ใช้ความเป็นโสดให้เป็นประโยชน์ที่สุด
ใช้ความเป็นโสดให้เป็นประโยชน์ที่สุด
“ผู้ที่จัดชีวิตอย่างนั้นได้ ให้เขาทำเถิด.”—มัด. 19:12
1, 2. (ก) พระเยซู, เปาโล, และคนอื่น ๆ มีทัศนะอย่างไรต่อความเป็นโสด? (ข) เหตุใดบางคนอาจคิดว่าความเป็นโสดไม่ใช่ของประทาน?
ไม่ต้องสงสัย การสมรสเป็นของประทานอันล้ำค่าที่สุดอย่างหนึ่งที่พระเจ้าประทานแก่มนุษย์. (สุภา. 19:14) กระนั้น คริสเตียนโสดมากมายก็อิ่มใจยินดีกับชีวิตด้วย. แฮโรลด์ พี่น้องชายวัย 95 ปีซึ่งไม่เคยแต่งงาน กล่าวว่า “แม้ว่าผมยินดีในการอยู่กับคนอื่น ๆ และชอบต้อนรับแขก แต่เมื่อผมอยู่คนเดียวผมก็ไม่เคยเหงา. อาจพูดได้เลยว่าผมมีของประทานแห่งความเป็นโสด.”
2 จริงทีเดียว ทั้งพระเยซูคริสต์และอัครสาวกเปาโลต่างกล่าวถึงความเป็นโสดว่าเป็นของประทานจากพระเจ้า เช่นเดียวกับการสมรส. (อ่านมัดธาย 19:11, 12; 1 โครินท์ 7:7) แต่ต้องยอมรับว่า ไม่ใช่ทุกคนที่ไม่แต่งงานเป็นโสดเพราะเลือกที่จะเป็น. บางครั้งสภาพการณ์อาจทำให้ยากที่จะหาคู่ที่เหมาะสม. หรือหลังจากแต่งงานมาหลายปี บางคนต้องกลับมาอยู่คนเดียวอีกครั้งหนึ่งอย่างไม่คาดคิดเพราะการหย่าร้างหรือคู่สมรสเสียชีวิต. ถ้าอย่างนั้น ความเป็นโสดจะเป็นของประทานได้อย่างไร? และคริสเตียนที่เป็นโสดจะใช้ความเป็นโสดให้เป็นประโยชน์ที่สุดได้อย่างไร?
ของประทานที่ไม่มีอะไรเหมือน
3. คริสเตียนโสดมักมีข้อได้เปรียบอะไร?
3 คนโสดมักมีเวลามากกว่าและมีอิสระมากกว่าคนที่สมรสแล้ว. (1 โค. 7:32-35) ทั้งสองอย่างนี้เป็นข้อได้เปรียบที่เด่นชัดซึ่งอาจทำให้คนโสดสามารถขยายงานรับใช้, แสดงความรักต่อคนอื่นได้มากขึ้น, และใกล้ชิดพระยะโฮวายิ่งขึ้น. ด้วยเหตุนั้น คริสเตียนจำนวนมากจึงเห็นคุณประโยชน์ของความเป็นโสดและตัดสินใจ “จัดชีวิตอย่างนั้น” อย่างน้อยก็ระยะหนึ่ง. ส่วนบางคนในตอนแรกอาจไม่ได้วางแผนว่าจะเป็นโสด แต่เมื่อสภาพการณ์ของพวกเขาเปลี่ยนไป พวกเขาก็ใคร่ครวญอย่างจริงจังเกี่ยวกับสภาพการณ์ของตัวเองและตระหนักว่าด้วยความช่วยเหลือจากพระยะโฮวาพวกเขาก็จะปรับความรู้สึกให้คุ้นเคยกับสถานภาพของตนเองได้. โดยวิธีนี้ พวกเขายอมรับสภาพการณ์ที่เปลี่ยนไปนั้นและจัดชีวิตเพื่อจะเป็นโสด.—1 โค. 7:37, 38
4. เหตุใดคริสเตียนโสดจึงแน่ใจได้ว่าเขาสามารถรับใช้พระเจ้าได้อย่างครบถ้วน?
