ข้ามไปยังเนื้อหา

ข้ามไปยังสารบัญ

การประชุมใหญ่สามครั้งเปลี่ยนชีวิตผม

การประชุมใหญ่สามครั้งเปลี่ยนชีวิตผม

การ​ประชุม​ใหญ่​สาม​ครั้ง​เปลี่ยน​ชีวิต​ผม

เล่า​โดย จอร์จ วอเรินเชิก

คุณ​เคย​รู้สึก​ประทับใจ​สิ่ง​ที่​คุณ​ได้​ยิน​ใน​การ​ประชุม​ใหญ่​จน​ถูก​กระตุ้น​ให้​เปลี่ยน​ชีวิต​ตัว​เอง​ไหม? นั่น​คือ​สิ่ง​ที่​เกิด​ขึ้น​กับ​ผม. เมื่อ​มอง​ย้อน​ไป ผม​เห็น​ได้​ว่า​มี​การ​ประชุม​ใหญ่​สาม​ครั้ง​ที่​ส่ง​ผล​ต่อ​ชีวิต​ของ​ผม​เป็น​พิเศษ. การ​ประชุม​ใหญ่​ครั้ง​แรก​ที่​ผม​พูด​ถึง​นั้น​ช่วย​ผม​ให้​มี​ความ​กล้า​มาก​ขึ้น; ครั้ง​ที่​สอง ทำ​ให้​ผม​อิ่ม​ใจ​มาก​ขึ้น​กับ​สิ่ง​ที่​ตน​มี​อยู่; ครั้ง​ที่​สาม กระตุ้น​ผม​ให้​มี​น้ำใจ​ใน​การ​ให้​มาก​ขึ้น. แต่​ก่อน​ที่​ผม​จะ​เล่า​ถึง​การ​เปลี่ยน​แปลง​ดัง​กล่าว ขอ​ผม​เล่า​เหตุ​การณ์​ต่าง ๆ ที่​เกิด​ขึ้น​ใน​ช่วง​หลาย​ปี​ก่อน​ที่​ผม​จะ​เข้า​ร่วม​การ​ประชุม​ใหญ่​เหล่า​นั้น ซึ่ง​เกิด​ขึ้น​ตอน​ที่​ผม​เป็น​เด็ก.

ผม​เกิด​ใน​ปี 1928 เป็น​ลูก​คน​สุด​ท้อง​จาก​ทั้ง​หมด​สาม​คน. ผม​กับ​พี่​สาว มาร์จี​และ​โอลกา เติบโต​ขึ้น​มา​ใน​เมือง​เซาท์บาวด์บรูก รัฐ​นิวเจอร์ซีย์ สหรัฐ ซึ่ง​ใน​เวลา​นั้น​เมือง​นี้​มี​ประชากร​ประมาณ 2,000 คน. แม้​ว่า​เรา​ยาก​จน แต่​แม่​เป็น​คน​เอื้อเฟื้อ​เผื่อแผ่. เมื่อ​ไร​ก็​ตาม​ที่​แม่​มี​เงิน​พอ​จะ​ทำ​อาหาร​มื้อ​พิเศษ แม่​จะ​แบ่ง​ปัน​อาหาร​นั้น​ให้​เพื่อน​บ้าน. เมื่อ​ผม​อายุ​เก้า​ขวบ มี​พยาน​พระ​ยะโฮวา​คน​หนึ่ง​มา​คุย​กับ​แม่. พยาน​ฯ คน​นี้​พูด​ภาษา​ฮังการี ซึ่ง​เป็น​ภาษา​ดั้งเดิม​ของ​แม่ ทำ​ให้​แม่​สนใจ​ฟัง​ข่าวสาร​จาก​คัมภีร์​ไบเบิล​ที่​เธอ​บอก. ต่อ​มา เบอร์ทา พี่​น้อง​หญิง​คน​หนึ่ง​วัย 20 เศษ ๆ นำ​การ​ศึกษา​พระ​คัมภีร์​กับ​แม่​ต่อ และ​ช่วย​แม่​ให้​เป็น​ผู้​รับใช้​ของ​พระ​ยะโฮวา.

ไม่​เหมือน​กับ​แม่ ผม​เป็น​คน​ขี้อาย​และ​ไม่​มี​ความ​มั่น​ใจ​ใน​ตัว​เอง. ที่​แย่​เข้า​ไป​ใหญ่​ก็​คือ แม่​มัก​พูด​ดูถูก​ผม. เมื่อ​ผม​ถาม​แม่​ทั้ง​น้ำตา​ว่า “ทำไม​แม่​ชอบ​ว่า​ผม​อยู่​เรื่อย​เลย?” แม่​ก็​บอก​ว่า​แม่​รัก​ผม แต่​ไม่​อยาก​ทำ​ให้​ผม​เสีย​คน. แม่​มี​เจตนา​ดี แต่​การ​ที่​แม่​ไม่​ชม​ผม​บ้าง​เลย​ทำ​ให้​ผม​รู้สึก​ว่า​ตัว​เอง​ไม่​มี​ค่า.

