การรับใช้พระยะโฮวาเป็นความยินดีของผมเสมอ
การรับใช้พระยะโฮวาเป็นความยินดีของผมเสมอ
เล่าโดย เฟรด รัสก์
ตั้งแต่ผมยังเด็ก ผมมองเห็นความเป็นจริงของถ้อยคำที่ดาวิดเขียนไว้ในบทเพลงสรรเสริญ 27:10 ที่ว่า “เมื่อบิดามารดาละทิ้งข้าพเจ้าแล้ว, พระยะโฮวาจะทรงรับข้าพเจ้าไว้.” ขอให้ผมเล่าว่าข้อความนี้เป็นจริงอย่างไรกับตัวผมเอง.
ผมเติบโตขึ้นมาในไร่ฝ้ายของปู่ที่รัฐจอร์เจีย สหรัฐอเมริกา ในช่วงภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่เมื่อทศวรรษ 1930. พ่อผม ซึ่งโศกเศร้าอย่างมากจากการตายของแม่และน้องชายผมที่เพิ่งคลอด ทิ้งผมไว้ให้อยู่กับปู่ซึ่งเป็นม่าย และย้ายไปหางานทำในเมืองใหญ่ที่ห่างไกล. ต่อมา พ่อพยายามหาทางให้ผมไปอยู่ด้วย แต่ไม่เคยสำเร็จ.
ป้าของผมช่วยกันดูแลครอบครัว. แม้ว่าปู่ไม่เคร่งศาสนา แต่ลูกสาวหลายคนของปู่เป็นแบพติสต์ฝ่ายใต้ที่ถือเคร่ง. เพราะถูกขู่ว่าจะถูกตีถ้าไม่ไปโบสถ์ ผมจึงต้องยอมไปทุกวันอาทิตย์. ด้วยเหตุนี้ ผมจึงไม่สนใจศาสนาตั้งแต่เด็ก. แต่ผมชอบไปโรงเรียนและชอบเล่นกีฬา.
การเยี่ยมที่ทำให้ชีวิตของผมเปลี่ยนไป
บ่ายวันหนึ่งในปี 1941 ตอนที่ผมอายุ 15 ปี ชายสูงอายุคนหนึ่งกับภรรยามาที่บ้านเรา. มีคนแนะนำให้ผมรู้จักว่า “นี่คือทัลแมดจ์ รัสก์ ลุงของเธอ.” ผมไม่เคยได้ยินเรื่องของลุงคนนี้มาก่อนเลย แต่ก็ได้มารู้ว่าลุงกับภรรยาเป็นพยานพระยะโฮวา. สิ่งที่ลุงอธิบายเกี่ยวกับพระประสงค์ของพระเจ้าสำหรับมนุษย์ที่จะมีชีวิตบนแผ่นดินโลกตลอดไปนั้นต่างกันมากกับสิ่งที่ผมได้ยินที่โบสถ์. คนส่วนใหญ่ในครอบครัวผมบอกปัดสิ่งที่ลุงกับภรรยาพูด และถึงกับเหยียดหยามเสียด้วยซ้ำ. ทั้งสองถูกห้ามไม่ให้เข้าบ้านอีก. อย่างไรก็ตาม อาแมรี น้องสาวของพ่อผมซึ่งอายุแก่กว่าผมแค่สามปี รับคัมภีร์ไบเบิลและหนังสือบางเล่มที่ช่วยอธิบายพระคัมภีร์.
หลังจากนั้นไม่นาน อาแมรีก็เชื่อมั่นว่าเธอพบความจริงในคัมภีร์ไบเบิลแล้ว และรับบัพติสมาเป็นพยานพระยะโฮวาในปี 1942. เธอยังประสบกับสิ่งที่พระเยซูทรงบอกไว้ล่วงหน้าด้วย ที่ว่า “คนในครอบครัวเดียวกันจะเป็นศัตรูกัน.” (มัด. 10:34-36) มีการต่อต้านอย่างหนักจากคนในครอบครัว. พี่สาวคนหนึ่งของอา ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีในแวดวงสังคมของมณฑล คบคิดกับนายกเทศมนตรีเพื่อให้ลุงทัลแมดจ์ถูกจับ. ข้อกล่าวหาก็คือเร่ขายของโดยไม่มีใบอนุญาต. ลุงถูกตัดสินว่ามีความผิด.