4 คริสเตียนโสดรู้ว่าพวกเขาไม่จำเป็นต้องแต่งงานเพื่อจะได้รับการยอมรับหรือมีค่าสำหรับพระยะโฮวาหรือองค์การของพระองค์. พระเจ้าทรงรักพวกเราทุกคนเป็นส่วนตัว. (มัด. 10:29-31) ไม่มีใครและไม่มีสิ่งใดจะพรากเราจากความรักของพระเจ้าได้. (โรม 8:38, 39) ไม่ว่าแต่งงานแล้วหรือเป็นโสด เราแน่ใจได้ว่าเราสามารถรับใช้พระเจ้าได้อย่างครบถ้วน.
5. จำเป็นต้องทำอะไรเพื่อจะได้ประโยชน์เต็มที่จากความเป็นโสด?
5 กระนั้น เช่นเดียวกับพรสวรรค์ด้านดนตรีหรือด้านกีฬาต้องใช้เวลาในการฝึกฝน เพื่อของประทานแห่งความเป็นโสดจะเป็นประโยชน์มากที่สุดก็ต้องใช้เวลาและความพยายาม. ดังนั้น คริสเตียนโสดทุกวันนี้ ไม่ว่าจะเป็นพี่น้องชายหรือหญิง, อายุน้อยหรือสูงอายุ, เลือกที่จะเป็นโสดหรือเป็นโสดเพราะสภาพการณ์บังคับ จะใช้ความเป็นโสดของตนให้เป็นประโยชน์มากที่สุดได้อย่างไร? ขอให้เราพิจารณาตัวอย่างบางเรื่องที่หนุนใจจากประชาคมคริสเตียนยุคแรกและดูว่าเราจะเรียนอะไรได้.
เป็นโสดในวัยหนุ่มสาว
6, 7. (ก) บุตรสาวพรหมจารีของฟิลิปรับสิทธิพิเศษอะไรในการรับใช้พระเจ้า? (ข) ติโมเธียวใช้ช่วงเวลาที่เป็นโสดให้เป็นประโยชน์อย่างไร และเขาได้รับพระพรอะไรจากการเต็มใจรับใช้ในวัยหนุ่ม?
6 ฟิลิปผู้เผยแพร่ข่าวดีมีบุตรสาวพรหมจารีสี่คนซึ่งมีใจแรงกล้าในการเผยแพร่ข่าวดีเช่นเดียวกับบิดา. (กิจ. 21:8, 9) การพยากรณ์เป็นของประทานแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์อันมหัศจรรย์อย่างหนึ่ง และสตรีสาวเหล่านี้ใช้ของประทานนั้นในการทำให้คำพยากรณ์ที่โยเอล 2:28, 29 สำเร็จ.
2 ติโม. 1:5; 3:14, 15) แต่ดูเหมือนว่าพวกเขาเข้ามาเป็นคริสเตียนตอนที่เปาโลเยี่ยมเมืองลิสตราบ้านเกิดของพวกเขาประมาณสากลศักราช 47. สองปีต่อมา เมื่อเปาโลไปเยี่ยมครั้งที่สอง ติโมเธียวอาจอยู่ในช่วงวัยรุ่นตอนปลายหรืออายุยี่สิบต้น ๆ. แม้อายุค่อนข้างน้อยและอยู่ในความจริงได้ไม่นาน คริสเตียนผู้ปกครองในเมืองลิสตราและอิโกนิอันต่าง ‘กล่าวถึงเขาในทางที่ดี.’ (กิจ. 16:1, 2) ดังนั้น เปาโลเชิญติโมเธียวให้ร่วมเดินทางไปกับท่าน. (1 ติโม. 1:18; 4:14) เราไม่อาจบอกได้อย่างแน่นอนว่าติโมเธียวเป็นโสดตลอดชีวิต. แต่เรารู้ว่าตอนที่ยังหนุ่ม เขาเต็มใจตอบรับคำเชิญของเปาโล และเป็นเวลาหลายปีหลังจากนั้นเขาชื่นชมกับการรับใช้ในฐานะมิชชันนารีและผู้ดูแลที่เป็นโสด.—ฟิลิป. 2:20-22
7 ติโมเธียวเป็นชายหนุ่มที่ใช้ความเป็นโสดให้เป็นประโยชน์. ยูนิเกผู้เป็นมารดา และโลอิสยายของเขาสอน “หนังสือบริสุทธิ์” แก่เขาตั้งแต่เป็นทารก. (8. อะไรทำให้โยฮันมาระโกสามารถทำตามเป้าหมายฝ่ายวิญญาณ และเขาได้รับพระพรอะไรจากการทำเช่นนั้น?
