คุณมองคนอื่นเหมือนพระยะโฮวาทรงมองไหม?
คุณมองคนอื่นเหมือนพระยะโฮวาทรงมองไหม?
“เพื่อไม่ให้มีการแตกแยกในร่างกาย แต่เพื่อให้อวัยวะทั้งหลายต่างห่วงใยกัน.” —1 โค. 12:25.
1. คุณรู้สึกอย่างไรเมื่อเริ่มเข้าสู่อุทยานฝ่ายวิญญาณ?
เมื่อเราแยกตัวจากโลกชั่วและเริ่มสมทบกับประชาชนของพระยะโฮวา เราคงรู้สึกยินดีที่เห็นความรักและความห่วงใยอย่างอบอุ่นในหมู่พวกเขา. ช่างแตกต่างจริง ๆ จากผู้คนที่อยู่ใต้การครอบงำของซาตานซึ่งหยาบคาย, เกลียดชัง, และแก่งแย่งชิงดีกัน! เราเข้าสู่อุทยานฝ่ายวิญญาณที่เต็มด้วยสันติสุขและมีเอกภาพ.—ยซา. 48:17, 18; 60:18; 65:25.
2. (ก) อะไรอาจส่งผลกระทบต่อทัศนะที่เรามีต่อผู้อื่น? (ข) เราอาจต้องทำอะไร?
2 แต่เมื่อเวลาผ่านไป เพราะความไม่สมบูรณ์เราอาจเริ่มมองพี่น้องของเราอย่างผิดเพี้ยน. ความไม่สมบูรณ์ของเราอาจทำให้เราขยายข้อบกพร่องของพี่น้องแทนที่จะมองคุณลักษณะฝ่ายวิญญาณโดยรวม. พูดง่าย ๆ คือ เราลืมมองพี่น้องเหมือนกับที่พระยะโฮวาทรงมองพวกเขา. หากเป็นอย่างนั้น ถึงเวลาแล้วที่จะตรวจสอบทัศนะของเราและปรับให้สอดคล้องกับทัศนะที่ชัดเจนของพระยะโฮวา.—เอ็ก. 33:13.
วิธีที่พระยะโฮวาทรงมองพี่น้องของเรา
3. คัมภีร์ไบเบิลเปรียบประชาคมคริสเตียนกับอะไร?
3 ดังบันทึกที่ 1 โครินท์ 12:2-26 อัครสาวกเปาโลเปรียบประชาคมคริสเตียนผู้ถูกเจิมกับร่างกายซึ่งมี “อวัยวะหลายส่วน.” เช่นเดียวกับที่อวัยวะแต่ละอย่างของร่างกายต่าง จากอวัยวะอื่น สมาชิกของประชาคมก็แตกต่างกันมากในเรื่องนิสัยใจคอและความสามารถ. กระนั้น พระยะโฮวาทรงยอมรับความหลากหลายเช่นนี้. พระองค์ทรงรักและหยั่งรู้ค่าสมาชิกแต่ละคน. ดังนั้น เปาโลแนะนำเราว่าสมาชิกของประชาคมน่าจะ “ห่วงใยกัน” ด้วย. อาจไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะทำอย่างนี้ เพราะบุคลิกภาพของคนอื่นอาจแตกต่างจากเรา.
4. เหตุใดเราอาจต้องปรับเปลี่ยนทัศนะที่เรามีต่อพี่น้อง?
