“จงเอาชนะความชั่ว” ด้วยการควบคุมความโกรธ
“จงเอาชนะความชั่ว” ด้วยการควบคุมความโกรธ
“พี่น้องที่รัก อย่าแก้แค้นเสียเอง . . . แต่จงเอาชนะความชั่วด้วยความดีต่อ ๆ ไป.”—โรม 12:19, 21
1, 2. ผู้โดยสารที่เป็นพยานฯ เป็นตัวอย่างที่ดีอย่างไร?
ขณะที่พยานพระยะโฮวากลุ่มหนึ่งซึ่งมีทั้งหมด 34 คนกำลังเดินทางไปร่วมการประชุมอุทิศสำนักงานสาขาแห่งหนึ่ง เกิดเหตุขัดข้องทางกลไกบางอย่างที่ทำให้การเดินทางโดยเครื่องบินของพวกเขาล่าช้า. การแวะเติมน้ำมันซึ่งตามปกติใช้เวลาหนึ่งชั่วโมงกลับกลายเป็นประสบการณ์อันทรหดนานถึง 44 ชั่วโมง ณ สนามบินที่ห่างไกลความเจริญซึ่งมีอาหาร, น้ำ, และสิ่งอำนวยความสะดวกด้านสุขอนามัยไม่เพียงพอ. ผู้โดยสารหลายคนเริ่มโกรธและขู่เจ้าหน้าที่สนามบิน. แต่พี่น้องของเรายังคงสงบสติอารมณ์.
2 ในที่สุด พยานฯ กลุ่มนี้ก็ไปถึงจุดหมายปลายทางทันส่วนสุดท้ายของระเบียบวาระการประชุมอุทิศ. แม้ว่าเหนื่อยล้า พวกเขาอยู่ต่อหลังจากการประชุมจบลงเพื่อพูดคุยกับพี่น้องท้องถิ่น. ภายหลัง พวกเขาจึงรู้ว่าตัวอย่างในเรื่องความอดทนและการควบคุมตนเองของพวกเขาไม่ได้ถูกมองข้าม. ผู้โดยสารคนหนึ่งบอกกับเจ้าหน้าที่สายการบินว่า “นี่ถ้าไม่ใช่เพราะคริสเตียน 34 คนที่อยู่ในเที่ยวบินนี้แล้วละก็ คงเกิดการจลาจลขึ้นแล้วที่สนามบินนั้น.”
ดำเนินชีวิตในโลกที่ฉุนเฉียว
3, 4. (ก) ความโกรธที่ปะทุรุนแรงทำให้มนุษย์เราทนทุกข์อย่างไรและนานเท่าไรแล้ว? (ข) เป็นไปได้ไหมที่คายินจะควบคุมความโกรธของเขา? จงอธิบาย.
3 ความกดดันของชีวิตในระบบปัจจุบันอันชั่วช้านี้อาจทำให้ผู้คนกลายเป็นคนฉุนเฉียว. (ผู้ป. 7:7) บ่อยครั้ง ความโกรธทำให้เกิดความเกลียดชังและแม้แต่ความรุนแรง. มีสงครามระหว่างประเทศและสงครามในประเทศเกิดขึ้นหลายแห่ง ขณะที่ความตึงเครียดในครอบครัวทำให้เกิดความขัดแย้งในครัวเรือนมากมาย. ความโกรธและความรุนแรงเช่นนั้นมีประวัติความเป็นมายาวนาน. คายิน ลูกชายคนแรกของอาดามและฮาวา ฆ่าเฮเบลน้องชายตัวเองเพราะความอิจฉา. คายินทำสิ่งชั่วร้ายนี้แม้ว่าพระยะโฮวาได้ทรงเตือนเขาให้ควบคุมอารมณ์ตนเองและทรงสัญญาว่าจะอวยพรเขาถ้าเขาทำอย่างนั้น.—อ่านเยเนซิศ 4:6-8
4 แม้ว่าเขามีความไม่สมบูรณ์ซึ่งได้รับตกทอดมา คายินสามารถเลือกทำอีกอย่างหนึ่งได้. เขาสามารถยับยั้งความโกรธของเขาได้. นั่นคือเหตุผลที่เขาต้องรับผิดชอบอย่างเต็มที่สำหรับการกระทำอันรุนแรงของตน. คล้ายกัน ความไม่สมบูรณ์ของเราทำให้เป็นเรื่องยากยิ่งขึ้นที่เราจะไม่โกรธและไม่แสดงความโกรธ. และปัญหาร้ายแรงอื่น ๆ ยิ่งทำให้มีความเครียดมากขึ้นใน “วิกฤตกาล” นี้. (2 ติโม. 3:1) ตัวอย่างเช่น ปัญหาด้านเศรษฐกิจอาจบีบคั้นเราทางอารมณ์. ตำรวจและองค์กรต่าง ๆ ที่ส่งเสริมครอบครัวชี้ว่าวิกฤติการณ์ในระบบการเงินมีส่วนทำให้มีการระเบิดอารมณ์โกรธและความรุนแรงในครอบครัวเพิ่มขึ้น.