8 ในวัยหนุ่ม โยฮันมาระโกก็ใช้ช่วงที่เป็นโสดของเขาให้เกิดประโยชน์. เขากับมารดาคือมาเรีย รวมทั้งบาร์นาบัสที่เป็นลูกพี่ลูกน้อง เป็นสมาชิกรุ่นแรก ๆ ของประชาคมเยรูซาเลม. ครอบครัวของมาระโกอาจมีฐานะความเป็นอยู่ที่ดี เนื่องจากพวกเขามีบ้านของตัวเองในเมืองใหญ่และมีคนรับใช้. (กิจ. 12:12, 13) อย่างไรก็ตาม แม้มีข้อได้เปรียบอย่างนั้นและทั้ง ๆ ที่ยังหนุ่ม มาระโกก็ไม่มุ่งสนองความต้องการของตัวเองมากเกินไปหรือคิดถึงแต่ตัวเอง อีกทั้งไม่คิดจะลงหลักปักฐานและมีชีวิตครอบครัวที่สะดวกสบาย. การคบหากับอัครสาวกในช่วงแรก ๆ คงได้เพาะความปรารถนาที่เขาจะรับใช้เป็นมิชชันนารี. เขาจึงกระตือรือร้นที่จะไปกับเปาโลและบาร์นาบัสในการเดินทางเผยแพร่ต่างแดนรอบแรกและรับใช้เป็นผู้ช่วยของพวกเขา. (กิจ. 13:5) ต่อมา เขาเดินทางไปกับบาร์นาบัส และหลังจากนั้นเราเห็นว่าเขารับใช้กับเปโตรที่บาบิโลน. (กิจ. 15:39; 1 เป. 5:13) มาระโกอยู่เป็นโสดนานเท่าไรเราไม่ทราบ. แต่เขามีชื่อเสียงที่ดีเยี่ยมว่าเป็นคนที่เต็มใจรับใช้ผู้อื่นและพร้อมจะรับใช้พระเจ้ามากขึ้น.
9, 10. คริสเตียนโสดซึ่งอายุยังน้อยมีโอกาสอะไรบ้างที่จะขยายงานรับใช้ในทุกวันนี้? จงยกตัวอย่าง.
9 หนุ่มสาวหลายคนในประชาคมในทุกวันนี้ก็ยินดีและใช้ช่วงเวลาที่เป็นโสดเพื่อรับใช้พระเจ้ามากขึ้น. เช่นเดียวกับมาระโกและติโมเธียว พวกเขาเห็นคุณค่าความเป็นโสดว่าทำให้พวกเขาสามารถ “รับใช้องค์พระผู้เป็นเจ้าอยู่เสมอโดยไม่วอกแวก.” (1 โค. 7:35) นี่เป็นข้อได้เปรียบอย่างหนึ่งจริง ๆ. โอกาสมีมากมาย—เป็นไพโอเนียร์, รับใช้ในที่ที่ต้องการผู้ประกาศราชอาณาจักรมากกว่า, เรียนภาษาต่างประเทศ, ช่วยงานก่อสร้างหอประชุมราชอาณาจักรหรือสำนักงานสาขา, เข้าโรงเรียนฝึกอบรมเพื่องานรับใช้, และรับใช้ที่เบเธล. ถ้าคุณยังอยู่ในวัยหนุ่มสาวและยังไม่แต่งงาน คุณกำลังใช้โอกาสที่มีอยู่ให้เป็นประโยชน์ที่สุดไหม?