วัน​หนึ่ง เพื่อน​บ้าน​คน​หนึ่ง​ซึ่ง​มัก​พูด​กับ​ผม​อย่าง​กรุณา​ขอ​ให้​ผม​ไป​โรง​เรียน​รวีวารศึกษา​เป็น​เพื่อน​ลูก​ชาย​เธอ. ผม​รู้​ว่า​พระ​ยะโฮวา​คง​ไม่​พอ​พระทัย​ถ้า​ผม​ไป แต่​ผม​ไม่​กล้า​ขัด​ใจ​เพื่อน​บ้าน​ที่​มี​ใจ​กรุณา​คน​นี้. ดัง​นั้น แม้​ว่า​ผม​รู้สึก​ละอายใจ​แต่​ผม​ก็​ไป​โบสถ์​อยู่​หลาย​เดือน. ที่​โรง​เรียน ความ​กลัว​หน้า​มนุษย์​ก็​ทำ​ให้​ผม​ทำ​อย่าง​ที่​ขัด​กับ​สติ​รู้สึก​ผิด​ชอบ​ของ​ตัว​เอง​ด้วย. ครู​ใหญ่ ซึ่ง​เป็น​คน​ชอบ​ใช้​อำนาจ​บาตร​ใหญ่ กำชับ​พวก​ครู​ให้​คอย​ดู​ว่า​เด็ก​ทุก​คน​เคารพ​ธง​ชาติ. ผม​ก็​เคารพ​ไป​กับ​เขา​ด้วย. เหตุ​การณ์​เป็น​อย่าง​นี้​อยู่​ประมาณ​ปี​หนึ่ง แล้ว​ก็​เกิด​การ​เปลี่ยน​แปลง.

บทเรียน​ใน​เรื่อง​ความ​กล้า

ใน​ปี 1939 มี​การ​จัด​กลุ่ม​การ​ศึกษา​หนังสือ​ขึ้น​ที่​บ้าน​ของ​เรา. เบน มิซคัลสกี พี่​น้อง​ไพโอเนียร์​หนุ่ม เป็น​ผู้​นำ​กลุ่ม​ศึกษา. เรา​เรียก​เขา​ว่า​บิกเบน ซึ่ง​นับ​ว่า​เป็น​ชื่อ​ที่​เหมาะ​กับ​เขา​ที​เดียว. ใน​ความ​รู้สึก​ของ​ผม เขา​ดู​สูง​ใหญ่​พอ ๆ กับ​ประตู​หน้า​บ้าน​ของ​เรา. แม้​ว่า​รูป​ร่าง​ของ​เขา​ใหญ่​โต แต่​หัวใจ​ของ​เขา​อ่อนโยน และ​รอย​ยิ้ม​ที่​อบอุ่น​ของ​เขา​ทำ​ให้​ผม​รู้สึก​เป็น​กัน​เอง​ใน​เวลา​อัน​รวด​เร็ว. ดัง​นั้น เมื่อ​เบน​ชวน​ผม​ไป​ด้วย​กัน​กับ​เขา​ใน​งาน​ประกาศ ผม​จึง​ยินดี​ไป. เรา​กลาย​เป็น​เพื่อน​กัน. เมื่อ​ผม​เศร้า​ซึม เขา​ก็​จะ​พูด​กับ​ผม​แบบ​พี่​ชาย​ที่​ห่วงใย​พูด​กับ​น้อง. นั่น​นับ​ว่า​มี​ความ​หมาย​มาก​ต่อ​ผม และ​ทำ​ให้​ผม​รัก​เขา​มาก.

ใน​ปี 1941 เบน​เชิญ​ครอบครัว​เรา​นั่ง​รถ​ของ​เขา​ไป​ยัง​การ​ประชุม​ใหญ่​ที่​เมือง​เซนต์​หลุยส์ รัฐ​มิสซูรี​ด้วย​กัน. ลอง​นึก​ดู​สิ​ว่า​ผม​ตื่นเต้น​ขนาด​ไหน! ผม​ไม่​เคย​เดิน​ทาง​ไกล​จาก​บ้าน​เกิน 80 กิโลเมตร แต่​ตอน​นี้​ผม​กำลัง​จะ​ไป​ยัง​ที่​ซึ่ง​อยู่​ห่าง​ออก​ไป 1,500 กิโลเมตร! อย่าง​ไร​ก็​ตาม มี​ปัญหา​ที่​เซนต์​หลุยส์. นัก​เทศน์​สั่ง​สมาชิก​ใน​เขต​ปกครอง​ของ​เขา​ให้​ยก​เลิก​การ​จัด​เตรียม​ใด ๆ ที่​จะ​ให้​พยาน​ฯ พัก​ใน​บ้าน​ของ​พวก​เขา. หลาย​คน​ยก​เลิก​ตาม​คำ​สั่ง​นั้น. ครอบครัว​ที่​เรา​จะ​ไป​พัก​ด้วย​ก็​ถูก​ขู่​เหมือน​กัน. ถึง​กระนั้น พวก​เขา​ต้อนรับ​เรา. เจ้าของ​บ้าน​บอก​กับ​เรา​ว่า​พวก​เขา​จะ​ไม่​ผิด​คำ​พูด​ที่​ได้​ให้​สัญญา​ไว้​ว่า​จะ​ให้​เรา​พัก​กับ​เขา. ผม​ประทับใจ​ใน​ความ​กล้า​หาญ​ของ​พวก​เขา.