หนังสือพิมพ์ในท้องถิ่นรายงานว่านายกเทศมนตรี ซึ่งทำหน้าที่เป็นผู้พิพากษาด้วย กล่าวต่อคนที่อยู่ในศาลท้องถิ่นว่า “หนังสือที่ชายผู้นี้แจกจ่าย . . . เป็นอันตรายเหมือนยาพิษ.” ลุงของผมชนะคดีในศาลอุทธรณ์ แต่ระหว่างนั้นก็ต้องติดคุกอยู่สิบวัน.
วิธีที่อาแมรีช่วยผม
นอกเหนือจากจะพูดกับผมเกี่ยวกับความเชื่อที่เธอเพิ่งค้นพบ อาแมรียังเริ่มประกาศกับเพื่อนบ้านด้วย. ผมไปด้วยกันกับเธอในการนำการศึกษาพระคัมภีร์กับชายคนหนึ่งซึ่งรับหนังสือโลกใหม่. * ภรรยาของชายคนนี้บอกว่าสามีเธออ่านหนังสือนี้ทั้งคืน. แม้ว่าผมไม่อยากถูกชักนำให้เข้าไปเกี่ยวข้องโดยเร็วกับสิ่งใดก็ตามที่เกี่ยวกับศาสนา แต่เรื่องที่ผมได้เรียนรู้ในตอนนั้นเป็นสิ่งที่ดึงดูดใจผมทีเดียว. อย่างไรก็ตาม คำสอนตามหลักคัมภีร์ไบเบิลไม่ใช่เหตุผลหลักที่ทำให้ผมเชื่อมั่นว่าพยานฯ เป็นประชาชนของพระเจ้า หากแต่เป็นข้อเท็จจริงที่ว่าพวกเขาถูกต่อต้าน.
ยกตัวอย่าง วันหนึ่งระหว่างที่เดินกลับบ้านหลังจากไปพรวนดินต้นมะเขือเทศ ผมกับอาแมรีได้เห็นร่องรอยในเตาเผาที่ไฟยังคุกรุ่นอยู่ที่ทำให้รู้ว่าหนังสือ เครื่องเล่นแผ่นเสียง และแผ่นเสียงที่บันทึกข่าวสารของคัมภีร์ไบเบิลถูกเผาไปแล้ว. ผมเดือดดาลมากแต่ป้าคนหนึ่งตอบกลับด้วยท่าทีที่สมเพชผมว่า “แล้วทีหลังแกจะขอบคุณที่พวกเราทำอย่างนี้.”
อาแมรีถูกไล่ออกจากบ้านในปี 1943 เพราะเธอไม่ยอมละทิ้งความเชื่อที่เพิ่งพบและไม่ยอมเลิกประกาศกับเพื่อนบ้าน. ถึงตอนนั้น ผมตื่นเต้นที่ได้เรียนรู้ไม่เพียงแค่ว่าพระเจ้ามีพระนาม คือพระยะโฮวา แต่พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าที่เปี่ยมด้วยความรักความเมตตา ไม่ใช่พระเจ้าที่เผาผู้คนในไฟนรก. ผมยังเรียนรู้ด้วยว่าพระยะโฮวาทรงมีองค์การที่มีความรัก แม้ว่าผมยังไม่ได้เข้าร่วมการประชุม.