10 พี่น้องชายคนหนึ่งชื่อมาร์กเริ่มเป็นไพโอเนียร์ตั้งแต่ช่วงวัยรุ่นตอนปลาย, เข้าโรงเรียนฝึกอบรมเพื่องานรับใช้, และรับใช้ในเขตมอบหมายหลายแห่งทั่วโลก. เมื่อมองย้อนไปดูงานรับใช้เต็มเวลาตลอด 25 ปี เขากล่าวว่า “ผมพยายามหนุนใจทุกคนในประชาคม, ทำงานรับใช้กับพวกเขา, เยี่ยมบำรุงเลี้ยงพวกเขา, เชิญพวกเขามารับประทานอาหารที่บ้าน, และแม้กระทั่งจัดงานสังสรรค์ที่มุ่งเน้นจะหนุนใจกันทางฝ่ายวิญญาณ. ทั้งหมดนี้ทำให้ผมมีความยินดีอย่างยิ่ง.” ดังที่คำพูดของมาร์กเผยให้เห็น ความยินดีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตมาจากการให้ และการใช้ชีวิตอย่างเต็มที่ในการรับใช้อันศักดิ์สิทธิ์ทำให้มีโอกาสมากมายที่จะเป็นผู้ให้. (กิจ. 20:35) ไม่ว่าความสนใจส่วนตัว, ความชำนาญ, หรือประสบการณ์ในชีวิตเป็นเช่นไร มีงานขององค์พระผู้เป็นเจ้ามากมายที่หนุ่มสาวในทุกวันนี้จะทำได้.—1 โค. 15:58
11. มีผลดีอะไรถ้าไม่รีบร้อนแต่งงาน?
11 ถึงแม้ว่าคนหนุ่มสาวส่วนใหญ่คงอยากจะแต่งงานในที่สุด แต่มีเหตุผลที่ดีที่จะไม่รีบร้อนแต่งงาน. เปาโลสนับสนุนคนหนุ่มสาวให้คอยอย่างน้อยก็ให้เลย “วัยหนุ่มสาว” ซึ่งเป็นช่วงที่ความปรารถนาทางเพศรุนแรงที่สุด. (1 โค. 7:36) ต้องใช้เวลาที่จะเข้าใจตัวคุณเองและเก็บเกี่ยวประสบการณ์ในชีวิตซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อจะเลือกคู่ได้อย่าง เหมาะสม. การให้คำปฏิญาณการสมรสเป็นการตัดสินใจที่จริงจัง เป็นการตัดสินใจที่มีผลไปชั่วชีวิต.—ผู้ป. 5:2-5
เป็นโสดเมื่ออายุมากแล้ว
12. (ก) หญิงม่ายอันนารับมืออย่างไรกับสภาพการณ์ในชีวิตนางที่เปลี่ยนไป? (ข) นางมีสิทธิพิเศษอะไร?
12 นางอันนา ซึ่งหนังสือกิตติคุณของลูกากล่าวถึง คงเศร้าเสียใจอย่างยิ่งเมื่อสามีเสียชีวิตอย่างไม่คาดคิดหลังจากแต่งงานได้เพียงเจ็ดปี. เราไม่รู้ว่าทั้งสองมีบุตรไหม หรือนางเคยคิดจะแต่งงานใหม่หรือไม่. แต่คัมภีร์ไบเบิลบอกว่าเมื่ออายุ 84 ปีนางอันนาก็ยังคงเป็นม่าย. จากข้อมูลที่คัมภีร์ไบเบิลบอก เราลงความเห็นได้ว่านางอันนาใช้สภาพการณ์ที่เปลี่ยนไปเพื่อจะใกล้ชิดพระยะโฮวามากขึ้น. นาง “ไม่เคยหายหน้าไปจากพระวิหารเลย นางนมัสการพระเจ้าทั้งกลางวันและกลางคืน นางอดอาหารและทูลวิงวอน.” (ลูกา 2:36, 37) ดังนั้น การนมัสการพระเจ้ามีความสำคัญอันดับแรกในชีวิตนาง. นั่นต้องอาศัยความตั้งใจแน่วแน่และความพยายามอย่างแท้จริง แต่นางได้รับบำเหน็จอย่างใหญ่หลวง. นางมีสิทธิพิเศษได้เห็นพระกุมารเยซู และนางบอกคนอื่นเกี่ยวกับการปลดปล่อยที่จะเกิดขึ้นในอีกไม่ช้าโดยทางพระมาซีฮาที่กำลังจะมา.—ลูกา 2:38
13. (ก) อะไรแสดงว่าโดระคัสมีส่วนร่วมอย่างขันแข็งในประชาคม? (ข) ความดีและความกรุณาของโดระคัสให้ผลตอบแทนอย่างไร?