พี่​สาว​ทั้ง​สอง​คน​ของ​ผม​รับ​บัพติสมา​ใน​การ​ประชุม​นั้น. ใน​วัน​เดียว​กัน​นั้น ใน​คำ​บรรยาย​ที่​ปลุก​เร้า​ใจ​ของ​บราเดอร์​รัทเทอร์ฟอร์ด​ซึ่ง​มา​จาก​เบเธล​บรุกลิน ท่าน​ได้​ขอ​ให้​เด็ก​ทุก​คน​ที่​ต้องการ​ทำ​ตาม​พระ​ประสงค์​ของ​พระเจ้า​ยืน​ขึ้น. มี​เด็ก​ราว ๆ 15,000 คน​ลุก​ขึ้น​ยืน. ผม​ก็​ลุก​ด้วย. จาก​นั้น ท่าน​ขอ​ให้​พวก​เรา​ที่​ต้องการ​ทำ​เต็ม​ที่​ใน​งาน​ประกาศ​พูด​ว่า “ใช่.” ผม​ตะโกน​พร้อม ๆ กับ​เด็ก​คน​อื่น ๆ ว่า “ใช่!” แล้ว​ก็​มี​เสียง​ปรบ​มือ​ดัง​กึกก้อง​ตาม​มา. ใจ​ผม​เกิด​ความ​ห้าว​หาญ​ขึ้น​มา.

หลัง​จาก​ที่​การ​ประชุม​จบ​ลง เรา​ได้​ไป​เยี่ยม​พี่​น้อง​ชาย​คน​หนึ่ง​ที่​เวสต์เวอร์จิเนีย. เขา​เล่า​ให้​ฟัง​ว่า​มี​อยู่​ครั้ง​หนึ่ง​ขณะ​ที่​เขา​ประกาศ​อยู่ ฝูง​ชน​ที่​โกรธ​แค้น​รุม​ทุบ​ตี​เขา​และ​ราด​น้ำมัน​ดิน​แล้ว​ก็​โปรย​ขน​นก​ใส่​เขา​ทั่ว​ทั้ง​ตัว. ผม​ฟัง​เขา​เล่า​จน​แทบ​จะ​ลืม​หายใจ. พี่​น้อง​คน​นี้​บอก​ว่า “แต่​ผม​จะ​ประกาศ​ต่อ ๆ ไป.” เมื่อ​เรา​จาก​พี่​น้อง​คน​นั้น​มา ผม​รู้สึก​เหมือน​กับ​ดาวิด. ผม​พร้อม​แล้ว​ที่​จะ​เผชิญ​หน้า​กับ​ฆาละยัธ ซึ่ง​ก็​คือ​ครู​ใหญ่​ที่​โรง​เรียน​ผม​นั่น​เอง.

เมื่อ​กลับ​มา​ที่​โรง​เรียน ผม​เข้า​พบ​ครู​ใหญ่. เขา​จ้อง​มอง​ผม​อย่าง​ดุ ๆ. ผม​อธิษฐาน​เงียบ ๆ ขอ​ความ​ช่วยเหลือ​จาก​พระ​ยะโฮวา. แล้ว​ผม​ก็​พูด​โพล่ง​ออก​มา​ว่า “ผม​ไป​ร่วม​การ​ประชุม​ใหญ่​ของ​พยาน​พระ​ยะโฮวา​มา. ต่อ​ไป​นี้​ผม​จะ​ไม่​เคารพ​ธง​อีก​แล้ว!” เกิด​มี​ความ​เงียบ​อยู่​นาน. ครู​ใหญ่​ลุก​จาก​โต๊ะ​ช้า ๆ แล้ว​เดิน​มา​หา​ผม. หน้า​ของ​เขา​แดง​ก่ำ​ด้วย​ความ​โกรธ. เขา​ตวาด​ว่า “แก​ต้อง​เคารพ​ธง ถ้า​ไม่​ทำ​แก​ถูก​ไล่​ออก​แน่!” คราว​นี้​ผม​ไม่​ยอม​อะลุ่มอล่วย และ​ลึก ๆ ข้าง​ใน​ผม​รู้สึก​ยินดี​อย่าง​ที่​ไม่​เคย​รู้สึก​มา​ก่อน.

