จงให้พระยะโฮวาอยู่ตรงหน้าคุณเสมอ
จงให้พระยะโฮวาอยู่ตรงหน้าคุณเสมอ
“ข้าพเจ้าได้ตั้งพระยะโฮวาไว้ตรงหน้าข้าพเจ้าเสมอ.”—เพลง. 16:8.
1. เรื่องราวในคัมภีร์ไบเบิลสามารถก่อผลเช่นไรต่อเรา?
พระคำของพระยะโฮวาได้บันทึกเรื่องราวต่าง ๆ ที่น่าประทับใจเกี่ยวกับวิธีที่พระเจ้าทรงติดต่อเกี่ยวข้องกับมนุษยชาติ. พระคัมภีร์กล่าวถึงหลายคนที่มีบทบาทในการทำให้พระประสงค์ของพระเจ้าสำเร็จ. แน่นอน คำพูดและการกระทำของพวกเขามีบันทึกไว้ในคัมภีร์ไบเบิลไม่ใช่เพียงเพื่อให้เราเพลิดเพลิน. แต่เรื่องราวเหล่านั้นสามารถช่วยเราเข้าใกล้พระเจ้ามากขึ้น.—ยโก. 4:8.
2, 3. เราควรเข้าใจถ้อยคำที่เพลงสรรเสริญ 16:8 อย่างไร?
2 เราทุกคนสามารถเรียนรู้ได้มากจากประสบการณ์ของบุคคลที่มีชื่อเสียงในคัมภีร์ไบเบิล เช่น อับราฮาม, ซาราห์, โมเซ, รูท, ดาวิด, เอศเธระ, อัครสาวกเปาโล, และคนอื่น ๆ. แต่อันที่จริง เรื่องราวเกี่ยวกับคนที่ไม่เด่นเท่าบุคคลเหล่านั้นก็สามารถให้ประโยชน์แก่เราด้วย. การคิดรำพึงเรื่องราวเหล่านั้นในคัมภีร์ไบเบิลสามารถช่วยเราให้ปฏิบัติสอดคล้องกับถ้อยคำของผู้ประพันธ์เพลงสรรเสริญ ที่ว่า “ข้าพเจ้าตั้งพระเจ้าไว้ตรงหน้าข้าพเจ้าเสมอ เพราะพระองค์ประทับทางเบื้องขวาของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจึงไม่หวั่นไหว.” (เพลง. 16:8, ฉบับแปลใหม่) เราควรเข้าใจถ้อยคำดังกล่าวอย่างไร?
3 ปกติ ทหารใช้มือขวาจับดาบ ทำให้ร่างกายซีกขวาไม่ได้รับการปกป้องจากโล่ซึ่งเขาถือด้วยมือซ้าย. แม้ว่าเป็นอย่างนั้น เขาจะได้รับการปกป้องถ้ามีเพื่อนอีกคนหนึ่งมาร่วมรบด้วยกันอยู่ข้าง ๆ ด้านขวาของตัวเขา. หากเราคำนึงถึงพระยะโฮวาเสมอและทำตามพระทัยประสงค์ของพระองค์ พระองค์จะทรงปกป้องเรา. ดังนั้น ให้เรามาดูกันว่าการพิจารณาเรื่องราวในคัมภีร์ไบเบิลสามารถเสริมความเชื่อของเราอย่างไร เพื่อเราจะ “ตั้งพระยะโฮวาไว้ตรงหน้า [เรา] เสมอ.”
พระยะโฮวาทรงตอบคำอธิษฐานของเรา
4. จงยกตัวอย่างจากพระคัมภีร์ที่แสดงว่าพระเจ้าทรงตอบคำอธิษฐาน.
4 หากเราให้พระยะโฮวาอยู่ตรงหน้าเราเสมอ พระองค์จะทรงตอบคำอธิษฐานของเรา. (เพลง. 65:2; 66:19) เรามีหลักฐานที่ยืนยันเรื่องนี้จากกรณีที่เกี่ยวกับคนรับใช้ที่อาวุโสที่สุดของอับราฮาม ซึ่งคงจะเป็นอะลีเอเซร. อับราฮามส่งเขาไปที่เมโสโปเตเมียเพื่อหาภรรยาที่เป็นคนยำเกรงพระเจ้าให้ยิศฮาค. อะลีเอเซรอธิษฐานขอพระเจ้าทรงชี้นำ แล้วก็ตระหนักว่าพระยะโฮวาทรงชี้นำจริง ๆ เมื่อริบะคาตักน้ำให้อูฐของเขากิน. เพราะเขาอธิษฐานอย่างสุดหัวใจ อะลีเอเซรจึงได้พบผู้ที่จะเป็นภรรยาสุดที่รักของยิศฮาค. (เย. 24:12-14, 67) จริงอยู่ที่ว่าคนรับใช้ของอับราฮามผู้นี้ได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่พิเศษ. แต่เราน่าจะมั่นใจเหมือนกันมิใช่หรือว่าพระยะโฮวาทรงตอบคำอธิษฐานของเรา?