13 สตรีคนหนึ่งชื่อโดระคัส หรือตะบีทา อาศัยในเมืองยบเปซึ่งเป็นเมืองท่าในสมัยโบราณที่อยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของกรุงเยรูซาเลม. เนื่องจากคัมภีร์ไบเบิลไม่ได้กล่าวถึงสามีนางเลย ในตอนนั้นนางคงเป็นโสด. โดระคัส “ได้ทำการดีและให้ทานมากมาย.” ดูเหมือนว่านางได้ตัดเย็บเสื้อผ้ามากมายให้หญิงม่ายและคนอื่น ๆ ที่ยากจน และนั่นทำให้คนเหล่านี้รักนางมาก. ด้วยเหตุนี้ เมื่อนางล้มป่วยอย่างกะทันหันและเสียชีวิต พี่น้องในประชาคมนี้จึงใช้คนไปวิงวอนขอให้เปโตรมาช่วยปลุกพี่น้องหญิงที่รักของพวกเขาให้เป็นขึ้นจากตาย. เมื่อข่าวการกลับเป็นขึ้นจากตายของนางแพร่ออกไปทั่วเมืองยบเป หลายคนได้เข้ามาเป็นผู้มีความเชื่อ. (กิจ. 9:36-42) ความกรุณาเป็นพิเศษของโดระคัสอาจมีส่วนในการช่วยคนเหล่านี้บางคน.
14. อะไรกระตุ้นคริสเตียนโสดให้เข้าใกล้พระยะโฮวามากขึ้น?
14 เช่นเดียวกับนางอันนาและโดระคัส หลายคนในประชาคมสมัยปัจจุบันยังคงเป็นโสดและบางคนได้กลายเป็นม่ายเมื่ออายุมากแล้ว. บางคนอาจไม่พบคนที่เหมาะสมที่จะมาเป็นคู่. ส่วนบางคนอาจหย่าร้างหรือคู่สมรสเสียชีวิต. เนื่องจากไม่มีคู่สมรสที่จะระบายความในใจได้ คริสเตียนโสดมักเรียนรู้ที่จะหมายพึ่งพระยะโฮวามากกว่า. (สุภา. 16:3) ซิลเวีย พี่น้องหญิงโสดซึ่งรับใช้ที่เบเธลมานานกว่า 38 ปี เห็นว่านี่เป็นพระพร. เธอยอมรับว่า “บางครั้งดิฉันก็รู้สึกเบื่อหน่ายกับการที่ต้องเป็นคนเข้มแข็ง. ดิฉันนึกสงสัยว่า ‘ใครจะหนุนใจฉัน?’ ” แต่เธอกล่าวต่อไปว่า “การเชื่อมั่นว่าพระยะโฮวาทรงรู้ดีกว่าดิฉันเกี่ยวกับสิ่งจำเป็นที่ดิฉันต้องได้รับช่วยให้ดิฉันเข้าใกล้พระองค์มากขึ้น. และดิฉันได้รับการหนุนใจอยู่เสมอ ซึ่งบางครั้งก็มาจากแหล่งที่ดิฉันไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลย.” เมื่อไรก็ตามที่เราเข้าใกล้พระยะโฮวามากขึ้น พระองค์ทรงตอบสนองในวิธีที่ทำให้อุ่นใจและอ่อนละมุนที่สุดเสมอ.
15. คริสเตียนที่เป็นโสดอาจ “เปิดใจให้กว้าง” ในการแสดงความรักอย่างไร?
