จงยินยอมและสมดุล
จงยินยอมและสมดุล
“จงเตือนพวกเขาต่อ ๆ ไป . . . ให้ยินยอม.”—ทิทุส 3:1, 2, เชิงอรรถฉบับมีข้ออ้างอิง.
1, 2. พระคัมภีร์กล่าวอะไรเกี่ยวกับการยินยอม และเหตุใดเรื่องนี้จึงนับว่าเหมาะ?
พระยะโฮวา พระบิดาของเราในสวรรค์ผู้เปี่ยมด้วยความรัก ทรงฉลาดสุขุมอย่างยิ่ง. เนื่องจากพระองค์ทรงเป็นพระผู้สร้าง เราจึงหมายพึ่งพระองค์ให้ชี้นำชีวิตเรา. (เพลง. 48:14) คริสเตียนสาวกยาโกโบบอกเราว่า “สติปัญญาจากเบื้องบนนั้น ประการแรก บริสุทธิ์ แล้วก็ทำให้มีสันติ มีเหตุผล [“ยินยอม,” เชิงอรรถฉบับมีข้ออ้างอิง] พร้อมจะเชื่อฟัง เปี่ยมด้วยความเมตตาและผลอันดี ไม่ลำเอียง ไม่หน้าซื่อใจคด.”—ยโก. 3:17.
2 อัครสาวกเปาโลให้คำแนะนำว่า “ให้คนทั้งปวงเห็นว่าท่านทั้งหลายเป็นคนมีเหตุผล [“ยินยอม,” ฉบับแปลคิงดอม อินเตอร์ลิเนียร์].” * (ฟิลิป. 4:5) พระคริสต์เยซูทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าและประมุขของประชาคมคริสเตียน. (เอเฟ. 5:23) นับว่าสำคัญจริง ๆ ที่เราแต่ละคนจะปฏิบัติอย่างมีเหตุผล โดยยอมทำตามการชี้นำของพระคริสต์และยินยอมเมื่อติดต่อเกี่ยวข้องกับคนอื่น ๆ!
3, 4. (ก) จงยกตัวอย่างที่แสดงว่าเป็นประโยชน์เมื่อเรายินยอม. (ข) เราจะพิจารณาอะไร?
3 เราได้ประโยชน์เมื่อเราเต็มใจจะยินยอมอย่างสมดุล. เพื่อเป็นตัวอย่าง: หลังจากที่ตรวจพบแผนก่อการร้ายที่บริเตน ผู้โดยสารส่วนใหญ่ที่เดินทางโดยเครื่องบินดูเหมือนว่ายินดีปฏิบัติตามกฎที่ห้ามนำสิ่งของบางอย่างขึ้นเครื่องซึ่งเมื่อก่อนไม่ได้ห้าม. เมื่อขับรถยนต์ เราเห็นว่ามีบางกรณีเราจำเป็นต้องยอมให้รถคันอื่นไปก่อน เช่น ในกรณีที่รถวิ่งมาถึงวงเวียน เพื่อให้แน่ใจว่าทุกคนจะปลอดภัยและการจราจรจะไม่ติดขัด.
4 สำหรับหลายคนแล้ว ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะยินยอม. เพื่อช่วยเราให้พร้อมจะยินยอม ให้เราพิจารณาสามแง่มุมของการยินยอม กล่าวคือ เหตุผลที่เรายินยอม, เจตคติของเราต่อผู้มีอำนาจ, และเราควรยินยอมถึงขนาดไหน.
ทำไมต้องยินยอม?
5. ตามพระบัญญัติของโมเซ อะไรอาจกระตุ้นทาสให้เลือกอยู่กับนายต่อไป?
