“จงมาเป็นผู้ติดตามเราเถิด”
“จงมาเป็นผู้ติดตามเราเถิด”
“ถ้าผู้ใดต้องการติดตามเรา ให้เขาปฏิเสธตัวเองและแบกเสาทรมานของตนวันแล้ววันเล่าแล้วตามเราเรื่อยไป.”—ลูกา 9:23.
1, 2. (ก) พระเยซูทรงเชิญด้วยถ้อยคำที่กรุณาให้ทำอะไร? (ข) คุณตอบรับคำเชิญของพระเยซูอย่างไร?
เมื่อใกล้จะสิ้นสุดงานรับใช้ของพระองค์ พระเยซูประกาศในแคว้นพีเรีย ซึ่งอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของยูเดีย ฝั่งตรงข้ามแม่น้ำจอร์แดน. มีชายหนุ่มคนหนึ่งเข้ามาหาและถามพระองค์ว่าเขาต้องทำอะไรเพื่อจะได้ชีวิตนิรันดร์. เมื่อทรงตระหนักว่าชายหนุ่มผู้นี้ปฏิบัติตามพระบัญญัติของโมเซอย่างเคร่งครัด พระเยซูทรงเชิญเขาด้วยคำเชิญที่โดดเด่น. พระองค์ตรัสว่า “จงไปขายสิ่งต่าง ๆ ที่เจ้ามีและเอาเงินแจกให้คนจนแล้วเจ้าจะมีทรัพย์สมบัติในสวรรค์ แล้วจงมาเป็นผู้ติดตามเราเถิด.” (มโก. 10:21) คิดดูสิว่าเขาได้รับเชิญให้ติดตามพระเยซู พระบุตรของพระเจ้าองค์สูงสุด!
2 ชายหนุ่มผู้นี้ปฏิเสธคำเชิญ แต่คนอื่น ๆ ตอบรับ. ก่อนหน้านั้น พระเยซูได้ตรัสกับฟิลิปว่า “จงมาเป็นผู้ติดตามเราเถิด.” (โย. 1:43) ฟิลิปตอบรับคำเชิญและในเวลาต่อมาได้เป็นอัครสาวก. พระเยซูทรงเชิญมัดธายให้ทำอย่างเดียวกัน และเขาก็ตอบรับคำเชิญด้วย. (มัด. 9:9; 10:2-4) ที่จริง พระเยซูทรงเชิญทุกคนที่รักความชอบธรรมด้วยคำเชิญเดียวกันเมื่อพระองค์ตรัสว่า “ถ้าผู้ใดต้องการติดตามเรา ให้เขาปฏิเสธตัวเองและแบกเสาทรมานของตนวันแล้ววันเล่าแล้วตามเราเรื่อยไป.” (ลูกา 9:23) ดังนั้น ไม่ว่าใครก็สามารถเป็นผู้ติดตามพระเยซูได้ถ้าเขาต้องการจริง ๆ. คุณมีความปรารถนาอย่างนั้นไหม? พวกเราส่วนใหญ่ตอบรับคำเชิญที่กรุณาของพระเยซูแล้ว และในงานประกาศเราเชิญคนอื่น ๆ ให้ทำอย่างเดียวกัน.
3. เราจะหลีกเลี่ยงการลอยห่างจากการติดตามพระเยซูได้โดยวิธีใด?
3 แต่น่าเสียดาย บางคนที่เคยแสดงความสนใจความจริงในคัมภีร์ไบเบิลไม่ได้รักษาความสนใจอย่างต่อเนื่อง. แทนที่จะทำอย่างนั้น พวกเขาเฉื่อยช้าลงไปและในที่สุดก็ “ลอยห่าง” จากการติดตามพระเยซู. (ฮีบรู 2:1) เราจะหลีกเลี่ยงการตกหลุมพรางเช่นนั้นได้โดยวิธีใด? นับว่าดีที่จะถามตัวเองว่า ‘เหตุผลที่แท้จริงที่ฉันเลือกติดตามพระเยซูคืออะไร? การติดตามพระองค์หมายถึงอะไร?’ การจำคำตอบของคำถามเหล่านี้ไว้จะช่วยเราให้เสริมความตั้งใจที่จะยึดมั่นกับแนวทางที่ดีที่เราได้เลือกแล้ว. และการทำอย่างนั้นยังจะช่วยเราให้สนับสนุนคนอื่น ๆ ให้ติดตามพระเยซูด้วย.
