คำพูดที่กรุณาส่งเสริมสายสัมพันธ์ที่ดี
คำพูดที่กรุณาส่งเสริมสายสัมพันธ์ที่ดี
“ให้คำพูดของท่านทั้งหลายเป็นคำพูดที่แสดงความกรุณาเสมอ.”—โกโล. 4:6
1, 2. คำพูดที่แสดงความกรุณาของพี่น้องชายคนหนึ่งก่อให้เกิดผลดีอะไร?
พี่น้องชายคนหนึ่งเล่าว่า “ขณะที่ผมกำลังประกาศตามบ้าน ผมพบกับชายคนหนึ่งซึ่งโกรธมากจนปากสั่นตัวสั่น. ผมพยายามชี้ให้เขาเห็นเหตุผลจากพระคัมภีร์ด้วยท่าทีที่สงบ แต่เขายิ่งโกรธมากขึ้นไปอีก. ภรรยาของเขากับลูก ๆ ก็ร่วมด่าว่าผมด้วย ผมจึงรู้ว่าถึงเวลาแล้วที่ควรจะจากไป. ผมรับรองกับครอบครัวนี้ว่าผมมาอย่างสันติและอยากจะจากไปอย่างสันติ. ผมให้พวกเขาดูกาลาเทีย 5:22, 23 ซึ่งที่นั่นกล่าวถึงความรัก, ความอ่อนโยน, การควบคุมตนเอง, และสันติสุข. แล้วผมก็จากมา.
2 “ต่อมา ขณะที่ผมกำลังประกาศตามบ้านที่อีกฟากหนึ่งของถนน ผมเห็นครอบครัวนั้นนั่งอยู่ที่บันไดหน้าบ้าน. พวกเขาเรียกให้ผมไปหา. ‘อะไรอีกล่ะคราวนี้?’ ผมคิด. ชายคนนั้นถือเหยือกน้ำเย็นและเชิญให้ผมดื่มน้ำ. เขาขอโทษที่หยาบคายกับผมและชมเชยที่ผมมีความเชื่อแรงกล้า. แล้วเราก็ลาจากกันด้วยดี.”
3. เหตุใดเราต้องควบคุมตัวเองไม่ให้โกรธ?
3 ในโลกปัจจุบันที่เต็มไปด้วยความกดดัน มักเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่เราจะเผชิญหน้ากับผู้คนที่อารมณ์ฉุนเฉียว รวมทั้งในขณะที่เราทำงานรับใช้ด้วย. เมื่อเราพบคนอย่างนั้น นับว่าสำคัญที่เราจะแสดง ‘อารมณ์อ่อนโยนและความนับถืออย่างยิ่ง.’ (1 เป. 3:15) ถ้าพี่น้องชายคนนั้นปล่อยให้ความโกรธและความไม่กรุณาของเจ้าของบ้านทำให้เขาโกรธ ท่าทีของเจ้าของบ้านคงจะไม่อ่อนลงอย่างนั้น; เขาอาจโกรธมากขึ้นไปอีก. เนื่องจากพี่น้องของเราควบคุมตัวเองและพูดอย่างกรุณา จึงเกิดผลที่ดี.
สิ่งที่ทำให้เราพูดอย่างกรุณา
4. เหตุใดจึงสำคัญที่จะใช้คำพูดที่แสดงความกรุณา?
4 ไม่ว่าเราติดต่อเกี่ยวข้องกับคนภายนอกหรือภายในประชาคม แม้แต่กับคนในครอบครัวของเราเอง เป็นเรื่องสำคัญที่จะทำตามคำแนะนำของอัครสาวกเปาโลที่ว่า “ให้คำพูดของท่านทั้งหลายเป็นคำพูดที่แสดงความกรุณาเสมอเหมือนอาหารที่ปรุงด้วยเกลือ.” (โกโล. 4:6) คำพูดที่น่าฟังและเหมาะสมมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการสื่อความที่ดีและสันติสุข.
5. การสื่อความที่ดีไม่ได้หมายถึงการทำเช่นไร? จงยกตัวอย่าง.
