จงยินดีในงานทำให้คนเป็นสาวก
จงยินดีในงานทำให้คนเป็นสาวก
“ฉะนั้น จงไปสอนคน . . . ให้เป็นสาวก.”—มัด. 28:19.
1-3. (ก) หลายคนรู้สึกอย่างไรเกี่ยวกับการนำการศึกษาพระคัมภีร์? (ข) มีคำถามอะไรบ้างที่เราจะพิจารณา?
“ดิฉันได้นำการศึกษากับครอบครัวหนึ่งที่มาจากปากีสถานในช่วง 11 สัปดาห์ที่ผ่านไป” พี่น้องหญิงคนหนึ่งซึ่งรับใช้ในกลุ่มที่พูดภาษาฮินดีที่สหรัฐเขียนมา. เธอเขียนต่อไปอีกว่า “คงเดาได้ไม่ยากว่าเรากลายมาเป็นเพื่อนกัน. น้ำตาดิฉันเอ่อท้นเมื่อนึกถึงว่าอีกไม่นานครอบครัวนี้ก็จะกลับไปปากีสถานแล้ว. ที่น้ำตาจะไหลไม่ใช่เป็นเพราะความเศร้าที่จะต้องจากเพื่อนเท่านั้น แต่เป็นเพราะความยินดีที่ดิฉันมีระหว่างที่สอนพวกเขาเรื่องพระยะโฮวาด้วย.”
2 คุณเคยมีความยินดีซึ่งเกิดจากการนำการศึกษาพระคัมภีร์กับบางคนเช่นเดียวกับพี่น้องหญิงคนนี้ไหม? พระเยซูและเหล่าสาวกในศตวรรษแรกมีความยินดีอย่างยิ่งในงานทำให้คนเป็นสาวก. เมื่อสาวก 70 คนที่พระเยซูทรงฝึกอบรมกลับมาพร้อมกับรายงานที่น่ายินดี พระเยซูเอง “ทรงยินดียิ่งและเปี่ยมด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์.” (ลูกา 10:17-21) คล้ายกัน หลายคนในทุกวันนี้มีความยินดีอย่างยิ่งในการทำให้คนเป็นสาวก. ที่จริง ในปี 2007 ผู้ประกาศที่ทำ งานอย่างหนักมีความสุขที่ได้นำการศึกษาคัมภีร์ไบเบิลโดยเฉลี่ยหกล้านห้าแสนรายในแต่ละเดือน!
3 แต่ผู้ประกาศบางคนยังไม่เคยมีรายศึกษาพระคัมภีร์ซึ่งจะทำให้เขาชื่นชมยินดี. ส่วนคนอื่น ๆ อาจไม่ได้นำการศึกษาพระคัมภีร์มาระยะหนึ่งแล้ว. เราอาจเผชิญอุปสรรคอะไรบ้างเมื่อเราพยายามจะนำการศึกษาพระคัมภีร์? เราอาจเอาชนะอุปสรรคเหล่านั้นโดยวิธีใด? และเราได้รับรางวัลอะไรเมื่อเราทุกคนสามารถทำตามพระบัญชาของพระเยซูที่ว่า “จงไปสอนคน . . . ให้เป็นสาวก”?—มัด. 28:19.
อุปสรรคที่อาจทำให้เราขาดความยินดี
4, 5. (ก) หลายคนตอบรับอย่างไรในบางส่วนของโลก? (ข) ผู้ประกาศในที่อื่น ๆ บางแห่งพบอุปสรรคอะไร?
