จงช่วยคนอื่นให้พยายามเพื่อจะได้ทำหน้าที่
จงช่วยคนอื่นให้พยายามเพื่อจะได้ทำหน้าที่
“ทุกคนที่ได้รับการสอนอย่างครบถ้วนจะเป็นเหมือนครูของตน.”—ลูกา 6:40
1. ในช่วงที่รับใช้บนแผ่นดินโลก พระเยซูทรงวางรากฐานสำหรับประชาคมไว้อย่างไร?
อัครสาวกโยฮันลงท้ายหนังสือกิตติคุณของท่านโดยเขียนว่า “ที่จริงแล้ว ยังมีอีกหลายสิ่งที่พระเยซูทรงทำ ซึ่งถ้าจะเขียนทุกเรื่องไว้อย่างละเอียดละก็ ข้าพเจ้าคิดว่าโลกนี้คงไม่มีที่พอจะเก็บม้วนหนังสือเหล่านั้น.” (โย. 21:25) สิ่งหนึ่งในบรรดาหลายสิ่งที่พระเยซูทรงทำให้สำเร็จในช่วงที่ทรงทำงานรับใช้เป็นเวลาสั้น ๆ แต่เปี่ยมพลังก็คือการหาผู้ชายที่พระองค์จะสามารถฝึกอบรมพวกเขาให้ทำงานของพระองค์ต่อไปหลังจากที่พระองค์เสด็จกลับไปสวรรค์แล้ว. เมื่อพระองค์เสด็จกลับสู่สวรรค์ในสากลศักราช 33 พระเยซูทรงวางรากฐานประชาคมไว้แล้ว ซึ่งจะเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างรวดเร็วจนมีหลายพันคน.—กิจ. 2:41, 42; 4:4; 6:7
2, 3. (ก) เหตุใดจึงมีความจำเป็นเร่งด่วนที่ชายซึ่งรับบัพติสมาแล้วจะพยายามเพื่อจะได้ทำหน้าที่? (ข) เราจะพิจารณาอะไรในบทความนี้?
2 เนื่องจากในปัจจุบันมีผู้ประกาศราชอาณาจักรที่เอาการเอางานมากกว่าเจ็ดล้านคนในกว่า 100,000 ประชาคมทั่วโลก จึงยังคงมีความจำเป็นต้องมีผู้ชายที่นำหน้าในการนมัสการ. ตัวอย่างเช่น มีความจำเป็นอย่างมากที่ต้องมีคริสเตียนผู้ปกครองมากขึ้น. คนที่พยายามเพื่อจะรับสิทธิพิเศษในหน้าที่นี้สมควรได้รับคำชมเชย เพราะพวกเขา “ปรารถนาการงานที่ดี.”—1 ติโม. 3:1
3 อย่างไรก็ตาม ผู้ชายไม่ได้มีคุณสมบัติที่จะรับสิทธิพิเศษในประชาคมโดยอัตโนมัติ. การมีการศึกษาสูงฝ่ายโลกหรือมีประสบการณ์ชีวิตมากเพียงอย่างเดียวไม่ทำให้คนเราพร้อมที่จะทำงานนี้. เพื่อที่ผู้ชายคนใดจะรับใช้ได้อย่างเหมาะสมในหน้าที่เช่นนั้น เขาต้องมีคุณสมบัติฝ่ายวิญญาณ. เขาต้องมีคุณลักษณะที่ดีฝ่ายวิญญาณ ไม่ใช่เพียงแค่มีความสามารถหรือประสบความสำเร็จในชีวิต. ผู้ชายในประชาคมจะได้รับความช่วยเหลือให้มีคุณสมบัติได้อย่างไร? พระเยซูตรัสว่า “ทุกคนที่ได้รับการสอนอย่างครบถ้วนจะเป็นเหมือนครูของตน.” (ลูกา 6:40) ในบทความนี้ เราจะพิจารณาบางวิธีที่พระเยซูคริสต์ ครูผู้ยิ่งใหญ่ ช่วยเหล่าสาวกให้มีคุณสมบัติที่จะรับหน้าที่รับผิดชอบมากขึ้น และเราจะเห็นบทเรียนจากสิ่งที่พระองค์ทำ.
“เราได้เรียกพวกเจ้าว่าสหาย”
4. พระเยซูทรงแสดงให้เห็นอย่างไรว่าทรงเป็นเพื่อนแท้ของเหล่าสาวก?