5 การสื่อความที่ดีไม่ได้หมายถึงการพูดทุกสิ่งที่คุณคิดและรู้สึกทุกเมื่อที่มีโอกาส โดยเฉพาะเมื่อคุณรู้สึกขุ่นเคือง. พระคัมภีร์ชี้ว่าการแสดงความโกรธอย่างไม่ควบคุมแสดงถึงความอ่อนแอ ไม่ใช่ความเข้มแข็ง. (อ่านสุภาษิต 25:28; 29:11) ครั้งหนึ่ง โมเซซึ่ง “เป็นคนถ่อมจิตใจอ่อนยิ่งมากกว่า” คนที่มีชีวิตในสมัยนั้นปล่อยให้การขืนอำนาจของชาวอิสราเอลทำให้ท่านอารมณ์เสีย และด้วยเหตุนั้นจึงไม่ได้แสดงความนับถือต่อพระเจ้า. โมเซพูดออกมาอย่างชัดเจนทีเดียวว่าท่านรู้สึกอย่างไร แต่พระยะโฮวาไม่พอพระทัย. หลังจากที่นำชาวอิสราเอลถึง 40 ปี โมเซไม่ได้รับสิทธิพิเศษที่จะพาพวกเขาเข้าไปในแผ่นดินที่ทรงสัญญา.—อาฤ. 12:3; 20:10, 12; เพลง. 106:32
6. การพูดอย่างสุขุมรอบคอบหมายถึงอะไร?
6 พระคัมภีร์ชมเชยการหักห้ามใจและความสุขุมรอบคอบหรือการใช้ดุลพินิจเมื่อเราพูด. “การพูดมากมักมีความผิด; แต่ผู้ที่ยับยั้งริมฝีปากของตนย่อมประพฤติเป็นคนมีปัญญา.” (สุภา. 10:19; 17:27) ถึงกระนั้น การพูดอย่าง สุขุมรอบคอบไม่ได้หมายความว่าจะแสดงความคิดเห็นไม่ได้ แต่หมายถึงการพูดอย่าง “ที่แสดงความกรุณา” ไม่ใช้คำพูดที่ทำให้เจ็บใจ แต่ใช้คำพูดที่เยียวยารักษา.—อ่านสุภาษิต 12:18; 18:21
มี “เวลานิ่งเงียบและเวลาพูด”
7. เราไม่ควรแสดงสิ่งใดออกมา และเพราะเหตุใด?
7 เช่นเดียวกับที่เราจำเป็นต้องแสดงความกรุณาและการหักห้ามใจเมื่อพูดกับเพื่อนร่วมงานหรือคนแปลกหน้าในการประกาศ เราจำเป็นต้องทำอย่างนั้นด้วยเมื่ออยู่ในประชาคมและที่บ้าน. การระบายความโกรธโดยไม่คำนึงถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นสามารถสร้างความเสียหายร้ายแรงต่อสุขภาพฝ่ายวิญญาณ, สุขภาพจิต, และสุขภาพกายของตัวเราเองและคนอื่น ๆ. (สุภา. 18:6, 7) ความรู้สึกที่ไม่ดี—ซึ่งแสดงถึงความไม่สมบูรณ์ของเรา—ต้องถูกควบคุมไว้. คำพูดหยาบหยาม, เย้ยหยัน, ดูถูก, และการเดือดดาลอันน่ารังเกียจเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง. (โกโล. 3:8; ยโก. 1:20) สิ่งเหล่านี้อาจทำลายสายสัมพันธ์อันมีค่ายิ่งที่เรามีกับคนอื่น ๆ และกับพระยะโฮวา. พระเยซูทรงสอนว่า “ทุกคนที่โกรธพี่น้องอยู่ไม่หายจะต้องให้การต่อศาล ผู้ใดเรียกพี่น้องด้วยคำดูหมิ่นที่ไม่ควรพูดจะต้องให้การต่อศาลสูง และถ้าผู้ใดพูดว่า ‘เจ้ามันโง่เง่าสิ้นดี!’ จะต้องรับโทษที่เกเฮนนาซึ่งมีไฟร้อนแรง.”—มัด. 5:22
8. เราต้องแสดงความรู้สึกเมื่อไร แต่ด้วยท่าทีอย่างไร?