ทำไมจึงติดตามพระเยซู?
4, 5. เหตุใดพระเยซูจึงมีคุณสมบัติจะเป็นผู้นำ?
4 ผู้พยากรณ์ยิระมะยากล่าวว่า “โอ้พระยะโฮวา, ข้าพเจ้ารู้อยู่ว่าทางที่มนุษย์จะไปนั้นไม่ได้อยู่ในตัวของตัว, ไม่ใช่ที่มนุษย์ซึ่งดำเนินนั้นจะได้กำหนดก้าวของตัวได้.” (ยิระ. 10:23) ประวัติศาสตร์ยืนยันว่าคำกล่าวของยิระมะยาเป็นความจริง. มีหลักฐานเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ว่ามนุษย์ไม่สมบูรณ์ไม่สามารถปกครองตนเองอย่างประสบผลสำเร็จ. เราตอบรับคำเชิญให้ติดตามพระเยซูเพราะเราได้มารู้ว่าพระองค์ทรงมีคุณสมบัติที่จะเป็นผู้นำของเราแบบที่ไม่มีมนุษย์คนใดจะทำได้. ขอให้พิจารณาคุณสมบัติบางประการของพระองค์.
5 ประการแรก พระเยซูทรงถูกเลือกให้เป็นพระมาซีฮา ผู้นำองค์ยิ่งใหญ่ โดยพระยะโฮวาเอง. ใครจะรู้ดีกว่าพระผู้สร้างของเราว่าใครควรถูกแต่งตั้งเพื่อเป็นผู้นำของเรา? ประการที่สอง พระเยซูทรงมีคุณสมบัติที่เราสามารถชื่นชมและเลียนแบบ. (อ่านยะซายา 11:2, 3.) พระองค์ทรงเป็นตัวอย่างที่สมบูรณ์พร้อม. (1 เป. 2:21) ประการที่สาม พระเยซูทรงห่วงใยคนที่ติดตามพระองค์อย่างยิ่ง ดังที่ทรงแสดงให้เห็นเมื่อพระองค์สละพระชนม์ชีพเพื่อพวกเขา. (อ่านโยฮัน 10:14, 15.) และพระองค์ทรงแสดงให้เห็นว่าทรงเป็นผู้บำรุงเลี้ยงที่ห่วงใยขณะที่พระองค์ทรงนำพวกเราให้มีชีวิตที่มีความสุขในขณะนี้และทำให้เรามีอนาคตถาวรและรุ่งโรจน์. (โย. 10:10, 11; วิ. 7:16, 17) ด้วยเหตุผล เหล่านี้และเหตุผลอื่น ๆ ด้วย จึงถือได้ว่าเราตัดสินใจอย่างฉลาดสุขุมเมื่อเราเลือกติดตามพระองค์. แต่การติดตามพระเยซูเกี่ยวข้องกับอะไร?
6. การติดตามพระเยซูเกี่ยวข้องกับอะไร?
6 การเป็นผู้ติดตามพระคริสต์ไม่ได้หมายถึงแค่เรียกตัวเราเองว่าคริสเตียน. ปัจจุบัน มีคนประมาณสองพันล้านคนที่อ้างว่าเป็นคริสเตียน แต่การกระทำของพวกเขาเผยว่าพวกเขาเป็น “ผู้ทำการชั่ว.” (อ่านมัดธาย 7:21-23.) เมื่อมีคนแสดงความสนใจคำเชิญที่ให้ติดตามพระเยซู เราอธิบายให้เขาเข้าใจว่าคริสเตียนแท้ปรับวิถีชีวิตทั้งสิ้นให้สอดคล้องกับคำสอนและตัวอย่างของพระองค์—และพวกเขาทำอย่างนั้นในการดำเนินชีวิตทุก ๆ วัน. เพื่อให้เห็นชัดเจนว่านี่หมายถึงอะไร ขอให้พิจารณาบางสิ่งที่เรารู้เกี่ยวกับพระเยซู.
จงเลียนแบบอย่างของพระเยซูในเรื่องสติปัญญา
7, 8. (ก) สติปัญญาคืออะไร และเหตุใดพระเยซูทรงมีสติปัญญาอย่างเหลือล้น? (ข) พระเยซูทรงแสดงให้เห็นสติปัญญาอย่างไร และเราจะเลียนแบบพระองค์ได้อย่างไร?
