“ดำเนินชีวิตอย่างประสบผลสำเร็จ” โดยวิธีใด?
“ดำเนินชีวิตอย่างประสบผลสำเร็จ” โดยวิธีใด?
“ความสำเร็จ”—ช่างเป็นคำที่สะดุดตาจริง ๆ! บางคนพยายามไต่เต้าและประสบความสำเร็จในการเป็นคนร่ำรวยและสร้างชื่อให้ตัวเอง. ส่วนบางคนใฝ่ฝันที่จะประสบความสำเร็จแต่ก็ล้มเหลวไม่เป็นท่า.
ส่วนใหญ่แล้ว ความสำเร็จขึ้นอยู่กับสิ่งที่คุณเน้นในชีวิตของคุณ. ปัจจัยสำคัญอีกสองประการก็คือ หนึ่ง วิธีที่คุณใช้เวลาและพลังงานของคุณ และสอง คุณมีความริเริ่มหรือไม่.
คริสเตียนหลายคนพบว่าการมีส่วนร่วมอย่างเต็มที่ในการรับใช้ทำให้พวกเขามีความอิ่มใจยินดีอย่างมาก. การให้งานรับใช้เต็มเวลาเป็นงานประจำชีพได้ช่วยทั้งคนหนุ่มสาวและผู้ใหญ่ให้ประสบความสำเร็จ. กระนั้น บางคนอาจรู้สึกว่างานรับใช้ค่อนข้างน่าเบื่อและให้งานนี้อยู่ในอันดับรองในชีวิตของตนขณะที่พวกเขามุ่งติดตามเป้าหมายอื่น ๆ. เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้? คุณอาจทำอะไรได้เพื่อจะไม่มองข้ามความสำคัญของสิ่งที่มีค่าอย่างแท้จริง? และคุณจะ “ดำเนินชีวิตอย่างประสบผลสำเร็จ” ได้อย่างไร?—ยโฮ. 1:8, ล.ม.
กิจกรรมนอกหลักสูตรและงานอดิเรก
เยาวชนคริสเตียนจำเป็นต้องรักษาความสมดุลให้ดีระหว่างการรับใช้พระเจ้าองค์เที่ยงแท้กับการร่วมทำกิจกรรมอื่น ๆ. คนที่ทำอย่างนั้นกำลังมุ่งไปสู่ความสำเร็จในชีวิตและสมควรได้รับคำชมเชยอย่างยิ่ง.
แต่เยาวชนคริสเตียนบางคนหมกมุ่นอยู่กับกิจกรรมนอกหลักสูตรและงานอดิเรกอย่างมาก. กิจกรรมเช่นนั้นในตัวมันเองแล้วอาจไม่ผิด. อย่างไรก็ตาม หนุ่มสาวคริสเตียนควรถามตัวเองว่า ‘กิจกรรมเหล่านี้อาจเรียกร้องเวลาจากฉันมากขนาดไหน? จะว่าอย่างไรในเรื่องการคบหาสมาคม? ฉันรับเอาน้ำใจแบบไหนเมื่อเข้าร่วมกิจกรรมเหล่านี้? และสิ่งที่ฉันเน้นในชีวิตอาจเปลี่ยนไปอย่างไร?’ คุณคงตระหนักว่าคนเราอาจหมกมุ่นกับกิจกรรมเช่นนั้นมากถึงขนาดที่เหลือเวลาและกำลังเพียงเล็กน้อยสำหรับการรักษาสายสัมพันธ์กับพระเจ้า. ดังนั้น คุณคงเห็นแล้วว่าทำไมการจัดลำดับความสำคัญของสิ่งต่าง ๆ จึงเป็นเรื่องสำคัญ.—เอเฟ. 5:15-17
ขอให้พิจารณากรณีของวิกเตอร์. * เขาเล่าว่า “เมื่อผมอายุ 12 ปี ผมเข้าร่วมชมรมวอลเลย์บอล. ต่อมา ผมชนะการแข่งขันหลายรายการและได้รับรางวัลมากมาย. ผมมีโอกาสที่จะเป็นนักกีฬาดัง.” ในเวลาต่อมา วิกเตอร์รู้สึกไม่สบายใจที่การเล่นกีฬานี้ส่งผลเสียต่อสภาพฝ่ายวิญญาณของเขา. วันหนึ่ง เขาผล็อยหลับไปขณะที่พยายามอ่านคัมภีร์ไบเบิล. นอกจากนั้น เขายังรู้สึกว่าไม่ค่อยยินดีเลยในการประกาศตามบ้าน. “กีฬาทำให้ผมหมดเรี่ยวหมดแรง และไม่ช้าผมก็เห็นว่ามันกำลังทำให้ผมหมดความกระตือรือร้นฝ่ายวิญญาณ. ผมรู้ว่าผมไม่ได้ทำสิ้นสุดกำลังที่ผมทำได้.”