8 อย่างไรก็ตาม มีบางเรื่องที่เราอาจลงความเห็นได้ว่าดีที่สุดที่จะพูดคุยกัน. ถ้าพี่น้องพูดหรือทำบางสิ่งที่รบกวนใจคุณมากจนไม่อาจเพียงแต่ปล่อยให้เรื่องนั้นผ่านไป อย่าปล่อยให้ความรู้สึกที่ไม่ดีเช่นนั้นเพิ่มทวีขึ้นในใจ. (สุภา. 19:11) ถ้ามีใครทำให้คุณโกรธ จงควบคุมอารมณ์แล้วก็ลงมือทำสิ่งที่จำเป็นเพื่อแก้ไขเรื่องนั้น. เปาโลเขียนว่า “อย่าโกรธจนถึงดวงอาทิตย์ตก.” เนื่องจากปัญหานั้นจะยังคงรบกวนใจคุณอยู่ จงจัดการกับปัญหานั้นอย่างกรุณาในเวลาที่เหมาะสม. (อ่านเอเฟโซส์ 4:26, 27, 31, 32) จงพูดกับพี่น้องในเรื่องนั้นอย่างตรงไปตรงมาแต่ก็ด้วยความกรุณาโดยมีเป้าหมายที่จะคืนดีกัน.—เลวี. 19:17; มัด. 18:15
9. เหตุใดเราควรควบคุมอารมณ์ของเราให้ได้ก่อนจะเข้าไปพูดคุยกับคนที่ทำให้เราโกรธ?
9 แน่นอน คุณควรหาโอกาสเหมาะ ๆ ที่จะพูดคุยกัน. มี ผู้ป. 3:1, 7, ล.ม.) นอกจากนั้น “ใจของคนชอบธรรมตรึกตรองก่อนแล้วจึงตอบ.” (สุภา. 15:28) นี่อาจหมายความว่าต้องคอยให้ถึงเวลาที่เหมาะจะพูดคุยกันเพื่อแก้ไขปัญหา. ถ้าพูดคุยกันขณะที่ยังมีอารมณ์โกรธอยู่มากก็อาจทำให้เรื่องเลวร้ายลงไปอีก; แต่ก็ไม่ฉลาดที่จะคอยเป็นเวลานานด้วยเช่นกัน.
“เวลานิ่งเงียบและเวลาพูด.” (การกระทำที่กรุณาส่งเสริมสายสัมพันธ์ที่ดี
10. การกระทำที่กรุณาอาจช่วยให้มีสายสัมพันธ์ที่ดีขึ้นได้อย่างไร?
10 คำพูดที่แสดงความกรุณาและการสื่อความที่ดีช่วยสร้างและรักษาสายสัมพันธ์อันสงบสุข. ที่จริง การทำสิ่งที่เราสามารถทำได้เพื่อปรับปรุงความสัมพันธ์ของเรากับคนอื่น ๆ อาจช่วยให้เราสื่อความกับพวกเขาได้ดีขึ้น. การริเริ่มทำดีต่อคนอื่น ๆ อย่างจริงใจ เช่น การหาโอกาสที่จะช่วย, การให้ของขวัญจากใจ, การแสดงน้ำใจรับรองแขก สามารถส่งเสริมให้มีการพูดคุยกันอย่างเปิดใจ. การทำอย่างนั้นอาจ “เป็นเหมือนการกองถ่านเพลิงไว้” บนใครคนหนึ่งและอาจชักนำให้คุณลักษณะที่ดีปรากฏออกมา ซึ่งทำให้พูดคุยกันและแก้ปัญหาได้ง่ายขึ้น.—โรม 12:20, 21
11. ยาโคบพยายามทำอะไรเพื่อจะคืนดีกับเอซาว และผลเป็นอย่างไร?