ต่อมา ขณะที่ผมตัดหญ้าอยู่ มีรถคันหนึ่งขับมาหาผมช้า ๆ และผู้ชายคนหนึ่งในสองคนที่นั่งมาในรถถามว่าผมคือเฟรดใช่ไหม. เมื่อผมรู้ว่าพวกเขาเป็นพยานฯ ผมบอกเขาว่า “ขอให้ผมขึ้นรถ แล้วไปคุยกันในที่ที่ปลอดภัยดีไหม.” อาแมรีได้ขอให้พวกเขามาเยี่ยมผม. คนหนึ่งคือชีลด์ ทุตจีอัน ซึ่งเป็นผู้รับใช้เดินทาง ช่วยหนุนใจและให้การชี้นำฝ่ายวิญญาณแก่ผมในเวลาที่นับว่าเหมาะพอดี. การต่อต้านจากคนในครอบครัวในตอนนี้พุ่งมาที่ผม เพราะผมปกป้องความเชื่อของพยานพระยะโฮวา.
อาแมรี ซึ่งย้ายไปอยู่ที่เวอร์จิเนีย เขียนจดหมายมาหาผมและบอกว่าถ้าผมตั้งใจแน่วแน่แล้วว่าจะรับใช้พระยะโฮวา ผมสามารถไปอยู่กับเธอได้. ผมตัดสินใจทันทีว่าจะไป. เย็นวันศุกร์วันหนึ่งในเดือนตุลาคม 1943 ผมรวบรวมของจำเป็นบางอย่างใส่ไว้ในกล่องใบหนึ่งแล้วมัดไว้กับต้นไม้ต้นหนึ่งที่อยู่ห่างจากบ้านพอสมควร. พอถึงวันเสาร์ ผมก็ไปเอากล่อง ใช้เส้นทางที่ตัดผ่านหลังบ้านของเพื่อนบ้านคนหนึ่ง แล้วก็นั่งรถเข้าเมือง. เมื่อเดินทางไปถึงเมืองโรอาโนเค ผมก็พบอาแมรีซึ่งอยู่ที่บ้านของเอดนา โฟลส์.
ก้าวหน้าฝ่ายวิญญาณ รับบัพติสมา รับใช้ที่เบเธล
เอดนาเป็นพยานฯ ผู้ถูกเจิมที่เมตตากรุณาเหมือนกับลิเดียในสมัยคัมภีร์ไบเบิล. เธอเช่าบ้านหลังใหญ่และรับหลายคนมาอยู่ด้วย. นอกจากอาแมรีแล้ว ก็ยังมีพี่สะใภ้ของเอดนา รวมทั้งลูกสาวสองคนของเธอด้วย คือแกลดิสและเกรซ เกรกอรี. ในภายหลัง แกลดิสและเกรซได้รับใช้เป็นมิชชันนารี. แกลดิส ซึ่งตอนนี้อายุ 90 กว่าปี ยังคงรับใช้อย่างซื่อสัตย์ที่สำนักงานสาขาประเทศญี่ปุ่น.
ระหว่างที่อาศัยในบ้านของเอดนา ผมเข้าร่วมการประชุมเป็นประจำและได้รับการฝึกอบรมให้ทำงานรับใช้. การมีเสรีภาพในการศึกษาพระคำของพระเจ้าและการได้เข้าร่วมการประชุมคริสเตียนช่วยสนองความกระหายฝ่ายวิญญาณของผม. วันที่ 14 มิถุนายน 1944 ผมรับบัพติสมา. อาแมรีและสองพี่น้องตระกูลเกรกอรีเริ่มเป็นไพโอเนียร์และตอบรับงานมอบหมายให้ไปรับใช้ทางตอนเหนือของเวอร์จิเนีย. ที่นั่น พวกเธอเป็นกำลังสำคัญที่ช่วยก่อตั้งประชาคมหนึ่งขึ้นในเมืองลีสเบิร์ก. ต้นปี 1946 ผมเริ่มเป็นไพโอเนียร์ในมณฑลที่อยู่ติดกัน. ฤดูร้อนของปีนั้น เราเดินทางด้วยกันเพื่อเข้าร่วมการประชุมนานาชาติที่น่าประทับใจไม่รู้ลืมซึ่งจัดที่เมืองคลีฟแลนด์ รัฐโอไฮโอ ในวันที่ 4-11 สิงหาคม.