5, 6. ทัศนคติของผู้คนในโลกที่มีต่อความโกรธอาจส่งผลกระทบอย่างไรต่อเรา?
5 นอกจากนั้น หลายคนที่เราติดต่อด้วยเป็นคน “รักตัวเอง,” “เย่อหยิ่ง,” และแม้กระทั่ง “ดุร้าย.” เป็นเรื่องง่ายมากที่เราอาจติดนิสัยที่ไม่ดีของคนเหล่านี้หรือรู้สึกโกรธ. (2 ติโม. 3:2-5) ที่จริง ภาพยนตร์และรายการโทรทัศน์มักแสดงให้เห็นว่าการแก้แค้นเป็นการกระทำที่น่ายกย่องและแสดงให้เห็นว่าความรุนแรงเป็นวิธีแก้ปัญหาที่ทำกันโดยทั่วไปและยุติธรรม. เค้าโครงเรื่องของภาพยนตร์โดยทั่วไปชัก นำผู้ชมให้เฝ้ารอช่วงเวลาตอนที่ตัวร้าย “ได้รับผลอย่างที่สมควรได้รับ” ซึ่งมักจะจบลงด้วยความรุนแรงที่ตัวเอกเป็นผู้ลงมือทำ.
6 การโฆษณาชวนเชื่อเช่นนั้นไม่ได้ส่งเสริมแนวทางของพระเจ้า แต่ส่งเสริม “น้ำใจของโลก” และของซาตาน ผู้ปกครองโลกนี้ที่เกรี้ยวกราด. (1 โค. 2:12; เอเฟ. 2:2; วิ. 12:12) น้ำใจนั้นส่งเสริมให้สนองความปรารถนาทางกายที่ผิดบาปและต่อต้านพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าและผลของพระวิญญาณ. ที่จริง คำสอนพื้นฐานอย่างหนึ่งของศาสนาคริสเตียนก็คืออย่าตอบโต้เมื่อถูกยั่วยุ. (อ่านมัดธาย 5:39, 44, 45) ถ้าอย่างนั้นเราจะปฏิบัติตามคำสอนของพระเยซูอย่างเต็มที่ยิ่งขึ้นได้อย่างไร?
ตัวอย่างที่ดีและไม่ดี
7. ผลเป็นเช่นไรเมื่อซีโมนและเลวีไม่ได้ระงับความโกรธ?