5. เหตุใดเราจึงกล่าวได้ว่าแม้แต่คำอธิษฐานสั้น ๆ ในใจก็ได้รับคำตอบ?
5 บางครั้ง เราอาจจำเป็นต้องอธิษฐานอย่างรวบรัดเพื่อขอความช่วยเหลือจากพระเจ้า. ในโอกาสหนึ่ง กษัตริย์อาร์ทาเซอร์เซสแห่งเปอร์เซียสังเกตว่านะเฮมยาซึ่งเป็นพนักงานเชิญจอกเสวยดูหม่นหมองเศร้าสร้อย. กษัตริย์ตรัสถามว่า “เจ้าปรารถนาจะขอสิ่งใดบ้าง?” นะเฮมยา “จึงได้อธิษฐานทูลขอพระองค์ผู้เป็นเจ้าของฟ้าสวรรค์ให้ทรงพระกรุณาโปรด.” เห็นได้ชัดว่านะเฮมยาคงต้องอธิษฐานเงียบ ๆ ในใจและสั้น ๆ. ถึงกระนั้น พระเจ้าทรงตอบคำอธิษฐานนั้น เพราะนะเฮมยาได้รับการสนับสนุนจากกษัตริย์ให้กลับไปบูรณะกำแพงกรุงเยรูซาเลม. (อ่านนะเฮมยา 2:1-8.) เพราะฉะนั้น แม้แต่คำอธิษฐานสั้น ๆ ในใจก็ได้รับคำตอบ.
6, 7. (ก) เอปาฟรัสวางตัวอย่างอะไรไว้ในเรื่องการอธิษฐาน? (ข) เหตุใดเราควรอธิษฐานเพื่อคนอื่น?
6 เราถูกกระตุ้นให้ “อธิษฐานเพื่อกันและกัน” แม้ว่าเราไม่มีข้อพิสูจน์ที่เห็นได้ในทันทีเสมอไปว่าคำอธิษฐานแบบนี้ได้รับคำตอบ. (ยโก. 5:16) เอปาฟรัส “ผู้รับใช้ที่ซื่อสัตย์ของพระคริสต์” อธิษฐานอย่างจริงจังเพื่อพี่น้องซึ่งมีความเชื่ออย่างเดียวกัน. เมื่อเขียนจดหมายจากโรม เปาโลกล่าวว่า “เอปาฟรัสซึ่งเคยอยู่กับพวกท่าน [ชาวโกโลซาย] และเป็นทาสคนหนึ่งของพระคริสต์เยซูฝากความคิดถึงมายังพวกท่าน เขาพากเพียรอธิษฐานเพื่อท่านทั้งหลายเสมอ เพื่อในที่ สุด ท่านทั้งหลายจะยืนหยัดมั่นคงด้วยความเชื่อมั่นอันหนักแน่นในพระประสงค์ทุกอย่างของพระเจ้า. ข้าพเจ้าเป็นพยานยืนยันได้ว่าเขาพยายามอย่างหนักเพื่อท่านทั้งหลายและเพื่อคนที่อยู่ในเมืองลาโอดิเคียกับเมืองฮีราโปลิส.”—โกโล. 1:7; 4:12, 13.
