มีกิริยามารยาทดีในฐานะผู้รับใช้พระเจ้า
มีกิริยามารยาทดีในฐานะผู้รับใช้พระเจ้า
“จงเป็นผู้เลียนแบบพระเจ้า.”—เอเฟ. 5:1
1, 2. (ก) ทำไมการมีมารยาทดีจึงสำคัญ? (ข) เราจะพิจารณาอะไรในบทความนี้?
ซู ฟอกซ์ นักประพันธ์คนหนึ่งเขียนไว้เกี่ยวกับการกระทำที่แสดงความนับถือว่า “ไม่มีวันหยุดในการแสดงกิริยามารยาทที่ดี. ความสุภาพใช้ได้ทุกที่ ทุกเวลา.” เมื่อผู้คนมีมารยาทดี ปัญหากับคนอื่นก็ลดน้อยลงมากและมักหมดไปเลยด้วยซ้ำ. แต่ก็เป็นจริงในทางตรงกันข้ามด้วย. การปฏิบัติต่อคนอื่นด้วยกิริยามารยาทที่ไม่ดีทำให้เกิดความขัดแย้ง, ความขุ่นเคือง, และความเศร้า.
2 ประชาคมคริสเตียนแท้ประกอบด้วยผู้คนซึ่งโดยทั่วไปแล้วมีมารยาทดี. กระนั้น เราต้องระวังที่จะไม่รับเอามารยาทที่ไม่ดีงามซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาในโลกทุกวันนี้. ให้เราพิจารณาว่าการนำหลักการในคัมภีร์ไบเบิลในเรื่องมารยาทไปใช้จะช่วยป้องกันเราไว้ได้อย่างไรในเรื่องนี้และจะดึงดูดผู้
คนสู่การนมัสการแท้ได้อย่างไร. เพื่อจะเข้าใจว่าการมีมารยาทที่ดีเกี่ยวข้องกับอะไร ให้เราพิจารณาตัวอย่างของพระยะโฮวาพระเจ้าและพระบุตร.พระยะโฮวาและพระบุตร—แบบอย่างในเรื่องมารยาทที่ดี
3. พระยะโฮวาพระเจ้าทรงวางแบบอย่างไว้อย่างไรในเรื่องความมีมารยาท?
3 พระยะโฮวาพระเจ้าทรงวางตัวอย่างอันสมบูรณ์แบบในเรื่องความมีมารยาท. แม้ทรงอยู่ในฐานะสูงส่งเป็นองค์บรมมหิศรแห่งเอกภพ พระองค์ทรงปฏิบัติต่อมนุษย์ด้วยความกรุณาและความนับถืออย่างยิ่ง. เมื่อทรงมีพระดำรัสกับทั้งอับราฮามและโมเซ พระยะโฮวาทรงใช้คำภาษาฮีบรูซึ่งมักแปลกันว่า “โปรด.” (เย. 13:14, ล.ม.; เอ็ก. 4:6, ล.ม.) เมื่อผู้รับใช้ของพระองค์ทำผิด พระยะโฮวา “ประกอบไปด้วยพระเมตตากรุณา, ทรงพระพิโรธช้า ๆ, ความกรุณาคุณและความสัตย์จริงมีเหลือล้น.” (เพลง. 86:15) พระองค์ทรงแตกต่างอย่างมากจากมนุษย์บางคนที่บันดาลโทสะเมื่อคนอื่นทำไม่ได้อย่างที่เขาคาดหมาย.
4. เราจะเลียนแบบพระยะโฮวาเมื่อคนอื่นพูดกับเราได้อย่างไร?
4 ความมีมารยาทดีของพระเจ้ายังเห็นได้ชัดเจนจากวิธีที่พระองค์ทรงฟังมนุษย์. เมื่ออับราฮามถามเกี่ยวกับผู้คนในเมืองโซโดม พระยะโฮวาทรงตอบแต่ละคำถามอย่างอดทน. (เย. 18:23-32) พระองค์ไม่ได้ถือว่าความเป็นห่วงกังวลของอับราฮามทำให้พระองค์เสียเวลา. พระยะโฮวาทรงฟังคำอธิษฐานของผู้รับใช้พระองค์และเสียงร้องของผู้ทำผิดที่กลับใจ. (อ่านบทเพลงสรรเสริญ 51:11, 17) เราควรเลียนแบบพระยะโฮวาด้วยการฟังเมื่อคนอื่นพูดกับเรามิใช่หรือ?