4 ในบางส่วนของโลก ผู้คนรับหนังสือของเราอย่างกระหายและอยากศึกษาคัมภีร์ไบเบิลกับเรามาก. สามีภรรยาคู่หนึ่งจากออสเตรเลียซึ่งรับใช้ชั่วคราวในประเทศแซมเบียเขียนมาว่า “เรื่องที่เคยได้ยินมาเป็นความจริง. แซมเบียเป็นอุทยานสำหรับการประกาศ. เป็นเรื่องเหลือเชื่อเมื่อให้คำพยานตามถนน! ผู้คนเข้ามาหาเรา บางคนถึงกับขอวารสารบางฉบับโดยเฉพาะ.” ในปีหนึ่งเมื่อไม่นานนี้ พี่น้องที่แซมเบียนำการศึกษาคัมภีร์ไบเบิลมากกว่า 200,000 ราย—นั่นหมายความว่า เฉลี่ยแล้วผู้ประกาศแต่ละคนนำการศึกษาพระคัมภีร์มากกว่าหนึ่งราย.
5 อย่างไรก็ตาม ในที่อื่น ๆ อาจเป็นเรื่องยากที่ผู้ประกาศจะเสนอหนังสือและนำการศึกษาพระคัมภีร์เป็นประจำ. เพราะเหตุใด? บ่อยครั้ง ผู้คนไม่อยู่บ้านเมื่อผู้ประกาศไปที่บ้านของพวกเขา ในขณะที่คนที่อยู่บ้านก็อาจไม่สนใจเรื่องศาสนา. พวกเขาอาจเติบโตในครอบครัวที่ไม่เคร่งศาสนาหรือชิงชังรังเกียจความหน้าซื่อใจคดซึ่งเห็นได้เด่นชัดในศาสนาเท็จ. หลายคนถูกผู้เลี้ยงแกะจอมปลอมขูดรีดและทิ้งขว้าง. (มัด. 9:36) เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ไม่ยากว่าคนเหล่านี้อาจระมัดระวังตัวและไม่อยากคุยเรื่องพระคัมภีร์กับเรา.
6. บางคนอาจต้องพยายามเอาชนะข้อจำกัดอะไร?
6 ผู้ประกาศที่ซื่อสัตย์บางคนพบอุปสรรคที่ต่างออกไปซึ่งอาจทำให้เขาขาดความยินดี. แม้ว่าครั้งหนึ่งเคยขันแข็งในงานทำให้คนเป็นสาวก แต่ตอนนี้สุขภาพที่ไม่ดีหรือข้อจำกัดที่เกิดจากวัยชราเป็นสิ่งที่หน่วงเหนี่ยวพวกเขาไว้. ขอให้พิจารณาด้วยถึงข้อจำกัดที่เราอาจคิดไปเอง. ตัวอย่างเช่น คุณรู้สึกว่าคุณไม่มีคุณสมบัติที่จะนำการศึกษาพระคัมภีร์ไหม? คุณอาจรู้สึกเหมือนโมเซเมื่อพระยะโฮวาทรงมอบหมายท่านให้ไปพูดกับฟาโรห์. โมเซกล่าวว่า “ข้าแต่พระเจ้า, ข้าพเจ้ามิใช่คนช่างพูด; ในกาลก่อนก็ดี, หรือตั้งแต่เวลาพระองค์ตรัสแก่ทาสของพระองค์แล้วก็ดี.” (เอ็ก. 4:10) ความรู้สึกว่าตัวเองขาดความสามารถเกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดกับความกลัวจะล้มเหลว. เราอาจกังวลว่าคนที่เราช่วยจะไม่เข้ามาเป็นสาวกเพราะเราเป็นครูที่ไม่สมบูรณ์แบบ. เนื่องจากกลัวว่าจะเป็นอย่างนั้น เราอาจตัดสินใจไม่นำการศึกษา. เราอาจรับมือกับอุปสรรคต่าง ๆ ดังกล่าวได้โดยวิธีใด?
จงเตรียมหัวใจให้พร้อม
7. อะไรกระตุ้นพระเยซูให้ทำงานรับใช้?