4 เราอาจมีแนวโน้มที่จะเพ่งเล็งข้ออ่อนแอของพี่น้อง. ที่จริง เมื่อทำอย่างนั้นก็เหมือนกับว่าเรากำลังใช้กล้องถ่ายรูปที่ใช้เลนส์มุมแคบ. แต่พระยะโฮวาทรงมองพี่น้องของเราเหมือนกับทรงใช้เลนส์มุมกว้างซึ่งทำให้สามารถถ่ายภาพทั้งตัวบุคคลและสิ่งที่อยู่รอบตัวเขา. เราอาจมีแนวโน้มจะเพ่งเล็งเฉพาะสิ่งที่เราไม่ชอบ ในขณะที่พระยะโฮวาทรงมองตัวบุคคลทั้งหมด รวมถึงมองคุณลักษณะดี ๆ ทั้งหมดของคนเรา. ยิ่งเราพยายามเลียนแบบพระยะโฮวามากเท่าไร เราก็จะยิ่งสามารถส่งเสริมน้ำใจที่รักกันและมีเอกภาพในประชาคมมากเท่านั้น.—เอเฟ. 4:1-3; 5:1, 2.
5. เหตุใดจึงไม่ควรตัดสินคนอื่น?
5 พระเยซูทรงตระหนักดีว่ามนุษย์ไม่สมบูรณ์มักมีแนวโน้มจะตัดสินผู้อื่น. พระองค์ทรงให้คำแนะนำว่า “จงเลิกตัดสินผู้อื่นเพื่อเจ้าทั้งหลายจะไม่ถูกตัดสิน.” (มัด. 7:1) สังเกตว่าพระเยซูไม่ได้ตรัสว่า “อย่าตัดสิน”; พระองค์ตรัสว่า “จงเลิกตัดสิน.” พระองค์ทรงทราบว่าผู้ที่ฟังพระองค์หลายคนมีนิสัยชอบวิพากษ์วิจารณ์คนอื่นอยู่แล้ว. อาจเป็นได้ไหมว่าเราเริ่มมีนิสัยอย่างนั้น? หากเรามีแนวโน้มจะวิพากษ์วิจารณ์คนอื่น เราควรพยายามแก้ไขอย่างจริงจัง เพื่อเราจะไม่ถูกตัดสินลงโทษ. อันที่จริง เราเป็นใครจึงจะพิพากษาคนที่พระยะโฮวาทรงแต่งตั้งให้ทำหน้าที่หรือจะบอกว่าเขาไม่ควรเป็นส่วนหนึ่งของประชาคม? พี่น้องของเราอาจมีข้อบกพร่องบางอย่าง แต่หากพระยะโฮวายังคงยอมรับเขา เป็นเรื่องถูกต้องไหมที่เราจะปฏิเสธเขา? (โย. 6:44) เราเชื่อจริง ๆ ไหมว่าพระยะโฮวากำลังนำองค์การของพระองค์ และหากจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนอะไรบางอย่างพระองค์จะดำเนินการในเวลาที่ทรงกำหนดไว้?—อ่านโรม 14:1-4.
6. พระยะโฮวาทรงมองดูผู้รับใช้ของพระองค์อย่างไร?
6 สิ่งหนึ่งที่น่าทึ่งเกี่ยวกับพระยะโฮวาคือพระองค์ทรงสามารถมองเห็นว่าคริสเตียนแต่ละคนมีศักยภาพจะพัฒนาตัวเขาเองถึงขนาดไหนเมื่อพวกเขาบรรลุความสมบูรณ์ในโลกใหม่. พระองค์ยังรู้ด้วยว่าพวกเขาได้ทำความก้าวหน้าฝ่ายวิญญาณมากน้อยแค่ไหนแล้ว. ด้วยเหตุนั้น พระองค์ไม่มีเหตุผลจะเพ่งเล็งที่ข้ออ่อนแอแต่ละอย่าง. เราอ่านที่บทเพลงสรรเสริญ 103:12 ว่า “ทิศตะวันออกไกลจากทิศตะวันตกมากเท่าใด, พระองค์ได้ทรงถอนเอาการล่วงละเมิดของพวกข้าพเจ้าไปให้ห่างไกลมากเท่านั้น.” เราแต่ละคนรู้สึกขอบคุณสักเพียงไรที่พระองค์ทรงทำอย่างนั้น!—เพลง. 130:3.