5 ตัวอย่างหนึ่งจากยุคก่อนคริสเตียนเน้นให้เห็นชัดเกี่ยวกับแรงจูงใจที่ถูกต้องในการยินยอม. ตามพระบัญญัติของโมเซ ชาวฮีบรูที่เป็นทาสจะต้องถูกปล่อยตัวให้เป็นอิสระในปีที่เจ็ดของการเป็นทาสหรือในปีจูบิลี ขึ้นอยู่กับว่าอย่างไหนมาถึงก่อน. แต่ทาสจะเลือกเป็นทาสต่อไปก็ได้. (อ่านเอ็กโซโด 21:5, 6.) อะไรอาจกระตุ้นทาสให้ทำอย่างนี้? ความรักนั่นเองที่กระตุ้นทาสให้คงสถานภาพเดิมของตนเอาไว้ และอยู่ใต้อำนาจของนายที่เป็นคนมีน้ำใจต่อไป.
6. ความรักเกี่ยวข้องอย่างไรกับการที่เราเป็นคนยินยอม?
6 ในทำนองเดียวกัน ความรักที่เรามีต่อพระยะโฮวากระตุ้นเราให้อุทิศชีวิตแด่พระองค์และดำเนินชีวิตสมกับที่ได้อุทิศตัว. (โรม 14:7, 8) อัครสาวกโยฮันเขียนว่า “การรักพระเจ้าหมายถึงการทำตามพระบัญญัติของพระองค์ และพระบัญญัติของพระองค์ไม่เป็นภาระหนัก.” (1 โย. 5:3) ความรักดังกล่าวไม่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัว. (1 โค. 13:4, 5) เมื่อเราติดต่อกับคนอื่น ๆ ความรักต่อเพื่อนบ้านทำให้เรายินยอมและคำนึงถึงผลประโยชน์ของเขาก่อน. แทนที่จะยอมให้ความเห็นแก่ตัวครอบงำ เราคิดถึงผลประโยชน์ของคนอื่น ๆ.—ฟิลิป. 2:2, 3.
7. การพร้อมจะยินยอมมีส่วนอย่างไรในงานรับใช้ของเรา?
7 เราไม่ควรทำให้คนอื่นขุ่นเคืองเพราะคำพูดหรือการเอเฟ. 4:29) ที่จริง ความรักจะกระตุ้นเราให้หลีกเลี่ยงการทำสิ่งใดก็ตามที่อาจหน่วงเหนี่ยวผู้คนซึ่งมาจากภูมิหลังและวัฒนธรรมต่างกันจนทำให้พวกเขาไม่ก้าวหน้าถึงขั้นรับใช้พระยะโฮวา. เรื่องนี้มักเกี่ยวข้องกับการที่เราพร้อมจะยินยอม. ตัวอย่างเช่น มิชชันนารีที่คุ้นเคยกับการใช้เครื่องสำอางหรือการใส่ถุงน่องยอมงดใช้สิ่งเหล่านี้ในท้องถิ่นที่การแต่งตัวแบบนี้อาจทำให้ผู้คนคิดว่าเป็นผู้หญิงที่ผิดศีลธรรมและทำให้คนอื่นไม่สบายใจ.—1 โค. 10:31-33.
กระทำของเรา. (8. ความรักต่อพระเจ้าสามารถช่วยเราได้อย่างไรให้ประพฤติตัวเป็น “ผู้เล็กน้อย”?
8 ความรักต่อพระยะโฮวาช่วยเราเอาชนะความหยิ่ง. หลังจากเกิดการโต้เถียงกันในหมู่สาวกว่าใครเป็นใหญ่ พระเยซูทรงพาเด็กคนหนึ่งมายืนอยู่ท่ามกลางพวกเขา. พระองค์ทรงอธิบายว่า “ผู้ใดรับเด็กเล็ก ๆ คนนี้ในนามของเราก็รับเราด้วย และผู้ใดที่รับเราก็รับพระองค์ผู้ทรงใช้เรามาด้วย. ด้วยว่าผู้ใดที่ประพฤติตัวเป็นผู้เล็กน้อยท่ามกลางพวกเจ้าทุกคน ผู้นั้นจะเป็นใหญ่.” (ลูกา 9:48; มโก. 9:36) เราเองก็อาจรู้สึกว่าเป็นเรื่องท้าทายจริง ๆ ที่จะประพฤติตัวเป็น “ผู้เล็กน้อย.” ความไม่สมบูรณ์และแนวโน้มจะเป็นคนหยิ่งที่ได้รับตกทอดมาอาจกระตุ้นเราให้แสวงหาความเด่นดัง แต่ความถ่อมจะช่วยเราให้พร้อมจะยินยอม.—โรม 12:10.