7 คัมภีร์ไบเบิลมีคำแนะนำมากมายเกี่ยวกับการระงับความโกรธ และยังมีตัวอย่างซึ่งแสดงว่าอาจเกิดอะไรขึ้นเมื่อเราระงับความโกรธและเมื่อเราไม่ระงับ. ขอให้พิจารณาสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อซีโมนและเลวีบุตรชายของยาโคบแก้แค้นเซเค็มที่ข่มขืนดีนาผู้เป็นน้องสาว. พวกเขา “โทมนัสขัดใจโกรธนัก.” (เย. 34:7) ถัดจากนั้น บุตรชายคนอื่น ๆ ของยาโคบก็บุกเข้าไปในเมืองที่เซเค็มอยู่ ปล้นเมืองนั้น และจับตัวผู้หญิงและเด็ก ๆ ไปเป็นเชลย. ที่พวกเขาทำทั้งหมดนี้ไม่เพียงเพื่อแก้แค้นให้ดีนา แต่น่าจะเป็นเพราะว่าพวกเขามีความหยิ่งในศักดิ์ศรีและรู้สึกเสียหน้าด้วย. พวกเขารู้สึกว่าเซเค็มหยามพวกเขาและยาโคบผู้เป็นบิดา. แต่ยาโคบคิดอย่างไรกับการกระทำของพวกเขา?
8. เรื่องราวของซีโมนและเลวีแสดงให้เห็นอะไรในเรื่องการแก้แค้น?
8 เรื่องอันน่าเศร้าที่เกิดขึ้นกับดีนาคงต้องทำให้ยาโคบทุกข์ใจอย่างมาก; กระนั้น ท่านตำหนิบุตรชายที่ลงมือแก้แค้นอย่างนั้น. ซีโมนและเลวียังพยายามแก้ตัวโดยกล่าวว่า “แล้วควรหรือที่ใคร ๆ จะมาทำกับน้องสาวพวกข้าเหมือนโสเภณี?” (เย. 34:31, ล.ม.) แต่เรื่องไม่ได้จบลงแค่นี้ เพราะ พระยะโฮวาไม่พอพระทัยที่พวกเขาทำอย่างนั้น. หลายปีต่อมา ยาโคบบอกล่วงหน้าว่าเพราะการกระทำที่รุนแรงและเกรี้ยวกราดของซีโมนและเลวี ลูกหลานของพวกเขาจะกระจัดกระจายไปอยู่ท่ามกลางตระกูลต่าง ๆ ของชาติอิสราเอล. (อ่านเยเนซิศ 49:5-7) ความโกรธที่ไม่ควบคุมของพวกเขาทำให้พระเจ้าไม่พอพระทัยและบิดาของพวกเขาก็ไม่พอใจ.
9. ดาวิดเกือบพ่ายแพ้แก่ความโกรธเมื่อไร?
9 กษัตริย์ดาวิดไม่เหมือนกับซีโมนและเลวี. ท่านมีโอกาสมากมายที่จะแก้แค้นได้ แต่ท่านไม่ทำ. (1 ซามู. 24:3-7) อย่างไรก็ตาม มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ท่านเกือบพ่ายแพ้แก่ความโกรธ. ชายผู้มั่งคั่งคนหนึ่งชื่อนาบาลเอ็ดตะโรด่าทอคนของดาวิดด้วยถ้อยคำหยาบหยาม แม้ว่าพวกเขาได้ปกป้องฝูงแกะและคนดูแลแกะของนาบาล. อาจเพราะรู้สึกขุ่นเคืองแทนคนของท่าน ดาวิดจึงเตรียมจะไปแก้แค้นนาบาลด้วยความรุนแรง. ขณะที่ดาวิดและคนของท่านอยู่ระหว่างทางจะไปโจมตีนาบาลและครอบครัวของเขา ชายหนุ่มคนหนึ่งได้แจ้งแก่อะบีฆายิล ภรรยาผู้สุขุมรอบคอบของนาบาล เกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นและขอร้องเธอให้ลงมือดำเนินการ. เธอรวบรวมของกำนัลจำนวนมากในทันทีและรีบไปพบกับดาวิด. เธอแสดงความถ่อมใจโดยขอโทษแทนนาบาลสำหรับความอวดดีของเขาและวิงวอนให้ดาวิดคิดถึงความเกรงกลัวพระยะโฮวา. ดาวิดได้สติและกล่าวว่า “ขอบคุณซึ่งเจ้าได้หน่วงเหนี่ยวเราไว้ วันนี้ให้พ้นจากบาปฆ่าคน.”—1 ซามู. 25:2-35
ทัศนคติของคริสเตียน
10. คริสเตียนควรแสดงทัศนคติเช่นไรในเรื่องการแก้แค้น?