7 ขั้นแรกก็คือเตรียมหัวใจของเราเอง. พระเยซูตรัสว่า “ใจเต็มไปด้วยสิ่งใด ปากก็พูดตามนั้น.” (ลูกา 6:45) สิ่งที่กระตุ้นพระเยซูให้ทำงานรับใช้ก็คือความห่วงใยด้วยน้ำใสใจจริงในสวัสดิภาพของคนอื่น ๆ. ตัวอย่างเช่น เมื่อพระองค์ทรงสังเกตสภาพที่ยากจนฝ่ายวิญญาณของชาวยิวด้วยกัน “พระองค์ทรงรู้สึกสงสาร.” พระองค์ตรัสกับเหล่าสาวกว่า “การเกี่ยวเป็นงานใหญ่ . . . จงขอเจ้าของงานเกี่ยวให้ส่งคนงานออกไปในงานเกี่ยวของพระองค์.”—มัด. 9:36-38.
8. (ก) เราควรคิดอย่างไร? (ข) เราได้ข้อคิดที่ดีอะไรจากความเห็นของนักศึกษาคัมภีร์ไบเบิลคนหนึ่ง?
8 ขณะที่เราร่วมในงานทำให้คนเป็นสาวก คงดีที่จะคิดว่าเราเองเคยได้รับประโยชน์มากเพียงไรที่มีคนเสียสละเวลาเพื่อนำการศึกษาคัมภีร์ไบเบิลกับเรา. ขอให้คิดด้วยถึงคนที่เราจะพบในงานรับใช้และคิดว่าพวกเขาจะได้รับประโยชน์อย่างไรบ้างจากการฟังข่าวสารที่เราประกาศ. สตรีคนหนึ่งเขียนถึงสำนักงานสาขาในประเทศที่เธออยู่ว่า “ดิฉันอยากบอกคุณว่าดิฉันรู้สึกขอบคุณอย่างยิ่งที่พยานฯ มาสอนดิฉันที่บ้าน. ดิฉันรู้ว่าบางครั้งพวกเขาคงหงุดหงิดกับดิฉันแน่ ๆ เพราะดิฉันมีคำถามเยอะมากและทำให้พวกเขาต้องอยู่จน
เลยเวลาเสมอ. แต่พวกเขาอดทนกับดิฉันและกระตือรือร้นที่จะสอนเรื่องที่พวกเขารู้. ดิฉันขอบคุณพระยะโฮวาและพระเยซูที่มีโอกาสได้รู้จักคนเหล่านี้.”9. พระเยซูทรงมุ่งสนใจสิ่งใด และเราจะเลียนแบบพระองค์ได้โดยวิธีใด?
9 แน่นอน ไม่ใช่ทุกคนตอบรับความพยายามของพระเยซูที่จะช่วยพวกเขา. (มัด. 23:37) บางคนติดตามพระองค์ชั่วระยะหนึ่งแต่แล้วก็ปฏิเสธคำสอนของพระองค์และ “เลิกติดตามพระองค์.” (โย. 6:66) แต่พระเยซูไม่ปล่อยให้ปฏิกิริยาที่ไม่ดีของบางคนทำให้พระองค์รู้สึกว่าข่าวสารที่พระองค์ประกาศไม่มีค่า. แม้ว่าเมล็ดความจริงจำนวนมากที่พระองค์หว่านไปไม่เกิดผล แต่พระเยซูทรงมุ่งสนใจการดีที่พระองค์กำลังทำ. พระองค์ทรงเห็นว่าข้าวในนาสุกเหลืองพร้อมเก็บเกี่ยวแล้ว และทรงยินดียิ่งที่ได้ช่วยในการเก็บเกี่ยวข้าวนั้น. (อ่านโยฮัน 4:35, 36.) แทนที่จะเพ่งมองพื้นดินอันแห้งแล้งซึ่งอยู่ระหว่างต้นข้าว เราจะทำคล้าย ๆ กันได้ไหมโดยมุ่งสนใจการเก็บเกี่ยวที่เราอาจทำได้ในเขตมอบหมายของเรา? ให้เรามาพิจารณาวิธีที่จะทำให้เราสามารถรักษาทัศนคติในแง่บวกเช่นนั้น.