7. เราเรียนอะไรจากวิธีที่พระยะโฮวาทรงมองดาวิด?
7 เราเห็นหลักฐานในพระคัมภีร์ว่าพระยะโฮวาทรงมีความสามารถอันยอดเยี่ยมในการมองที่ส่วนดีของมนุษย์1 กษัต. 14:8) แน่นอน เรารู้ว่าดาวิดทำผิดบางอย่าง. กระนั้น พระยะโฮวาทรงเลือกมองที่ส่วนดีของท่านเพราะพระองค์ทรงทราบว่าดาวิดมีหัวใจที่ดี.—1 โคร. 29:17.
เราแต่ละคน. พระเจ้าทรงพรรณนาถึงดาวิดว่า “ดาวิดผู้ทาสของเรา, ผู้ซึ่งได้รักษาข้อบัญญัติของเรา, และได้ประพฤติตามด้วยจิตต์ใจของตน, กระทำแต่สิ่งซึ่งเป็นที่ชอบในคลองพระเนตรของเรา.” (จงมองพี่น้องเหมือนกับที่พระยะโฮวาทรงมอง
8, 9. (ก) เราจะเลียนแบบพระยะโฮวาได้ในเรื่องใด? (ข) อาจยกตัวอย่างเปรียบเทียบอย่างไรในเรื่องนี้ และนั่นให้บทเรียนอะไรแก่เรา?
8 พระยะโฮวาทรงอ่านหัวใจคนเราได้ แต่เราทำไม่ได้. แค่จุดนี้จุดเดียวก็มีเหตุผลเพียงพออยู่แล้วที่เราจะไม่ตัดสินคนอื่น. เราไม่รู้ทุกอย่างเกี่ยวกับแรงกระตุ้นที่อยู่ในใจคนอื่น. เราควรพยายามเลียนแบบพระยะโฮวาโดยไม่เพ่งเล็งที่ความไม่สมบูรณ์ของเพื่อนมนุษย์ซึ่งจะหมดไปในที่สุด. การทำแบบเดียวกับพระองค์ในแง่นี้เป็นเป้าหมายที่ดีมิใช่หรือ? การทำเช่นนั้นจะช่วยเราอย่างมากให้มีความสัมพันธ์ที่สงบสุขกับพี่น้อง.—เอเฟ. 4:23, 24.
9 เพื่อเป็นตัวอย่าง ขอให้นึกถึงบ้านหลังหนึ่งที่ทรุดโทรม—รางน้ำฝนจวนจะหลุด, หน้าต่างหักพัง, และฝ้าเพดานก็ถูกฝนรั่วรดเสียหาย. คนส่วนใหญ่อาจมองบ้านหลังนี้แล้วก็ลงความเห็นว่าควรรื้อทิ้ง เพราะดูขัดตา. แต่มีคนหนึ่งที่มุมมองของเขาต่างจากคนอื่นอย่างสิ้นเชิง. อาจเป็นได้ว่าเขาสามารถมองทะลุปัญหาซึ่งเป็นแค่ผิวนอกและเห็นว่าโครงสร้างบ้านหลังนี้ยังดีอยู่และสามารถซ่อมแซมได้. เขาซื้อบ้านหลังนี้แล้วจัดการซ่อมส่วนภายนอกที่ชำรุดและปรับปรุงตกแต่งให้สวยงาม. หลังจากนั้น ผู้คนที่ผ่านไปผ่านมาต่างก็ออกปากชมว่าบ้านหลังนี้สวย. เราจะเป็นเหมือนชายคนนี้ได้ไหมที่พยายามซ่อมแซมแก้ไขบ้านให้มีสภาพดีเหมือนเดิม? แทนที่จะเพ่งเล็งข้อบกพร่องที่เห็นได้ชัดเจน เราจะมองหาคุณลักษณะดี ๆ และศักยภาพที่พี่น้องของเราจะเติบโตฝ่ายวิญญาณได้ไหม? ถ้าเราทำอย่างนั้น เราจะรักพี่น้องของเรา เช่นเดียวกับที่พระยะโฮวาทรงรักพวกเขาเพราะคุณลักษณะฝ่ายวิญญาณของพวกเขา.—อ่านฮีบรู 6:10.
