ไม่ว่าคุณจะประสบความยากลำบากแบบใดก็ตาม—การต่อต้าน, ความไม่แยแส, สุขภาพที่ไม่ดี—จงทำทุกสิ่งที่คุณทำได้ในการบอกข่าวดีแก่คนอื่น ๆ.—สุภา. 3:27; เทียบกับมาระโก 12:41-44.
‘จงดูแลงานเผยแพร่ที่คุณได้รับ’
14. อัครสาวกเปาโลวางตัวอย่างอะไรแก่เพื่อนคริสเตียน และท่านได้ให้คำแนะนำอะไร?
14 อัครสาวกเปาโลทำงานเผยแพร่ด้วยความจริงจังอย่างยิ่ง และท่านสนับสนุนเพื่อนร่วมความเชื่อให้ทำอย่างเดียวกัน. (กิจ. 20:20, 21; 1 โค. 11:1) คนหนึ่งที่เปาโลเลือกที่จะหนุนกำลังใจเป็นพิเศษคือคริสเตียนในศตวรรษแรกที่ชื่ออาร์คิปปุส. ในจดหมายถึงชาวโกโลซาย เปาโลเขียนดังนี้: “ขอบอกอาร์คิปปุสว่า ‘จงดูแลงานเผยแพร่ที่ท่านได้รับในฐานะเป็นสาวกขององค์พระผู้เป็นเจ้าให้ดี จะได้ทำงานนี้ให้สำเร็จ.’ ” (โกโล. 4:17) เราไม่รู้ว่าอาร์คิปปุสเป็นใครหรืออยู่ในสภาพการณ์เช่นไร แต่ดูเหมือนว่าท่านยอมรับเอางานเผยแพร่. ถ้าคุณเป็นคริสเตียนที่อุทิศตัวแล้ว คุณก็ได้ยอมรับเอางานเผยแพร่เช่นกัน. คุณเอาใจใส่งานเผยแพร่ต่อ ๆ ไปเพื่อทำงานนี้ให้สำเร็จไหม?
15. การอุทิศตัวของคริสเตียนเกี่ยวข้องกับสิ่งใด และนั่นทำให้เกิดคำถามอะไร?
15 ก่อนที่จะรับบัพติสมา เราได้อุทิศชีวิตของเราแด่พระยะโฮวาด้วยการอธิษฐานจากหัวใจ. นี่หมายความว่าเราตั้งใจแน่วแน่ที่จะทำตามพระทัยประสงค์ของพระองค์. ดังนั้น ตอนนี้เราควรถามตัวเองว่า ‘การทำตามพระทัยประสงค์ของพระเจ้าเป็นสิ่งสำคัญที่สุดจริง ๆ ในชีวิตของฉันไหม?’ เราอาจมีหน้าที่รับผิดชอบหลายอย่างที่พระยะโฮวาคาดหมายให้เราเอาใจใส่ เช่น การเลี้ยงดูครอบครัว. (1 ติโม. 5:8) แต่เราใช้เวลาและกำลังที่เหลือจากการเอาใจใส่หน้าที่รับผิดชอบดังกล่าวอย่างไร? อะไรมาเป็นอันดับแรกในชีวิตของเรา?—อ่าน 2 โครินท์ 5:14, 15.
16, 17. หนุ่มสาวคริสเตียนหรือผู้ที่มีความรับผิดชอบไม่มากนักอาจคิดใคร่ครวญในเรื่องใดบ้างที่น่าจะทำได้?
16 คุณเป็นเยาวชนคริสเตียนอายุราว ๆ 18 ปีที่อุทิศตัวแล้วซึ่งจบการศึกษาหรือกำลังจะจบการศึกษาไหม? เป็นไปได้ว่าคุณยังไม่มีภาระหนักที่ต้องรับผิดชอบในครอบครัว. ดังนั้น คุณวางแผนชีวิตอย่างไร? การตัดสินใจแบบใดจะดีที่สุดที่ทำให้คุณสามารถทำตามสัญญาที่ว่าจะทำตามพระทัยประสงค์ของพระยะโฮวา? หลายคนจัดกิจธุระของตนเองเพื่อเป็นไพโอเนียร์ และพวกเขาประสบความยินดีและความอิ่มใจพอใจอย่างยิ่ง.—เพลง. 110:3; ผู้ป. 12:1.
17 บางทีคุณอาจกำลังเข้าสู่วัยผู้ใหญ่. คุณทำงานอาชีพเต็มเวลาแต่ก็ไม่มีภาระรับผิดชอบมากนักนอกจากเลี้ยงตัวเอง. ไม่ต้องสงสัยเลยว่าคุณมีความยินดีที่มีส่วนร่วมในกิจกรรมของประชาคมเท่าที่คุณทำได้ตามตารางเวลาที่กำหนดไว้. บางทีคุณอาจมีความสุขมากขึ้นได้ไหม? คุณเคยคิดจะขยายงานเผยแพร่ให้มากขึ้นไหม? (เพลง. 34:8; สุภา. 10:22) ในบางเขต มีงานอีกมากที่ต้องทำเพื่อเข้าถึงทุกคนด้วยข่าวสารแห่งความจริงที่ให้ชีวิต. คุณสามารถจะปรับเปลี่ยนชีวิตได้ไหม บางทีเพื่อไปรับใช้ในเขตที่ต้องการผู้ประกาศราชอาณาจักรมากกว่า?—อ่าน 1 ติโมเธียว 6:6-8.