จงหว่านโดยมีเป้าหมายจะเก็บเกี่ยว
10, 11. คุณอาจทำอะไรได้เพื่อรักษาความยินดีไว้?
10 กสิกรหว่านเมล็ดโดยมีเป้าหมายจะเก็บเกี่ยวผล. คล้ายกัน เราจำเป็นต้องประกาศโดยมีเป้าหมายจะเริ่มการศึกษาคัมภีร์ไบเบิล. แต่จะว่าอย่างไรถ้าคุณใช้เวลาเป็นประจำในงานรับใช้แต่พบว่ามีน้อยคนที่อยู่บ้านหรือดูเหมือนจะไม่สามารถติดต่อกับรายเยี่ยมได้อีก? ถ้าเป็นอย่างนั้นก็อาจทำให้คุณข้องขัดใจ. คุณควรเลิกทำงานประกาศตามบ้านไหม? ไม่ควรทำอย่างนั้นแน่นอน! หลายคนยังคงได้รับการติดต่อเป็นครั้งแรกโดยการประกาศที่มีประสิทธิภาพวิธีนี้ซึ่งใช้กันมานาน.
11 อย่างไรก็ตาม เพื่อจะรักษาความยินดีไว้คุณจะเพิ่มวิธีการประกาศได้ไหมโดยใช้วิธีอื่น ๆ ในการเข้าถึงผู้คน? ตัวอย่างเช่น คุณเคยพยายามประกาศกับผู้คนตามถนนหรือ
ในที่ทำงานของพวกเขาไหม? คุณจะติดต่อกับผู้คนทางโทรศัพท์หรือเมื่อบอกข่าวสารราชอาณาจักรแล้วคุณจะขอเบอร์โทรศัพท์เพื่อจะติดต่อกับเขาต่อไปได้ไหม? ด้วยความบากบั่นพยายามและความสามารถในการปรับตัวในงานรับใช้ คุณจะประสบความยินดีที่พบบางคนซึ่งตอบรับข่าวสารเรื่องราชอาณาจักร.รับมือกับความเฉยเมย
12. เราอาจทำอย่างไรถ้าหลายคนในเขตของเราดูเหมือนว่าเฉยเมย?
12 จะว่าอย่างไรถ้าคนจำนวนมากในเขตของคุณเฉยเมยในเรื่องศาสนา? คุณจะเริ่มต้นการสนทนาโดยกล่าวถึงเรื่องที่ดึงดูดความสนใจของพวกเขาได้ไหม? อัครสาวกเปาโลเขียนถึงเพื่อนร่วมความเชื่อในเมืองโครินท์ว่า “ข้าพเจ้าจึงทำตัวเป็นคนยิวเมื่อติดต่อกับพวกยิว . . . ข้าพเจ้าทำตัวเป็นคนไม่มีพระบัญญัติเมื่อติดต่อกับคนไม่มีพระบัญญัติ แต่ข้าพเจ้าก็ไม่ได้อยู่นอกพระบัญญัติของพระเจ้า.” ทำไมเปาโลจึงทำอย่างนั้น? ท่านกล่าวว่า “เมื่อข้าพเจ้าติดต่อกับคนแบบใดข้าพเจ้าก็ทำตัวเป็นคนแบบนั้น เพื่อข้าพเจ้าจะช่วยคนให้รอดได้บ้างไม่ว่าจะโดยวิธีใด.” (1 โค. 9:20-22) ในทำนองเดียวกัน เราจะหาเรื่องที่เราและคนที่อยู่ในเขตของเราสนใจเหมือนกันได้ไหม? หลายคนที่ไม่เคร่งศาสนาต้องการปรับปรุงความสัมพันธ์ในครอบครัวให้ดีขึ้น. พวกเขาอาจแสวงหาจุดมุ่งหมายในชีวิตด้วย. เราจะเสนอข่าวสารเรื่องราชอาณาจักรแก่คนเช่นนั้นในวิธีที่จะดึงดูดใจพวกเขาได้ไหม?