10. คำแนะนำที่ฟิลิปปอย 2:3, 4 ช่วยเราได้อย่างไร?
10 อัครสาวกเปาโลให้คำแนะนำที่สามารถช่วยเราในเรื่องความสัมพันธ์กับทุกคนในประชาคม. ท่านกล่าวกระตุ้นคริสเตียนว่า “[อย่า] ทำอะไรด้วยน้ำใจชิงดีชิงเด่นหรือด้วยความถือดี แต่ให้ถ่อมใจถือว่าคนอื่นดีกว่าตัว ไม่ห่วงแต่เรื่องของตัวเองเท่านั้น แต่ห่วงเรื่องของคนอื่นด้วย.” (ฟิลิป. 2:3, 4) ความถ่อมจะช่วยเราให้มีทัศนะที่ถูกต้องต่อผู้อื่น. การแสดงความสนใจเป็นส่วนตัวและมองหาส่วนดีในตัวผู้อื่นจะช่วยเราด้วยให้มองพวกเขาเหมือนกับที่พระยะโฮวาทรงมอง.
11. การเปลี่ยนแปลงอะไรที่ส่งผลกระทบต่อบางประชาคม?
11 ในระยะหลัง ๆ นี้ การเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นทั่วโลกทำให้มีการย้ายถิ่นฐานของผู้คนมากมาย. ในเวลานี้ มีผู้คนจากประเทศต่าง ๆ มาอาศัยอยู่ในเมืองใหญ่บางเมือง. คนเหล่านี้บางคนที่เพิ่งย้ายมาอยู่ในท้องถิ่นของเราสนใจความจริงในคัมภีร์ไบเบิลและเข้ามาร่วมกับเราในการนมัสการพระยะโฮวา. คนเหล่านี้มา “จากทุกประเทศ ทุกตระกูล ทุกชนชาติ และทุกภาษา.” (วิ. 7:9) ผลก็คือ เราอาจเรียกหลาย ๆ ประชาคมได้ว่าเป็นประชาคมนานาชาติ.
12. เราแต่ละคนจำเป็นต้องรักษาทัศนะเช่นไรต่อกัน และเหตุใดการทำอย่างนั้นอาจไม่ใช่เรื่องง่ายเสมอไป?
12 เราอาจจำเป็นต้องใส่ใจมากขึ้นในเรื่องการรักษาทัศนะที่ถูกต้องต่อกันและกันในประชาคมของเรา. เพื่อจะทำอย่างนั้นเราต้องจำคำแนะนำของเปโตรไว้เสมอที่ให้ “รักใคร่กันฉันพี่น้องโดยไม่เสแสร้ง” และ “รักกันอย่างแรงกล้าจากหัวใจ.” (1 เป. 1:22) การพัฒนาความรักแท้และความรักใคร่สนิทสนมอาจไม่ใช่เรื่องที่ทำได้ง่าย ๆ ในกลุ่มหรือประชาคมที่มีพี่น้องหลากหลายเชื้อชาติ. ภูมิหลังของเพื่อนผู้นมัสการของเราอาจต่างจากเรามาก เช่น การศึกษา, ฐานะทางเศรษฐกิจ, และเชื้อชาติ. คุณรู้สึกว่ายากจะเข้าใจความคิดหรือปฏิกิริยาของบางคนไหม? พวกเขาอาจรู้สึกอย่างเดียวกันต่อคุณ. แม้กระนั้น เราทุกคนได้รับคำแนะนำว่า “จงรักทุกคนในสังคมพี่น้องคริสเตียน.”—1 เป. 2:17.