11 ยาโคบปฐมบรรพบุรุษเข้าใจเรื่องนี้ดี. เอซาวพี่ชายฝาแฝดของท่านโกรธท่านมากจนท่านต้องหนีไปเพราะกลัวจะถูกเอซาวฆ่า. หลังจากผ่านไปหลายปี ยาโคบก็กลับมา. เอซาวออกมาพบท่านพร้อมกับคนของเขา 400 คน. ยาโคบอธิษฐานขอให้พระยะโฮวาช่วย. จากนั้น ท่านส่งปศุสัตว์จำนวนมากไปล่วงหน้าเพื่อเป็นของกำนัลแก่เอซาว. ของกำนัลนั้นใช้ได้ผล. เมื่อทั้งสองพบกัน ท่าทีของเอซาวก็อ่อนลงและวิ่งไปกอดยาโคบ.—เย. 27:41-44; 32:6, 11, 13-15; 33:4, 10
จงชูใจคนอื่น ๆ ด้วยคำพูดที่กรุณา
12. เหตุใดเราควรใช้คำพูดที่แสดงความกรุณากับพี่น้องของเรา?
12 คริสเตียนรับใช้พระเจ้า ไม่ใช่รับใช้มนุษย์. ถึงกระนั้น มนุษย์เรามีความปรารถนาตามธรรมชาติที่จะได้รับความชื่นชอบจากคนอื่น ๆ. คำพูดของเราที่แสดงความกรุณาอาจทำให้ภาระหนักที่พี่น้องของเราต้องแบกรับอยู่เบาลงได้. แต่การวิพากษ์วิจารณ์ที่รุนแรงอาจทำให้รู้สึกว่าภาระเหล่านั้นหนักยิ่งขึ้นไปอีก และแม้แต่ทำให้บางคนสงสัยว่าพระยะโฮวาไม่พอพระทัยพวกเขาเสียแล้ว. ดังนั้น ให้เราสื่อความกันอย่างจริงใจโดยใช้คำพูดที่ให้กำลังใจคนอื่น ๆ หรือคำพูดแบบใดก็ตามที่ “เป็นคำดี ๆ ที่ทำให้เจริญขึ้นตามความจำเป็นในเวลานั้น เพื่อให้เกิดประโยชน์แก่คนที่ได้ยินได้ฟัง.”—เอเฟ. 4:29
13. ผู้ปกครองควรจำอะไรไว้ (ก) เมื่อให้คำแนะนำ? (ข) เมื่อเขียนจดหมาย?
13 โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้ปกครองควร “อ่อนโยน” และปฏิบัติต่อฝูงแกะอย่างนุ่มนวล. (1 เทส. 2:7, 8) เมื่อผู้ปกครองจำเป็นต้องให้คำแนะนำ เป้าหมายของเขาคือการให้คำแนะนำ “ด้วยความอ่อนโยน” แม้แต่เมื่อพูดกับคนที่ “ไม่เชื่อฟัง.” (2 ติโม. 2:24, 25) เมื่อจำเป็นต้องติดต่อกับผู้ปกครองคณะอื่นหรือสำนักงานสาขาทางจดหมาย ผู้ปกครองควรแสดงความกรุณาด้วยในการแสดงความคิดเห็น. พวกเขาควรมีความกรุณาและผ่อนหนักผ่อนเบา ซึ่งสอดคล้องกับคำแนะนำที่เราอ่านในมัดธาย 7:12.
การใช้คำพูดที่กรุณาในครอบครัว
14. เปาโลให้คำแนะนำอะไรแก่สามี และเพราะเหตุใด?