7 โกโลซาย, ลาโอดิเคีย, และฮีราโปลิสเป็นเมืองที่อยู่ในมณฑลเอเชียน้อยเหมือนกัน. คริสเตียนที่ฮีราโปลิสมีชีวิตอยู่ท่ามกลางผู้นมัสการพระแม่ซีเบเล, คริสเตียนที่ลาโอดิเคียถูกแวดล้อมด้วยผู้คนที่นิยมวัตถุ, และพี่น้องชาวโกโลซายอาจได้รับอิทธิพลที่เป็นอันตรายของปรัชญามนุษย์. (โกโล. 2:8) จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่เอปาฟรัสซึ่งเคยอยู่ที่เมืองโกโลซาย “พากเพียรอธิษฐาน” เพื่อผู้มีความเชื่อในเมืองนี้! คัมภีร์ไบเบิลไม่ได้เปิดเผยว่าคำอธิษฐานของเอปาฟรัสได้รับคำตอบอย่างไร แต่เขาไม่เลิกอธิษฐานเพื่อเพื่อนร่วมความเชื่อ เราก็ไม่ควรเลิกอธิษฐานเพื่อพี่น้องของเราเช่นกัน. แม้ว่าเราไม่ “เป็นคนที่ชอบยุ่งกับเรื่องของคนอื่น” แต่เราอาจรู้มาว่าคนหนึ่งในครอบครัวหรือเพื่อนกำลังถูกทดสอบความเชื่ออย่างรุนแรง. (1 เป. 4:15) เป็นเรื่องเหมาะสมจริง ๆ ที่เราเองจะอธิษฐานเพื่อเขา! เปาโลได้รับการช่วยเหลือจากคำวิงวอนของพวกพี่น้อง และคำอธิษฐานของเราอาจเป็นประโยชน์มากเช่นเดียวกัน.— 2 โค. 1:10, 11.
8. (ก) เรารู้ได้อย่างไรว่าผู้ปกครองจากเมืองเอเฟโซส์เห็นความสำคัญของการอธิษฐาน? (ข) เหตุใดเราควรเป็นเหมือนกับผู้ปกครองจากเมืองเอเฟโซส์?
8 คนอื่นมองว่าเราเป็นคนที่ชอบอธิษฐานไหม? หลังจากที่เปาโลพบผู้ปกครองจากเมืองเอเฟโซส์ ท่าน “ก็คุกเข่าลงอธิษฐานกับคนเหล่านั้น.” จากนั้น “พวกเขาทุกคนต่างร้องไห้กันใหญ่ แล้วจึงกอดเปาโลและจูบเขา เพราะพวกเขาเป็นทุกข์มากเนื่องจากเปาโลบอกว่าพวกเขาจะไม่เห็นหน้าเปาโลอีก.” (กิจ. 20:36-38) เราไม่ทราบชื่อของผู้ปกครองเหล่านั้นทั้งหมด แต่เห็นได้ว่าพวกเขาเห็นความสำคัญของการอธิษฐาน. แน่นอน เราควรทะนุถนอมสิทธิพิเศษในการอธิษฐานถึงพระเจ้าและควร “ชูมือขึ้นอธิษฐานด้วยความภักดี” ด้วยความเชื่อที่ว่าพระบิดาของเราผู้อยู่ในสวรรค์จะทรงตอบคำอธิษฐานของเรา.— 1 ติโม. 2:8.
เชื่อฟังพระเจ้าทุกประการ
9, 10. (ก) บุตรีของซัพฮาดวางตัวอย่างไว้ในเรื่องใด? (ข) ความเชื่อฟังที่บุตรีของซัพฮาดแสดงให้เห็นอาจมีผลกระทบอย่างไรต่อทัศนะของคริสเตียนโสดในเรื่องการสมรส?
9 การคำนึงถึงพระยะโฮวาอยู่เสมอจะช่วยเราให้เชื่อฟังพระองค์ และเราจะเก็บเกี่ยวพระพรเป็นผลตอบแทน. (บัญ. 28:13; 1 ซามู. 15:22) เพื่อจะทำอย่างนั้นได้เราต้องพร้อมจะเชื่อฟัง. ขอให้พิจารณาเจตคติของพี่น้องห้าคนที่เป็นบุตรีของซัพฮาดในสมัยโมเซ. ในหมู่ชาวอิสราเอลมีธรรมเนียมว่าบุตรชายเป็นผู้รับมรดกจากบิดา. ซัพฮาดตายไปโดยที่ไม่มีบุตรชายเลย และพระยะโฮวาทรงชี้นำเพื่อให้บุตรสาวทั้งห้าคนของเขาได้รับมรดกทั้งหมด—เพียงแต่มีเงื่อนไขอยู่อย่างหนึ่ง. พวกเธอต้องสมรสกับบุตรชายของมะนาเซ เพื่อทรัพย์มรดกนั้นจะคงอยู่ในตระกูลเดิม.—อาฤ. 27:1-8; 36:6-8.