5. การเลียนแบบความมีมารยาทของพระเยซูช่วยให้ความสัมพันธ์ของเรากับคนอื่น ๆ ดีขึ้นได้อย่างไร?
5 สิ่งหนึ่งที่พระเยซูคริสต์ทรงเรียนรู้จากพระบิดาก็คือความมีมารยาท. แม้ว่าบางครั้งพระองค์ต้องใช้เวลาและพละกำลังอย่างมากในงานรับใช้ พระเยซูทรงอดทนและกรุณาเสมอ. คนโรคเรื้อน, คนตาบอดที่ต้องขอทานหาเลี้ยงชีพ, และคนอื่น ๆ ที่จำเป็นต้องได้รับความช่วยเหลือต่างก็พบว่าพระเยซูทรงอยู่พร้อมและเต็มใจช่วยพวกเขา. พระองค์ไม่ทรงทำเมินเฉยต่อพวกเขา แม้ว่าพวกเขามาหาพระองค์โดยไม่ได้นัดหมายไว้ก่อน. บ่อยครั้ง พระองค์ทรงพักสิ่งที่กำลังทำเอาไว้ก่อนเพื่อช่วยคนที่ว้าวุ่นใจ. พระเยซูทรงคำนึงถึงเป็นพิเศษต่อคนที่แสดงความเชื่อในพระองค์. (มโก. 5:30-34; ลูกา 18:35-41) ในฐานะคริสเตียน เราทำตามแบบอย่างของพระเยซูด้วยการแสดงความกรุณาและช่วยเหลือผู้อื่น. ญาติ, เพื่อนบ้าน, และคนอื่น ๆ ย่อมสังเกตเห็นความประพฤติเช่นนั้น. นอกจากนั้น ความประพฤติเช่นนั้นเป็นการถวายเกียรติแด่พระยะโฮวาและทำให้เรามีความสุข.
6. พระเยซูทรงวางแบบอย่างไว้อย่างไรในเรื่องการมีอัธยาศัยไมตรี?
6 พระเยซูยังทรงแสดงความนับถือต่อผู้คนโดยทรงเรียกชื่อพวกเขาด้วย. พวกหัวหน้าศาสนายิวให้เกียรติคนอื่นแบบนั้นไหม? ไม่เลย. พวกเขาถือว่าคนที่ไม่รู้จักพระบัญญัติเป็น “คนถูกแช่งสาป” และปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างเหยียดหยาม. (โย. 7:49) พระบุตรของพระเจ้าไม่ทรงเป็นอย่างนั้น. มาร์ทา, มาเรีย, ซัคเคอุส, และคนอื่น ๆ อีกหลายคนได้ยินพระองค์เรียกชื่อพวกเขา. (ลูกา 10:41, 42; 19:5) แม้ว่าบรรทัดฐานทางวัฒนธรรมและสถานการณ์อาจกำหนดว่าเราควรกล่าวทักทายผู้คนอย่างไรในปัจจุบัน ผู้รับใช้ของพระยะโฮวาพยายามแสดงอัธยาศัยไมตรีต่อคนอื่น ๆ. * พวกเขาไม่ปล่อยให้การแบ่งชนชั้นมาบั่นทอนความนับถือที่เพื่อนร่วมความเชื่อและคนอื่น ๆ สมควรได้รับ.—อ่านยาโกโบ 2:1-4
7. หลักการในคัมภีร์ไบเบิลช่วยเราอย่างไรให้แสดงมารยาทดีต่อเพื่อนมนุษย์ทุกแห่งหน?