13. เราอาจจำเป็นต้องปรับทัศนะเช่นไร?
2 โครินท์ 6:12, 13.) คุณเคยสังเกตไหมว่าเราเองอาจเคยพูดในทำนองว่า “ผมไม่ได้มีอคตินะ แต่ . . . ” แล้วก็เล่าถึงนิสัยไม่ดีบางอย่างที่เราเห็นว่าเป็นลักษณะหรือนิสัยของกลุ่มชาติพันธุ์หนึ่ง? หากเรามีความรู้สึกเช่นนั้น นั่นอาจแสดงให้เห็นว่ามีความจำเป็นที่จะต้องขจัดอคติซึ่งยังคงฝังลึกในตัวเรา. เราอาจถามตัวเองว่า ‘ฉันพยายามอยู่เสมอไหมที่จะทำความรู้จักกับผู้คนที่มีวัฒนธรรมต่างจากฉัน?’ การตรวจสอบตัวเองอย่างนั้นอาจช่วยปรับความรู้สึกนึกคิดของเราให้ดีขึ้นเพื่อจะยอมรับและหยั่งรู้ค่าสังคมพี่น้องที่มีหลายเชื้อชาติ.
13 อาจจำเป็นต้องปรับทัศนะของเราบางอย่าง เปิดใจให้กว้างเพื่อจะรักพี่น้องทุกคน. (อ่าน14, 15. (ก) จงยกตัวอย่างคนที่ปรับทัศนะในการมองคนอื่น? (ข) เราจะเลียนแบบคนเหล่านั้นได้อย่างไร?
14 คัมภีร์ไบเบิลมีตัวอย่างที่ดีของหลายคนที่ได้ปรับทัศนะของตน คนหนึ่งได้แก่อัครสาวกเปโตร. เพราะเป็นชาวยิว เปโตรไม่เข้าไปในบ้านของคนต่างชาติ. ขอให้นึกดูว่าท่านรู้สึกอย่างไรเมื่อถูกขอให้ไปที่บ้านของคอร์เนลิอุส คนต่างชาติที่ไม่ได้รับสุหนัต! เปโตรปรับทัศนะของท่าน เพราะเข้าใจว่าเป็นพระทัยประสงค์ของพระเจ้าให้ชนจากทุกชาติเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของประชาคมคริสเตียน. (กิจ. 10:9-35) เซาโลซึ่งภายหลังกลายมาเป็นอัครสาวกเปาโลก็ต้องเปลี่ยนแปลงหลายอย่างและขจัดอคติที่ท่านมี. ท่านยอมรับว่าท่านเคยเกลียดคริสเตียนมากจนถึงกับ “ข่มเหงประชาคมของพระเจ้าอย่างหนักและหาทางทำลายเสีย.” ถึงกระนั้น เมื่อพระเยซูเจ้าทรงแก้ไขทัศนะของเปาโลแล้ว ท่านเปลี่ยนเป็นคนละคนและเริ่มยอมรับการชี้นำจากคนที่ท่านเคยข่มเหงเสียด้วยซ้ำ.—กลา. 1:13-20.
15 ไม่มีข้อสงสัยว่าเราสามารถปรับเปลี่ยนทัศนคติของเราโดยอาศัยความช่วยเหลือจากพระวิญญาณของพระยะโฮวา. หากเราพบว่ายังมีร่องรอยของอคติแฝงเร้นอยู่ในตัวเรา ให้เราพยายามขจัดอคตินั้นออกไปให้หมด และ “รักษาความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันด้วยสันติสุขซึ่งเป็นสิ่งที่ผูกพันผู้คนให้มีเอกภาพ.” (เอเฟ. 4:3-6) คัมภีร์ไบเบิลสนับสนุนเราให้ “สวมความรัก เพราะความรักเป็นสิ่งที่ผูกพันผู้คนให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันอย่างสมบูรณ์.”—โกโล. 3:14.