10 สิ่งที่เกิดขึ้นกับซีโมนและเลวีและที่เกิดขึ้นกับดาวิดและอะบีฆายิลแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าพระยะโฮวาทรงไม่เห็นด้วยกับความรุนแรงและความโกรธที่ปราศจากการยับยั้ง และพระองค์ทรงอวยพรความพยายามที่จะสร้างสันติ. อัครสาวกเปาโลเขียนว่า “ถ้าเป็นได้ จงพยายามสุดความสามารถเพื่อจะอยู่อย่างสันติกับคนทั้งปวง. พี่น้องที่รัก อย่าแก้แค้นเสียเอง แต่ให้พระเจ้าเป็นผู้สำแดงพระพิโรธ เพราะมีคำเขียนไว้ดังนี้ ‘พระยะโฮวาตรัสว่า การแก้แค้นเป็นธุระของเรา เราจะตอบแทน.’ แต่ ‘ถ้าศัตรูของท่านหิว จงให้อาหารเขากิน ถ้าเขากระหาย จงให้อะไรเขาดื่ม เพราะที่ท่านทำอย่างนี้จะเป็นเหมือนการกองถ่านเพลิงไว้บนศีรษะของเขา อาจทำให้ใจที่แข็งกระด้างของเขาอ่อนลงและเขาอาจทำการดี.’ อย่าให้ความชั่วเอาชนะท่าน แต่จงเอาชนะความชั่วด้วยความดีต่อ ๆ ไป.”—โรม 12:18-21 *
11. พี่น้องหญิงคนหนึ่งเรียนรู้ที่จะควบคุมความโกรธอย่างไร?
11 เราสามารถนำคำแนะนำนั้นมาใช้ได้. ตัวอย่างเช่น พี่น้องหญิงคนหนึ่งบ่นกับผู้ปกครองเรื่องผู้จัดการคนใหม่ที่บริษัท. เธอพรรณนาว่าผู้จัดการคนนี้ไม่ยุติธรรมและไม่กรุณา. เธอโกรธผู้จัดการและอยากลาออกจากงาน. ผู้ปกครองเตือนเธอว่าอย่าทำอะไรหุนหันพลันแล่น. เขามองออกว่าปฏิกิริยาอันฉุนเฉียวที่พี่น้องหญิงโต้ตอบผู้จัดการสำหรับการปฏิบัติที่ไม่ดียิ่งทำให้สถานการณ์เลวร้ายลงไปอีก. (ทิทุส 3:1-3) ผู้ปกครองชี้ว่าแม้ในที่สุดเธอได้งานใหม่ เธอก็ยังคงต้องเปลี่ยนวิธีที่เธอโต้ตอบการกระทำที่ไม่กรุณา. เขาแนะนำเธอให้ปฏิบัติต่อผู้จัดการอย่างที่เธอเองอยากให้คนอื่นทำต่อเธอ ดังที่พระเยซูทรงสอนเราให้ทำอย่างนั้น. (อ่านลูกา 6:31) พี่น้องหญิงเห็นด้วยที่จะลองทำอย่างนั้นดู. ผลเป็นอย่างไร? หลังจากผ่านไประยะหนึ่ง ท่าทีของผู้จัดการคนนี้อ่อนลง และถึงกับขอบคุณพี่น้องหญิงสำหรับงานที่เธอทำ.
12. เหตุใดความขัดแย้งที่เกิดขึ้นกับคริสเตียนด้วยกันอาจทำให้เจ็บใจได้มากเป็นพิเศษ?