13, 14. เราอาจเพิ่มความยินดีที่ได้จากงานทำให้คนเป็นสาวกได้โดยวิธีใด?
13 มีผู้ประกาศมากขึ้นเรื่อย ๆ ได้รับความยินดีเพิ่มขึ้นจากงานทำให้คนเป็นสาวก แม้แต่ในเขตที่ดูเหมือนว่าผู้คนส่วนใหญ่ไม่สนใจ. โดยวิธีใด? โดยเรียนภาษาต่างประเทศ. คู่สมรสคู่หนึ่งซึ่งอายุหกสิบกว่าปีพบว่ามีนักเรียนชาวจีนหลายพันคนและครอบครัวของพวกเขาอาศัยอยู่ในเขตมอบหมายของประชาคม. ผู้เป็นสามีกล่าวว่า “เพราะเหตุนี้ เราจึงได้รับการสนับสนุนให้เรียนภาษาจีน. แม้ว่านี่หมายถึงว่าเราต้องใช้เวลาไม่น้อยในแต่ละวันเพื่อเรียนภาษา แต่ก็ทำให้เราสามารถนำการศึกษาพระคัมภีร์หลายรายกับคนจีนที่อยู่ในเขตของเรา.”
14 แม้แต่ถ้าคุณเรียนภาษาต่างประเทศไม่ได้ คุณก็สามารถใช้หนังสือเล่มเล็กข่าวดีสำหรับคนทุกชาติเมื่อคุณพบคนที่พูดอีกภาษาหนึ่ง. นอกจากนั้น คุณมักจะหาหนังสือบางเล่มได้ในภาษาของคนที่คุณพบ. จริงอยู่ จำเป็นต้องใช้เวลาและความพยายามเป็นพิเศษเพื่อสื่อความกับคนที่พูดอีกภาษาหนึ่งและมีวัฒนธรรมต่างกับเรา. แต่อย่ามองข้ามหลักการที่พบในพระคำของพระเจ้าที่ว่า “คนที่หว่านอย่างมากมายก็จะเก็บเกี่ยวได้มากมาย.”—2 โค. 9:6.
ทั้งประชาคมมีส่วนเกี่ยวข้อง
15, 16. (ก) เหตุใดงานทำให้คนเป็นสาวกจึงเป็นความพยายามร่วมกันของทั้งประชาคม? (ข) ผู้สูงอายุมีบทบาทอะไร?
15 อย่างไรก็ตาม การทำให้คนเป็นสาวกไม่ได้ขึ้นอยู่กับความพยายามของคนเพียงคนเดียว. แทนที่จะเป็นอย่างนั้น งานนี้เป็นความพยายามร่วมกันของทั้งประชาคม. เพราะเหตุใด? พระเยซูตรัสว่า “เพราะเหตุนี้แหละ คนทั้งหลายจะรู้ว่าพวกเจ้าเป็นสาวกของเรา ถ้าพวกเจ้ารักกัน.” (โย. 13:35) และก็เป็นอย่างนั้นจริง ๆ เมื่อนักศึกษาคัมภีร์ไบเบิลเข้าร่วมการประชุม พวกเขามักประทับใจบรรยากาศการประชุมที่เปี่ยมด้วยความรัก. นักศึกษาคัมภีร์ไบเบิลคนหนึ่งเขียนมาว่า “ดิฉันชอบการไปประชุมมาก. ผู้คนที่นั่นต้อนรับดิฉันเป็นอย่างดี!” พระเยซูตรัสว่าคนที่มาเป็นผู้ติดตามพระองค์อาจถูกครอบครัวต่อต้าน. (อ่านมัดธาย 10:35-37.) แต่พระองค์ทรงสัญญาว่าพวกเขาจะได้รับ “พี่น้องชายหญิงและมารดาและลูก ๆ” ฝ่ายวิญญาณมากมายในประชาคม.—มโก. 10:30.