ณ การประชุมภาคครั้งนั้น บร. นาทาน นอรร์ ซึ่งเป็นผู้นำในองค์การตอนนั้น กล่าวถึงแผนการที่จะขยายเบเธลที่บรุกลิน. แผนการดังกล่าวรวมถึงการสร้างอาคารที่พักใหม่และการสร้างโรงพิมพ์เพิ่ม. งานนี้ต้องใช้พี่น้องหนุ่มจำนวนมาก. ผมตัดสินใจว่านี่แหละคือที่ที่ผมอยากจะรับใช้พระยะโฮวา. ผมจึงยื่นใบสมัคร และภายในไม่กี่เดือน ในวันที่ 1 ธันวาคม 1946 ผมก็ไปที่เบเธล.
ประมาณหนึ่งปีต่อมา แมกซ์ ลาร์สัน ผู้ดูแลโรงพิมพ์มาที่โต๊ะทำงานผมที่แผนกส่งจดหมาย. เขาแจ้งให้ผมทราบว่าผมได้รับมอบหมายให้ไปทำงานที่แผนกการรับใช้. ในการทำหน้าที่มอบหมายนั้น ผมได้เรียนรู้มากมายเกี่ยวกับการใช้หลักการในคัมภีร์ไบเบิลและการดำเนินงานขององค์การของพระเจ้า โดยเฉพาะตอนที่ทำงานกับ บร. ที. เจ. (บัด) ซัลลิแวน ผู้ดูแลแผนก.
พ่อได้มาเยี่ยมผมที่เบเธลหลายครั้ง. ในบั้นปลายชีวิต พ่อหันมาสนใจศาสนา. ครั้งสุดท้ายที่พ่อมาเยี่ยมผมในปี 1965 พ่อพูดว่า “ลูกจะไปเยี่ยมพ่อก็ได้นะ แต่พ่อจะไม่มาเยี่ยมลูกที่นี่อีกแล้วล่ะ.” ผมไปเยี่ยมพ่อสองสามครั้งก่อนที่พ่อจะเสียชีวิต. พ่อแน่ใจว่า จะได้ไปสวรรค์. ส่วนผมหวังว่าพ่อจะอยู่ในความทรงจำของพระยะโฮวา และถ้าเป็นอย่างนั้น เมื่อถึงตอนที่มีการกลับเป็นขึ้นจากตาย พ่อก็จะได้อยู่บนแผ่นดินโลกโดยมีความหวังจะได้อยู่ตลอดไปในอุทยานที่ได้รับการฟื้นฟู ไม่ใช่ในที่ที่พ่อคิดว่าจะได้อยู่.
การประชุมภาคและการก่อสร้างอื่น ๆ ที่น่าจดจำ
การประชุมภาคเป็นเหตุการณ์สำคัญที่ทำให้มีการเติบโตฝ่ายวิญญาณเสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการประชุมนานาชาติซึ่งจัดขึ้นหลายครั้งที่สนามกีฬาแยงกี ในกรุงนิวยอร์กในช่วงทศวรรษ 1950. ในการประชุมครั้งหนึ่งเมื่อปี 1958 สนามกีฬาแยงกีและสนามโปโลเต็มแน่นไปด้วยผู้เข้าร่วมการประชุมรวมทั้งสิ้น 253,922 คนที่มาจาก 123 ดินแดน. มีเหตุการณ์หนึ่งในการประชุมภาคครั้งนั้นที่ผมจะไม่มีวันลืมเลย. ขณะที่ผมกำลังช่วยแผนกการประชุมอยู่นั้น บร. นอรร์สาวเท้าก้าวเข้ามาหาผมอย่างเร็ว. ท่านบอกว่า “เฟรด ไม่รู้ว่าผิดพลาดไปได้อย่างไร ผมลืมมอบหมายผู้บรรยายให้พูดกับไพโอเนียร์ทั้งหมดที่ตอนนี้มารวมกันอยู่ในห้องจัดเลี้ยงที่เราเช่าไว้ซึ่งอยู่ใกล้ ๆ นี่เอง. คุณช่วยรีบไปที่นั่น แล้วขณะที่ไปคุณก็คิดคำบรรยายดี ๆ สักเรื่องหนึ่งไปบรรยายให้พวกเขาฟังหน่อยนะ.” ผมอธิษฐานหลายรอบก่อนจะไปถึงที่นั่น อย่างกระหืดกระหอบ.