12 เราอาจไม่แปลกใจเมื่อปัญหาเช่นนั้นมาจากคนที่อยู่นอกประชาคมคริสเตียน. เรารู้ว่าชีวิตในระบบของซาตานมักไม่ยุติธรรมและเราจำเป็นต้องต่อสู้เพื่อไม่ให้คนที่ทำชั่วทำให้เราโกรธ. (เพลง. 37:1-11; ผู้ป. 8:12, 13; 12:13, 14) อย่างไรก็ตาม เมื่อเรามีปัญหากับพี่น้องคริสเตียน ความเจ็บใจอาจมีมากกว่า. พยานฯ คนหนึ่งเล่าว่า “อุปสรรคที่ใหญ่ที่สุดสำหรับดิฉันเมื่อเข้ามาในความจริงก็คือการยอมรับข้อเท็จจริงที่ว่าประชาชนของพระยะโฮวา ไม่ใช่มนุษย์สมบูรณ์.” เราออกมาจากโลกที่เย็นชาและไม่สนใจไยดี โดยหวังว่าทุกคนในประชาคมจะปฏิบัติต่อกันด้วยความกรุณาแบบคริสเตียน. ด้วยเหตุนั้น ถ้าเพื่อนคริสเตียน โดยเฉพาะคนที่มีสิทธิพิเศษในประชาคม ทำบางสิ่งบางอย่างที่ไม่คำนึงถึงคนอื่นหรือไม่เหมาะสมกับการเป็นคริสเตียน นั่นอาจทำให้เราเจ็บใจหรือโกรธ. เราอาจถามว่า ‘เรื่องอย่างนี้เกิดขึ้นในหมู่ประชาชนของพระยะโฮวาได้อย่างไร?’ ที่จริง เรื่องอย่างนั้นเคยเกิดขึ้นแม้แต่ในหมู่คริสเตียนผู้ถูกเจิมในสมัยอัครสาวก. (กลา. 2:11-14; 5:15; ยโก. 3:14, 15) เราควรแสดงปฏิกิริยาอย่างไรเมื่อเราได้รับผลกระทบอย่างนั้น?
13. เหตุใดเราควรพยายามเอาชนะความขัดแย้ง และเราจะทำได้อย่างไร?
13 พี่น้องหญิงที่เพิ่งกล่าวถึงกล่าวว่า “ดิฉันเรียนรู้ที่จะอธิษฐานเพื่อคนที่ทำให้ดิฉันเจ็บใจ. การทำอย่างนี้ช่วยได้เสมอ.” ดังที่เราได้อ่านไปแล้ว พระเยซูทรงสอนเราให้อธิษฐานเพื่อคนที่ข่มเหงเรา. (มัด. 5:44) มากยิ่งกว่านั้นสักเท่าใดที่เราควรอธิษฐานเพื่อพี่น้องคริสเตียนของเรา! เช่นเดียวกับที่พ่ออยากให้ลูก ๆ รักกัน พระยะโฮวาทรงประสงค์ให้ผู้รับใช้ของพระองค์บนแผ่นดินโลกเข้ากันได้ดี. เราคอยท่าที่จะได้อยู่ด้วยกันอย่างสงบสุขและมีความสุขตลอดไป และในเวลานี้พระยะโฮวากำลังสอนเราให้ทำอย่างนั้น. พระองค์ทรงประสงค์ให้เราร่วมมือกันทำงานที่ยิ่งใหญ่ของพระองค์. ด้วยเหตุนั้น ให้เราแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นหรือเพียงแค่ “ไม่ถือโทษ” กันและรักษาเอกภาพไว้. (อ่านสุภาษิต 19:11) แทนที่จะตีตัวออกห่างจากพี่น้องเมื่อเกิดปัญหาขึ้น เราควรช่วยเหลือกันให้คงอยู่ในหมู่ประชาชนของพระเจ้า และได้รับการปกป้องให้ปลอดภัยด้วย “พระหัตถ์อันถาวรเป็นนิจ” ของพระยะโฮวา.—บัญ. 33:27
การแสดงความสุภาพ อ่อนโยนต่อทุกคนก่อผลดี
14. เราจะต่อสู้กับอิทธิพลของซาตานที่ทำให้เกิดความแตกแยกได้อย่างไร?