15 การเป็นโสดทำให้มีโอกาสมากเป็นพิเศษที่จะ “เปิดใจให้กว้าง” ในการแสดงความรัก. (อ่าน 2 โครินท์ 6:11-13) โจลีน พี่น้องหญิงโสดซึ่งรับใช้เต็มเวลามาแล้ว 34 ปี บอกว่า “ดิฉันพยายามสร้างสายสัมพันธ์ที่อบอุ่น ไม่เฉพาะกับคนรุ่นเดียวกันกับดิฉัน แต่กับคนทุกชนิด. การเป็นโสดทำให้มีโอกาสอย่างแท้จริงที่จะให้แก่พระยะโฮวา, ครอบครัว, พี่น้อง, และเพื่อนบ้าน. ยิ่งดิฉันอายุมากขึ้น ดิฉันก็มีความสุขมากยิ่งขึ้นกับสถานภาพโสดของดิฉัน.” ผู้สูงอายุ, คนที่เจ็บป่วย, บิดามารดาที่เลี้ยงลูกคนเดียว, เยาวชน, และคนอื่น ๆ ในประชาคมเห็นคุณค่าการช่วยเหลืออย่างไม่เห็นแก่ตัวที่พวกเขาได้รับจากคนโสดอย่างแน่นอน. จริงทีเดียว เมื่อไรก็ตามที่เราแสดงความรักต่อคนอื่น ๆ เรามีความรู้สึกที่ดียิ่งขึ้นต่อตัวเราเอง. คุณเองจะ “เปิดใจให้กว้าง” ในการแสดงความรักต่อคนอื่น ๆ ได้ไหม?
เป็นโสดตลอดชีวิต
16. (ก) เหตุใดพระเยซูทรงครองตัวเป็นโสดตลอดชีวิต? (ข) เปาโลใช้สถานภาพโสดของท่านอย่างฉลาดสุขุมอย่างไร?
16 พระเยซูไม่ได้แต่งงาน; พระองค์ต้องเตรียมตัวให้พร้อมและทำงานรับใช้ที่ได้รับมอบหมายให้สำเร็จ. พระองค์ทรงเดินทางไปทั่วทุกหนแห่ง, ทำงานตั้งแต่เช้าตรู่จนกระทั่งดึกดื่น, และในที่สุดทรงสละพระชนม์ชีพ. ความเป็นโสดนับเป็นข้อได้เปรียบในกรณีของพระองค์. อัครสาวกเปาโลเดินทางหลายพันกิโลเมตรและเผชิญความทุกข์ยากมากมายในงานรับใช้. (2 โค. 11:23-27) แม้ว่าในอดีตเปาโลอาจเคยแต่งงาน แต่ท่านเลือกที่จะเป็นโสดต่อไปหลังจากได้รับงานมอบหมายให้เป็นอัครสาวก. (1 โค. 7:7, 8; 9:5) เพื่อเห็นแก่งานรับใช้ ทั้งพระเยซูและเปาโลสนับสนุนคนอื่น ๆ ให้ทำตามแบบอย่างของตนเท่าที่จะทำได้. ถึงกระนั้น ทั้งสองไม่ได้เรียกร้องคนอื่น ๆ ให้ครองตัวเป็นโสดเพื่อจะรับใช้พระเจ้า.—1 ติโม. 4:1-3
17. บางคนในทุกวันนี้ทำตามแบบอย่างของพระเยซูและเปาโลอย่างไร และเหตุใดเราจึงแน่ใจได้ว่าพระยะโฮวาทรงเห็นค่าคนที่เสียสละเช่นนั้น?