ผม​แทบ​รอ​ไม่​ไหว​ที่​จะ​บอก​เบน​ถึง​เรื่อง​ที่​เกิด​ขึ้น. เมื่อ​ผม​เห็น​เขา​ที่​หอ​ประชุม ผม​ก็​ร้อง​บอก​เขา​ว่า “ผม​ถูก​ไล่​ออก​จาก​โรง​เรียน! ผม​ไม่​เคารพ​ธง!” เบน​ดึง​ผม​เข้า​ไป​กอด ยิ้ม และ​พูด​ว่า “พระ​ยะโฮวา​ต้อง​รัก​เธอ​แน่ ๆ เลย.” (บัญ. 31:​6) นั่น​ช่าง​เป็น​คำ​พูด​ที่​กระตุ้น​ใจ​ผม​จริง ๆ! ใน​วัน​ที่ 15 มิถุนายน 1942 ผม​ก็​รับ​บัพติสมา.

เรียน​รู้​เคล็ดลับ​ของ​ความ​อิ่ม​ใจ​พอ​ใจ

หลัง​สงคราม​โลก​ครั้ง​ที่​สอง เศรษฐกิจ​ของ​ประเทศ​ก็​เฟื่องฟู​อย่าง​รวด​เร็ว และ​วัตถุ​นิยม​ก็​แพร่​ระบาด​ไป​ทั่ว​ประเทศ. ผม​มี​งาน​ที่​ให้​ราย​ได้​ดี​และ​สามารถ​ซื้อ​หลาย​สิ่ง​ที่​เมื่อ​ก่อน​ได้​แค่​ฝัน​ถึง. เพื่อน​ของ​ผม​บาง​คน​มี​รถ​มอเตอร์ไซค์; ส่วน​บาง​คน​ก็​ปรับ​ปรุง​บ้าน​ใหม่. ผม​ซื้อ​รถยนต์​ใหม่​เอี่ยม​คัน​หนึ่ง. ไม่​นาน​นัก ความ​ปรารถนา​ที่​จะ​มี​ความ​สะดวก​สบาย​ด้าน​วัตถุ​มาก​ขึ้น​ก็​เริ่ม​เบียด​บัง​การ​รับใช้​พระ​ยะโฮวา. ผม​รู้​ว่า​ชีวิต​ผม​กำลัง​มุ่ง​ไป​ผิด​ทาง. แต่​ยัง​ดี​ที่​การ​ประชุม​ใหญ่​ใน​ปี 1950 ที่​นคร​นิวยอร์ก​ช่วย​ผม​ให้​แก้ไข​เปลี่ยน​แปลง​แนว​ทาง​ของ​ตัว​เอง.

ใน​การ​ประชุม​นั้น ผู้​บรรยาย​คน​แล้ว​คน​เล่า​ได้​สนับสนุน​ผู้​ฟัง​ให้​มุ่ง​หน้า​ไป​ใน​งาน​ประกาศ. ผู้​บรรยาย​คน​หนึ่ง​กระตุ้น​เรา​ว่า “จง​ปลด​ของ​หนัก​ทิ้ง​ไป เหลือ​ไว้​แต่​สิ่ง​ที่​จำเป็น​จริง ๆ แล้ว​ก็​วิ่ง​แข่ง​ต่อ​ไป.” ฟัง​ดู​เหมือน​กับ​ว่า​เขา​กำลัง​พูด​กับ​ผม​โดย​ตรง. ผม​ยัง​ได้​เห็น​พิธี​มอบ​วุฒิบัตร​แก่​ผู้​สำเร็จ​หลัก​สูตร​โรง​เรียน​กิเลียด​ด้วย ซึ่ง​ทำ​ให้​ผม​คิด​ว่า ‘ถ้า​พยาน​ฯ เหล่า​นี้​ซึ่ง​อายุ​รุ่น​ราว​คราว​เดียว​กับ​ผม​สามารถ​สละ​ความ​สะดวก​สบาย​ด้าน​วัตถุ​ไป​รับใช้​ใน​ต่าง​แดน​ได้ ผม​ก็​น่า​จะ​เต็ม​ใจ​ทำ​อย่าง​เดียว​กัน​ใน​ประเทศ​ของ​ตัว​เอง.’ เมื่อ​สิ้น​สุด​การ​ประชุม​ใหญ่​ครั้ง​นั้น ผม​จึง​ตัดสิน​ใจ​ว่า​จะ​เป็น​ไพโอเนียร์.