7 พระเยซูทรงแสดงคุณลักษณะที่โดดเด่นหลายประการ แต่เราจะพิจารณาสี่ประการ: สติปัญญา, ความถ่อมพระทัย, ความมีใจแรงกล้า, และความรัก. ก่อนอื่น ให้เราพิจารณาสติปัญญาของพระองค์ ซึ่งก็คือความสามารถของพระองค์ในการนำเอาความรู้และความเข้าใจมาใช้ในทางปฏิบัติ. อัครสาวกเปาโลเขียนว่า “คลังสติปัญญาและความรู้อันล้ำค่าทั้งสิ้นถูกปิดซ่อนไว้อย่างมิดชิดใน [พระเยซู].” (โกโล. 2:3) พระเยซูทรงได้สติปัญญาเช่นนั้นมาจากไหน? พระองค์ตรัสเองว่า “เราพูดตามที่พระบิดาทรงสอนเรา.” (โย. 8:28) สติปัญญาของพระองค์ได้มาจากพระยะโฮวา เราจึงไม่แปลกใจที่เห็นว่าพระเยซูทรงมีวิจารณญาณที่ดีเยี่ยม.
8 ตัวอย่างเช่น พระเยซูทรงใช้วิจารณญาณที่ดีในการเลือกแนวทางชีวิต. พระองค์ตัดสินใจเลือกใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย เน้นเพียงแค่สิ่งเดียว คือการทำตามพระทัยประสงค์ของพระเจ้า. ด้วยความฉลาดสุขุม พระองค์ทรงทุ่มเทเวลาและกำลังเพื่อส่งเสริมผลประโยชน์ของราชอาณาจักร. เราทำตามตัวอย่างของพระเยซูโดยพยายาม “มองที่สิ่งเดียว” เสมอ และโดยวิธีนั้นจึงหลีกเลี่ยงการสร้างภาระให้กับตัวเราเองด้วยสิ่งต่าง ๆ ที่ไม่จำเป็นซึ่งทำให้สิ้นเปลืองกำลังและเวลา. (มัด. 6:22) คริสเตียนหลายคนได้ปรับรูปแบบชีวิตของตนให้เรียบง่ายเพื่อจะสามารถทุ่มเทเวลามากขึ้นในงานรับใช้. บางคนสามารถเป็นไพโอเนียร์ได้. ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่ทำอย่างนั้น นั่นเป็นเรื่องน่าชมเชยอย่างยิ่ง. ‘การแสวงหาราชอาณาจักรก่อน’ ทำให้มีความสุขและความอิ่มใจอย่างมากมาย.—มัด. 6:33.
จงถ่อมเหมือนกับพระเยซู
9, 10. พระเยซูทรงแสดงความถ่อมพระทัยอย่างไร?
9 แง่มุมที่สองของบุคลิกภาพของพระเยซูที่เราจะพิจารณาคือความถ่อมพระทัยของพระองค์. เมื่อมนุษย์ไม่สมบูรณ์ได้รับอำนาจ พวกเขาก็มักจะคิดว่าตัวเองเป็นคนสำคัญ. ช่างต่างกันสักเพียงไรกับพระเยซู! แม้ว่าทรงมีตำแหน่งสำคัญยิ่งในการทำให้พระประสงค์ของพระยะโฮวาสำเร็จ ไม่มีอะไรแม้แต่น้อยที่แสดงว่าพระเยซูทรงหยิ่งยโส. และเราได้รับการสนับสนุนให้เลียนแบบพระองค์ในแง่นี้. อัครสาวกเปาโลเขียนว่า “ท่านทั้งหลายจงรักษาทัศนคติอย่างนี้ไว้ ซึ่งพระคริสต์เยซูก็มีทัศนคติอย่างนี้ด้วย แม้ว่าพระองค์ทรงมีสภาพอย่างพระเจ้า แต่พระองค์ก็ไม่เคยคิดจะชิงอำนาจเพื่อจะมีฐานะเท่าเทียมกับพระเจ้า แต่พระองค์ทรงสละพระองค์เองแล้วรับสภาพทาสและมาเกิดเป็นมนุษย์.” (ฟิลิป. 2:5-7) นั่นเกี่ยวข้องกับอะไรบ้าง?