9. เพื่อจะยินยอม เราต้องยอมรับอะไร?
9 เพื่อจะยินยอม เราต้องยอมรับอำนาจที่พระเจ้าทรงตั้งไว้. คริสเตียนแท้ทุกคนยอมรับหลักการสำคัญเรื่องความเป็นประมุข. อัครสาวกเปาโลชี้ให้ชาวโครินท์เห็นจุดนี้อย่างชัดเจนว่า “ข้าพเจ้าต้องการให้ท่านทั้งหลายรู้ว่า พระคริสต์ทรงเป็นประมุขของผู้ชายทุกคน ผู้ชายเป็นประมุขของผู้หญิง และพระเจ้าทรงเป็นประมุขของพระคริสต์.”—1 โค. 11:3.
10. การยอมรับอำนาจของพระยะโฮวาแสดงถึงอะไร?
10 การยอมรับอำนาจของพระเจ้าแสดงว่าเราไว้วางใจและเชื่อมั่นพระองค์ในฐานะที่ทรงเป็นพระบิดาที่รัก. พระองค์ทรงทราบทุกสิ่งที่เกิดขึ้นและสามารถประทานรางวัลแก่เราสำหรับสิ่งที่เราทำ. นับว่าเป็นประโยชน์ที่จะจำข้อเท็จจริงนี้ไว้เมื่อคนอื่นไม่แสดงความนับถือต่อเราหรือโกรธและอารมณ์เสีย. เปาโลเขียนว่า “ถ้าเป็นได้ จงพยายามสุดความสามารถเพื่อจะอยู่อย่างสันติกับคนทั้งปวง.” เปาโลเน้นคำแนะนำนั้นด้วยการกระตุ้นดังนี้: “พี่น้องที่รัก อย่าแก้แค้นเสียเอง แต่ให้พระเจ้าเป็นผู้สำแดงพระพิโรธ เพราะมีคำเขียนไว้ดังนี้ ‘พระยะโฮวาตรัสว่า การแก้แค้นเป็นธุระของเรา เราจะตอบแทน.’ ”—โรม 12:18, 19.
11. เราจะแสดงได้โดยวิธีใดว่าเรายอมอ่อนน้อมต่อตำแหน่งประมุขของพระคริสต์?
11 เราต้องนับถือผู้มีอำนาจที่พระเจ้าทรงตั้งไว้ในประชาคมคริสเตียนด้วย. วิวรณ์บท 1 พรรณนาว่ามี “ดาว” ของประชาคมอยู่ในพระหัตถ์ขวาของพระคริสต์เยซู. (วิ. 1:16, 20) ในความหมายโดยทั่วไป “ดาว” เหล่านี้หมายถึงคณะผู้ปกครองหรือผู้ดูแลในประชาคม. ผู้ดูแลเหล่านี้ที่ได้รับแต่งตั้งยอมอยู่ใต้การนำของพระคริสต์และเลียนแบบวิธีที่พระองค์ปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างกรุณา. ทุกคนในประชาคม ยอมรับการจัดเตรียมที่พระเยซูทรงตั้ง “ทาสสัตย์ซื่อและสุขุม” ไว้ให้แจกจ่ายอาหารฝ่ายวิญญาณในเวลาอันเหมาะ. (มัด. 24:45-47) ในทุกวันนี้ การที่เราเต็มใจศึกษาและใช้ความรู้ที่ทาสสัตย์ซื่อจัดให้แสดงว่าเราเองยอมอ่อนน้อมต่อตำแหน่งประมุขของพระคริสต์ ซึ่งส่งเสริมให้มีสันติสุขและเอกภาพ.—โรม 14:13, 19.
