การสมรสและการเป็นบิดามารดาในสมัยสุดท้ายนี้
การสมรสและการเป็นบิดามารดาในสมัยสุดท้ายนี้
“เวลาเหลือน้อยแล้ว.”—1 โค. 7:29.
1. (ก) มีการเปลี่ยนแปลงอะไรบ้างในปัจจุบันซึ่งรวมอยู่ในสิ่งต่าง ๆ ที่ “ยากจะรับมือได้”? (ข) เหตุใดเราควรสนใจในเรื่องค่านิยมเกี่ยวกับครอบครัวที่เปลี่ยนไป?
พระคำของพระเจ้าบอกล่วงหน้าว่าใน “เวลาเบื้องปลาย” จะเกิดเหตุการณ์เด่น ๆ คือ สงคราม, แผ่นดินไหว, การกันดารอาหาร, และโรคระบาด. (ดานิ. 8:17, 19; ลูกา 21:10, 11) คัมภีร์ไบเบิลยังเตือนด้วยว่าช่วงเวลาสำคัญนี้ในประวัติศาสตร์ของมนุษย์จะเป็นช่วงที่มีการเปลี่ยนแปลงทางสังคมอย่างมาก. จะเกิดความปั่นป่วนในชีวิตครอบครัว นอกเหนือจากสิ่งอื่น ๆ ที่ “ยากจะรับมือได้” ใน “สมัยสุดท้าย” อันวิกฤตินี้. (2 ติโม. 3:1-4) เหตุใดเราควรสนใจการเปลี่ยนแปลงเช่นนั้น? เพราะการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวมีขอบเขตกว้างขวางและรุนแรงมากจนสามารถส่งผลกระทบต่อทัศนะที่คริสเตียนมีต่อการสมรสและการเป็นบิดามารดา. เป็นเช่นนั้นอย่างไร?
2. ผู้คนทั่วไปในโลกมีทัศนะอย่างไรต่อการสมรสและการหย่าร้าง?
2 ในสมัยนี้ การหย่าร้างกลายเป็นเรื่องที่ทำกันง่ายดาย
และแพร่หลาย และอัตราการหย่าร้างในหลายประเทศกำลังเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว. อย่างไรก็ตาม เราควรคำนึงเสมอว่าพระยะโฮวาพระเจ้าทรงมีทัศนะที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิงในเรื่องการสมรสและการหย่าร้างเมื่อเทียบกับทัศนะที่ได้รับการยอมรับโดยทั่วไปในโลกรอบตัวเรา. ถ้าอย่างนั้น พระยะโฮวาทรงมีทัศนะเช่นไร?3. พระยะโฮวาและพระเยซูคริสต์ทรงมีทัศนะอย่างไรต่อการสมรส?
3 พระยะโฮวาเจ้าทรงคาดหมายให้คนที่สมรสแล้วรักษาคำปฏิญาณการสมรส. เมื่อพระยะโฮวาทรงผูกสัมพันธ์ชายหญิงคู่แรกด้วยสายสมรส พระองค์ตรัสว่า “ผู้ชายจึงจะ . . . ผูกพันอยู่กับภรรยา และเขาทั้งสองจะเป็นเนื้อหนังอันเดียวกัน.” ในภายหลัง พระเยซูคริสต์ตรัสซ้ำพระดำรัสดังกล่าวและตรัสเสริมว่า “ฉะนั้น ที่พระเจ้าทรงผูกมัดไว้ด้วยกันแล้วนั้นอย่าให้มนุษย์ทำให้แยกจากกันเลย.” พระเยซูตรัสต่อไปอีกว่า “ผู้ใดที่หย่าภรรยาแล้วแต่งงานใหม่ก็เป็นคนเล่นชู้ เว้นแต่หย่าเพราะเหตุที่นางผิดประเวณี.” (เย. 2:24; มัด. 19:3-6, 9) ดังนั้น พระยะโฮวาและพระเยซูทรงถือว่าการสมรสเป็นพันธะชั่วชีวิตซึ่งจะสิ้นสุดลงก็ต่อเมื่อคู่สมรสเสียชีวิต. (1 โค. 7:39) เนื่องจากการสมรสเป็นการจัดเตรียมอันศักดิ์สิทธิ์ จึงควรถือว่าการหย่าร้างเป็นเรื่องร้ายแรง. ที่จริง พระคำของพระเจ้ากล่าวว่าพระยะโฮวาทรงเกลียดชังการหย่าร้างที่ไม่ถูกต้องตามหลักการในพระคัมภีร์. *—อ่านมาลาคี 2:13-16; 3:6.