14 เพื่อขัดขวางไม่ให้เราแพร่ข่าวดี ซาตานและพวกปิ-ศาจพยายามอย่างขันแข็งเพื่อทำให้ครอบครัวและประชาคมที่มีความสุขแตกแยกกัน. พวกมันพยายามหว่านความมัด. 12:25) ในการต่อสู้แรงชักจูงที่ไม่ดีของพวกมัน เราควรทำตามคำแนะนำของเปาโลที่ว่า “ทาสขององค์พระผู้เป็นเจ้าไม่ควรทะเลาะวิวาท แต่ต้องสุภาพอ่อนโยนต่อทุกคน.” (2 ติโม. 2:24) จำไว้ว่าเราไม่ได้ต่อสู้กับ “มนุษย์ที่มีเลือดเนื้อ แต่ . . . ต่อสู้กับพวกกายวิญญาณชั่ว.” เพื่อจะชนะการต่อสู้นี้ เราต้องสวมยุทธภัณฑ์ฝ่ายวิญญาณ ซึ่งรวมถึงการที่เรา “พร้อมที่จะประกาศข่าวดีแห่งสันติสุข.”—เอเฟ. 6:12-18
ขัดแย้ง โดยรู้ว่าความขัดแย้งภายในทำให้เกิดความเสียหาย. (15. เราควรมีปฏิกิริยาอย่างไรต่อการโจมตีจากนอกประชาคม?
15 ประชาชนของพระยะโฮวาที่รักสันติถูกศัตรูของพระองค์โจมตีอย่างรุนแรงจากนอกประชาคม. ศัตรูเหล่านี้บางคนทำร้ายร่างกายพยานพระยะโฮวา. ศัตรูคนอื่น ๆ ใส่ร้ายเราในศาลหรือโดยใช้สื่อต่าง ๆ. พระเยซูทรงบอกเหล่าสาวกให้คาดหมายว่าพวกเขาจะถูกโจมตีอย่างนี้. (มัด. 5:11, 12) เราควรมีปฏิกิริยาอย่างไร? เราต้องไม่ “ทำชั่วตอบแทนชั่ว” อย่างเด็ดขาด ไม่ว่าจะโดยคำพูดหรือการกระทำ.—โรม 12:17; อ่าน 1 เปโตร 3:16
16, 17. ประชาคมหนึ่งพบกับสถานการณ์ที่ท้าทายความอดทนอย่างไร?
16 ไม่ว่าพญามารจะโจมตีเราอย่างไร เราสามารถให้คำพยานที่ดีด้วยการ “เอาชนะความชั่วด้วยความดี.” ตัวอย่างเช่น ประชาคมหนึ่งบนเกาะในมหาสมุทรแปซิฟิกได้เช่าห้องประชุมไว้สำหรับการประชุมอนุสรณ์. เมื่อรู้เรื่องนี้ เจ้าหน้าที่ของคริสตจักรในท้องถิ่นก็เรียกบรรดาสมาชิกให้มารวมตัวกันในห้องประชุมนั้นเพื่อทำพิธีศาสนาในเวลาเดียวกับการประชุมของเรา. แต่ผู้กำกับการตำรวจสั่งเจ้าหน้าที่ของคริสตจักรไม่ให้ใช้ห้องประชุมนั้นในเวลาที่พยานฯ จะประชุมกัน. อย่างไรก็ตาม เมื่อถึงเวลา ห้องประชุมนั้นก็เต็มไปด้วยสมาชิกโบสถ์และพวกเขาก็เริ่มทำพิธีกัน.
17 ขณะที่ตำรวจเตรียมใช้กำลังกวาดต้อนผู้คนออกไปจากห้องประชุม ประธานของคริสตจักรก็เข้ามาหาผู้ปกครองคนหนึ่งของเราและถามว่า “พวกคุณมีแผนอะไรเป็นพิเศษสำหรับเย็นวันนี้หรือ?” ผู้ปกครองบอกเขาเกี่ยวกับการประชุมอนุสรณ์ และชายผู้นี้ก็ตอบว่า “อ๋อเหรอ ผมไม่เห็นรู้เรื่องเลย!” เมื่อได้ยินอย่างนั้น ตำรวจคนหนึ่งก็พูดว่า “แต่เราบอกคุณแล้วเมื่อเช้านี้!” บาทหลวงหันไปหาผู้ปกครองและพูดยิ้ม ๆ อย่างเจ้าเล่ห์ว่า “แล้วคุณจะทำยังไงล่ะทีนี้? มีคนของพวกเราอยู่เต็มห้องประชุม. คุณจะให้ตำรวจไล่พวกเราออกไปหรือ?” เขาวางแผนไว้อย่างแยบยลและฉลาดแกมโกงเพื่อทำให้พยานฯ ดูราวกับผู้มารังควาน! พี่น้องของเราจะทำอย่างไร?