14 เป็นเรื่องง่ายที่เราอาจประเมินผลกระทบของคำพูด, สีหน้า, และภาษากายของเราที่มีต่อคนอื่น ๆ ต่ำเกินไป. ตัวอย่างเช่น ผู้ชายบางคนอาจไม่ตระหนักอย่างแท้จริงว่าคำพูดของตนมีผลต่อผู้หญิงอย่างลึกซึ้งขนาดไหน. พี่น้องหญิงคนหนึ่งกล่าวว่า “ดิฉันรู้สึกกลัวมากเมื่อสามีตวาดดิฉันด้วยความโมโห.” คำพูดที่รุนแรงอาจส่งผลอย่างมากต่อผู้หญิงยิ่งกว่าที่ส่งผลต่อผู้ชาย และความรู้สึกนั้นอาจติดค้างในใจเธอเป็นเวลานาน. (ลูกา 2:19) เรื่องนี้เป็นความจริงโดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าคำพูดนั้นออกมาจากปากของคนที่เธอรักและต้องการจะแสดงความนับถือ. เปาโลแนะนำสามีทั้ง หลายว่า “จงรักภรรยาเสมอและอย่าเกรี้ยวกราดต่อนาง.”—โกโล. 3:19
15. จงยกตัวอย่างที่แสดงว่าทำไมสามีควรปฏิบัติต่อภรรยาอย่างอ่อนโยน.
15 ในเรื่องนี้ พี่น้องชายคนหนึ่งซึ่งแต่งงานมานานแล้วยกตัวอย่างที่ทำให้เห็นเหตุผลที่สามีควรปฏิบัติต่อภรรยาอย่างอ่อนโยนเหมือนเป็น “ภาชนะที่อ่อนแอกว่า.” เขากล่าวว่า “เมื่อคุณจับถือแจกันที่มีค่าและบอบบาง คุณต้องระวังที่จะไม่จับแรงเกินไป เพราะไม่อย่างนั้นมันอาจแตกร้าวได้. แม้แต่เมื่อซ่อมแล้ว ก็ยังจะมองเห็นรอยร้าวนั้นอยู่. ถ้าสามีใช้คำพูดรุนแรงเกินไปกับภรรยา เขาอาจทำให้เธอเจ็บช้ำน้ำใจ. นี่อาจทำให้เกิดรอยร้าวอย่างถาวรในสายสัมพันธ์ของทั้งสอง.”—อ่าน 1 เปโตร 3:7
16. ภรรยาสามารถเสริมสร้างครอบครัวได้โดยวิธีใด?
16 ผู้ชายก็อาจมีกำลังใจหรือเสียกำลังใจเพราะคำพูดของคนอื่นได้เหมือนกัน รวมทั้งคำพูดของภรรยา. “ภรรยาที่เฉลียวฉลาด” ซึ่งสามี “ไว้วางใจ” ได้อย่างแท้จริงจะคำนึงถึงความรู้สึกของเขา เช่นเดียวกับที่เธอต้องการให้เขาคำนึงถึงความรู้สึกของเธอ. (สุภา. 19:14; 31:11) อันที่จริง ภรรยาสามารถก่อให้เกิดผลกระทบต่อครอบครัวได้มาก ทั้งในทางที่ดีและไม่ดี. “สตรีที่มีปัญญาทุกคนย่อมก่อสร้างบ้านเรือนของตนขึ้น; แต่ผู้ที่โฉดเขลาย่อมรื้อบ้านลงด้วยมือตนเอง.”—สุภา. 14:1
17. (ก) เด็ก ๆ ควรพูดกับพ่อแม่อย่างไร? (ข) ผู้ใหญ่ควรพูดกับเด็ก ๆ อย่างไร และเพราะเหตุใด?
17 พ่อแม่และลูก ๆ ควรพูดจากันด้วยความกรุณา. (มัด. 15:4) เมื่อพูดกับคนที่อายุน้อยกว่า การคิดถึงผู้อื่นจะช่วยเราให้หลีกเลี่ยง ‘การยั่วเขาให้ขุ่นเคือง.’ (โกโล. 3:21; เอเฟ. 6:4) แม้แต่ถ้าเด็กจำเป็นต้องได้รับการตีสอน พ่อแม่และผู้ปกครองควรพูดกับเขาอย่างที่ให้เกียรติเขา. โดยวิธีนี้ ผู้ใหญ่ทำให้เยาวชนสามารถแก้ไขแนวทางของตนและรักษาสายสัมพันธ์กับพระเจ้าได้ง่ายขึ้น. นั่นนับว่า ดีกว่ามากเมื่อเทียบกับการสื่อให้พวกเขาคิดว่าเราหมดหวังในตัวเขาแล้ว ซึ่งอาจทำให้พวกเขาไม่อยากจะปรับปรุงตัวเอง. เด็ก ๆ อาจจำคำแนะนำไม่ได้ทั้งหมด แต่พวกเขาจะจำได้ว่าคนอื่นพูดกับเขาอย่างไร.