การศึกษาขั้นสูง
คริสเตียนมีพันธะตามหลักพระคัมภีร์ที่จะดูแลครอบครัว และนั่นรวมถึงการดูแลความจำเป็นด้านวัตถุของครอบครัวด้วย. (1 ติโม. 5:8) ถึงกระนั้น นี่หมายความจริง ๆ ไหมว่าคุณต้องเรียนในระดับวิทยาลัยหรือมหาวิทยาลัย?
นับว่าดีที่จะพิจารณาว่าการเรียนสูงอาจส่งผลกระทบเช่นไรต่อสายสัมพันธ์ที่คนเรามีกับพระยะโฮวา. ให้เราพิจารณาตัวอย่างหนึ่งจากพระคัมภีร์.
บารุคเป็นเลขานุการของผู้พยากรณ์ยิระมะยาห์. มีอยู่ยิระ. 45:5
ช่วงหนึ่ง แทนที่บารุคจะเห็นความสำคัญของสิทธิพิเศษที่ตนมีในการรับใช้พระยะโฮวา เขากลายเป็นคนทะเยอทะยาน. พระยะโฮวาทรงสังเกตสิ่งที่เกิดขึ้นและทรงเตือนเขาผ่านทางยิระมะยาห์ว่า “เจ้าได้แสวงหาซึ่งของใหญ่สำหรับตัวหรือ, อย่าหาเลย.”—“ของใหญ่” ที่บารุคแสวงหาคืออะไร? เขาอาจพยายามสร้างชื่อให้ตัวเองในสังคมชาวยิวสมัยนั้น. หรือไม่ก็ของใหญ่นั้นอาจได้แก่ความมั่งคั่งร่ำรวยด้านวัตถุ. ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม เขามองข้ามสิ่งที่สำคัญกว่าอันได้แก่สิ่งที่จะช่วยให้เขามีสายสัมพันธ์ที่ดีกับพระยะโฮวา. (ฟิลิป. 1:10) อย่างไรก็ตาม เห็นได้ชัดว่าบารุคฟังคำเตือนของพระยะโฮวาที่มาทางยิระมะยาห์และรอดชีวิตจากการทำลายกรุงเยรูซาเลม.—ยิระ. 43:6
เราได้อะไรจากเรื่องนี้? คำแนะนำที่บารุคได้รับบ่งชี้ว่ามีอะไรบางอย่างที่ไม่ถูกต้อง. เขากำลังมุ่งแสวงหาของใหญ่สำหรับตัวเอง. ถ้าคุณหาเลี้ยงตัวเองได้ จำเป็นจริง ๆ ไหมที่คุณจะใช้เวลา เงินทอง และความพยายามในการเรียนต่อ เพียงเพื่อจะบรรลุเป้าหมายที่เป็นความใฝ่ฝันส่วนตัวหรือเพื่อบรรลุเป้าหมายที่บิดามารดาหรือญาติ ๆ ตั้งให้คุณ?
ขอให้พิจารณาสิ่งที่เกิดขึ้นกับกาเซกอร์ช นักเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์. เมื่อถูกเพื่อนร่วมงานโน้มน้าว เขาก็เข้าเรียนในการฝึกอบรมพิเศษเพิ่มเติมในหลักสูตรเร่งรัด. ไม่นาน เขาก็ไม่มีเวลาทำกิจกรรมฝ่ายวิญญาณ. เขาเล่าว่า “ผมรู้สึกตึงเครียดอยู่ตลอด. สติรู้สึกผิดชอบรบกวนผม เพราะผมไม่สามารถบรรลุเป้าหมายฝ่ายวิญญาณที่ผมได้ตั้งไว้สำหรับตัวเอง.”