ยินยอม—ถึงขั้นไหน?
12. เหตุใดการยินยอมจึงมีขอบเขตจำกัด?
12 อย่างไรก็ตาม การยินยอมไม่ได้หมายความว่าให้เราประนีประนอมความเชื่อของเราหรือหลักการของพระเจ้า. คริสเตียนในยุคแรกแสดงให้เห็นจุดยืนของตนอย่างไรเมื่อพวกหัวหน้าศาสนาสั่งให้เลิกสอนในพระนามพระเยซู? เปโตรและอัครสาวกคนอื่น ๆ กล่าวอย่างกล้าหาญว่า “พวกข้าพเจ้าต้องเชื่อฟังพระเจ้าในฐานะผู้มีอำนาจปกครอง ไม่ใช่เชื่อฟังมนุษย์.” (กิจ. 4:18-20; 5:28, 29) ดังนั้น ในทุกวันนี้เมื่อเจ้าหน้าที่รัฐบาลพยายามบังคับเราไม่ให้ประกาศข่าวดี เราไม่เลิกประกาศ แม้ว่าเราอาจต้องรับมือสถานการณ์อย่างผ่อนหนักผ่อนเบาด้วยการปรับเปลี่ยนวิธีประกาศ. หากมีคำสั่งห้ามการประกาศตามบ้าน เราอาจมองหาวิธีอื่นในการติดต่อกับเจ้าของบ้านและทำงานที่พระเจ้าทรงมอบหมายแก่เราต่อไป. ในทำนองเดียวกัน เมื่อ “ผู้มีอำนาจปกครอง” สั่งห้ามการประชุม เราก็ประชุมกันอย่างลับ ๆ เป็นกลุ่มเล็ก ๆ.—โรม 13:1; ฮีบรู 10:24, 25.
13. พระเยซูตรัสอะไรเกี่ยวกับการยินยอมต่อผู้มีอำนาจ?
13 ในคำเทศน์บนภูเขา พระเยซูทรงชี้ถึงความจำเป็นต้องยอมอยู่ใต้อำนาจว่า “ถ้าคนหนึ่งต้องการพาเจ้าไปขึ้นศาลและยึดเอาเสื้อตัวในของเจ้าไป จงให้เสื้อตัวนอกแก่เขาด้วย และถ้าผู้ใดเกณฑ์เจ้าให้ไปกับเขาหนึ่งกิโลเมตร จงไปกับเขาสองกิโลเมตร.” (มัด. 5:40, 41) * การคำนึงถึงผู้อื่นและความปรารถนาจะช่วยพวกเขายังกระตุ้นเราด้วยให้ทำมากกว่าที่คนอื่นขอให้เราทำ.—1 โค. 13:5; ทิทุส 3:1, 2.
14. เหตุใดเราต้องไม่ยอมให้แก่การออกหาก?
14 อย่างไรก็ตาม แม้ว่าตามปกติเราพร้อมจะยินยอม แต่เราต้องไม่ยอมประนีประนอมกับพวกผู้ออกหาก. เราต้องยืนหยัดมั่นคงในเรื่องนี้เพื่อรักษาความบริสุทธิ์สะอาดของความจริงและเอกภาพของประชาคม. เปาโลเขียนเกี่ยวกับ “พี่น้องจอมปลอม” ว่า “เราไม่ยอมตามพวกเขาแม้สักครู่เดียว เพื่อความจริงที่มีอยู่ในข่าวดีจะอยู่กับท่านทั้งหลายต่อไป.” (กลา. 2:4, 5) เมื่อมีการออกหาก ซึ่งไม่ใช่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบ่อย คริสเตียนที่อุทิศตัวแล้วจะยึดสิ่งที่ถูกต้องไว้อย่างมั่นคง.
ผู้ดูแลจำเป็นต้องพร้อมจะยินยอม
15. คริสเตียนผู้ดูแลจะแสดงให้เห็นอย่างไรว่าพร้อมจะยินยอมเมื่อประชุมกัน?