ระหว่าง​นั้น ผม​ได้​เริ่ม​ติด​ต่อ​ฝาก​รัก​กับ​เอฟลิน มอนดัก ซึ่ง​เป็น​พี่​น้อง​หญิง​ที่​กระตือรือร้น​ใน​ประชาคม​ของ​ผม. แม่​ของ​เอฟลิน​ซึ่ง​เลี้ยง​ลูก​หก​คน​เป็น​ผู้​หญิง​ที่​มี​ความ​กล้า. เธอ​ชอบ​ประกาศ​หน้า​โบสถ์​ใหญ่​ของ​โรมัน​คาทอลิก. แม้​นัก​เทศน์​ที่​โกรธ​แค้น​ไล่​เธอ​ให้​ไป​ประกาศ​ที่​อื่น​อยู่​บ่อย ๆ เธอ​ก็​ยัง​ปัก​หลัก​ไม่​ยอม​ไป​ไหน. เช่น​เดียว​กับ​แม่​ของ​เธอ เอฟลิน​ไม่​กลัว​หน้า​มนุษย์.—สุภา. 29:25

ใน​ปี 1951 ผม​แต่งงาน​กับ​เอฟลิน ลา​ออก​จาก​งาน​ที่​เรา​ทำ และ​เริ่ม​เป็น​ไพโอเนียร์. ผู้​ดู​แล​หมวด​สนับสนุน​เรา​ให้​ย้าย​ไป​ที่​อา​มา​กัน​เซตต์ หมู่​บ้าน​ที่​ตั้ง​อยู่​บน​ชายฝั่ง​มหาสมุทร​แอตแลนติก ห่าง​จาก​นคร​นิวยอร์ก​ไป​ประมาณ 160 กิโลเมตร. เมื่อ​พี่​น้อง​ที่​ประชาคม​นี้​แจ้ง​ให้​เรา​ทราบ​ว่า​พวก​เขา​ไม่​มี​ที่​พัก​ให้​เรา เรา​จึง​หา​รถ​พ่วง​เพื่อ​ใช้​เป็น​ที่​พัก แต่​ก็​หา​คัน​ที่​เรา​มี​เงิน​พอ​จะ​ซื้อ​ไม่​ได้. แต่​แล้ว​เรา​ก็​พบ​รถ​พ่วง​คัน​หนึ่ง​ที่​สภาพ​ชำรุด​ทรุดโทรม. เจ้าของ​เรียก​ราคา 31,500 บาท—เท่า​กับ​จำนวน​เงิน​ที่​เรา​ได้​รับ​เป็น​ของ​ขวัญ​แต่งงาน​พอ​ดิบ​พอ​ดี. เรา​ซื้อ​รถ​พ่วง​คัน​นี้​เอา​มา​ซ่อม​แล้ว​ก็​พ่วง​ลาก​มัน​ไป​ยัง​เขต​ทำ​งาน​ใหม่​ของ​เรา. แต่​เรา​ไป​ถึง​ที่​นั่น​โดย​ที่​ไม่​มี​เงิน​เหลือ​แม้​แต่​สตางค์​แดง​เดียว และ​ก็​นึก​สงสัย​อยู่​ว่า​เรา​จะ​ไป​รอด​หรือ​ไม่​ใน​ฐานะ​ไพโอเนียร์.

เอฟลิน​ทำ​งาน​ทำ​ความ​สะอาด​บ้าน และ​ผม​ได้​งาน​ทำ​ความ​สะอาด​ตอน​ดึก​ที่​ภัตตาคาร​อาหาร​อิตาลี. เจ้าของ​ภัตตาคาร​บอก​ผม​ว่า “ถ้า​มี​อาหาร​เหลือ ก็​เอา​กลับ​บ้าน​ไป​ให้​ภรรยา​คุณ​ได้​เลย​นะ.” ดัง​นั้น เมื่อ​ผม​กลับ​ถึง​บ้าน​ตอน​ตี​สอง รถ​พ่วง​ของ​เรา​ก็​เต็ม​ไป​ด้วย​กลิ่น​หอม​อบ​อวล​ของ​พิซซ่า​และ​พาสตา. อาหาร​อุ่น​เสิร์ฟ​เหล่า​นี้​นับ​เป็น​ลาภ​ปาก​ของ​เรา​โดย​แท้ โดย​เฉพาะ​ใน​ฤดู​หนาว​ที่​เรา​ตัว​สั่น​งั่ก ๆ อยู่​ใน​ตู้​รถ​พ่วง​ที่​เย็น​เฉียบ. นอก​จาก​นั้น บาง​ครั้ง​พี่​น้อง​ใน​ประชาคม​นำ​ปลา​ตัว​เบ้อ​เริ่ม​มา​วาง​ไว้​ให้​เรา​ที่​บันได​ประตู​รถ​พ่วง. ใน​ช่วง​หลาย​ปี​ที่​เรา​รับใช้​ร่วม​กับ​พี่​น้อง​ที่​รัก​ของ​เรา​ใน​อามากันเซตต์ เรา​เรียน​รู้​ว่า​การ​อิ่ม​ใจ​พอ​ใจ​กับ​สิ่ง​จำเป็น​พื้น​ฐาน​ทำ​ให้​เรา​มี​ชีวิต​ที่​น่า​ยินดี. เรา​มี​ความ​สุข​มาก​ใน​ช่วง​นั้น.