10 พระเยซูทรงมีสิทธิพิเศษอันยอดเยี่ยมที่ได้อยู่ในสวรรค์ร่วมกับพระบิดา แต่พระองค์ทรงเต็มพระทัย “สละลูกา 2:51, 52) พระองค์ทรงถ่อมพระทัยเป็นพิเศษจริง ๆ!
พระองค์เอง.” ชีวิตของพระองค์ถูกโยกย้ายมาอยู่ในครรภ์หญิงพรหมจารีชาวยิว วัฒนาเติบโตขึ้นในนั้นนานเก้าเดือนจนกระทั่งประสูติเป็นทารกที่ช่วยตัวเองไม่ได้ในครอบครัวของช่างไม้ผู้ต่ำต้อย. ในบ้านของโยเซฟ พระเยซูทรงค่อย ๆ เติบโตขึ้นจนเป็นเด็กน้อยที่หัดเดิน, เป็นเด็กเล็ก, แล้วก็เป็นวัยรุ่น. พระองค์ทรงปราศจากบาป. ถึงกระนั้น ตลอดช่วงที่เป็นเยาวชนพระองค์ทรงยอมรับอำนาจของบิดามารดาที่เป็นมนุษย์ผิดบาป. (11. เราจะเลียนแบบความถ่อมพระทัยของพระเยซูได้โดยวิธีใดบ้าง?
11 เราเลียนแบบความถ่อมพระทัยของพระเยซูเมื่อเราเต็มใจรับงานมอบหมายที่อาจดูเหมือนเป็นงานต่ำต้อย. ตัวอย่างเช่น ขอให้พิจารณางานมอบหมายให้ประกาศข่าวดี. งานนี้อาจดูเหมือนเป็นงานต่ำต้อย โดยเฉพาะเมื่อผู้คนแสดงปฏิกิริยาไม่แยแส, เยาะเย้ย, หรือไม่เป็นมิตร. อย่างไรก็ตาม ด้วยการยืนหยัดทำงานประกาศต่อ ๆ ไป เราช่วยคนอื่น ๆ ให้ตอบรับคำเชิญของพระเยซูที่ให้ติดตามพระองค์. โดยวิธีนี้เราช่วยชีวิตหลายคน. (อ่าน 2 ติโมเธียว 4:1-5.) อีกตัวอย่างหนึ่งก็คือการบำรุงรักษาหอประชุมราชอาณาจักรของเรา. งานนี้อาจเกี่ยวข้องกับการทำหลายอย่าง เช่น การทิ้งขยะ, การถูพื้น, และการทำความสะอาดห้องน้ำ ซึ่งล้วนเป็นงานที่ดูเหมือนต่ำต้อย! ถึงกระนั้น เราตระหนักว่าการบำรุงรักษาหอประชุมราชอาณาจักร—ศูนย์กลางการนมัสการบริสุทธิ์ในท้องถิ่น—เป็นส่วนหนึ่งในการรับใช้อันศักดิ์สิทธิ์ของเรา. โดยเต็มใจทำงานที่ดูเหมือนต่ำต้อย เราแสดงความถ่อมใจและติดตามรอยพระบาทของพระคริสต์ในแง่นี้.
จงมีใจแรงกล้าเช่นเดียวกับพระเยซู
12, 13. (ก) พระเยซูทรงแสดงความมีใจแรงกล้าอย่างไร และอะไรกระตุ้นพระองค์? (ข) อะไรจะกระตุ้นเราให้มีใจแรงกล้าในงานรับใช้?
12 ขอพิจารณาความมีใจแรงกล้าของพระเยซูในงานรับใช้. พระเยซูทรงทำหลายสิ่งเมื่อพระองค์ทรงอยู่บนแผ่นดินโลก. ในช่วงแรก ๆ ของชีวิต พระองค์คงทำงานกับโยเซฟบิดาเลี้ยงผู้เป็นช่างไม้. ระหว่างที่ทำงานรับใช้ พระเยซูทรงทำการอัศจรรย์หลายอย่าง รวมถึงการรักษาคนเจ็บป่วยและการปลุกคนให้เป็นขึ้นจากตาย. แต่งานหลักของพระองค์คือการประกาศข่าวดีและการสอนคนที่พร้อมจะฟัง. (มัด. 4:23) ในฐานะผู้ติดตามพระองค์ เรามีงานอย่างเดียวกันที่ต้องทำ. เราจะทำตามแบบอย่างของพระองค์ได้อย่างไร? สิ่งหนึ่งที่เราทำได้คือการสร้างแรงกระตุ้นเช่นเดียวกับพระเยซู.