7 แนวทางที่พระเจ้าและพระบุตรปฏิบัติต่อผู้คนในทุกชาติและทุกกลุ่มชาติพันธุ์อย่างมีมารยาทแสดงว่าพระองค์ทั้งสองมีความนับถือต่อบุคคลเหล่านั้นและดึงดูดคนที่เต็มใจตอบรับความจริง. แน่นอน สิ่งที่ถือว่าเป็นกิริยามารยาท
ที่ดีย่อมแตกต่างกันไปในแต่ละที่. ด้วยเหตุนั้น เราไม่ปฏิบัติตามกฎความประพฤติที่เข้มงวดเกินไปในเรื่องกิริยามารยาท. แทนที่จะเป็นเช่นนั้น เราให้หลักการในคัมภีร์ไบเบิลช่วยเราให้มีความยืดหยุ่นในการให้เกียรติเพื่อนมนุษย์ทุกแห่งหน. ให้เราพิจารณาว่าการปฏิบัติต่อผู้คนอย่างมีมารยาทสามารถทำให้เราเกิดผลมากขึ้นในงานรับใช้ของคริสเตียนอย่างไร.ทักทายคนอื่น ๆ และพูดคุยกับพวกเขา
8, 9. (ก) นิสัยอะไรที่อาจถูกมองว่าเป็นมารยาทไม่ดี? (ข) เหตุใดเราควรให้คำตรัสของพระเยซูดังบันทึกไว้ที่มัดธาย 5:47 ส่งผลต่อวิธีที่เราปฏิบัติต่อคนอื่น ๆ?
8 ปัจจุบัน จังหวะชีวิตที่รีบเร่งซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาในหลาย ๆ แห่งทำให้ผู้คนเดินสวนกันโดยไม่พูดคำว่า “สวัสดี” หรือ “สบายดีไหม?” แน่นอน ไม่มีใครคาดหมายว่าคุณควรพูดกับทุกคนที่เดินสวนกันบนทางเท้าที่มีผู้คนพลุกพล่าน. แต่ในอีกหลายสถานการณ์ เป็นเรื่องเหมาะสมที่จะทักทายคนอื่น ๆ. คุณทักทายคนอื่น ๆ เป็นประจำไหม? หรือคุณมักเดินผ่านไปโดยไม่ยิ้มหรือทักทายใคร? โดยไม่เจตนา คนเราอาจพัฒนานิสัยซึ่งจริง ๆ แล้วเป็นมารยาทไม่ดี.
9 พระเยซูทรงให้ข้อเตือนใจแก่เราเมื่อพระองค์ตรัสว่า “ถ้าเจ้าทักทายแต่พี่น้องของเจ้า เจ้าทำอะไรเป็นพิเศษเล่า? ชนต่างชาติก็ทำอย่างเดียวกันมิใช่หรือ?” (มัด. 5:47) เกี่ยวกับเรื่องนี้ โดนัลด์ ไวส์ ผู้ให้คำปรึกษาเขียนว่า “ผู้คนจะรู้สึกไม่พอใจเมื่อถูกคนอื่นมองข้าม. ไม่มีข้อแก้ตัวใด ๆ จะช่วยคนที่ถูกมองข้ามรู้สึกดีขึ้นได้. วิธีแก้ง่าย ๆ ก็คือ: จงทักทายคนอื่น ๆ. จงพูดคุยกับพวกเขา.” ถ้าเราไม่ปล่อยให้ความเหินห่างหรือความเย็นชาขัดขวางเราไว้จากการติดต่อพูดคุยกับคนอื่น เราจะได้รับผลดีหลายอย่าง.
10. มารยาทที่ดีสามารถช่วยเราให้เกิดผลในงานรับใช้ได้อย่างไร? (ดูกรอบ “เริ่มด้วยรอยยิ้มที่อบอุ่น.”)