17 ในปัจจุบัน บางคนก็ตั้งใจเลือกอยู่เป็นโสดด้วยเพื่อพวกเขาจะทำงานรับใช้ได้ดีกว่า. แฮโรลด์ ซึ่งกล่าวถึงในตอนต้น รับใช้ที่เบเธลมากว่า 56 ปี. เขากล่าวว่า “เมื่อผมรับใช้ที่เบเธลครบสิบปี ผมสังเกตเห็นคู่สมรสหลายคู่ออกจากเบเธลเพราะเจ็บป่วยหรือจำเป็นต้องไปดูแลพ่อแม่ที่สูงอายุ. ทั้งพ่อและแม่ของผมเสียชีวิตแล้ว. แต่ผมรักเบเธลมาก และผมไม่อยากเสี่ยงที่จะสูญเสียสิทธิพิเศษนี้ไปเพราะการแต่งงาน.” คล้ายกัน เมื่อหลายปีมาแล้ว พี่น้องคนหนึ่งชื่อมากาเร็ตซึ่งเป็นไพโอเนียร์มานานให้ข้อสังเกตว่า “ดิฉันมีโอกาสอยู่หลายครั้งที่จะได้แต่งงาน แต่ก็ปล่อยมันผ่านไปทุกครั้ง. แทนที่จะแต่งงาน ดิฉันสามารถใช้อิสระและความคล่องตัวที่คนโสดมีมากกว่าเพื่อจะหมกมุ่นอยู่กับงานรับใช้เสมอ และนั่นทำให้ดิฉันมีความสุขมาก.” แน่นอน พระยะโฮวาจะไม่ลืมใครก็ตามที่เสียสละอย่างไม่เห็นแก่ตัวเพื่อการนมัสการแท้เช่นนั้น.—อ่านยะซายา 56:4, 5
จงใช้ความเป็นโสดของคุณ ให้เกิดประโยชน์มากที่สุด
18. คนอื่น ๆ จะหนุนใจและสนับสนุนคริสเตียนโสดได้อย่างไร?
18 คริสเตียนโสดทุกคนที่รับใช้พระยะโฮวาอย่างสุดกำลังสมควรได้รับคำชมเชยและการหนุนใจจากเราอย่างแท้จริง. เรารักพวกเขาแต่ละคนเป็นส่วนตัวเพราะพวกเขามีส่วนสำคัญที่ช่วยประชาคม. พวกเขาจะไม่รู้สึกเหงาถ้าเราทำตัวเป็น “พี่น้องชายหญิงและมารดาและลูก ๆ” ฝ่ายวิญญาณของพวกเขาอย่างแท้จริง.—อ่านมาระโก 10:28-30
19. คุณจะทำอะไรได้บ้างเพื่อใช้ความเป็นโสดให้เกิดประโยชน์มากที่สุด?
19 ไม่ว่าคุณเป็นโสดด้วยความสมัครใจหรือเพราะสภาพการณ์บังคับ ตัวอย่างเหล่านี้จากพระคัมภีร์และในสมัยปัจจุบันยืนยันให้คุณมั่นใจว่าคุณจะมีชีวิตที่มีความสุขและเกิดผลมากได้. ความเป็นโสดอาจเป็นเหมือนของขวัญที่เราคาดหมายจะได้รับ หรืออาจเป็นเหมือนของขวัญที่เราไม่คาดหมายว่าจะได้รับก็ได้. เราอาจเห็นค่าของขวัญบางอย่างในทันที แต่สำหรับของขวัญบางอย่างกว่าเราจะเห็นค่าก็ต้องรอให้ผ่านไปชั่วระยะหนึ่งก่อน. ดังนั้น ส่วนใหญ่แล้วขึ้นอยู่กับทัศนคติของเรา. คุณจะทำอะไรได้บ้างเพื่อใช้ความเป็นโสดให้เป็นประโยชน์มากที่สุด? จงเข้าใกล้พระยะโฮวามากขึ้น, ขยันขันแข็งในการทำงานรับใช้พระเจ้า, และเปิดใจให้กว้างในการแสดงความรักต่อคนอื่น ๆ. เช่นเดียวกับการสมรส ความเป็นโสดจะให้บำเหน็จเมื่อเรามีทัศนะแบบเดียวกับพระเจ้าในเรื่องความเป็นโสดและใช้ของประทานนี้อย่างฉลาดสุขุม.
คุณจำได้ไหม?
• ความเป็นโสดจะเป็นของประทานได้อย่างไร?
• ความเป็นโสดจะเป็นพระพรในวัยหนุ่มสาวได้อย่างไร?
• คริสเตียนโสดมีโอกาสอะไรบ้างในการเข้าใกล้พระยะโฮวามากขึ้นและเปิดใจให้กว้างในการแสดงความรัก?
[คำถาม]
[ภาพหน้า 18]
คุณกำลังใช้โอกาสต่าง ๆ ในการรับใช้พระเจ้าให้เกิดประโยชน์มากที่สุดไหม?