13 ยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด ความรักที่พระเยซูมีต่อพระเจ้ากระตุ้นพระองค์ให้ประกาศและสอนผู้คน. แต่พระเยซูทรงรักความจริงที่พระองค์สอนด้วย. สำหรับพระองค์แล้ว มัดธาย 13:52.) โดยประกาศด้วยความมีใจแรงกล้าจากใจจริง เราแสดงให้คนอื่นรู้ว่าเรารักสิ่งที่พระยะโฮวาได้สอนเรา.
ความจริงเหล่านั้นเป็นเหมือนทรัพย์อันล้ำค่า และพระองค์ทรงกระตือรือร้นอยากบอกคนอื่น ๆ. พวกเราซึ่งเป็นครูหรือผู้สอนคิดอย่างเดียวกัน. ขอให้นึกถึงความจริงบางประการที่มีค่ายิ่งซึ่งเราได้เรียนรู้จากพระคำของพระเจ้า! เรารู้เรื่องประเด็นเกี่ยวกับสิทธิในการปกครองเอกภพและวิธีที่ประเด็นนี้จะได้รับการจัดการ. เราเข้าใจดีถึงสิ่งที่คัมภีร์ไบเบิลสอนเกี่ยวกับสภาพของคนตายและพระพรที่จะมีในโลกใหม่ของพระเจ้า. ไม่ว่าเราเรียนรู้ความจริงเช่นนั้นเมื่อไม่นานมานี้หรือนานแล้ว ความจริงเหล่านี้ไม่เคยเสื่อมค่าลงไปเลย. ไม่ว่าจะสำหรับคนเก่าหรือคนใหม่ ความจริงเช่นนั้นนับเป็นทรัพย์อันล้ำค่าจริง ๆ. (อ่าน14. เราจะเลียนแบบอย่างการสอนของพระเยซูได้โดยวิธีใด?
14 ขอให้สังเกตวิธีที่พระเยซูทรงสอนด้วย. พระองค์ทรงนำความสนใจของผู้ฟังไปที่พระคัมภีร์เสมอ. บ่อยครั้งที่พระองค์ทรงกล่าวนำจุดสำคัญโดยตรัสว่า “มีคำเขียนไว้ว่า.” (มัด. 4:4; 21:13) ในคำตรัสของพระองค์ตามที่บันทึกไว้ พระองค์ทรงยกข้อความขึ้นมาตรัสโดยตรงหรืออ้างถึงหนังสือต่าง ๆ ในพระคัมภีร์ภาคภาษาฮีบรูมากกว่าครึ่งหนึ่งของทั้งหมด. เช่นเดียวกับพระเยซู ในงานรับใช้เราสอนโดยใช้คัมภีร์ไบเบิลเป็นหลักและพยายามใช้พระคัมภีร์ทุกเมื่อที่เป็นไปได้. โดยวิธีนี้ เราช่วยคนที่มีหัวใจสุจริตให้เห็นด้วยตัวเองว่าเรากำลังสอนความคิดของพระเจ้า ไม่ใช่ความคิดของเราเอง. ช่างน่ายินดีสักเพียงไรเมื่อมีบางคนตอบตกลงจะอ่านตอนหนึ่งจากคัมภีร์ไบเบิลและพิจารณาคุณค่าและความหมายของพระคำของพระเจ้า! และเมื่อคนเช่นนั้นตอบรับคำเชิญให้ติดตามพระเยซู เรายินดีอย่างเหลือล้น.
การติดตามพระเยซูหมายถึงการรักคนอื่น ๆ
15. พระเยซูทรงมีคุณลักษณะเด่นอะไร และการใคร่ครวญคุณลักษณะเด่นนี้อาจส่งผลต่อเราอย่างไร?