10 ขอให้พิจารณากรณีของคู่สมรสคริสเตียนที่ชื่อทอมและแครอล ซึ่งอยู่ที่เมืองใหญ่เมืองหนึ่งในอเมริกาเหนือ. ทั้งสองได้ทำให้การพูดคุยฉันมิตรกับเพื่อนบ้านเป็นส่วนหนึ่งของงานรับใช้. พวกเขาทำอย่างไร? โดยอ้างถึงยาโกโบ 3:18 ทอมกล่าวว่า “เราพยายามทำตัวเป็นมิตรและอยู่อย่างสงบสุขกับคนอื่น ๆ. เราเข้าไปหาคนที่เราเห็นว่าอยู่นอกบ้านและคนที่ทำงานอยู่ในบริเวณนั้น. เรายิ้มให้และทักทายพวกเขา. เราพูดถึงเรื่องที่พวกเขาสนใจ เช่น เรื่องลูก, เรื่องหมา, เรื่องบ้าน, เรื่องงาน. ในที่สุด พวกเขาก็มองว่าเราเป็นเพื่อน.” แครอลกล่าวเสริมว่า “ในการเยี่ยม ครั้งต่อไป เราบอกชื่อเราและถามชื่อพวกเขา. เราบอกให้พวกเขารู้ว่าเรากำลังทำอะไรแถวนั้น แต่ก็พูดแค่สั้น ๆ. ในที่สุด เราก็สามารถประกาศกับพวกเขาได้.” ทอมและแครอลสามารถทำให้เพื่อนบ้านหลายคนไว้ใจในตัวพวกเขา. มีหลายคนรับหนังสือที่อาศัยคัมภีร์ไบเบิลเป็นหลัก และมีบางคนแสดงความสนใจอย่างมากในการเรียนความจริง.
แสดงความมีมารยาทในสถานการณ์ที่ยุ่งยาก
11, 12. เหตุใดเราคาดหมายได้ว่าจะถูกปฏิบัติอย่างไม่สุภาพขณะที่ประกาศข่าวดี และเราควรแสดงปฏิกิริยาอย่างไร?
11 บางครั้ง เราถูกปฏิบัติอย่างไม่สุภาพขณะที่เราประกาศข่าวดี. เราคาดหมายได้ในเรื่องนี้ เพราะพระคริสต์เยซูทรงเตือนเหล่าสาวกไว้ล่วงหน้าว่า “ถ้าพวกเขาข่มเหงเรา พวกเขาก็จะข่มเหงพวกเจ้าด้วย.” (โย. 15:20) แต่การตอบโต้คำพูดดูถูกด้วยคำพูดแบบเดียวกันไม่เป็นผลดี. เราควรแสดงปฏิกิริยาอย่างไร? อัครสาวกเปโตรเขียนว่า “ในใจท่านทั้งหลาย จงเคารพนับถือพระคริสต์ในฐานะองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้บริสุทธิ์ พร้อมเสมอที่จะปกป้องความหวังของพวกท่านโดยชี้แจงแก่ทุกคนที่อยากรู้ว่าทำไมพวกท่านหวังอย่างนั้น แต่จงทำเช่นนั้นด้วยอารมณ์อ่อนโยนและด้วยความนับถืออย่างยิ่ง.” (1 เป. 3:15) การแสดงความมีมารยาทด้วยการตอบอย่างอ่อนโยนและนับถืออาจทำให้ทัศนคติของคนที่ดูถูกเหยียดหยามเราเปลี่ยนไปในทางที่ดี.—ทิทุส 2:7, 8
12 เราจะเตรียมพร้อมที่จะเผชิญกับคำพูดที่หยาบคายในแนวทางที่พระเจ้าพอพระทัยได้ไหม? ได้. เปาโลแนะนำว่า “ให้คำพูดของท่านทั้งหลายเป็นคำพูดที่แสดงความกรุณาเสมอ เหมือนอาหารที่ปรุงด้วยเกลือ ท่านทั้งหลายจะได้รู้ว่าควรจะตอบแต่ละคนอย่างไร.” (โกโล. 4:6) ถ้าเราสร้างนิสัยที่จะแสดงมารยาทที่ดีต่อคนในครอบครัว, เพื่อนนักเรียน, เพื่อนร่วมงาน, พี่น้องในประชาคม, และเพื่อนบ้าน เราจะพร้อมมากขึ้นที่จะเผชิญหน้ากับการเยาะเย้ยและการดูถูกในแนวทางที่คริสเตียนควรทำ.—อ่านโรม 12:17-21
13. จงยกตัวอย่างว่าการแสดงความมีมารยาทอาจทำให้ทัศนคติของผู้ต่อต้านเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นอย่างไร.