รับผิดชอบต่อสายสมรส
4. เหตุใดหนุ่มสาวคริสเตียนบางคนสำนึกเสียใจที่รีบแต่งงาน?
4 โลกชั่วที่เรามีชีวิตอยู่นี้ถูกครอบงำด้วยเรื่องเพศ. ทุกวัน เราพบเห็นภาพยั่วยวนกามารมณ์มากมายที่มุ่งเข้ามาหาเรา. เราไม่อาจเพิกเฉยผลกระทบที่สิ่งเหล่านั้นมีต่อเราได้เลย โดยเฉพาะต่อเยาวชนที่เรารักในประชาคม. คริสเตียนหนุ่มสาวควรมีปฏิกิริยาอย่างไรต่ออิทธิพลที่ไม่ดีงามนี้ซึ่งอาจปลุกเร้าความปรารถนาทางเพศได้แม้ว่าเขาพยายามต่อต้านความปรารถนาแบบนั้นแล้วก็ตาม? บางคนได้พยายามแก้ปัญหาด้วยการแต่งงานตั้งแต่อายุยังน้อย ๆ. ด้วยวิธีนั้น พวกเขาหวังว่าจะช่วยให้ไม่พลาดพลั้งทำผิดศีลธรรมทางเพศ. แต่ไม่นานนัก บางคนสำนึกเสียใจที่ตัดสินใจอย่างนั้น. เพราะเหตุใด? เพราะเมื่อความตื่นเต้นจากการแต่งงานจางหายไปแล้ว พวกเขาตระหนักว่าตัวเขากับคู่ของตนมีความแตกต่างกันมากในเรื่องการใช้ชีวิตแต่ละวัน. จึงเป็นเรื่องเข้าใจได้เมื่อคู่สมรสที่อยู่ในสภาพแบบนั้นประสบปัญหาร้ายแรง.
5. อะไรจะช่วยคู่สมรสให้รักษาคำปฏิญาณการสมรส? (โปรดดูเชิงอรรถด้วย.)
5 การแต่งงานกับคนที่มีลักษณะต่างจากที่คุณคาดหมายไว้มาก—แม้แต่กับเพื่อนคริสเตียน—อาจทำให้เกิดปัญหายุ่งยากได้อย่างแน่นอน. (1 โค. 7:28) แต่ไม่ว่าอาจมีปัญหามากขนาดไหนก็ตาม คริสเตียนแท้รู้ว่าการหย่าที่ไม่ถูกต้องตามหลักพระคัมภีร์ไม่ใช่แนวทางที่ยอมรับได้ในการแก้ปัญหาที่เกิดจากการแต่งงานที่เข้ากันไม่ได้. ดังนั้น คนที่พยายามอย่างหนักเพื่อรักษาชีวิตสมรสไว้เพราะต้องการรักษาคำปฏิญาณการสมรสสมควรได้รับการช่วยเหลือด้วยความรักและนับถือจากประชาคมคริสเตียน. *
6. หนุ่มสาวคริสเตียนควรมีทัศนะอย่างไรเมื่อนึกถึงการสมรส?