หมกมุ่นในงานอาชีพ
พระคำของพระเจ้าสนับสนุนคริสเตียนแท้ให้ทำงานหนัก และเป็นลูกจ้างและนายจ้างที่มีความรับผิดชอบ. อัครสาวกเปาโลเขียนว่า “ท่านทั้งหลายจะทำอะไรก็ตาม จงทำอย่างสุดชีวิตอย่างที่ทำถวายพระยะโฮวา ไม่ใช่อย่างที่ทำให้มนุษย์.” (โกโล. 3:22, 23) อย่างไรก็ตาม แม้ว่าการทำงานหนักเป็นเรื่องที่น่าชมเชย แต่มีสิ่งหนึ่งที่สำคัญยิ่งกว่า นั่นคือสายสัมพันธ์ที่เรามีกับพระผู้สร้าง. (ผู้ป. 12:13) ถ้าคริสเตียนเริ่มหมกมุ่นกับงานอาชีพมากเกินไป การทำกิจกรรมฝ่ายวิญญาณอาจถูกผลักให้ไปอยู่ในอันดับรองได้โดยง่าย.
การหมกมุ่นในงานอาชีพอาจทำให้คริสเตียนไม่มีกำลังพอที่จะรักษาความสมดุลฝ่ายวิญญาณและช่วยครอบครัว. กษัตริย์โซโลมอนให้ข้อสังเกตว่า “สองกำมือเต็มด้วยการเหน็ดเหนื่อย” มักควบคู่ไปกับการ “วิ่งไล่ตามลมไป.” ถ้าคริสเตียนหมกมุ่นมากเกินไปในงานอาชีพ ในที่สุดเขาอาจเกิดความเครียดอย่างรุนแรงและยืดเยื้อ. คนที่เป็นแบบนี้อาจถึงกับตกเป็นทาสของงานถึงขั้นหมดเรี่ยวแรงทั้งกายและใจ. ถ้าอย่างนั้น เขาจะ ‘มีความสุขและอิ่มใจในการตรากตรำทำงานทั้งสิ้น’ ได้จริง ๆ ไหม? (ผู้ป. 3:12, 13, ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย; 4:6) ที่สำคัญยิ่งกว่านั้น เขายัง จะมีแรงกายแรงใจเหลืออยู่พอที่จะทำหน้าที่ในครอบครัวและร่วมในกิจกรรมฝ่ายวิญญาณไหม?
ยานุช ซึ่งอยู่ที่ยุโรปตะวันออกเริ่มหมกมุ่นอย่างมากกับธุรกิจจัดสวนของเขา. เขาเล่าว่า “ผู้คนทั่วไปชื่นชมผมกันมาก เพราะผมมีความคิดสร้างสรรค์และสามารถทำอย่างที่ลูกค้าต้องการได้. แต่สภาพฝ่ายวิญญาณของผมแย่ลงเรื่อย ๆ และผมเลิกไปประกาศ. ไม่ช้าผมก็เลิกไปประชุม. ผมเริ่มหยิ่งทะนงจนไม่สนใจคำแนะนำที่มาจากผู้ปกครองและตีตัวออกห่างจากประชาคม.”
คุณจะประสบความสำเร็จในชีวิตได้
เราได้พิจารณากันแล้วถึงสามขอบเขตที่คริสเตียนอาจเข้าไปยุ่งเกี่ยวมากเกินไปจนทำให้สภาพฝ่ายวิญญาณของเขาเสียหาย. คุณพัวพันกับสิ่งเหล่านี้อยู่ไหม? ถ้าเป็นอย่าง
นั้น คำถาม ข้อคัมภีร์ และความเห็นต่อไปนี้อาจช่วยบอกได้ว่าคุณจะประสบความสำเร็จจริง ๆ หรือไม่.กิจกรรมนอกหลักสูตรและงานอดิเรก: คุณหมกมุ่นกับกิจกรรมเหล่านี้ขนาดไหน? กิจกรรมเหล่านี้กำลังผลาญเวลาที่คุณเคยอุทิศให้แก่กิจกรรมฝ่ายวิญญาณไหม? คุณรู้สึกว่าการคบหาสมาคมกับเพื่อนร่วมความเชื่อไม่ค่อยน่าดึงดูดใจเหมือนเมื่อก่อนไหม? ถ้าเป็นอย่างนั้น คุณน่าจะเลียนแบบกษัตริย์ดาวิดที่วิงวอนพระยะโฮวาว่า “ขอโปรดข้าพเจ้าให้รู้จักมรคาที่ข้าพเจ้าควรจะดำเนิน.”—เพลง. 143:8
ผู้ดูแลเดินทางคนหนึ่งได้ช่วยวิกเตอร์ พี่น้องที่กล่าวถึงในตอนต้น. ผู้ดูแลเดินทางบอกเขาว่า “เธอพูดถึงอาชีพการเป็นนักวอลเลย์บอลด้วยความรู้สึกที่แรงกล้ามากเลยนะ.” วิกเตอร์บอกว่า “นั่นทำให้ผมตื่นจากภวังค์. ผมเริ่มรู้ตัวว่าผมไปไกลเกินไปแล้ว. จากนั้นไม่นาน ผมก็เลิกคบกับเพื่อนชาวโลกที่ชมรมกีฬานั้นและหาเพื่อนในประชาคม.” ทุกวันนี้ วิกเตอร์กำลังรับใช้พระยะโฮวาอย่างกระตือรือร้นในประชาคมของเขา. เขาแนะนำว่า “ถามเพื่อนของคุณ ถามพ่อแม่ หรือถามผู้ปกครองในประชาคมดูสิว่าเขาเห็นว่ากิจกรรมที่โรงเรียนทำให้คุณใกล้ชิดพระยะโฮวามากยิ่งขึ้นหรือทำให้คุณถอยห่างจากพระองค์.”