13 การแสดงมารยาทที่ดีในสถานการณ์ที่ยุ่งยากก่อให้เกิดผลดี. ตัวอย่างเช่น ที่ญี่ปุ่น พยานฯ คนหนึ่งถูกเจ้าของบ้านและแขกของเขาเยาะเย้ย. พี่น้องชายคนนี้จากบ้านนั้นมาอย่างสุภาพ. ขณะที่เขาประกาศต่อไปในเขตนั้น เขาสังเกตว่าแขกของเจ้าของบ้านคนนั้นมองดูเขาอยู่จากระยะไม่ไกล. เมื่อพี่น้องเข้าไปหาเขา ชายคนนี้กล่าวว่า “ผมขอ
โทษสำหรับเรื่องที่เกิดขึ้น. แม้ว่าเราพูดไม่ดีต่อคุณ แต่ผมสังเกตว่าคุณก็ยังยิ้ม. ผมต้องทำอย่างไรถึงจะเป็นเหมือนคุณได้?” เนื่องจากชายคนนี้ตกงานและแม่เพิ่งเสียชีวิต เขาจึงรู้สึกหมดอาลัยตายอยาก. พี่น้องจึงเสนอการศึกษาพระคัมภีร์กับเขา และชายคนนี้ก็ตอบรับ. ไม่นาน เขาก็ศึกษาสัปดาห์ละสองครั้ง.วิธีที่ดีที่สุดในการสอนให้มีมารยาทดี
14, 15. ผู้รับใช้ของพระยะโฮวาในสมัยคัมภีร์ไบเบิลฝึกอบรมบุตรอย่างไร?
14 บิดามารดาที่เลื่อมใสพระเจ้าในสมัยคัมภีร์ไบเบิลเอาใจใส่ในการสอนลูกที่บ้านให้เรียนรู้ในเรื่องมารยาท. ขอให้พิจารณาว่าอับราฮามและยิศฮาคบุตรชายเรียกกันอย่างสุภาพอย่างไรในเยเนซิศ 22:7. เห็นได้ชัดด้วยว่าโยเซฟได้รับการฝึกอบรมมารยาทเป็นอย่างดีจากบิดามารดา. เมื่อติดคุกอยู่นั้น ท่านแสดงความมีมารยาทแม้แต่กับคนที่ติดคุกด้วยกัน. (เย. 40:8, 14) คำพูดที่ท่านกล่าวต่อฟาโรห์แสดงให้เห็นว่าท่านได้เรียนรู้วิธีที่ถูกต้องในการพูดกับบุคคลที่มีตำแหน่งสูง.—เย. 41:16, 33, 34
15 พระบัญญัติสิบประการซึ่งประทานแก่ชาวอิสราเอลมีพระบัญชานี้รวมอยู่ด้วย ที่ว่า “จงนับถือบิดามารดาของเจ้า, เพื่ออายุของเจ้าจะได้ยืนนานบนแผ่นดินซึ่งพระยะโฮวาพระเจ้าของเจ้าประทานให้แก่เจ้า.” (เอ็ก. 20:12) วิธีหนึ่งที่ลูกจะแสดงความนับถือบิดามารดาก็คือโดยการมีกิริยามารยาทดีเมื่ออยู่ที่บ้าน. บุตรสาวของยิฟทาห์แสดงความนับถืออย่างโดดเด่นต่อบิดาด้วยการทำตามคำปฏิญาณของบิดาแม้ว่าเป็นเรื่องที่ลำบากอย่างยิ่ง.—วินิจ. 11:35-40
16-18. (ก) บิดามารดาอาจทำอะไรได้บ้างเพื่อสอนลูกให้มีมารยาทที่ดี? (ข) การสอนลูกให้มีมารยาทที่ดีมีประโยชน์อย่างไรบ้าง?
16 คุณค่าของการฝึกอบรมลูกให้มีกิริยามารยาทดีเป็นเรื่องสำคัญมาก. เพื่อจะเติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ที่ดี เด็ก ๆ ควรเรียนรู้วิธีที่เหมาะสมในการทักทายแขกผู้มาเยือน, วิธีรับโทรศัพท์, และวิธีรับประทานอาหารร่วมกับคนอื่น. เขาควรได้รับความช่วยเหลือให้เข้าใจเหตุผลที่เขาควรเปิดประตูค้างไว้ให้ผู้อื่น, แสดงความกรุณาต่อผู้สูงอายุและคนที่เจ็บป่วย, และเสนอตัวช่วยคนที่ถือของหนัก. เขาจำเป็นต้องเข้าใจความสำคัญของคำพูดที่กล่าวอย่างจริงใจว่า “กรุณา,” “ขอบคุณ,” “ด้วยความยินดี,” “มีอะไรให้ช่วยไหมครับ/คะ?,” และ “ขอโทษ.”