6 คุณอายุยังน้อยและยังไม่ได้แต่งงานไหม? ถ้าอย่างนั้น คุณควรมีทัศนะอย่างไรเมื่อนึกถึงการแต่งงาน? คุณมีโอกาสจะหลีกเลี่ยงสถานการณ์ที่ทำให้ปวดร้าวใจได้มากหากคุณคอยจนกระทั่งตัวคุณเองพร้อมสำหรับการแต่งงานทั้งด้านร่างกาย, จิตใจ, และวิญญาณ ก่อนจะเริ่มมีความ * แต่คัมภีร์ไบเบิลชี้ว่าคุณควรคอยจนกระทั่งเลยช่วงเวลาในชีวิตที่มีความรู้สึกทางเพศแรงกล้ามาก. (1 โค. 7:36) เพราะเหตุใด? เพราะแรงกระตุ้นทางเพศที่แรงกล้าอาจทำให้วิจารณญาณเสียไป และทำให้คุณตัดสินใจอย่างไม่สุขุมซึ่งอาจยังผลเป็นความปวดร้าวใจในภายหลัง. จำไว้ว่า คำแนะนำอันสุขุมของพระยะโฮวาในเรื่องการสมรสมีบันทึกไว้ในคัมภีร์ไบเบิลเพื่อประโยชน์และความสุขของคุณ.—อ่านยะซายา 48:17, 18.
สัมพันธ์ใกล้ชิดกับเพศตรงข้ามที่เป็นคริสเตียนด้วยกัน. จริงอยู่ที่พระคัมภีร์ไม่ได้กำหนดว่าต้องอายุเท่าไรจึงจะสมรสได้.การเป็นบิดามารดาที่รับผิดชอบ
7. คู่สมรสที่อายุยังน้อยบางคู่ตกอยู่ในสถานการณ์แบบไหน และเหตุใดนั่นทำให้ชีวิตสมรสตึงเครียดได้?
7 บางคู่ที่แต่งงานเมื่ออายุยังน้อยพบว่าเขากำลังจะกลายเป็นพ่อคนแม่คนตอนที่เขาเองยังไม่พ้นวัยรุ่นดี. พวกเขาไม่ทันได้รู้จักกันดีจริง ๆ ก่อนที่ลูกจะเกิดมา แล้วต้องมาดูแลเอาใจใส่ลูกตลอด 24 ชั่วโมง. เมื่อทารกที่เพิ่งคลอดกลายเป็นจุดรวมความสนใจของมารดา ซึ่งก็เป็นเรื่องธรรมดาที่จะเป็นอย่างนั้น สามีที่อายุยังน้อยอาจรู้สึกอิจฉา. นอกจากนั้น การที่พ่อแม่แทบไม่ได้หลับไม่ได้นอนเพราะต้องดูแลลูกน้อยก็อาจทำให้เกิดความเครียดที่ทำให้สายสัมพันธ์ของทั้งสองตึงเครียด. ทั้งสองตระหนักขึ้นมาในทันใดว่าเขาสูญเสียอิสรภาพไปมากทีเดียว. ตอนนี้เขาไม่สามารถไปไหนมาไหนและทำสิ่งต่าง ๆ อย่างเป็นอิสระเหมือนแต่ก่อน. เขาควรมองสถานการณ์ที่เปลี่ยนไปอย่างไร?
8. คู่สมรสควรมีทัศนะอย่างไรต่อการเป็นบิดามารดา และเพราะเหตุใด?
8 เช่นเดียวกับที่ควรสมรสอย่างที่สำนึกถึงความรับผิดชอบ ควรถือว่าการเป็นบิดามารดาเป็นหน้าที่รับผิดชอบและสิทธิพิเศษที่พระเจ้าประทานให้. ไม่ว่าการเกิดมาของทารกอาจทำให้ต้องปรับเปลี่ยนอะไรบ้างก็ตามในชีวิตของคู่สมรสคริสเตียน เขาควรพร้อมจะทำอย่างเต็มที่ในวิธีที่แสดงถึงความรับผิดชอบ. เนื่องจากพระยะโฮวาประทานความสามารถให้มนุษย์มีบุตรได้ บิดามารดาต้องถือว่าทารกที่เพิ่งคลอดเป็น “มรดกจากพระยะโฮวา.” (เพลง. 127:3) บิดามารดาคริสเตียนจะพยายามทำหน้าที่ของตนในฐานะ “บิดามารดาอย่างที่ประสานกับพระประสงค์ของพระเจ้า.”—เอเฟ. 6:1.