15 คุณสมบัติอย่างหนึ่งซึ่งคนที่ได้รับแต่งตั้งเป็นผู้ดูแลควรมีคือการเป็นคนที่พร้อมจะยินยอม. เปาโลเขียนว่า “ผู้ดูแลต้องเป็นคน . . . มีเหตุผล [“ยินยอม,” เชิงอรรถฉบับมีข้ออ้างอิง].” (1 ติโม. 3:2, 3) เรื่องนี้สำคัญเป็นพิเศษเมื่อชายที่ได้รับแต่งตั้งประชุมกันเพื่อพิจารณาเรื่องต่าง ๆ เกี่ยวกับประชาคม. ก่อนจะตัดสินใจเรื่องใดเรื่องหนึ่ง แต่ละคนที่ร่วมประชุมควรมีอิสระจะแสดงความคิดเห็นอย่างชัดเจน แม้ไม่มีข้อกำหนดว่าผู้ปกครองทุกคนต้องแสดงความคิดเห็น. ระหว่างที่พิจารณากัน ความเห็นของคนหนึ่งอาจเปลี่ยนไปเมื่อเขาได้ยินคนอื่น ๆ กล่าวถึงหลักการในพระคัมภีร์ที่เกี่ยวข้อง. แทนที่จะต่อต้านและยืนกรานให้เป็นไปตามทัศนะของตนเอง ผู้ปกครองที่มีความเป็นผู้ใหญ่พร้อมจะยินยอม. เมื่อเริ่มพิจารณากัน อาจมีความเห็นแตกต่างกัน แต่การใคร่ครวญพร้อมด้วยการอธิษฐานส่งเสริมให้มีเอกภาพในหมู่ผู้ปกครองที่เจียมตัวและพร้อมจะยินยอม.—1 โค. 1:10; อ่านเอเฟโซส์ 4:1-3.
16. คริสเตียนผู้ดูแลควรแสดงน้ำใจอะไร?
16 คริสเตียนผู้ปกครองควรพยายามรักษาระเบียบตามระบอบของพระเจ้าในกิจกรรมทุกอย่าง. เขาควรแสดงน้ำใจอย่างนั้นแม้แต่เมื่อบำรุงเลี้ยงฝูงแกะ ซึ่งจะช่วยเขาให้คำนึงถึงผู้อื่นและปฏิบัติอย่างอ่อนโยน. เปโตรเขียนว่า “จงบำรุงเลี้ยงฝูงแกะของพระเจ้าซึ่งอยู่ในความดูแลของท่านทั้งหลาย ไม่ใช่โดยฝืนใจ แต่ด้วยความเต็มใจ ไม่ใช่เพราะอยากได้ผลประโยชน์ แต่ด้วยความกระตือรือร้น.”—1 เป. 5:2.
17. ทุกคนในประชาคมจะแสดงน้ำใจยินยอมได้อย่างไรในการปฏิบัติต่อผู้อื่น?
1 ติโม. 5:1, 2) คริสเตียนผู้ปกครองมองหาชายที่มีคุณสมบัติที่พวกเขาจะสามารถมอบหน้าที่รับผิดชอบบางอย่างให้ ฝึกคนเหล่านี้ให้ช่วยดูแลฝูงแกะของพระเจ้า. (2 ติโม. 2:1, 2) คริสเตียนแต่ละคนควรเห็นคุณค่าคำแนะนำซึ่งเปาโลเขียนโดยการดลใจ ที่ว่า “จงเชื่อฟังผู้ที่นำหน้าท่ามกลางท่านทั้งหลายและยอมรับอำนาจของพวกเขา เพราะคนเหล่านั้นคอยดูแลพวกท่านเหมือนเป็นผู้ที่ต้องถวายรายงาน เพื่อพวกเขาจะดูแลพวกท่านด้วยความยินดี ไม่ใช่ด้วยการทอดถอนใจซึ่งจะก่อผลเสียหายแก่พวกท่าน.”—ฮีบรู 13:17.