เรา​ถูก​กระตุ้น​ให้​ทุ่มเท​มาก​ขึ้น

ใน​เดือน​กรกฎาคม 1953 เรา​ได้​ต้อนรับ​มิชชันนารี​หลาย​ร้อย​คน​ที่​มา​จาก​เขต​มอบหมาย​ใน​ต่าง​แดน​เพื่อ​เข้า​ร่วม​การ​ประชุม​นานา​ชาติ​ที่​นคร​นิวยอร์ก. พวก​เขา​เล่า​ประสบการณ์​หลาย​เรื่อง​ที่​น่า​ทึ่ง. ความ​ตื่นเต้น​ของ​พวก​เขา​กระตุ้น​คน​อื่น ๆ ให้​รู้สึก​ตื่นเต้น​ไป​ด้วย. นอก​จาก​นั้น เมื่อ​ผู้​บรรยาย​คน​หนึ่ง​ใน​การ​ประชุม​เน้น​ว่า​ยัง​มี​อีก​หลาย​ดินแดน​ที่​ยัง​ไม่​เคย​มี​การ​ประกาศ​ข่าวสาร​เรื่อง​ราชอาณาจักร เรา​ก็​รู้​ว่า​เรา​ต้อง​ทำ​อะไร—เรา​รู้​ว่า​เรา​ต้อง​ทุ่มเท​มาก​ขึ้น​เพื่อ​ขยาย​งาน​รับใช้​ของ​เรา. ใน​การ​ประชุม​นั้น​เอง เรา​ได้​ยื่น​ใบ​สมัคร​เพื่อ​จะ​รับ​การ​ฝึก​อบรม​เป็น​มิชชันนารี. ใน​ปี​เดียว​กัน​นั้น เรา​ได้​รับ​เชิญ​ให้​เข้า​เรียน​ใน​ชั้น​เรียน​ที่ 23 ของ​โรง​เรียน​กิเลียด ซึ่ง​เริ่ม​ใน​เดือน​กุมภาพันธ์ 1954. นับ​เป็น​สิทธิ​พิเศษ​อย่าง​ยิ่ง​จริง ๆ!

เรา​รู้สึก​ตื่นเต้น​เมื่อ​รู้​ว่า​เรา​ได้​รับ​มอบหมาย​ให้​ไป​รับใช้​ที่​บราซิล. ก่อน​เรา​จะ​ออก​เดิน​ทาง​ซึ่ง​ใช้​เวลา 14 วัน​โดย​เรือ​กลไฟ พี่​น้อง​คน​หนึ่ง​ซึ่ง​มี​หน้า​ที่​รับผิดชอบ​ที่​เบเธล​บอก​ผม​ว่า “มิชชันนารี​หญิง​โสด​เก้า​คน​จะ​เดิน​ทาง​ไป​บราซิล​ด้วย​กัน​กับ​คุณ​และ​ภรรยา. ดู​แล​พวก​เธอ​ให้​ดี​นะ!” คุณ​นึก​ภาพ​ออก​ไหม​ว่า​บรรดา​ลูกเรือ​มอง​ผม​อย่าง​ขำ ๆ อย่าง​ไร​เมื่อ​เห็น​ผม​เดิน​ขึ้น​เรือ​พร้อม​กับ​มี​สาว​น้อย​อีก​สิบ​คน​ติด​สอย​ห้อย​ตาม​มา? แต่​พวก​พี่​น้อง​หญิง​เหล่า​นี้​ไม่​มี​ปัญหา​เลย​ใน​การ​รับมือ​กับ​สถานการณ์​ดัง​กล่าว. ถึง​กระนั้น ผม​รู้สึก​โล่ง​ใจ​เมื่อ​เรา​ก้าว​เหยียบ​แผ่นดิน​ประเทศ​บราซิล​อย่าง​ปลอด​ภัย.