10 บุตรีของซัพฮาดเชื่อมั่นว่าเรื่องจะคลี่คลายไปในทางที่ดีหากพวกเธอเชื่อฟังพระเจ้า. คัมภีร์ไบเบิลกล่าวว่า “พระยะโฮวาได้ตรัสสั่งโมเซอย่างไร บุตรีของซัพฮาดได้กระทำอย่างนั้น. ด้วยว่ามาลา, แลธิรซา, แลฮัฆลา, แลมิละคา, แลโนอา, บุตรหญิงของซัพฮาดนั้นมีผัวแต่ในวงศ์ญาติบิดาเขา. เขามีผัวในครอบครัวลูกหลานมะนาเซแลโยเซฟ, แลที่มรดกของเขาได้คงอยู่ในตระกูลครอบครัวบิดาของเขา.” (อาฤ. 36:10-12) สตรีที่เชื่อฟังเหล่านี้ทำตามที่พระยะโฮวาทรงบัญชา. (ยโฮ. 17:3, 4) คริสเตียนโสดที่อาวุโสฝ่ายวิญญาณ แสดงความเชื่อคล้าย ๆ กันนั้น โดยเชื่อฟังพระบัญชาของพระเจ้าที่ให้สมรสเฉพาะกับ “ผู้ที่เชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้า.”—1 โค. 7:39.
11, 12. คาเลบแสดงให้เห็นอย่างไรว่าท่านเชื่อมั่นพระเจ้า?
11 เราจำเป็นต้องเชื่อฟังพระยะโฮวาทุกประการ เช่นเดียวกับคาเลบชาวอิสราเอล. (บัญ. 1:36) หลังจากหลุดพ้นจากการเป็นทาสของอียิปต์ในศตวรรษที่ 16 ก่อนสากลศักราช โมเซส่งชาย 12 คนไปสอดแนมแผ่นดินคะนาอัน แต่มีผู้สอดแนมเพียง 2 คน—คือคาเลบกับยะโฮซูอะ—ที่กระตุ้นผู้คนให้ไว้วางใจพระเจ้าเต็มที่และเข้าไปในแผ่นดินนั้น. (อาฤ. 14:6-9) ประมาณสี่ทศวรรษต่อมา ยะโฮซูอะกับคาเลบยังคงมีชีวิตอยู่และทำตามพระบัญชาของพระยะโฮวาทุกประการ และพระเจ้าทรงใช้ยะโฮซูอะให้นำชาวอิสราเอลเข้าสู่แผ่นดินที่ทรงสัญญา. ส่วนผู้สอดแนมที่ขาดความเชื่อสิบคนนั้นดูเหมือนว่าเสียชีวิตระหว่างที่ชาติอิสราเอลเดินทางเร่ร่อนในถิ่นทุรกันดาร 40 ปี.—อาฤ. 14:31-34.
12 เนื่องจากคาเลบเป็นชาวอิสราเอลคนหนึ่งที่รอดชีวิตผ่านช่วงที่อยู่ในถิ่นทุรกันดารจนกระทั่งท่านชรา ท่านสามารถยืนอยู่ต่อหน้ายะโฮซูอะและกล่าวว่า “ข้าพเจ้าได้ประพฤติตามพระยะโฮวาพระเจ้าของข้าพเจ้าทุกประการ.” (อ่านยะโฮซูอะ 14:6-9.) คาเลบซึ่งอายุได้แปดสิบห้าปีแล้วขอที่ดินแถบภูเขาที่พระเจ้าทรงสัญญาไว้ว่าจะประทานแก่ท่าน แม้ว่าเหล่าศัตรูอาศัยอยู่ที่นั่นในเมืองที่มีป้อมแน่นหนา.—ยโฮ. 14:10-15.
13. แม้ว่าถูกทดสอบ เราต้องทำอะไรเพื่อจะได้พระพร?