17 สมาชิกที่สูงอายุของประชาคมหยั่งรู้ค่าการช่วยเหลืออันมีค่ามากจากคนที่อายุน้อยกว่าและปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างให้เกียรติ. เมื่อเป็นอย่างนั้นแล้ว เยาวชนก็จะนับถือคนที่มีอายุมากกว่าซึ่งมีประสบการณ์หลายปีในการรับใช้พระยะโฮวา. (สมาชิกครอบครัวพร้อมจะยินยอม
18. เหตุใดสมาชิกแต่ละคนในครอบครัวควรพร้อมจะยินยอม?
18 สมาชิกครอบครัวจำเป็นต้องพร้อมจะยินยอมด้วย. (อ่านโกโลซาย 3:18-21.) คัมภีร์ไบเบิลระบุหน้าที่ของสมาชิกแต่ละคนในครอบครัวคริสเตียน. บิดาเป็นประมุขของภรรยาและเป็นผู้มีความรับผิดชอบหลักในการสั่งสอนบุตร. ภรรยาต้องยอมรับอำนาจของสามี และบุตรควรพยายามอ่อนน้อมและเชื่อฟัง เพราะว่านั่นคือแนวทางที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงพอพระทัย. สมาชิกแต่ละคนในครอบครัวสามารถส่งเสริมเอกภาพและสันติสุขในครอบครัวด้วยการยินยอมอย่างเหมาะสมและสมดุล. คัมภีร์ไบเบิลมีตัวอย่างที่ช่วยอธิบายจุดนี้.
19, 20. (ก) จงชี้ความแตกต่างระหว่างตัวอย่างของเอลีกับตัวอย่างของพระยะโฮวาในเรื่องการยินยอม. (ข) บิดามารดาสามารถได้บทเรียนอะไรจากตัวอย่างดังกล่าว?
19 เมื่อซามูเอลยังเด็กอยู่ เอลีรับใช้เป็นมหาปุโรหิตในอิสราเอล. แต่ฮฟนีและฟีนะฮาศบุตรชายของเอลีเป็น “คนชั่วช้า, หารู้จักพระยะโฮวาไม่.” มีคนมารายงานให้เอลีทราบเรื่องบุตรของเขา รวมถึงเรื่องที่ว่าทั้งสองทำผิดประเวณีกับหญิงที่รับใช้ ณ ทางเข้าพลับพลาประชุม. เอลีแสดงปฏิกิริยาอย่างไร? เอลีพูดกับบุตรว่าถ้าเขาทำบาปต่อพระยะโฮวา จะไม่มีใครอธิษฐานขอเพื่อเขา. แต่เอลีไม่ได้แก้ไขและตีสอนบุตรทั้งสอง. ผลก็คือ บุตรชายของเอลีดำเนินในแนวทางชั่วของตนต่อไป. ในที่สุด พระยะโฮวาทรงตัดสินอย่างเที่ยงธรรมว่าทั้งสองสมควรถูกลงโทษถึงตาย. เมื่อได้ยินข่าวว่าบุตรทั้งสองตาย เอลีเองก็ล้มตายด้วย. ช่างเป็นผลที่น่าเศร้าจริง ๆ! เห็นได้ชัด การที่เอลียินยอมอย่างไม่เหมาะสมต่อการกระทำชั่ว—ในแง่ที่เขายอมให้บุตรทำต่อไป—เป็นการยินยอมที่ไม่ถูกต้อง.—1 ซามู. 2:12-17, 22-25, 34, 35; 4:17, 18.