15 แง่มุมสุดท้ายของบุคลิกภาพของพระเยซูที่เราจะพิจารณานั้นทำให้รู้สึกอบอุ่นใจที่สุด ซึ่งก็คือความรักที่พระองค์ทรงมีต่อเพื่อนมนุษย์. อัครสาวกเปาโลเขียนว่า “ความรักของพระคริสต์กระตุ้นเรา.” (2 โค. 5:14) เมื่อเราใคร่ครวญถึงความรักที่พระเยซูทรงมีต่อมนุษย์โดยทั่วไปและต่อเราแต่ละคนเป็นส่วนตัว เรารู้สึกอบอุ่นใจและถูกกระตุ้นให้ทำตามแบบอย่างของพระองค์.
16, 17. พระเยซูทรงแสดงความรักต่อคนอื่น ๆ โดยวิธีใดบ้าง?
16 พระเยซูทรงแสดงความรักต่อผู้อื่นอย่างไร? การที่พระองค์ทรงเต็มพระทัยสละชีวิตเพื่อมนุษยชาติเป็นการแสดงออกซึ่งความรักของพระองค์ในขั้นสุดยอด. (โย. 15:13) อย่างไรก็ตาม ระหว่างที่ทรงรับใช้อยู่นั้น พระเยซูทรงแสดงความรักในด้านอื่น ๆ ด้วย. ตัวอย่างเช่น พระองค์ทรงแสดงความเห็นอกเห็นใจต่อคนที่ทุกข์ยากลำบาก. เมื่อพระองค์ทรงเห็นมาเรียและคนที่อยู่กับเธอร้องไห้เพราะลาซะโรตาย พระองค์ทรงสะเทือนพระทัยอย่างยิ่งที่เห็นพวกเขาโศกเศร้าอย่างนั้น. แม้ว่าพระองค์กำลังจะปลุกลาซะโรให้เป็นขึ้นจากตาย แต่พระเยซูทรงสะเทือนพระทัยถึงขนาดที่ “ทรงกันแสง.”—โย. 11:32-35.
17 ในช่วงต้น ๆ ที่พระเยซูทรงทำงานรับใช้ คนโรคเรื้อนคนหนึ่งเข้ามาหาพระองค์และกล่าวว่า “ขอเพียงพระองค์ต้องการ พระองค์จะทรงทำให้ข้าพเจ้าหายได้.” พระเยซูทรงตอบอย่างไร? บันทึกบอกว่า “พระองค์ทรงรู้สึกสงสารเขา.” พระองค์ทรงทำบางสิ่งที่พิเศษกว่าปกติ. พระองค์ “ทรงยื่นพระหัตถ์ออกแตะตัวเขาและตรัสว่า ‘เราต้องการ. จงหายโรคเถิด.’ เขาก็หายจากโรคเรื้อนทันที.” ตามพระบัญญัติของโมเซ คนโรคเรื้อนเป็นมลทิน และเป็นเรื่องแน่นอนว่าพระเยซูทรงสามารถรักษาชายคนนี้โดยไม่ต้องสัมผัสตัวเขา. ถึงกระนั้น เมื่อพระเยซูทรงรักษาคนโรคเรื้อนผู้นี้ พระองค์ทรงทำให้เขามีโอกาสได้รู้สึกถึงการสัมผัสจากคนอื่น ซึ่งอาจเป็นครั้งแรกในช่วงหลายปี. ช่างเป็นการกระทำที่เปี่ยมด้วยความเมตตาอันอ่อนละมุนจริง ๆ!—18. เราจะแสดง “ความเห็นอกเห็นใจ” ได้โดยวิธีใด?
18 ในฐานะผู้ติดตามพระคริสต์ เราได้รับพระบัญชาให้สำแดงความรักของเราโดยแสดง “ความเห็นอกเห็นใจกัน.” (1 เป. 3:8) อาจไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะเข้าใจความรู้สึกของเพื่อนร่วมความเชื่อที่กำลังทนทุกข์เนื่องด้วยความเจ็บป่วยเรื้อรังหรือความซึมเศร้าอย่างรุนแรง—โดยเฉพาะถ้าเราไม่เคยประสบกับสิ่งเหล่านั้นด้วยตัวเอง. ถึงกระนั้น พระเยซูทรงแสดงความเห็นใจคนที่เจ็บป่วยแม้ว่าพระองค์เองไม่เคยเจ็บป่วย. เราจะพัฒนาความเห็นอกเห็นใจผู้อื่นคล้าย ๆ กันนี้ได้โดยวิธีใด? โดยฟังอย่างอดทนเมื่อคนที่ทนทุกข์เผยความรู้สึกในใจกับเรา. เราอาจถามตัวเองได้ด้วยว่า ‘ถ้าฉันตกอยู่ในสถานการณ์แบบเดียวกับเขา ฉันจะรู้สึกอย่างไร?’ ถ้าเราพัฒนาความสามารถในการรับรู้ความรู้สึกของคนอื่นได้ไว เราก็จะสามารถ “พูดปลอบโยนคนทุกข์ใจ” ได้ดีขึ้น. (1 เทส. 5:14) เมื่อเป็นอย่างนั้น เราก็กำลังติดตามพระเยซู.