13 เช่นเดียวกับคาเลบผู้ซื่อสัตย์และเชื่อฟัง เราจะได้รับการสนับสนุนจากพระเจ้าถ้าเรา ‘ประพฤติตามพระยะโฮวาทุกประการ.’ หากเราเผชิญกับอุปสรรคที่เอาชนะได้ยาก เราจะได้พระพรเมื่อเรา ‘ประพฤติตามพระยะโฮวาทุกประการ.’ แต่การทำอย่างนี้ตลอดชีวิต แบบเดียวกับคาเลบ อาจไม่ใช่เรื่องง่าย. แม้ว่ากษัตริย์ซะโลโมเริ่มต้นเป็นอย่างดี แต่บรรดานางสนมโน้มน้าวใจท่านให้หันไปรับใช้พระเท็จในช่วงที่ท่านชราแล้ว และ “มิได้ทรงติดตามพระเจ้าอย่างเต็มพระทัยดังดาวิดราชบิดาของพระองค์ได้ทรงกระทำมาแล้วนั้น.” (1 กษัต. 11:4-6, ฉบับแปลใหม่) ไม่ว่าเราเผชิญกับการทดสอบอะไร ขอให้เราเชื่อฟังพระเจ้าทุกประการและให้พระองค์อยู่ตรงหน้าเราเสมอ.
ไว้วางใจพระยะโฮวาเสมอ
14, 15. คุณได้เรียนรู้อะไรจากประสบการณ์ของนาอะมีเกี่ยวกับความจำเป็นต้องไว้วางใจพระเจ้า?
14 เราจำเป็นต้องไว้วางใจพระเจ้า โดยเฉพาะเมื่อเราท้อแท้เพราะดูเหมือนว่าไม่มีความหวังในอนาคต. ขอให้พิจารณาเรื่องราวเกี่ยวกับนาอะมี ซึ่งอายุมากแล้วอีกทั้งสามีและบุตรชายสองคนก็ยังตายจากไปอีก. เมื่อเธอกลับจากโมอาบมาที่ยูดาห์ เธอคร่ำครวญว่า “อย่าเรียกฉันว่านาอะมี (สุข), จงเรียกว่ามารา (ขม), ด้วยว่าท่านผู้ทรงฤทธิ์ได้ทรงกระทำต่อฉันอย่างสาหัส. เมื่อฉันออกไปก็เต็มบริบูรณ์, แต่พระยะโฮวาทรงบันดาลให้กลับมาเปล่า ๆ, ท่านทั้งหลายเรียกฉันว่านาอะมีทำไมเล่า? เมื่อพระยะโฮวาได้ทรงเป็นพยานต่อฉัน, และท่านผู้ทรงฤทธิ์ได้บันดาลให้ฉันมีความทุกข์.”—รูธ. 1:20, 21.
15 แม้ว่านาอะมีเป็นทุกข์ แต่เมื่ออ่านพระธรรมประวัตินางรูธอย่างละเอียดจะเห็นว่าเธอไว้วางใจพระยะโฮวาเสมอ. และสถานการณ์ในชีวิตเธอเปลี่ยนแปลงไปอย่างน่ารูธ. 4:14-17) เมื่อถึงตอนที่นาอะมีถูกปลุกให้มีชีวิตอีกครั้งบนแผ่นดินโลก เธอก็จะรู้ว่ารูท ซึ่งจะอยู่ที่นั่นด้วย ได้เป็นบรรพสตรีของพระเยซูซึ่งเป็นพระมาซีฮา. (มัด. 1:5, 6, 16) เช่นเดียวกับนาอะมี เราไม่มีทางแน่ใจได้เลยว่าเรื่องร้าย ๆ ทั้งหลายในที่สุดจะแปรเปลี่ยนไปอย่างไร. ด้วยเหตุนั้น ให้เราไว้วางใจพระเจ้าเสมอ ดังที่สุภาษิต 3:5, 6 เตือนเราว่า “จงวางใจในพระยะโฮวาด้วยสุดใจของเจ้า, อย่าพึ่งในความเข้าใจของตนเอง: จงรับพระองค์ให้เข้าส่วนในทางทั้งหลายของเจ้า, และพระองค์จะชี้ทางเดินของเจ้าให้แจ่มแจ้ง.”
ทึ่งจริง ๆ! รูทซึ่งเป็นลูกสะใภ้ที่เป็นม่ายได้เป็นภรรยาของโบอัศและให้กำเนิดบุตรชาย. นาอะมีได้มาเป็นผู้เลี้ยงดูเด็กคนนั้น และบันทึกบอกว่า “บรรดาหญิงซึ่งเป็นเพื่อนบ้านพูดกันว่า, มีบุตรบังเกิดแก่นางนาอะมี; จึงตั้งชื่อว่าโอเบด ซึ่งเป็นบิดายิซัย ๆ เป็นบิดาแห่งดาวิด.” (วางใจพระวิญญาณบริสุทธิ์
16. พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าช่วยผู้เฒ่าผู้แก่ในอิสราเอลโบราณอย่างไร?