17 การฝึกอบรมลูกให้มีมารยาทดีไม่ใช่เรื่องยาก. วิธีที่ดีที่สุดก็คือการวางตัวอย่างที่ดี. เคิร์ต ซึ่งอายุยี่สิบห้าปี กล่าวถึงวิธีที่เขาเองและพี่ชายน้องชายอีกสามคนเรียนรู้ในเรื่องมารยาทที่ดีว่า “เรามองเห็นและได้ยินพ่อกับแม่พูดกันอย่างกรุณาและปฏิบัติต่อคนอื่นอย่างอดทนและคำนึง
ถึงความรู้สึกของผู้อื่น. ที่หอประชุม พ่อจะพาผมไปคุยกับพี่น้องสูงอายุก่อนและหลังการประชุม. ผมได้ยินคำทักทายของพ่อและเห็นว่าพ่อแสดงความนับถือต่อผู้สูงอายุเหล่านั้น.” เคิร์ตกล่าวต่อไปอีกว่า “ในที่สุด ผมก็มีมารยาทดีเหมือนพ่อ. การปฏิบัติต่อคนอื่นอย่างมีมารยาทกลายเป็นเรื่องที่เป็นไปโดยอัตโนมัติ. การมีมารยาทไม่ใช่เรื่องที่เราต้อง ทำ แต่เป็นเรื่องที่เราต้องการ ทำ.”18 จะเกิดผลอย่างไรถ้าบิดามารดาสอนลูกในเรื่องมารยาทที่ดี? ลูกก็จะสามารถมีเพื่อนและไม่มีปัญหากับคนอื่น. พวกเขาก็จะถูกเตรียมไว้พร้อมสำหรับการทำงานกับนายจ้างและเพื่อนร่วมงาน. นอกจากนั้น เมื่อลูกมีมารยาทดีและซื่อตรง บิดามารดาก็จะชื่นใจยินดี.—อ่านสุภาษิต 23:24, 25
มารยาทที่ดีทำให้เราแตกต่างจากคนรอบข้าง
19, 20. เหตุใดเราควรตั้งใจแน่วแน่จะเลียนแบบพระเจ้าและพระบุตรผู้เป็นแบบอย่างในเรื่องความมีมารยาท?
19 เปาโลเขียนว่า “จงเป็นผู้เลียนแบบพระเจ้าเพราะท่านเป็นบุตรที่รักของพระองค์.” (เอเฟ. 5:1) การเลียนแบบพระยะโฮวาพระเจ้าและพระบุตรเกี่ยวข้องกับการใช้หลักการในคัมภีร์ไบเบิลด้วย อย่างเช่นหลักการที่พิจารณาในบทความนี้. เมื่อเราใช้หลักการในพระคัมภีร์ เราจะไม่แสดงมารยาทที่ดีเพียงเพื่อจะประจบคนที่มีฐานะสูงกว่าหรือเพื่อจะได้ผลประโยชน์ด้านวัตถุ.—ยูดา 16
20 ในช่วงสุดท้ายของการปกครองอันชั่วช้าของซาตาน มันมุ่งมั่นจะกำจัดมาตรฐานการประพฤติอันน่านับถือที่พระยะโฮวาทรงวางไว้. แต่พญามารจะไม่ประสบความสำเร็จในการขจัดมารยาทที่ดีของคริสเตียนแท้. ขอเราแต่ละคนตั้งใจแน่วแน่ว่าจะทำตามแบบอย่างพระเจ้าและพระบุตรในเรื่องความมีมารยาท. เมื่อทำอย่างนั้น คำพูดและการกระทำของเราก็จะแตกต่างเสมอกับคำพูดและการกระทำของคนที่เลือกจะมีมารยาทไม่ดี. เราจะนำคำสรรเสริญมาสู่พระนามของพระยะโฮวาพระเจ้าผู้เป็นตัวอย่างที่สมบูรณ์แบบในเรื่องมารยาท และจะดึงดูดคนที่มีหัวใจสุจริตให้มานมัสการพระองค์.