9. (ก) การเลี้ยงดูบุตรหมายรวมถึงอะไรบ้าง? (ข) สามีอาจทำอะไรได้บ้างเพื่อช่วยภรรยาให้แข็งแรงฝ่ายวิญญาณ?
9 การเลี้ยงลูกหมายรวมถึงการเสียสละตัวเองหลายปี. การเลี้ยงลูกต้องทุ่มเทให้ทั้งเวลาและแรงกาย. สามีคริสเตียนต้องเข้าใจว่าจะเป็นเวลาหลายปีทีเดียวหลังจากทารกคลอดมาซึ่งภรรยาคงไม่มีสมาธิจดจ่อกับการประชุมมากนัก และเธออาจมีโอกาสน้อยลงในการศึกษาพระคัมภีร์เป็นส่วนตัวและการคิดรำพึง. นี่อาจส่งผลทำให้สุขภาพฝ่ายวิญญาณของเธออ่อนแอลง. เพื่อจะเป็นบิดาที่รับผิดชอบ สามีต้องทำทุกสิ่งที่เขาสามารถทำได้อย่างสมเหตุผลเพื่อช่วยภรรยาเลี้ยงลูก. เขาอาจพยายามชดเชยสิ่งที่ภรรยาฟิลิปปอย 2:3, 4.
อาจพลาดไป ณ การประชุม โดยพิจารณากับเธอบางจุดจากระเบียบวาระการประชุมในภายหลังที่บ้าน. เขาอาจช่วยเลี้ยงลูกด้วยเพื่อให้ภรรยามีโอกาสจะเข้าร่วมกับพี่น้องในงานประกาศเรื่องราชอาณาจักรได้มากพอ.—อ่าน10, 11. (ก) บุตรจะได้รับการ “ปลูกฝังแนวคิด” ของพระยะโฮวาได้อย่างไร? (ข) เหตุใดบิดามารดาคริสเตียนหลายคนสมควรได้รับคำชมเชย?
10 การเป็นบิดามารดาที่รับผิดชอบต้องทำไม่เพียงแค่จัดหาอาหาร, เสื้อผ้า, ที่อยู่อาศัยให้บุตร, และเอาใจใส่สุขภาพของเขาเท่านั้น. โดยเฉพาะในช่วงอวสานที่เต็มไปด้วยอันตรายอย่างนี้ เยาวชนจำต้องเรียนรู้หลักการด้านศีลธรรมในการดำเนินชีวิตตั้งแต่อายุยังน้อย. บุตรควรได้รับการเลี้ยงดู “ด้วยการตีสอนจากพระยะโฮวาและปลูกฝังแนวคิดของพระองค์ให้เขา.” (เอเฟ. 6:4) การ “ปลูกฝังแนวคิด” แบบนี้หมายรวมถึงการปลูกฝังแนวคิดของพระยะโฮวาลงในจิตใจของบุตรตั้งแต่ยังเป็นทารกแบเบาะจนกระทั่งเขาเป็นวัยรุ่นซึ่งเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ.—2 ติโม. 3:14, 15.