เลียนแบบพระยะโฮวาในงานรับใช้ของเรา
16. พระเจ้าทรงมีพระทัยประสงค์เช่นไรเกี่ยวกับผู้คนทั้งหลาย?
16 อัครสาวกเปาโลเขียนว่า “พระเจ้าไม่ทรงลำเอียง.” (โรม 2:11) พระยะโฮวาทรงประสงค์ให้ประชาชนจากทุกชาตินมัสการพระองค์. (อ่าน 1 ติโมเธียว 2:3, 4.) เพื่อจะเป็นตามพระประสงค์นั้น พระองค์ทรงจัดเตรียมให้มีการ ประกาศ “ข่าวดีนิรันดร์ . . . แก่ทุกประเทศ ทุกตระกูล ทุกภาษา และทุกชนชาติ.” (วิ. 14:6) พระเยซูตรัสว่า “นานั้นคือโลกนี้.” (มัด. 13:38) นั่นมีความหมายอย่างไรสำหรับคุณและครอบครัว?
17. เราจะช่วยผู้คนทุกชนิดได้อย่างไร?
17 ไม่ใช่ทุกคนสามารถไปยังส่วนที่ห่างไกลของโลกเพื่อนำข่าวสารเรื่องราชอาณาจักรไปให้คนอื่น ๆ. อย่างไรก็ตาม เราอาจจะสามารถนำข่าวสารไปให้ผู้คนที่มาจากส่วนต่าง ๆ ของโลกซึ่งมาอาศัยอยู่ในเขตของเรา. เราตื่นตัวไหมต่อโอกาสที่จะบอกข่าวสารแก่คนทุกชนิด ไม่เพียงแค่คนที่เราประกาศให้ฟังมาเป็นเวลาหลายปี? คุณน่าจะตั้งใจเข้าถึงคนกลุ่มอื่น ๆ ที่ยังไม่ได้รับข่าวสารอย่างทั่วถึงมิใช่หรือ?—โรม 15:20, 21.
18. พระเยซูทรงแสดงความห่วงใยเช่นไรต่อผู้คน?
18 พระเยซูทรงตระหนักดีว่าจำเป็นต้องช่วยเหลือทุกคน. พระองค์ไม่ได้ประกาศเฉพาะในเขตเดียว. บันทึกในคัมภีร์ไบเบิลบอกเราว่าพระองค์ “ทรงออกเดินทางไปทั่วทุกเมืองและทุกหมู่บ้าน.” และ “เมื่อทรงเห็นฝูงชน พระองค์ทรงรู้สึกสงสาร” และทรงแสดงให้เห็นว่าจำเป็นจะต้องช่วยพวกเขา.—มัด. 9:35-37.
19, 20. เราจะเลียนแบบความห่วงใยที่พระยะโฮวาและพระเยซูทรงมีต่อผู้คนทุกชนิดได้ในทางใดบ้าง?
19 มีทางใดบ้างที่คุณสามารถแสดงเจตคติคล้าย ๆ กัน? บางคนได้พยายามประกาศข่าวดีในเขตที่ไม่ได้ประกาศกันบ่อย ๆ. เขตดังกล่าวอาจเป็นย่านธุรกิจ, สวนสาธารณะ, สถานีขนส่ง, หรือหน้าตึกที่พักอาศัยที่ไม่อนุญาตให้คนภายนอกเข้า. คนอื่น ๆ ได้พยายามเรียนภาษาใหม่เพื่อจะประกาศกับกลุ่มชาติพันธุ์บางกลุ่มซึ่งเวลานี้อาศัยอยู่ในท้องถิ่นหรือเป็นกลุ่มที่ก่อนหน้านี้ไม่ค่อยได้มีการประกาศเท่าไรนัก. การเรียนรู้คำทักทายในภาษาท้องถิ่นของพวกเขาอาจแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าคุณสนใจสวัสดิภาพของพวกเขา. หากเราเรียนภาษาใหม่ไม่ได้ เราจะสนับสนุนคนที่กำลังเรียนอยู่ได้ไหม? แน่นอน เราคงไม่อยากมีความคิดในแง่ลบหรือตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับเหตุผลที่คนอื่นกำลังพยายามทำอย่างนั้นเพื่อจะประกาศแก่ผู้คนที่มาจากประเทศอื่น. ทุกชีวิตมีค่าในสายพระเนตรพระเจ้า และเราต้องการมองเรื่องต่าง ๆ ในแนวเดียวกัน.—โกโล. 3:10, 11.