พูดสิ่งดี ๆ จากใจ
18. เราจะขจัดความคิดและความรู้สึกที่ไม่ดีได้โดยวิธีใด?
18 การควบคุมความโกรธไม่ใช่เรื่องที่ทำได้โดยเพียงแค่วางสีหน้าเรียบเฉยไม่แสดงความรู้สึกใด ๆ ออกมา. เราควรมีเป้าหมายมากกว่าเพียงแค่ระงับโรม 12:2; เอเฟโซส์ 4:23, 24
ความรู้สึกที่รุนแรงไว้. การพยายามรักษาสภาพที่สงบภายนอกในขณะที่ความโกรธยังเดือดปุด ๆ อยู่ภายในทำให้เราตึงเครียด. การทำอย่างนั้นเป็นเหมือนกับการเหยียบทั้งเบรกและคันเร่งของรถพร้อม ๆ กัน. นั่นทำให้เกิดแรงกดดันต่อรถมากกว่าปกติและอาจทำให้เกิดความเสียหายได้. ดังนั้น อย่าเก็บความโกรธไว้ในใจแล้วให้มันระเบิดออกมาในภายหลัง. จงอธิษฐานขอพระยะโฮวาช่วยคุณขจัดความรู้สึกที่ไม่ดีออกไปจากใจ. จงให้พระวิญญาณของพระยะโฮวาเปลี่ยนความคิดและหัวใจของคุณให้สอดคล้องกับพระประสงค์ของพระองค์.—อ่าน19. มีแนวทางอะไรบ้างที่อาจช่วยเราได้ให้หลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากันด้วยความโกรธ?
19 จงดำเนินตามแนวทางบางอย่างที่ใช้ได้จริง. ถ้าคุณพบว่าตัวคุณเองอยู่ในสถานการณ์ที่ตึงเครียดและรู้สึกว่าความโกรธคุกรุ่นอยู่ในตัวคุณ สิ่งหนึ่งที่อาจช่วยได้ก็คือการออกไปจากสถานการณ์นั้นก่อน เพื่อคุณเองจะมีเวลาควบคุมอารมณ์ตัวเอง. (สุภา. 17:14) ถ้าคนที่คุณคุยด้วยเริ่มโกรธ จงพยายามเป็นพิเศษที่จะพูดอย่างกรุณา. ขอให้จำไว้ว่า “คำตอบอ่อนหวานกระทำให้ความโกรธผ่านพ้นไป; แต่คำขมเผ็ดร้อนกระทำให้โทโสพลุ่งขึ้น.” (สุภา. 15:1) คำพูดที่เชือดเฉือนหรือก้าวร้าวจะเป็นเหมือนกับการเติมเชื้อเพลิงเข้าไปในกองไฟ แม้แต่เมื่อพูดด้วยน้ำเสียงนุ่ม ๆ. (สุภา. 26:21) ดังนั้น เมื่อเกิดสถานการณ์ที่ทดสอบการควบคุมตัวเองของคุณ จง “ช้าในการพูด ช้าในการโกรธ.” จงอธิษฐานขอพระวิญญาณของพระยะโฮวาช่วยคุณให้พูดสิ่งดี ๆ และไม่พูดอะไรที่ไม่ดี.—ยโก. 1:19
ให้อภัยกันจากใจ
20, 21. อะไรอาจช่วยเราได้ที่จะให้อภัยผู้อื่น และเหตุใดเราต้องทำอย่างนั้น?