16 หากเราให้พระยะโฮวาอยู่ตรงหน้าเราเสมอ พระองค์จะทรงนำเราโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระองค์. (กลา. 5:16-18) พระวิญญาณของพระเจ้าอยู่กับผู้เฒ่าผู้แก่ 70 คนที่ถูกเลือกขึ้นมาให้ช่วยโมเซในการ “แบกภาระของชนชาติ” อิสราเอล. มีเพียงเอลดาดและเมดาดเท่านั้นที่มีชื่อบอกไว้ แต่พระวิญญาณทำให้พวกเขาทุกคนสามารถปฏิบัติภารกิจที่ได้รับมอบหมาย. (อาฤ. 11:13-29, ฉบับแปลใหม่) ไม่ต้องสงสัยเลยว่า พวกเขามีความสามารถ, เกรงกลัวพระเจ้า, ไว้ใจได้, และซื่อสัตย์ เช่นเดียวกับคนที่ถูกเลือกไว้ก่อนหน้านั้น. (เอ็ก. 18:21) คริสเตียนผู้ปกครองในปัจจุบันก็มีคุณสมบัติเช่นนั้นด้วย.
17. พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระยะโฮวามีบทบาทอย่างไรในการก่อสร้างพลับพลา?
17 พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระยะโฮวามีบทบาทสำคัญในการสร้างพลับพลาในถิ่นทุรกันดาร. พระยะโฮวาทรงตั้งบะซาเลลให้เป็นหัวหน้าช่างฝีมือและช่างก่อสร้างพลับพลา และทรงสัญญาว่าจะ “ให้เขาประกอบด้วยพระวิญญาณของพระเจ้า; คือให้เขามีสติปัญญาความเข้าใจและความรู้ในวิชาการทุกอย่าง.” (เอ็ก. 31:3-5) พวกผู้ชายที่ “มีสติปัญญา” ทำงานกับบะซาเลลและผู้ช่วยของเขาคืออาโฮลีอาบเพื่อช่วยกันทำงานมอบหมายอันยอดเยี่ยมนั้นให้สำเร็จ. นอกจากนั้น พระวิญญาณของพระยะโฮวากระตุ้นคนที่เต็มใจให้บริจาคด้วยใจเอื้อเฟื้อ. (เอ็ก. 31:6; 35:5, 30-34) น้ำใจอย่างเดียวกันนั้นกระตุ้นให้ผู้รับใช้พระเจ้าในปัจจุบันทำทุกสิ่งที่ทำได้เพื่อส่งเสริมผลประโยชน์ที่เกี่ยวกับราชอาณาจักร. (มัด. 6:33) เราอาจมีความสามารถบางอย่าง แต่เราจำเป็นต้องอธิษฐานขอพระวิญญาณบริสุทธิ์และให้พระวิญญาณนำเราเพื่อเราจะสามารถทำงานที่พระยะโฮวาประทานแก่ประชาชนของพระองค์ในสมัยของเรา.—ลูกา 11:13.
ยำเกรงพระยะโฮวาจอมพลโยธาเสมอ
18, 19. (ก) พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าทำให้เรามีเจตคติแบบไหน? (ข) คุณได้บทเรียนอะไรจากตัวอย่างของซิมโอนและอันนา?