1 กษัต. 22:19-23) สมาชิกแต่ละคนในครอบครัวสามารถนำบทเรียนเกี่ยวกับการยินยอมที่ได้จากบันทึกดังกล่าวเอาไปใช้. คริสเตียนที่เป็นสามีและบิดาควรพิจารณาความคิดเห็นและข้อเสนอแนะของภรรยาและบุตร. ในทางกลับกัน ภรรยาและบุตรควรจะเข้าใจว่าถ้าเขาเสนอความคิดเห็นหรือทางเลือกที่ตัวเองชอบ เขาอาจจำเป็นต้องแสดงความนับถือด้วยการยินยอมทำตามคำชี้แนะของสามีหรือบิดาซึ่งมีอำนาจตามหลักพระคัมภีร์ที่จะตัดสินใจ.
20 ขอให้พิจารณาวิธีที่แตกต่างที่พระเจ้าทรงปฏิบัติต่อเหล่าบุตรกายวิญญาณของพระองค์. ผู้พยากรณ์มีคายาได้รับนิมิตอันน่าทึ่งเกี่ยวกับการประชุมของพระยะโฮวากับเหล่าทูตสวรรค์. พระยะโฮวาทรงถามว่ามีทูตสวรรค์องค์ใดไหมที่สามารถหลอกกษัตริย์อาฮาบแห่งอิสราเอลเพื่อล้มกษัตริย์ชั่วผู้นี้. พระยะโฮวาทรงฟังข้อเสนอแนะจากเหล่าบุตรกายวิญญาณหลายองค์. และแล้วก็มีทูตสวรรค์องค์หนึ่งขันอาสาจะจัดการเรื่องนี้. พระยะโฮวาทรงถามทูตสวรรค์องค์นี้ว่าจะทำอย่างไร. เมื่อทรงพอพระทัยกับคำตอบ พระยะโฮวาก็ทรงมอบหมายทูตสวรรค์องค์นี้ให้ไปทำ. (21. จะมีการพิจารณาอะไรในบทความถัดไป?
21 เรารู้สึกหยั่งรู้ค่าจริง ๆ สำหรับข้อเตือนใจอันสุขุมและเปี่ยมด้วยความรักจากพระยะโฮวาที่แนะนำเราให้พร้อมจะยินยอม! (เพลง. 119:99) บทความถัดไปจะพิจารณาว่าการยินยอมอย่างสมดุลช่วยอย่างไรให้มีความยินดีในชีวิตสมรส.
[เชิงอรรถ]
^ วรรค 2 อัครสาวกเปาโลใช้คำในภาษาเดิมที่หาคำแปลเป็นคำใดคำหนึ่งในภาษาไทยได้ยาก. หนังสืออ้างอิงเล่มหนึ่งกล่าวว่า “คำในภาษาเดิมที่แปลไว้ว่าความมีเหตุผลกินความรวมถึงการเต็มใจยอมสละสิทธิ์ คำนึงถึงผู้อื่น และแสดงความอ่อนสุภาพต่อผู้อื่น.” ดังนั้น คำนี้มีความหมายเกี่ยวข้องกับการยินยอมและความมีเหตุผล คือไม่ยืนกรานว่าต้องทำตามตัวบทกฎหมายอย่างเคร่งครัดหรือเรียกร้องให้เป็นไปตามสิทธิ์ของตน.
^ วรรค 13 โปรดดูบทความ ‘ถ้าท่านถูกเกณฑ์ให้ทำงาน’ ในหอสังเกตการณ์ ฉบับ 15 กุมภาพันธ์ 2005 หน้า 23-26.
คุณจะตอบอย่างไร?
• การยินยอมสามารถก่อให้เกิดผลที่ดีอะไร?
• ผู้ดูแลจะแสดงน้ำใจยินยอมได้อย่างไร?
• เหตุใดน้ำใจยินยอมจึงสำคัญในชีวิตครอบครัว?
[คำถาม]
[ภาพหน้า 4]
ผู้ปกครองเลียนแบบวิธีที่พระคริสต์ปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างกรุณา
[ภาพหน้า 6]
เมื่อผู้ปกครองในประชาคมประชุมกัน การใคร่ครวญพร้อมด้วยการอธิษฐานและน้ำใจพร้อมจะยินยอมส่งเสริมให้มีเอกภาพ