หลัง​จาก​เรียน​ภาษา​โปรตุเกส ผม​ได้​รับ​มอบหมาย​ให้​ทำ​งาน​หมวด​ใน​รีโอกรันดีโดซูล รัฐ​ทาง​ตอน​ใต้​ของ​บราซิล. ผู้​ดู​แล​หมวด​ที่​ผม​จะ​ทำ​หน้า​ที่​แทน​เขา ซึ่ง​เป็น​คน​โสด บอก​ผม​กับ​ภรรยา​ว่า “ผม​แปลก​ใจ​ที่​คู่​สมรส​ถูก​ส่ง​มา​ที่​นี่. ท้อง​ที่​นี้​มัน​ขรุขระ ไป​ไหน​มา​ไหน​ลำบาก.” ประชาคม​ต่าง ๆ ตั้ง​อยู่​กระจัด​กระจาย​ทั่ว​พื้น​ที่​อัน​กว้าง​ใหญ่​ใน​ชนบท และ​สามารถ​ไป​ถึง​บาง​ประชาคม​ได้​ด้วย​รถ​บรรทุก​เท่า​นั้น. ถ้า​เรา​ซื้อ​อาหาร​ให้​คน​ขับ​สัก​มื้อ​หนึ่ง เขา​ก็​จะ​ยอม​ให้​เรา​ปีน​ขึ้น​ไป​นั่ง​บน​หลัง​รถ. เรา​นั่ง​คร่อม​บน​ห่อ​สินค้า​เหมือน​กับ​ขี่​ม้า สอง​มือ​จับ​เชือก​รัด​ห่อ​สินค้า​ไว้​แน่น. พอ​รถ​เข้า​โค้ง​ที่​หัก​มาก ๆ ที​ไร เรา​ก็​เป็น​ต้อง​หา​อะไร​ยึด​จับ​ไว้​อย่าง​สุด​ชีวิต​เมื่อ​ห่อ​สินค้า​ซึ่ง​กอง​เป็น​ตั้ง​สูง​เอียง​เอน ทำ​ให้​มอง​ลง​ไป​เห็น​ก้น​หุบ​เหว​ลึก​ลิบ​ลิ่ว. อย่าง​ไร​ก็​ดี เมื่อ​ได้​เห็น​ใบ​หน้า​ที่​ฉาย​แวว​ความ​สุข​ของ​พี่​น้อง​ซึ่ง​คอย​ท่า​เรา​ด้วย​ใจจดใจจ่อ เรา​รู้สึก​ว่า​เป็น​เรื่อง​ที่​คุ้มค่า​ความ​พยายาม​อย่าง​แท้​จริง​ที่​ต้อง​เดิน​ทาง​ยาว​นาน​ทั้ง​วัน​อย่าง​ทรหด​แบบ​นั้น.

เรา​พัก​ที่​บ้าน​ของ​พี่​น้อง. พวก​เขา​ยาก​จน​มาก แต่​นั่น​ไม่​ได้​ยับยั้ง​พวก​เขา​ไว้​จาก​การ​ให้. ใน​พื้น​ที่​โดด​เดี่ยว​ห่าง​ไกล​แห่ง​หนึ่ง พี่​น้อง​ทั้ง​หมด​ทำ​งาน​ใน​โรง​งาน​บรรจุ​เนื้อ. ค่า​แรง​ที่​ต่ำ​มาก​ทำ​ให้​พวก​เขา​มี​เงิน​พอ​จะ​ซื้อ​อาหาร​กิน​ได้​แค่​วัน​ละ​มื้อ. วัน​ไหน​พวก​เขา​ไม่​ทำ​งาน พวก​เขา​ก็​จะ​ไม่​ได้​ค่า​แรง. ถึง​จะ​อย่าง​นั้น ใน​ช่วง​ที่​เรา​ไป​เยี่ยม พวก​เขา​หยุด​งาน​สอง​วัน​เพื่อ​สนับสนุน​กิจกรรม​ของ​ประชาคม. พวก​เขา​ไว้​วางใจ​พระ​ยะโฮวา. พี่​น้อง​ที่​ถ่อม​ใจ​เหล่า​นี้​เป็น​ตัว​อย่าง​ที่​สอน​เรา​เกี่ยว​กับ​การ​เสีย​สละ​เพื่อ​ราชอาณาจักร​ของ​พระเจ้า​ซึ่ง​เรา​จะ​ไม่​มี​วัน​ลืม​เลย. การ​ได้​อยู่​ท่ามกลาง​พวก​เขา​ทำ​ให้​เรา​ได้​เรียน​รู้​บทเรียน​ที่​ไม่​มี​โรง​เรียน​ไหน​จะ​สอน​เรา​ได้. ผม​คิด​ถึง​พี่​น้อง​เหล่า​นี้​ที​ไร น้ำตา​แห่ง​ความ​ยินดี​เป็น​ต้อง​คลอ​เบ้า​ทุก​ที.