[เชิงอรรถ]
^ วรรค 6 ในบางวัฒนธรรม เช่น วัฒนธรรมไทย ถือว่าเป็นการเสียมารยาทที่จะเรียกผู้มีอายุมากกว่าโดยไม่มีคำนำหน้าชื่อ. คริสเตียนควรแสดงความนับถือธรรมเนียมดังกล่าว.
คุณจำได้ไหม?
• เราเรียนอะไรได้จากพระยะโฮวาและพระบุตรเกี่ยวกับการแสดงมารยาทที่ดี?
• เหตุใดการทักทายคนอื่น ๆ อย่างอบอุ่นจึงทำให้พวกเขาประทับใจพวกเราในฐานะที่เป็นคริสเตียน?
• ความมีมารยาทส่งเสริมงานรับใช้ให้เกิดผลอย่างไร?
• บิดามารดามีบทบาทอย่างไรในการสอนบุตรให้มีมารยาทดี?
[คำถาม]
[กรอบหน้า 27]
เริ่มด้วยรอยยิ้มที่อบอุ่น
หลายคนลังเลที่จะเริ่มสนทนากับคนที่ไม่รู้จัก. แต่เพราะพวกเขารักพระเจ้าและเพื่อนบ้าน พยานพระยะโฮวาพยายามอย่างจริงจังที่จะเรียนรู้วิธีสนทนาเพื่อจะบอกความจริงในคัมภีร์ไบเบิลกับคนอื่น ๆ ได้. อะไรจะช่วยคุณให้พัฒนาความสามารถในด้านนี้?
หลักการหนึ่งที่เป็นประโยชน์มีบอกไว้ในฟิลิปปอย 2:4 ซึ่งอ่านว่า “[อย่า] ห่วงแต่เรื่องของตัวเองเท่านั้น แต่ห่วงเรื่องของคนอื่นด้วย.” ลองพิจารณาคำพูดดังกล่าวอย่างนี้: ถ้าคุณไม่เคยพบใครคนหนึ่งมาก่อนเลย เขาย่อมมองว่าคุณเป็นคนแปลกหน้า. คุณจะทำให้เขารู้สึกสบายใจได้อย่างไร? รอยยิ้มที่อบอุ่นและการทักทายอย่างเป็นมิตรอาจช่วยได้. แต่ยังมีสิ่งอื่นด้วยที่ควรพิจารณา.
ด้วยการพยายามเริ่มการสนทนากับบางคน คุณอาจขัดจังหวะเรื่องที่เขากำลังคิดอยู่. ถ้าคุณพยายามชวนเขาให้คุยกันในเรื่องที่อยู่ในความคิดของคุณโดยไม่คำนึงถึงเรื่องที่อยู่ในความคิดของเขา เขาอาจไม่ตอบรับ. ด้วยเหตุนั้น ถ้าคุณพอจะรู้ว่าคนนั้นอาจคิดอะไรอยู่ คุณก็น่าจะใช้เรื่องนั้นเพื่อเริ่มการสนทนากับเขามิใช่หรือ? พระเยซูทรงทำอย่างนั้นเมื่อพระองค์พบหญิงคนหนึ่งที่บ่อน้ำในซะมาเรีย. (โย. 4:7-26) เรื่องที่อยู่ในความคิดของเธอคือการตักน้ำ. พระเยซูทรงเริ่มสนทนากับเธอโดยใช้เรื่องนี้ แล้วก็หันมาพิจารณาเรื่องฝ่ายวิญญาณอย่างมีชีวิตชีวา.
[ภาพหน้า 26]
การแสดงความเป็นมิตรต่อคนอื่นอาจทำให้สามารถประกาศข่าวดีกับเขาได้
[ภาพหน้า 28]
มารยาทที่ดีเป็นเรื่องเหมาะสมเสมอ