เมื่อประชาคมเพิ่มขึ้นอย่างมากในกรุงนิวยอร์กระหว่างทศวรรษ 1950 และ 1960 อาคารเช่าที่ใช้สำหรับหอประชุมราชอาณาจักรเริ่มไม่พอ. ดังนั้น ตั้งแต่ปี 1970 ถึง 1990 เราได้ซื้อตึกสามหลังในแมนฮัตตันและปรับปรุงให้เป็นสถานประชุมที่เหมาะสม. ผมเป็นประธานของคณะกรรมการการก่อสร้างของโครงการเหล่านี้และมีความทรงจำดี ๆ หลายอย่างเกี่ยวกับวิธีที่พระยะโฮวาทรงเทพระพรอย่างอุดมล้นเหลือแก่ประชาคมต่าง ๆ ที่ทำงานด้วยกันเพื่อจัดหาเงินทุนและสร้างอาคารเหล่านี้จนสำเร็จ ซึ่งยังคงใช้งานได้เป็นอย่างดีในฐานะศูนย์กลางการนมัสการแท้จนถึงทุกวันนี้.
การเปลี่ยนแปลงในชีวิต
วันหนึ่งในปี 1957 ขณะที่ผมกำลังเดินไปทำงาน ผ่านสวนที่อยู่ระหว่างอาคารที่พักของเบเธลกับโรงพิมพ์ ฝนก็เริ่มตก. แล้วผมก็เห็นสาวผมบลอนด์ที่น่ารักซึ่งเป็นสมาชิกใหม่ของเบเธลอยู่ข้างหน้าผม. เธอไม่มีร่ม ผมเลยกางร่มให้เธอและเดินไปด้วยกัน. นั่นแหละคือวิธีที่ผมพบกับมาร์จอรี. และนับตั้งแต่ที่เราแต่งงานกันในปี 1960 ไม่ว่าจะทุกข์หรือสุข ไม่ว่าฝนจะตกหรือแดดจะออก เราก็เดินเคียงข้างกันอย่างมีความสุขในการรับใช้พระยะโฮวา. เราฉลองครบรอบแต่งงานปีที่ 50 ในเดือนกันยายน 2010.
หลังกลับจากฮันนีมูน เรายังไม่ทันจะรื้อของออกจากกระเป๋าเลยบราเดอร์นอรร์ก็บอกผมว่าผมได้รับมอบหมายให้เป็นผู้สอนในโรงเรียนกิเลียด. นั่นนับเป็นสิทธิพิเศษจริง ๆ! ตั้งแต่ปี 1961 จนถึงปี 1965 มีการสอนห้าชั้นเรียนที่เป็นหลักสูตรยาวกว่า ซึ่งคนที่เข้าเรียนส่วนใหญ่เป็นบุคลากรของสำนักงานสาขา. พวกเขาได้รับการอบรมเป็นพิเศษในการจัดการดูแลสำนักงานสาขา. ในฤดูใบไม้ร่วงปี 1965 ชั้นเรียนต่าง ๆ ก็กลับมาเป็นหลักสูตรห้า
เดือนตามปกติ และเน้นไปที่การฝึกอบรมมิชชันนารีอีกครั้งหนึ่ง.ในปี 1972 ผมย้ายจากโรงเรียนกิเลียดมาทำงานในแผนกโต้ตอบจดหมาย ซึ่งผมรับใช้เป็นผู้ดูแลแผนก. การค้นคว้าเพื่อตอบคำถามและจัดการปัญหาที่หลากหลายช่วยผมให้เข้าใจคำสอนในพระคำของพระเจ้าและรู้วิธีใช้หลักการอันสูงส่งของพระเจ้าเพื่อช่วยคนอื่น ๆ ได้ดียิ่งขึ้น.