20 การมีทัศนะต่อผู้คนแบบเดียวกับพระเจ้ายังหมายถึงการประกาศแก่ทุกคน ไม่ว่าเขาอยู่ในสภาพอย่างไร. บางคนอาจเป็นคนไร้ที่อยู่อาศัย, ดูรุงรัง, หรือเห็นได้ชัดว่าใช้ชีวิตแบบผิดศีลธรรม. หากบางคนปฏิบัติต่อเราอย่างไม่กรุณา นั่นไม่ควรทำให้เรามีทัศนะในแง่ลบต่อคนชาตินั้นทั้งชาติหรือต่อคนในกลุ่มชาติพันธุ์นั้นทั้งหมด. บางคนปฏิบัติต่อเปาโลอย่างเลวร้าย แต่ท่านไม่ปล่อยให้เรื่องนั้นทำให้ท่านเลิกประกาศแก่ผู้คนที่มีพื้นเพแบบคนเหล่านั้น. (กิจ. 14:5-7, 19-22) ท่านเชื่อมั่นว่าจะมีบางคนตอบรับข่าวสารด้วยความหยั่งรู้ค่า.
21. การมีทัศนะต่อผู้อื่นแบบเดียวกับพระยะโฮวาจะช่วยคุณอย่างไร?
21 เป็นเรื่องที่เห็นได้ชัดกว่าแต่ก่อนว่าจำเป็นต้องมีทัศนะที่ถูกต้อง—ทัศนะแบบเดียวกับพระยะโฮวา—ในการติดต่อเกี่ยวข้องกับพี่น้องในท้องถิ่น, พี่น้องจากชาติต่าง ๆ, และประชาชนที่อยู่ในเขตทำงาน. ยิ่งเราสะท้อนทัศนะของพระยะโฮวาได้มากเท่าไร เราก็จะยิ่งเป็นแรงจูงใจให้มีสันติสุขและเอกภาพมากเท่านั้น. และเราจะมีความสามารถมากขึ้นในการช่วยคนอื่นให้รักพระยะโฮวา พระเจ้าผู้ “ไม่ทรงแสดงอคติ” แต่ทรงใฝ่พระทัยทุกคนด้วยความรัก “เพราะคนทั้งหมดนี้เป็นพระหัตถกิจของพระองค์.”—โยบ 34:19, ฉบับแปลใหม่.
คุณตอบได้ไหม?
• เราไม่ควรมีทัศนะเช่นไรในการมองพี่น้อง?
• เราจะเลียนแบบพระยะโฮวาได้อย่างไรเกี่ยวกับวิธีที่เรามองพี่น้อง?
• คุณได้บทเรียนอะไรเกี่ยวกับวิธีที่เราควรมองพี่น้องจากชาติต่าง ๆ?
• เราจะเลียนแบบทัศนะของพระยะโฮวาในการมองผู้คนได้อย่างไรเมื่อเราทำงานรับใช้?
[คำถาม]
[ภาพหน้า 26]
คุณจะทำความรู้จักผู้คนที่มาจากวัฒนธรรมอื่น ๆ ได้อย่างไร?
[ภาพหน้า 28]
คุณจะเข้าถึงผู้คนให้มากขึ้นเพื่อบอกข่าวดีแก่พวกเขาได้โดยใช้วิธีใดบ้าง?