11 เมื่อพระเยซูทรงบอกเหล่าสาวกว่าพวกเขาควร “สอนคนจากทุกชาติให้เป็นสาวก” เป็นเรื่องแน่นอนที่สุดว่าพระองค์ทรงหมายความว่าบิดามารดาควรช่วยบุตรให้เป็นสาวก. (มัด. 28:19, 20) นั่นไม่ใช่เรื่องง่ายเลยเมื่อนึกถึงว่าเยาวชนถูกกดดันจากโลกมากขนาดไหน. ด้วยเหตุนั้น บิดามารดาที่ประสบความสำเร็จในการเลี้ยงดูบุตรให้เป็นคริสเตียนที่อุทิศตัวจึงสมควรอย่างแท้จริงจะได้รับคำชมเชยอย่างอบอุ่นจากทุกคนในประชาคม. พวกเขาได้ ‘เอาชนะ’ อิทธิพลของโลกด้วยความเชื่อและความซื่อสัตย์ของเขาในฐานะบิดามารดาที่รับผิดชอบ.—1 โย. 5:4.
เป็นโสดหรือไม่มีบุตรโดยมีเป้าหมายที่ดีงาม
12. เหตุใดคริสเตียนบางคนตัดสินใจครองตัวเป็นโสดชั่วระยะหนึ่ง?
12 เนื่องจาก “เวลาเหลือน้อยแล้ว” และ “โลกนี้กำลังเปลี่ยนไปเหมือนละครเปลี่ยนฉาก” พระคำของพระเจ้ากระตุ้นเราให้พิจารณาผลประโยชน์ของการเป็นโสด. (1 โค. 7:29-31) ดังนั้น คริสเตียนบางคนเลือกอยู่เป็นโสดตลอดชีวิตหรือตัดสินใจครองตัวเป็นโสดระยะหนึ่งก่อนจะแต่งงาน. เป็นเรื่องน่าชมเชยที่พวกเขาไม่ได้ฉวยประโยชน์จากความเป็นอิสระของการเป็นโสดเพื่อแสวงประโยชน์แบบเห็นแก่ตัว. หลายคนครองตัวเป็นโสดเพื่อจะรับใช้พระยะโฮวา “โดยไม่วอกแวก.” (อ่าน 1 โครินท์ 7:32-35.) คริสเตียนโสดบางคนรับใช้เป็นไพโอเนียร์หรือสมาชิกครอบครัวเบเธล. หลายคนพยายามทำตัวให้เป็นประโยชน์ต่อองค์การของพระยะโฮวามากขึ้นโดยพัฒนาตัวจนมีคุณสมบัติที่จะเข้าอบรมในโรงเรียนฝึกอบรมเพื่อการรับใช้. ที่จริง บ่อยครั้งคนที่เป็นผู้รับใช้เต็มเวลามาระยะหนึ่งในช่วงที่เป็นโสด แล้วในภายหลังจึงตัดสินใจแต่งงาน รู้สึกว่าชีวิตสมรสของพวกเขายังคงได้รับประโยชน์จากบทเรียนอันมีค่าที่ได้เรียนรู้ในช่วงแรกของชีวิต.
13. เหตุใดคู่สมรสคริสเตียนบางคู่จึงตัดสินใจเลือกจะไม่มีบุตร?
13 ในบางส่วนของโลก ยังมีการเปลี่ยนแปลงอีกอย่างหนึ่งเกิดขึ้นกับชีวิตครอบครัว นั่นคือ หลายคู่ได้1 โค. 7:3-5) คู่สมรสเหล่านี้บางคู่รับใช้พระยะโฮวาและรับใช้พี่น้องในงานหมวด และงานภาค หรืองานที่เบเธล. คนอื่น ๆ รับใช้เป็นไพโอเนียร์หรือมิชชันนารี. พระยะโฮวาจะไม่ทรงลืมการงานและความรักที่พวกเขาแสดงต่อพระนามของพระองค์.—ฮีบรู 6:10.