18. คู่สมรสหนุ่มสาวคู่หนึ่งทำการปรับเปลี่ยนเช่นไร และเกิดผลอย่างไร?
18 ขอพิจารณาตัวอย่างของเควินและเอเลนาจากสหรัฐอเมริกา. * ตามปกติหนุ่มสาวที่เพิ่งแต่งงานในประเทศนี้มักจะคิดว่าต้องซื้อบ้าน. ทั้งคู่ทำงานอาชีพเต็มเวลาและสามารถดำเนินชีวิตในรูปแบบที่สะดวกสบาย. กระนั้น ตาราง เวลาการทำงานอาชีพและงานบ้านทำให้เขาไม่ค่อยมีเวลาสำหรับงานประกาศ. ทั้งสองคนตระหนักว่าเขากำลังอุทิศเวลาและกำลังเกือบทั้งหมดให้กับทรัพย์สมบัติที่ตนมี. อย่างไรก็ตาม เมื่อเขาทั้งสองสังเกตรูปแบบชีวิตที่เรียบง่ายของไพโอเนียร์คู่หนึ่งซึ่งมีความสุข เควินและเอเลนาจึงตัดสินใจปรับเปลี่ยนสิ่งที่มาเป็นอันดับแรกในชีวิตของพวกเขา. หลังจากอธิษฐานขอการชี้นำจากพระยะโฮวา พวกเขาก็ขายบ้านและย้ายไปอยู่อพาร์ตเมนต์. เอเลนาทำงานอาชีพน้อยลงและสมัครเป็นไพโอเนียร์. เควินได้รับกำลังใจจากประสบการณ์ที่ดีของภรรยาในงานเผยแพร่ เขาจึงลาออกจากงานอาชีพเต็มเวลาและเริ่มเป็นไพโอเนียร์. ไม่นานหลังจากนั้น พวกเขาย้ายไปยังประเทศหนึ่งทางแถบอเมริกาใต้เพื่อรับใช้ในที่ที่ต้องการผู้ประกาศราชอาณาจักรมากกว่า. เควินบอกว่า “เรามีชีวิตสมรสที่มีความสุขเสมอ แต่เมื่อเราทำงานโดยมีเป้าหมายฝ่ายวิญญาณ เราก็ยิ่งมีความสุขมากขึ้น.”—อ่านมัดธาย 6:19-22.
19, 20. เหตุใดการประกาศข่าวดีจึงเป็นงานที่สำคัญที่สุดในปัจจุบันนี้?
19 การประกาศข่าวดีเป็นงานสำคัญที่สุดที่กำลังทำกันอยู่บนแผ่นดินโลกในขณะนี้. (วิ. 14:6, 7) งานนี้ช่วยทำให้พระนามของพระยะโฮวาเป็นที่นับถืออันบริสุทธิ์. (มัด. 6:9) ในแต่ละปี ข่าวสารจากคัมภีร์ไบเบิลทำให้ผู้คนมากมายที่ยอมรับพระคำนั้นมีชีวิตที่ดีขึ้น และนั่นสามารถนำพวกเขาไปสู่ความรอด. กระนั้น อัครสาวกเปาโลถามว่า “เขาจะได้ยิน . . . ได้อย่างไรถ้าไม่มีใครประกาศ?” (โรม 10:14, 15) ใช่แล้ว เขาจะได้ยินได้อย่างไร? จะดีไหมถ้าคุณจะลองตั้งใจทำทุกสิ่งที่คุณน่าจะทำได้เพื่อทำงานเผยแพร่?
20 อีกวิธีหนึ่งที่คุณสามารถช่วยผู้คนให้เข้าใจความสำคัญของสมัยอันวิกฤตินี้และผลที่จะตามมาจากการตัดสินใจของเขาก็คือ การปรับปรุงความสามารถในการสอนของคุณให้ดีขึ้น. บทความหน้าจะพิจารณาว่าคุณสามารถปรับปรุงการสอนให้ดีขึ้นได้อย่างไร.
[เชิงอรรถ]
^ วรรค 18 ชื่อสมมุติ.
คุณจะตอบอย่างไร?
• คริสเตียนมีหน้าที่รับผิดชอบเช่นไรต่อมนุษยชาติ?
• เราควรรับมือกับอุปสรรคที่มีในงานประกาศอย่างไร?
• เราจะทำงานเผยแพร่ที่เราได้รับมอบหมายให้สำเร็จได้อย่างไร?
[คำถาม]
[ภาพหน้า 5]
ความกล้าหาญเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อจะประกาศเมื่อเผชิญการต่อต้าน
[ภาพหน้า 7]
คุณจะทำอะไรได้ถ้าประกาศในเขตที่ผู้คนไม่ค่อยอยู่บ้าน?