19. เราได้รับผลกระทบในทางใดบ้างจากแบบอย่างของพระเยซู?
19 สิ่งที่เราพบในการศึกษาคำตรัสและการกระทำของพระเยซูคริสต์นั้นช่างน่าตื่นเต้นจริง ๆ! ยิ่งเราเรียนเกี่ยวกับพระองค์มากขึ้นเท่าไร เราก็ต้องการเป็นเหมือนพระองค์มากขึ้นเท่านั้น—และเราก็ยิ่งต้องการช่วยคนอื่น ๆ ให้ทำอย่างเดียวกันมากขึ้นด้วย. ดังนั้น ขอให้เราชื่นชมยินดีในการติดตามพระมหากษัตริย์มาซีฮา—ทั้งในเวลานี้และตลอดไป!
คุณอธิบายได้ไหม?
• เราจะแสดงสติปัญญาเหมือนที่พระเยซูทรงแสดงให้เห็นโดยวิธีใด?
• เราจะแสดงความถ่อมใจในทางใดบ้าง?
• เราจะพัฒนาความมีใจแรงกล้าในงานรับใช้โดยวิธีใด?
• เราจะเลียนแบบพระเยซูในการแสดงความรักต่อคนอื่นโดยวิธีใดบ้าง?
[คำถาม]
[กรอบ/ภาพหน้า 5]
หนังสือที่ช่วยเรา เลียนแบบพระคริสต์
ในการประชุมภาคปี 2007 มีการออกหนังสือขนาด 192 หน้าซึ่งมีชื่อว่า “เชิญตามเรามา.” หนังสือนี้จัดพิมพ์ขึ้นเพื่อช่วยคริสเตียนให้สนใจเรื่องที่เกี่ยวกับพระเยซูเป็นพิเศษ โดยเฉพาะคุณลักษณะและการกระทำต่าง ๆ ของพระองค์. หลังจากบทนำสองบทแรก ตอนที่หนึ่งของหนังสือนี้พิจารณาภาพรวมของคุณลักษณะต่าง ๆ ที่โดดเด่นของพระเยซู—ความถ่อม, ความกล้าหาญ, สติปัญญา, ความเชื่อฟัง, และความอดทนของพระองค์.
ถัดจากส่วนนี้ก็เป็นส่วนต่าง ๆ ที่พิจารณากิจการงานของพระเยซูในฐานะผู้สอนและผู้ประกาศข่าวดี รวมทั้งวิธีต่าง ๆ บางอย่างที่พระองค์ทรงแสดงความรักอันยิ่งใหญ่ของพระองค์. มีการเสนอข้อมูลไว้ตลอดทั้งเล่มเพื่อช่วยคริสเตียนให้เลียนแบบพระเยซู.
เรามั่นใจว่าหนังสือนี้จะกระตุ้นเราทุกคนให้ตรวจสอบตัวเองและถามตัวเองว่า ‘ฉันกำลังติดตามพระเยซูจริง ๆ ไหม? ฉันจะติดตามพระองค์อย่างใกล้ชิดยิ่งขึ้นได้โดยวิธีใด?’ นอกจากนั้น หนังสือนี้ยังจะช่วย “คนทั้งปวงที่เต็มใจตอบรับความจริงซึ่งทำให้ได้ชีวิตนิรันดร์” ให้มาเป็นสาวกของพระคริสต์.—กิจ. 13:48.
[ภาพหน้า 4]
พระเยซูทรงยินยอมมายังแผ่นดินโลกและประสูติเป็นทารกมนุษย์. การทำอย่างนั้นจำเป็นต้องอาศัยคุณลักษณะอะไร?
[ภาพหน้า 6]
อะไรจะกระตุ้นเราให้มีใจแรงกล้าในงานรับใช้?