ตัดสินใจจะไม่มีบุตร. บางคนทำอย่างนั้นเพราะเหตุผลด้านการเงิน; คนอื่น ๆ ทำอย่างนั้นเพราะต้องการมีอิสระเพื่อจะสามารถทำงานทำเงินได้เต็มที่. ในท่ามกลางครอบครัวคริสเตียน มีบางคู่ด้วยที่เลือกจะไม่มีบุตร. อย่างไรก็ตาม บ่อยครั้งที่คริสเตียนเลือกอย่างนั้นก็เพื่อจะมีอิสระมากขึ้นในการรับใช้พระยะโฮวา. นี่ไม่ได้หมายความว่าคู่สมรสเหล่านี้ไม่เพลิดเพลินกับชีวิตสมรสแบบปกติเหมือนคนอื่น. พวกเขามีชีวิตสมรสแบบปกติ. ถึงกระนั้น พวกเขายินดีสละพระพรบางอย่างซึ่งเกิดจากชีวิตสมรสเพื่อให้ผลประโยชน์ของราชอาณาจักรมาเป็นอันดับแรก. (“ความยากลำบากในชีวิต”
14, 15. บิดามารดาคริสเตียนอาจประสบ “ความยากลำบากในชีวิต” เช่นไร?
14 อัครสาวกเปาโลบอกคริสเตียนที่แต่งงานว่าเขาจะ “มีความยากลำบากในชีวิต.” (1 โค. 7:28, ฉบับ 2002) นี่อาจหมายรวมถึงปัญหาสุขภาพของคู่สมรส, ของบุตร, หรือของบิดามารดาที่อายุมาก. ความลำบากดังกล่าวอาจรวมถึงปัญหายุ่งยากและความเจ็บปวดใจที่เกี่ยวข้องกับการเลี้ยงดูบุตร. ดังกล่าวไปแล้วตอนต้นบทความนี้ คัมภีร์ไบเบิลบอกล่วงหน้าว่าใน “สมัยสุดท้าย” จะเกิด “วิกฤตกาลซึ่งยากจะรับมือได้.” สิ่งหนึ่งที่ยากจะรับมือได้ก็คือการที่บุตร “ไม่เชื่อฟังพ่อแม่.”—2 ติโม. 3:1-3.
15 การเลี้ยงดูบุตรเป็นเรื่องท้าทายอย่างแท้จริงสำหรับบิดามารดาคริสเตียน. เราไม่ได้รับการปกป้องไว้จากผลกระทบอันเลวร้ายของ “วิกฤตกาล” ในปัจจุบัน. ด้วยเหตุนั้น บิดามารดาคริสเตียนต้องคอยต่อสู้กับอิทธิพลที่ก่อผลเสียหายร้ายแรงจาก “โลกยุคนี้” ที่อาจมีต่อบุตร. (เอเฟ. 2:2, 3) และการต่อสู้นี้ใช่ว่าจะเอาชนะได้เสมอไป! ในกรณีที่บุตรของครอบครัวคริสเตียนเลิกรับใช้พระยะโฮวา นั่นเป็นเรื่องที่ทำให้บิดามารดาที่พยายามเลี้ยงดูบุตรนั้นให้อยู่ในความจริงของพระเจ้า ‘ลำบากใจ’ อย่างแท้จริง.—สุภา. 17:25.
“จะมีความทุกข์ลำบากใหญ่”
16. พระเยซูทรงพยากรณ์เกี่ยวกับ “ความทุกข์ลำบาก” อะไร?
16 อย่างไรก็ตาม ‘ความลำบาก’ ใด ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการแต่งงานและการมีบุตรจะกลายเป็นเรื่องเล็กน้อยเมื่อความทุกข์ลำบากอีกอย่างหนึ่งมาถึงซึ่งใหญ่กว่ามาก. ในคำพยากรณ์เกี่ยวกับการประทับของพระองค์และช่วงสุดท้ายของยุค พระเยซูทรงบอกว่า “จะมีความทุกข์ลำบากใหญ่อย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นเลยตั้งแต่เริ่มมีมนุษย์โลกจนบัดนี้ และจะไม่เกิดขึ้นอีกเลย.” (มัด. 24:3, 21) พระเยซูทรงเปิดเผยในเวลาต่อมาว่าชนฝูงใหญ่จะรอดชีวิตผ่าน “ความทุกข์ลำบากใหญ่” นี้. แต่ฝ่ายของซาตานจะไม่ยอมแพ้ง่าย ๆ และจะโจมตีเหล่าพยานผู้รักสันติของพระยะโฮวาเป็นครั้งสุดท้ายอย่างสุดกำลัง. ไม่ต้องสงสัย นั่นคงต้องเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากสำหรับเราทุกคน—ทั้งผู้ใหญ่และเด็ก.