คุณน่าจะบอกผู้ปกครองในประชาคมว่าคุณอยากมีสิทธิพิเศษมากขึ้นในการรับใช้พระเจ้า. คุณจะช่วยผู้สูงอายุที่ต้องการเพื่อนหรือต้องการความช่วยเหลือ เช่น ช่วยซื้อของหรือทำงานบ้านบางอย่าง ได้ไหม? ไม่ว่าคุณอายุเท่าไร คุณอาจเป็นผู้รับใช้เต็มเวลาได้ และแบ่งปันสิ่งที่ทำให้คุณมีความยินดีแก่คนอื่น ๆ.
การศึกษาขั้นสูง: พระเยซูทรงเตือนว่าอย่า “พยายามทำให้ตนเองได้รับเกียรติ.” (โย. 7:18) ไม่ว่าคุณตัดสินใจจะศึกษาฝ่ายโลกถึงระดับไหน คุณได้ “ตรวจดูให้แน่ใจว่าสิ่งไหนสำคัญกว่า” ไหม?—ฟิลิป. 1:9, 10
กาเซกอร์ช นักเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ได้เปลี่ยนแปลงบางสิ่งบางอย่างในชีวิตของเขา. เขากล่าวว่า “ด้วยการทำตามคำแนะนำของผู้ปกครองอย่างจริงจัง ผมจัดชีวิตให้เรียบง่าย. ผมคิดว่าจริง ๆ แล้วผมไม่จำเป็นต้องเรียนต่อ. การศึกษาสูงมีแต่จะทำให้ผมไม่มีเวลาและหมดเรี่ยวหมดแรง.” กาเซกอร์ชเข้าร่วมกิจกรรมของประชาคมมากขึ้น. ในเวลาต่อมา เขาสำเร็จหลักสูตรจากโรงเรียนฝึกอบรมเพื่องานรับใช้ ซึ่งตอนนี้เรียกว่าโรงเรียนพระคัมภีร์สำหรับชายโสด. ใช่แล้ว เขา “ซื้อเวลามาใช้” เพื่อศึกษาในทางของพระเจ้ามากขึ้น.—เอเฟ. 5:16, เชิงอรรถ
งานอาชีพ: คุณหมกมุ่นกับงานมากจนทำให้ผลประโยชน์ฝ่ายวิญญาณไปอยู่ในอันดับรองไหม? คุณใช้เวลาพูดคุยกับครอบครัวมากพอไหม? และในประชาคม คุณกำลังพัฒนาคุณภาพในการทำส่วนที่คุณได้รับมอบหมายให้บรรยายหรือสาธิตไหม? คุณสนทนากับคนอื่นอย่างที่ให้กำลังใจกันไหม? “จงเกรงกลัวพระเจ้า, จงถือรักษาบัญญัติทั้งปวงของพระองค์” แล้วคุณจะได้รับพระพรอย่างอุดมจากพระยะโฮวา และ ‘ชื่นชมสนุกสนานในการงานของคุณ.’—ผู้ป. 2:24; 12:13
ยานุช ซึ่งกล่าวถึงข้างต้น ไม่ประสบความสำเร็จในธุรกิจทำสวนของเขา. เขาล้มเหลว. เมื่อไม่มีรายได้อีกทั้งเป็นหนี้มากมาย เขากลับมาหาพระยะโฮวา. ยานุชจัดระเบียบชีวิตให้เข้าที่เข้าทาง และตอนนี้เขารับใช้เป็นไพโอเนียร์ประจำและผู้ปกครองในประชาคม. เขากล่าวว่า “เมื่อผมอิ่มใจพอใจกับสิ่งจำเป็นพื้นฐาน และขณะเดียวกันก็ทุ่มเทให้กับสิ่งฝ่ายวิญญาณ ผมมีสันติสุขในใจและความสงบใจ.”—ฟิลิป. 4:6, 7
จงใช้เวลาในการประเมินแรงกระตุ้นและการจัดลำดับความสำคัญของคุณอย่างตรงไปตรงมา. การรับใช้พระยะโฮวาเป็นแนวทางที่ทำให้ประสบความสำเร็จชั่วชีวิต. จงทำให้การรับใช้เป็นจุดรวมในชีวิตของคุณ.