ต่อมา ในปี 1987 ผมได้รับมอบหมายให้ไปรับใช้ในแผนกใหม่ซึ่งเรียกว่าฝ่ายบริการข้อมูลแก่โรงพยาบาล. มีการจัดสัมมนาเพื่อสอนผู้ปกครองที่เป็นคณะกรรมการประสานงานกับโรงพยาบาลเกี่ยวกับวิธีเข้าหาแพทย์ ผู้พิพากษา และนักสังคมสงเคราะห์ เพื่อหารือกันในเรื่องจุดยืนของเราตามหลักพระคัมภีร์ที่เกี่ยวกับเลือด. ปัญหาใหญ่อย่างหนึ่งก็คือการที่แพทย์ถ่ายเลือดให้เด็กพยานฯ โดยพลการ และมักอาศัยอำนาจศาลในการทำเช่นนั้น.
เมื่อเสนอทางเลือกในการรักษาโดยไม่ใช้เลือดแก่แพทย์ คำตอบที่มักจะได้รับคือพวกเขาไม่เคยใช้วิธีเหล่านั้นหรือไม่ก็วิธีเหล่านั้นแพงเกินไป. ผมมักจะตอบแพทย์ที่พูดอย่างนั้นว่า “ขอผมดูมือคุณหมอหน่อยได้ไหมครับ.” เมื่อเขายื่นมือมา ผมก็จะบอกเขาว่า “นี่แหละครับคือเครื่องมือที่ดีที่สุดอย่างหนึ่งที่จะทำให้คุณหมอรักษาโดยไม่ใช้เลือดได้.” คำชมแบบนี้ทำให้เขานึกถึงสิ่งที่เขาเองรู้ดีอยู่แล้ว ว่าการใช้มีดผ่าตัดอย่างระมัดระวังจะช่วยให้เสียเลือดน้อยที่สุด.
ในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านไป พระยะโฮวาทรงอวยพรความพยายามของเราอย่างมากมายในการให้ความรู้แก่แพทย์และผู้พิพากษา. ทัศนคติของพวกเขาเปลี่ยนไปมากเมื่อพวกเขาเข้าใจจุดยืนของเราดีขึ้น. พวกเขาได้เรียนรู้ว่าว่าการวิจัยทางการแพทย์พิสูจน์ว่าการใช้ทางเลือกอื่นในการรักษาที่ไม่ใช้เลือดมีประสิทธิภาพ อีกทั้งมีแพทย์และโรงพยาบาลจำนวนมากที่ให้ความร่วมมือซึ่งสามารถส่งตัวคนไข้ไปรับการรักษาได้.
ตั้งแต่ปี 1996 ผมกับมาร์จอรีรับใช้ที่ศูนย์การศึกษาว็อชเทาเวอร์ที่แพตเทอร์สัน นิวยอร์ก ซึ่งอยู่ห่างจากบรุกลินไปทางเหนือประมาณ 110 กิโลเมตร. ที่นี่ ผมทำงานในแผนกการรับใช้ช่วงสั้น ๆ และจากนั้นก็มีส่วนร่วมในการสอนบุคลากรของสำนักงานสาขาและผู้ดูแลเดินทางอยู่ช่วงหนึ่ง. ในช่วง 12 ปีมานี้ ผมได้รับใช้อีกครั้งหนึ่งในฐานะผู้ดูแลแผนกโต้ตอบจดหมาย ซึ่งได้ย้ายจากบรุกลินมาอยู่ที่แพตเทอร์สัน.