16 พี่น้องผู้สูงอายุมีบทบาทสำคัญเป็นพิเศษในการช่วยนักศึกษาคัมภีร์ไบเบิลให้ก้าวหน้า. โดยวิธีใด? แม้แต่ถ้าผู้สูงอายุบางคนไม่สามารถนำการศึกษาพระคัมภีร์ด้วยตัวเอง แต่ความเห็นที่เสริมสร้างของพวกเขา ณ การประชุมในประชาคมช่วยเสริมความเชื่อของทุกคนที่ได้ฟัง. ประวัติของพวกเขาในการดำเนินชีวิต “ในทางแห่งความชอบธรรม” เพิ่มความสง่างามแก่ประชาคมและดึงดูดคนที่หัวใจสุจริตให้เข้าสู่องค์การของพระเจ้า.—สุภา. 16:31, ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย.
เอาชนะความกลัว
17. เราจะทำอะไรได้เพื่อเอาชนะความรู้สึกว่าตัวเองขาดความสามารถ?
17 จะว่าอย่างไรถ้าคุณต้องต่อสู้กับความรู้สึกว่าตัวเองขาดความสามารถ? ขอให้ระลึกว่าพระยะโฮวาทรงช่วยโมเซโดยประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์แก่ท่าน และมอบหมายให้อาโรนพี่ชายของท่านเป็นเพื่อนร่วมงาน. (เอ็ก. 4:10-17) พระเยซูทรงสัญญาว่าพระวิญญาณของพระเจ้าจะช่วยสนับสนุนงานให้คำพยานของเรา. (กิจ. 1:8) นอกจากนั้น พระเยซูทรงส่งคนงานออกไปประกาศเป็นคู่ ๆ. (ลูกา 10:1) ด้วยเหตุนั้น ถ้าคุณรู้สึกว่าเป็นเรื่องยากที่จะนำการศึกษาพระคัมภีร์ จงอธิษฐานขอพระวิญญาณจากพระเจ้าให้ประทานสติปัญญาแก่คุณ แล้วก็ไปด้วยกันกับเพื่อนผู้ประกาศที่สามารถช่วยให้คุณมั่นใจและประสบการณ์ของเขาอาจช่วยคุณได้. นับว่าเสริมความเชื่อที่จะจำไว้ว่า พระยะโฮวาทรงเลือกใช้คนธรรมดาสามัญ—“คนที่โลกถือว่าอ่อนแอ”—ให้ทำงานที่พิเศษอย่างยิ่งนี้.—1 โค. 1:26-29.
18. เราอาจเอาชนะความกลัวจะล้มเหลวได้โดยวิธีใด?
18 เราอาจเอาชนะความกลัวจะล้มเหลวได้โดยวิธีใด? เราควรจำไว้ว่า การทำให้คนเป็นสาวกไม่เหมือนกับการทำอาหารซึ่งจะสำเร็จหรือล้มเหลวส่วนใหญ่ขึ้นอยู่กับคนคนเดียว คือคนทำอาหาร. แทนที่จะเป็นอย่างนั้น การทำให้คนเป็นสาวกมีผู้ที่เกี่ยวข้องอยู่ด้วยอย่างน้อยสามฝ่าย. พระยะโฮวาทรงทำส่วนที่สำคัญที่สุด โดยทรงชักนำแต่ละคนให้เข้ามาหาพระองค์. (โย. 6:44) เราและคนอื่น ๆ ในประชาคมพยายามทำส่วนของเราให้ดีที่สุดโดยใช้ศิลปะในการสอนเพื่อช่วยนักศึกษาให้ก้าวหน้า. (อ่าน 2 ติโมเธียว 2:15.) และนักศึกษาจำเป็นต้องปฏิบัติตามสิ่งที่เขาเรียนรู้. (มัด. 7:24-27) ถ้ามีใครบอกเลิกการศึกษาคัมภีร์ไบเบิล เราอาจรู้สึกผิดหวัง. เราหวังว่านักศึกษาพระคัมภีร์จะเลือกอย่างถูกต้อง แต่ว่าแต่ละคนต้อง “ให้การเรื่องของตัวเองต่อพระเจ้า.”—โรม 14:12.