คุณอาจต้องปรับเปลี่ยนอะไรบางอย่าง อาจถึงกับต้องขจัดสิ่งที่ไม่จำเป็นทิ้งไปเพื่อจะทำให้รู้แน่ว่า “อะไรคือพระประสงค์อันดีของพระเจ้าซึ่งเป็นที่ชอบพระทัย และสมบูรณ์พร้อม.” (โรม 12:2) แต่คุณจะ ‘ทำให้ทางที่คุณดำเนินไปนั้นมีความเจริญ’ ได้โดยการรับใช้พระองค์อย่างสุดชีวิต.
[เชิงอรรถ]
^ วรรค 8 บางชื่อในบทความนี้เป็นชื่อสมมุติ.
[กรอบ/ภาพหน้า 31]
คุณจะดำเนินชีวิตอย่างประสบผลสำเร็จได้อย่างไร?
เนื่องจากมีหลายสิ่งหลายอย่างที่อาจดึงความสนใจของคุณให้ไขว้เขว คุณจะไม่มองข้ามสิ่งที่มีค่าอย่างแท้จริงได้อย่างไร? ขอให้ใช้เวลาตรวจสอบแรงกระตุ้นและการจัดลำดับความสำคัญของคุณโดยใคร่ครวญคำถามต่อไปนี้:
กิจกรรมนอกหลักสูตรและงานอดิเรก
▪ คุณรับเอาน้ำใจแบบไหนเมื่อเข้าร่วมกิจกรรมเหล่านี้?
▪ กิจกรรมเหล่านี้เรียกร้องเวลามากขนาดไหน?
▪ กิจกรรมเหล่านี้อาจกลายเป็นสิ่งที่คุณเน้นในชีวิตไหม?
▪ กิจกรรมเหล่านี้กำลังผลาญเวลาที่คุณเคยอุทิศให้แก่กิจกรรมฝ่ายวิญญาณไหม?
▪ จะว่าอย่างไรในเรื่องการคบหาสมาคม?
▪ คุณรู้สึกว่าการคบหาสมาคมกับคนเหล่านี้น่าดึงดูดใจมากกว่าการคบหากับเพื่อนร่วมความเชื่อไหม?
การศึกษาขั้นสูง
▪ ถ้าคุณหาเลี้ยงตัวเองได้ จำเป็นจริง ๆ ไหมที่คุณจะใช้เวลา เงินทอง และความพยายามในการเรียนต่อ?
▪ เพื่อจะหาเลี้ยงตัวเองได้ จำเป็นจริง ๆ ไหมที่คุณต้องเรียนในระดับวิทยาลัยหรือมหาวิทยาลัย?
▪ การเรียนสูงจะส่งผลกระทบเช่นไรต่อการเข้าร่วมการประชุม?
▪ คุณได้ “ตรวจดูให้แน่ใจว่าสิ่งไหนสำคัญกว่า” ไหม?
▪ คุณจำเป็นต้องเสริมความเชื่อมั่นว่าพระยะโฮวาทรงสามารถเลี้ยงดูคุณไหม?
งานอาชีพ
▪ งานที่คุณเลือกทำให้คุณ ‘มีความสุขและอิ่มใจในการตรากตรำทำงานทั้งสิ้น’ ไหม?
▪ คุณยังมีแรงกายแรงใจเหลืออยู่พอที่จะทำหน้าที่ในครอบครัวและร่วมในกิจกรรมฝ่ายวิญญาณไหม?
▪ คุณใช้เวลาพูดคุยกับครอบครัวมากพอไหม?
▪ คุณหมกมุ่นกับงานมากจนทำให้ผลประโยชน์ฝ่ายวิญญาณไปอยู่ในอันดับรองไหม?
▪ งานอาชีพทำให้คุณภาพในการทำส่วนที่คุณได้รับมอบหมายให้บรรยายหรือสาธิตลดลงไหม?
[ภาพหน้า 30]
พระยะโฮวาทรงเตือนบารุคให้ระวังความทะเยอทะยาน