ปัญหาในวัยชรา
การดูแลสิทธิพิเศษของผมในการรับใช้ที่เบเธลกลายเป็นเรื่องยากขึ้นเมื่ออายุผมย่างเข้าสู่วัย 85. ผมต่อสู้กับโรคมะเร็งมาสิบกว่าปีแล้ว. ผมรู้สึกเหมือนฮิศคียาที่พระยะโฮวาทรงต่ออายุให้. (ยซา. 38:5) ภรรยาผมก็สุขภาพไม่ดีด้วย และเราพยายามช่วยกันรับมือโรคอัลไซเมอร์ที่เธอเป็น. มาร์จอรีเป็นผู้รับใช้ของพระยะโฮวาที่มีความสามารถ เป็นผู้ให้คำแนะนำแก่เยาวชน และเป็นผู้ช่วยที่ซื่อสัตย์และเพื่อนที่ภักดีของผม. เธอเป็นนักศึกษาและเป็นผู้สอนคัมภีร์ไบเบิลที่ดีเสมอ และลูก ๆ ฝ่ายวิญญาณหลายคนยังคงติดต่อกับเราอยู่เรื่อย ๆ.
อาแมรีเสียชีวิตในเดือนมีนาคม 2010 เมื่ออายุ 87 ปี. เธอเป็นผู้สอนพระคำของพระเจ้าที่ดีเยี่ยมและช่วยหลายคนให้ยึดมั่นในจุดยืนเพื่อการนมัสการแท้. เธอรับใช้เต็มเวลานานหลายปี. ผมรู้สึกขอบคุณเธอมากที่ได้ช่วยผมให้เรียนความจริงในพระคำของพระเจ้าและช่วยให้ผมกลายมาเป็นผู้รับใช้พระยะโฮวาพระเจ้าผู้เปี่ยมด้วยความรักเช่นเดียวกับเธอ. อาแมรีถูกฝังไว้ข้าง ๆ สามีของเธอ ซึ่งเคยรับใช้เป็นมิชชันนารีในประเทศอิสราเอล. ผมมั่นใจว่าทั้งคู่อยู่ในความทรงจำของพระยะโฮวาและคอยที่จะได้รับการปลุกให้กลับเป็นขึ้นจากตาย.
เมื่อมองย้อนกลับไปตลอด 67 ปีที่รับใช้พระยะโฮวา ผมรู้สึกขอบคุณสำหรับพระพรอันอุดมที่ได้รับ. ช่างเป็นความยินดีจริง ๆ ที่ได้ทำตามพระประสงค์ของพระยะโฮวา! ผมเชื่อมั่นในพระกรุณาอันใหญ่หลวงของพระเจ้า และผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้รับตามคำสัญญาของพระบุตรที่ว่า “ทุกคนที่ได้สละบ้านหรือพี่น้องชายหญิงหรือบิดาหรือมารดาหรือลูก ๆ หรือไร่นาเพื่อเห็นแก่นามของเราจะได้คืนอีกหลายเท่าและจะได้รับชีวิตนิรันดร์.”—มัด. 19:29
[เชิงอรรถ]
^ วรรค 11 พิมพ์ในปี 1942 แต่ตอนนี้ไม่พิมพ์แล้ว.
[ภาพหน้า 19]
ในไร่ฝ้ายของปู่ที่รัฐจอร์เจีย สหรัฐอเมริกา ปี 1928
[ภาพหน้า 19]
อาแมรีและลุงทัลแมดจ์
[ภาพหน้า 20]
แมรี แกลดิส และเกรซ
[ภาพหน้า 20]
ผมรับบัพติสมา วันที่ 14 มิถุนายน 1944
[ภาพหน้า 20]
ในแผนกการรับใช้ที่เบเธล
[ภาพหน้า 21]
ถ่ายกับอาแมรีที่การประชุมนานาชาติ ณ สนามกีฬาแยงกี ปี 1958
[ภาพหน้า 21]
ถ่ายกับมาร์จอรีในวันที่เราแต่งงาน
[ภาพหน้า 21]
ถ่ายด้วยกันในปี 2008