18 พระวิญญาณบริสุทธิ์ช่วยเราให้มีความยำเกรงซึ่งทำให้พระยะโฮวาอยู่ตรงหน้าเราเสมอ. ผู้พยากรณ์บอกกับประชาชนของพระเจ้าในสมัยโบราณว่า “เจ้าต้องยำเกรงพระเจ้าแห่งพลโยธาในฐานะองค์บริสุทธิ์.” (ยซา. 8:13, ฉบับแปลไบอิงตัน) ซิมโอนและอันนาซึ่งอยู่ในกรุงเยรูซาเลมสมัยศตวรรษแรกเป็นผู้สูงอายุที่ยำเกรงพระเจ้า. (อ่านลูกา 2:25-38.) ซิมโอนเชื่อคำพยากรณ์เกี่ยวกับพระมาซีฮา และ “กำลังคอยเวลาที่ชาติอิสราเอลจะได้รับการปลอบโยน.” พระเจ้าประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์แก่ซิมโอนและรับรองกับเขาว่าเขาจะมีชีวิตจนได้เห็นพระมาซีฮา. และก็เป็นอย่างนั้นจริง ๆ. อยู่มาวันหนึ่งในปีที่ 2 ก่อนสากลศักราช มาเรียและโยเซฟ มารดาของพระกุมารและบิดาเลี้ยง พาพระเยซูมาที่พระวิหาร. ซิมโอนถูกกระตุ้นจากพระวิญญาณ บริสุทธิ์ จึงกล่าวคำพยากรณ์เกี่ยวกับพระมาซีฮาและบอกล่วงหน้าถึงเหตุการณ์ที่จะทำให้มาเรียเป็นทุกข์โศกเศร้าเมื่อพระเยซูทรงถูกตรึงบนหลักทรมาน. แต่ขอให้นึกภาพว่าซิมโอนยินดีมากเพียงไรเมื่อเขาอุ้ม “พระคริสต์ที่พระยะโฮวาทรงส่งมา” ไว้ในอ้อมอก! ซิมโอนผู้ยำเกรงพระเจ้าเป็นตัวอย่างที่ดีจริง ๆ สำหรับผู้รับใช้ของพระเจ้าในปัจจุบัน!
19 อันนา แม่ม่ายวัย 84 ปีผู้ยำเกรงพระเจ้า “ไม่เคยหายหน้าไปจากพระวิหารเลย.” เธอถวายการรับใช้อันศักดิ์สิทธิ์แด่พระยะโฮวาทั้งกลางวันและกลางคืนด้วยการ “อดอาหารและทูลวิงวอน.” อันนาก็อยู่ที่พระวิหารด้วยเมื่อมาเรียและโยเซฟพาพระกุมารเยซูมาที่นั่น. เธอรู้สึกซาบซึ้งสักเพียงไรที่ได้เห็นผู้ที่จะเป็นพระมาซีฮา! อันที่จริง เธอ “เข้ามาขอบพระคุณพระเจ้าและพูดถึงทารกนั้นให้คนทั้งปวงที่คอยท่าการปลดปล่อยกรุงเยรูซาเลมได้ฟัง.” อันนารู้สึกว่าเธอจำเป็นต้องบอกข่าวดีนี้ให้คนอื่นรู้! เช่นเดียวกับซิมโอนและอันนา คริสเตียนผู้ปกครองในปัจจุบันยินดีอย่างยิ่งที่เห็นว่าไม่มีใครแก่เกินจะรับใช้พระยะโฮวาและเป็นพยานของพระองค์.
20. ไม่ว่าเราอายุเท่าไร เราจำเป็นต้องทำอะไร และเพราะเหตุใด?
20 ไม่ว่าเราอายุเท่าไร เราจำเป็นต้องให้พระยะโฮวาอยู่ตรงหน้าเราเสมอ. แล้วพระองค์จะทรงอวยพรความพยายามด้วยความถ่อมใจเมื่อเราบอกคนอื่น ๆ ให้รู้จักพระองค์ในฐานะพระมหากษัตริย์และพระราชกิจอันยอดเยี่ยมของพระองค์. (เพลง. 71:17, 18; 145:10-13) แต่เพื่อเราจะถวายเกียรติแด่พระยะโฮวาได้ เราต้องแสดงคุณลักษณะที่พระองค์พอพระทัย. การพิจารณาเรื่องราวอื่น ๆ ในคัมภีร์ไบเบิลจะช่วยเราให้เรียนรู้อะไรได้บ้างเกี่ยวกับคุณลักษณะเช่นนั้น?
คุณจะตอบอย่างไร?
• เราทราบได้อย่างไรว่าพระยะโฮวาทรงตอบคำอธิษฐาน?
• เหตุใดเราควรเชื่อฟังพระยะโฮวาทุกประการ?
• แม้เมื่อเกิดความท้อแท้ใจ เหตุใดเราควรไว้วางใจพระยะโฮวาเสมอ?
• พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าช่วยประชาชนของพระองค์อย่างไร?
[คำถาม]
[ภาพหน้า 4]
คำอธิษฐานของนะเฮมยาที่ทูลต่อพระยะโฮวาได้รับคำตอบ
[ภาพหน้า 5]
การจำไว้ว่านาอะมีได้รับพระพรเช่นไรจะช่วยเราให้ไว้วางใจพระยะโฮวา