20 น่าเสียดาย ไม่มีใครในพวกเราที่สามารถควบคุมลิ้นได้อย่างสมบูรณ์. (ยโก. 3:2) แม้ว่าพยายามอย่างดีที่สุดแล้ว บางครั้งแม้แต่คนในครอบครัวและพี่น้องฝ่ายวิญญาณที่รักของเราก็อาจพลั้งปากพูดอะไรบางอย่างออกมาที่ทำให้เราเจ็บใจ. แทนที่จะโกรธเร็ว จงค่อย ๆ วิเคราะห์ดูว่าทำไมเขาจึงพูดอย่างนั้น. (อ่านท่านผู้ประกาศ 7:8, 9) เขาอยู่ในภาวะที่ตึงเครียด, กลัว, ไม่ค่อยสบาย, หรือกำลังรับมือกับปัญหาบางอย่างที่คุณไม่รู้ไหม?
21 ปัจจัยเหล่านั้นไม่อาจใช้เป็นข้อแก้ตัวสำหรับการระเบิดอารมณ์ออกมาเป็นคำพูดที่รุนแรง. แต่การที่เรารู้ปัจจัยเหล่านั้นอาจช่วยให้เราเข้าใจว่าทำไมบางครั้งคนเราพูดและทำอย่างที่ไม่สมควร และอาจกระตุ้นเราที่จะให้อภัย. เราทุกคนเคยพูดและทำอะไรบางอย่างที่ทำให้คนอื่นเจ็บใจ และเราหวังว่าพวกเขาจะแสดงความกรุณาโดยให้อภัยเรา. (ผู้ป. 7:21, 22) พระเยซูตรัสว่าเพื่อเราจะได้รับการให้อภัยจากพระเจ้า เราต้อง ให้อภัยผู้อื่น. (มัด. 6:14, 15; 18:21, 22, 35) ด้วยเหตุนั้น เราควรรีบขอโทษและรีบให้อภัย ซึ่งจะช่วยให้เรารักษาความรักภายในครอบครัวและประชาคม เพราะความรักเป็น “สิ่งที่ผูกพันผู้คนให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันอย่างสมบูรณ์.”—โกโล. 3:14
22. เหตุใดจึงคุ้มค่าที่จะพยายามใช้คำพูดที่แสดงความกรุณา?
22 การรักษาความยินดีและเอกภาพในหมู่พวกเราคงเป็นเรื่องยากขึ้นเรื่อย ๆ ขณะที่ระบบปัจจุบันซึ่งเต็มไปด้วยความโกรธใกล้จะถึงอวสาน. การใช้หลักการที่ได้ผลในพระคำของพระเจ้าจะช่วยให้เราพูดแต่สิ่งดี ๆ ไม่พูดสิ่งที่ไม่ดี. เราจะมีสายสัมพันธ์ที่สงบสุขยิ่งขึ้นภายในประชาคม และในครอบครัว และตัวอย่างของเราจะเป็นการให้คำพยานที่ดีเยี่ยมแก่คนอื่น ๆ ในเรื่องพระยะโฮวา “พระเจ้าผู้มีความสุข.”—1 ติโม. 1:11
คุณอธิบายได้ไหม?
• เหตุใดจึงเป็นเรื่องสำคัญที่จะเลือกเวลาที่เหมาะสมเพื่อพูดคุยกันและแก้ไขปัญหา?
• เหตุใดสมาชิกครอบครัวควรพูดคุยกันอย่างที่ “แสดงความกรุณา” เสมอ?
• เราจะไม่พูดอย่างที่ทำให้คนอื่นเจ็บใจได้อย่างไร?
• อะไรอาจช่วยเราได้ที่จะให้อภัย?
[คำถาม]
[ภาพหน้า 21]
จงสงบสติอารมณ์ก่อน แล้วค่อยหาโอกาสเหมาะ ๆ พูดคุยกัน
[ภาพหน้า 23]
ผู้ชายควรพูดกับภรรยาอย่างอ่อนโยนเสมอ