18. พี่น้องแสดงปฏิกิริยาอย่างไรต่อการยั่วยุ และผลเป็นเช่นไร?
18 พยานฯ เสนอให้คริสตจักรทำพิธีของพวกเขาก่อนซึ่งใช้เวลาครึ่งชั่วโมง หลังจากนั้นพี่น้องจึงค่อยเริ่มการประชุมอนุสรณ์. คริสตจักรทำพิธีเกินเวลา แต่หลังจากที่สมาชิกโบสถ์ออกไปกันแล้ว พยานฯ ก็เริ่มการประชุมอนุสรณ์. วันถัดมา เจ้าหน้าที่รัฐบาลเรียกประชุมคณะกรรมการไต่สวนอย่างเป็นทางการ. หลังจากพิจารณาข้อเท็จจริงแล้ว คณะกรรมการก็มีคำสั่งให้คริสตจักรประกาศว่าสาเหตุของปัญหาที่เกิดขึ้นนั้นไม่ใช่เพราะพยานฯ แต่เป็นเพราะประธานของคริสตจักร. คณะกรรมการยังขอบคุณพยานพระยะโฮวาด้วยที่พวกเขาจัดการกับสถานการณ์ที่ยุ่งยากด้วยความอดทน. ความพยายามของพยานฯ ที่จะ “อยู่อย่างสันติกับคนทั้งปวง” เกิดผลที่ดี.
19. มีปัจจัยอะไรอีกที่ส่งเสริมให้มีสายสัมพันธ์อันสงบสุข?
19 ปัจจัยสำคัญอีกอย่างหนึ่งที่ช่วยรักษาสายสัมพันธ์อันสงบสุขกับคนอื่น ๆ ก็คือการใช้คำพูดที่แสดงความกรุณา. บทความถัดไปจะพิจารณาว่าคำพูดที่กรุณาเป็นอย่างไรและเราจะสามารถพัฒนาและใช้คำพูดที่กรุณาได้อย่างไร?
[เชิงอรรถ]
^ วรรค 10 “ถ่านเพลิง” ในที่นี้พาดพิงถึงวิธีการถลุงแร่ในสมัยโบราณซึ่งทำโดยให้ความร้อนทั้งด้านบนและด้านล่างเพื่อแยกโลหะออกมา. การแสดงความกรุณาต่อคนที่ไม่กรุณาอาจทำให้ท่าทีของพวกเขาอ่อนลงและทำให้พวกเขาแสดงคุณลักษณะที่ดีออกมา.
คุณอธิบายได้ไหม?
• เพราะเหตุใดผู้คนในโลกทุกวันนี้จึงโกรธง่าย?
• มีตัวอย่างอะไรในคัมภีร์ไบเบิลที่แสดงให้เห็นผลของการระงับหรือไม่ระงับความโกรธ?
• เราควรมีปฏิกิริยาอย่างไรถ้าเพื่อนร่วมความเชื่อทำให้เราเจ็บใจ?
• เราควรมีปฏิกิริยาอย่างไรเมื่อถูกโจมตีจากนอกประชาคม?
[คำถาม]
[ภาพหน้า 16]
ซีโมนและเลวีกลับบ้าน—แต่ว่าหลังจากที่พวกเขาพ่ายแพ้แก่ความโกรธแล้ว
[ภาพหน้า 18]
การแสดงความกรุณาอาจทำให้ท่าทีของคนอื่นอ่อนลงได้