มีบำเหน็จอะไรบ้าง?
19-21. (ก) เราได้รับประโยชน์อะไรบ้างจากการนำการศึกษาคัมภีร์ไบเบิล? (ข) พระยะโฮวาทรงมีทัศนะอย่างไรต่อทุกคนที่ร่วมทำงานประกาศ?
19 การนำการศึกษาคัมภีร์ไบเบิลทำให้เรามุ่งความสนใจที่การแสวงหาราชอาณาจักรก่อนสิ่งอื่น. นอกจากนี้ การนำการศึกษาพระคัมภีร์ยังทำให้ความจริงในพระคำของพระเจ้าฝังลึกในจิตใจและหัวใจของเรา. ทำไมจึงเป็นอย่างนั้น? ไพโอเนียร์คนหนึ่งซึ่งชื่อบารัคอธิบายว่า “การนำการศึกษาคัมภีร์ไบเบิลบังคับให้คุณต้องเป็นนักศึกษาพระคำของพระเจ้าที่ขยันยิ่งขึ้น. ผมพบว่าผมต้องเสริมความเชื่อมั่นของตัวเองก่อนจึงจะมีความสามารถในการสอนคนอื่นได้.”
20 ถ้าคุณไม่ได้นำการศึกษาคัมภีร์ไบเบิล นั่นหมายความว่างานรับใช้ของคุณไม่มีค่าสำหรับพระเจ้าไหม? ไม่เลย! พระยะโฮวาทรงเห็นค่าอย่างยิ่งที่เราพยายามสรรเสริญพระองค์. ทุกคนที่มีส่วนในงานประกาศเป็น “ผู้ร่วมงานกับพระเจ้า.” อย่างไรก็ตาม การนำการศึกษาคัมภีร์ไบเบิลทำให้เรามีความยินดีมากขึ้นเมื่อเราเห็นวิธีที่พระเจ้าทรงทำให้เมล็ดที่เราปลูกไว้เติบโตขึ้น. (1 โค. 3:6, 9) ไพโอเนียร์คนหนึ่งซึ่งชื่อเอมีกล่าวว่า “เมื่อเราเห็นนักศึกษาก้าวหน้า เรารู้สึกขอบคุณพระยะโฮวาอย่างยิ่งที่ทรงใช้เราในการให้ของประทานอันยอดเยี่ยมแก่คนนั้น ซึ่งก็คือโอกาสที่เขาจะได้รู้จักพระยะโฮวาและได้รับชีวิตนิรันดร์.”
21 การพยายามทำส่วนของเราให้ดีที่สุดเพื่อเริ่มและนำการศึกษาพระคัมภีร์จะช่วยเราให้มุ่งความสนใจที่การรับใช้พระเจ้าในเวลานี้ และจะเสริมความหวังที่เราจะรอดชีวิตเข้าสู่โลกใหม่ให้มั่นคงยิ่งขึ้น. โดยได้รับการสนับสนุนจากพระยะโฮวา เราอาจช่วยชีวิตคนที่ฟังเราให้รอดด้วย. (อ่าน 1 ติโมเธียว 4:16.) นั่นคงเป็นเรื่องที่ทำให้เรายินดีสักเพียงไร!
คุณจำได้ไหม?
• มีอุปสรรคอะไรบ้างที่อาจทำให้บางคนไม่อยากนำการศึกษาคัมภีร์ไบเบิล?
• เราอาจทำอะไรถ้าผู้คนจำนวนมากในเขตของเราดูเหมือนไม่สนใจ?
• เราได้รับบำเหน็จอะไรบ้างจากการนำการศึกษาคัมภีร์ไบเบิล?
[คำถาม]
[ภาพหน้า 9]
คุณเพิ่มวิธีการประกาศเพื่อจะพบคนที่มีหัวใจสุจริตไหม?