17. (ก) เหตุใดเราสามารถเผชิญอนาคตด้วยความมั่นใจ? (ข) อะไรควรส่งผลต่อทัศนะของเราในเรื่องการสมรสและการเป็นบิดามารดา?
17 อย่างไรก็ตาม เราไม่ควรกลัวอนาคตจนเกินเหตุ. บิดามารดาที่ซื่อสัตย์ต่อพระยะโฮวาสามารถหวังได้ว่าจะได้รับการปกป้องพร้อมกับบุตรที่ยังเป็นผู้เยาว์. (อ่านยะซายา 26:20, 21; ซฟัน. 2:2, 3; 1 โค. 7:14) แต่สำหรับตอนนี้ ขอให้การตระหนักว่าเรามีชีวิตอยู่ในสมัยวิกฤติกระตุ้นเราให้คิดอย่างรอบคอบเกี่ยวกับการแต่งงานและการมีบุตรในเวลาอวสานนี้. (2 เป. 3:10-13) โดยวิธีนั้น ชีวิตเรา—ไม่ว่าจะเป็นคนโสดหรือสมรสแล้ว มีหรือไม่มีบุตร—จะนำพระเกียรติและคำสรรเสริญมาสู่พระยะโฮวาและประชาคมคริสเตียน.
[เชิงอรรถ]
^ วรรค 3 โปรดดูหนังสือจงดำเนินชีวิตโดยคำนึงถึงวันของพระยะโฮวา (ภาษาอังกฤษ) ในหัวเรื่องรอง “พระองค์ทรงเกลียดชังการหย่าร้าง” ในหน้า 125.
^ วรรค 5 การทบทวนบทความต่าง ๆ เรื่องการสมรสที่พบในหอสังเกตการณ์ ฉบับ 15 กันยายน 2003 และตื่นเถิด! ฉบับ 8 มกราคม 2001 จะช่วยเสริมความเข้มแข็งแก่คนที่กำลังรับมือกับปัญหาในชีวิตสมรส.
^ วรรค 6 โปรดดูบท 30 “ฉันพร้อมจะสมรสไหม?” ในหนังสือคำถามที่หนุ่มสาวถาม—คำตอบที่ได้ผล.
เพื่อทบทวน
• เหตุใดคริสเตียนที่อายุยังน้อยไม่ควรรีบแต่งงาน?
• การเลี้ยงดูบุตรเกี่ยวข้องกับอะไรบ้าง?
• เหตุใดคริสเตียนหลายคนจึงอยู่เป็นโสด หรือหากแต่งงานแล้วก็เลือกจะไม่มีบุตร?
• บิดามารดาคริสเตียนอาจประสบ ‘ความลำบาก’ เช่นไร?
[คำถาม]
[ภาพหน้า 17]
เหตุใดจึงนับว่าสุขุมที่คริสเตียนซึ่งอายุยังน้อยไม่รีบแต่งงาน?
[ภาพหน้า 18]
สามีสามารถช่วยภรรยาได้มากเพื่อให้เธอมีโอกาสทำกิจกรรมฝ่ายวิญญาณได้มากพอ
[ภาพหน้า 19]
เหตุใดคู่สมรสคริสเตียนบางคู่จึงตัดสินใจจะไม่มีบุตร?