ใน​ปี 1976 เรา​กลับ​ไป​ที่​สหรัฐ​เพื่อ​ดู​แล​แม่​ผม​ที่​ป่วย. เป็น​เรื่อง​ยาก​ที่​เรา​จะ​ทำ​ใจ​เมื่อ​ต้อง​ลา​จาก​บราซิล แต่​เรา​รู้สึก​ขอบคุณ​ที่​ได้​เห็น​การ​เติบโต​อย่าง​น่า​ทึ่ง​ของ​ผู้​ประกาศ​และ​ประชาคม​ใน​ประเทศ​นี้. เมื่อ​ไร​ก็​ตาม​ที่​เรา​ได้​รับ​จดหมาย​จาก​บราซิล ความ​ทรง​จำ​ที่​งดงาม​ถึง​ช่วง​เวลา​อัน​วิ-​เศษ​สุด​ใน​ชีวิต​ของ​เรา​ก็​จะ​กลับ​มา.

พบ​เพื่อน​รัก​อีก​ครั้ง

ใน​ช่วง​ที่​ดู​แล​แม่ เรา​เป็น​ไพโอเนียร์​และ​รับ​งาน​ทำ​ความ​สะอาด. ใน​ปี 1980 แม่​ผม​ก็​เสีย​ชีวิต​อย่าง​ซื่อ​สัตย์​ต่อ​พระ​ยะโฮวา. หลัง​จาก​นั้น ผม​ได้​รับ​เชิญ​ให้​รับใช้​ใน​งาน​หมวด​ที่​สหรัฐ. ใน​ปี 1990 ผม​กับ​ภรรยา​ได้​ไป​เยี่ยม​ประชาคม​หนึ่ง​ใน​รัฐ​คอนเนตทิคัต และ​ที่​นั่น​เรา​พบ​กับ​ใคร​คน​หนึ่ง​ที่​พิเศษ​มาก. ผู้​ปกครอง​คน​หนึ่ง​ใน​ประชาคม​นั้น​คือ​เบน—ใช่ เบน​คน​เดียว​กัน​นี้​แหละ​ที่​ได้​ช่วย​ผม​เมื่อ​ประมาณ 50 ปี​ที่​แล้ว​ให้​แสดง​จุด​ยืน​อยู่​ฝ่าย​พระ​ยะโฮวา. คุณ​นึก​ภาพ​ออก​ไหม​ว่า​เรา​ยินดี​ขนาด​ไหน​ขณะ​ที่​เรา​โอบ​กอด​กัน?

ตั้ง​แต่​ปี 1996 ผม​กับ​เอฟลิน​รับใช้​เป็น​ไพโอเนียร์​พิเศษ​ที่​สุขภาพ​ไม่​แข็งแรง​ใน​ประชาคม​ที่​ใช้​ภาษา​โปรตุเกส​ใน​เมือง​เอลิซาเบท รัฐ​นิวเจอร์ซีย์. ผม​มี​ปัญหา​สุขภาพ แต่​ด้วย​ความ​ช่วยเหลือ​จาก​ภรรยา​ผู้​เป็น​ที่​รัก ผม​ร่วม​ทำ​งาน​รับใช้​มาก​เท่า​ที่​จะ​ทำ​ได้. เอฟลิน​ยัง​ได้​ช่วย​เพื่อน​บ้าน​ผู้​สูง​อายุ​คน​หนึ่ง​ซึ่ง​มี​สภาพ​ร่าง​กาย​อ่อนแอ. ชื่อ​ของ​เธอ​หรือ? เบอร์ทา—ใช่ เบอร์ทา​คน​เดียว​กัน​นี้​แหละ​ที่​ได้​ช่วย​แม่​ของ​ผม​ให้​เป็น​ผู้​รับใช้​ของ​พระ​ยะโฮวา​เมื่อ​กว่า 70 ปี​ที่​แล้ว! เรา​ยินดี​ที่​มี​โอกาส​แสดง​ความ​ขอบคุณ​สำหรับ​ทุก​สิ่ง​ที่​เธอ​ได้​ทำ​เพื่อ​ช่วย​ครอบครัว​ผม​ให้​เรียน​ความ​จริง.

ผม​รู้สึก​ขอบคุณ​การ​ประชุม​ใหญ่​ใน​สมัย​แรก ๆ ที่​ผม​ได้​เข้า​ร่วม​ซึ่ง​กระตุ้น​ใจ​ผม​ให้​ยึด​จุด​ยืน​เพื่อ​การ​นมัสการ​แท้, จัด​ชีวิต​ให้​เรียบ​ง่าย, และ​ขยาย​งาน​รับใช้​ของ​ผม. ใช่​แล้ว การ​ประชุม​เหล่า​นั้น​ส่ง​ผล​ต่อ​วิถี​ชีวิต​ของ​ผม​อย่าง​แท้​จริง.

[ภาพ​หน้า 23]

แม่​ของ​เอฟลิน (ซ้าย) กับ​แม่​ของ​ผม

[ภาพ​หน้า 23]

เบน​เพื่อน​ของ​ผม

[ภาพ​หน้า 24]

ที่​บราซิล

[ภาพ​หน้า 25]

ผม​กับ​เอฟลิน​ใน​ปัจจุบัน