4 พระเยซูทรงปฏิบัติต่อเหล่าสาวกในฐานะเพื่อน ไม่ใช่โยฮัน 15:15) ขอให้นึกภาพว่าพวกเขาคงจะตื่นเต้นขนาดไหนเมื่อพระเยซูทรงตอบคำถามของพวกเขาที่ว่า “อะไรจะเป็นสัญญาณบอกว่าพระองค์ประทับอยู่และบอกว่าเป็นช่วงสุดท้ายของยุค?” (มัด. 24:3, 4) พระองค์ทรงบอกความคิดและความรู้สึกส่วนตัวของพระองค์แก่เหล่าสาวกด้วย. ตัวอย่างเช่น ในคืนที่พระเยซูจะถูกทรยศ พระองค์ทรงพาเปโตร ยาโกโบ และโยฮันเข้าไปในสวนเกทเซมาเนและพระองค์ทรงอธิษฐานอย่างจริงจังด้วยความทุกข์ใจ. อัครสาวกทั้งสามอาจไม่ได้ยินว่าพระเยซูตรัสอะไรในคำอธิษฐาน แต่พวกเขาคงต้องรู้สึกได้ว่าสถานการณ์ในตอนนั้นคับขันสักเพียงไร. (มโก. 14:33-38) นอกจากนั้น ขอให้คิดถึงผลกระทบที่อัครสาวกทั้งสามคงต้องได้รับจากนิมิตการเปลี่ยนรูปพระกายก่อนหน้านั้น. (มโก. 9:2-8; 2 เป. 1:16-18) มิตรภาพอันใกล้ชิดสนิทสนมที่พระเยซูทรงสร้างกับเหล่าสาวกเป็นสิ่งที่ช่วยยึดเหนี่ยวพวกเขาไว้ขณะที่พวกเขาดูแลงานมอบหมายสำคัญ ๆ ในภายหลัง.
ในฐานะคนที่ต่ำต้อยกว่า. พระองค์ทรงใช้เวลากับพวกเขา ไว้ใจพวกเขา และ ‘บอกให้พวกเขารู้ทุกสิ่งที่พระองค์ได้ยินจากพระบิดา.’ (อ่าน5. คริสเตียนผู้ปกครองจะทำตัวให้อยู่พร้อมสำหรับคนอื่น ๆ ได้โดยวิธีใดบ้าง?
5 เช่นเดียวกับพระเยซู คริสเตียนผู้ปกครองในทุกวันนี้เป็นเพื่อนและช่วยเหลือคนอื่น ๆ. ผู้ปกครองพัฒนาสายสัมพันธ์อันอบอุ่นและใกล้ชิดกับเพื่อนร่วมความเชื่อด้วยการสนใจพวกเขาเป็นส่วนตัว. ถึงแม้ผู้ปกครองรู้ว่าสำคัญที่จะต้องเก็บบางเรื่องไว้เป็นความลับ แต่พวกเขาไว้ใจพี่น้องและยินดีบอกความจริงในพระคัมภีร์ที่พวกเขาเองได้เรียนรู้. ผู้ปกครองต้องไม่ปฏิบัติต่อผู้ช่วยงานรับใช้ที่อายุน้อยกว่าตนในฐานะผู้ที่ด้อยกว่า. แทนที่จะทำอย่างนั้น ผู้ปกครองจะมองว่าเขาเป็นมนุษย์ฝ่ายวิญญาณที่มีศักยภาพ ซึ่งกำลังทำงานรับใช้อันมีค่าต่อประชาคม.
“เราวางแบบอย่างไว้ให้พวกเจ้า”
6, 7. จงเล่าถึงตัวอย่างของพระเยซูที่ทรงวางไว้ให้เหล่าสาวกและผลกระทบที่ตัวอย่างของพระองค์มีต่อพวกเขา.
6 แม้ว่าเหล่าสาวกของพระเยซูเห็นคุณค่าสิ่งฝ่ายวิญญาณ แต่บางครั้งความคิดของพวกเขาได้รับอิทธิพลจากภูมิหลังในชีวิตและวัฒนธรรมที่พวกเขาเติบโตมา. (มัด. 19:9, 10; ลูกา 9:46-48; โย. 4:27) อย่างไรก็ตาม พระเยซูไม่ทรงตำหนิอย่างรุนแรงหรือข่มขู่เหล่าสาวก. พระองค์ไม่ทำให้พวกเขามีภาระหนักด้วยการสั่งอย่างไม่มีเหตุผลหรือแนะนำพวกเขาให้ทำอย่างหนึ่งขณะที่พระองค์เองทรงทำอีกอย่างหนึ่ง. แทนที่จะเป็นเช่นนั้น พระเยซูทรงสอนพวกเขาด้วยการวางตัวอย่าง.—อ่านโยฮัน 13:15
7 พระเยซูทรงวางแบบอย่างเช่นไรไว้ให้เหล่าสาวก? (1 เป. 2:21) พระองค์ทรงใช้ชีวิตแบบเรียบง่ายเพื่อจะสามารถรับใช้คนอื่น ๆ ได้อย่างเป็นอิสระ. (ลูกา 9:58) พระเยซูทรงเจียมตัวและใช้พระคัมภีร์เป็นหลักในการสอนของพระองค์เสมอ. (โย. 5:19; 17:14, 17) พระองค์ทรงเป็นคนที่ผู้อื่นเข้าหาได้ง่ายและกรุณา. ทุกสิ่งที่พระองค์ทรงทำล้วนถูกกระตุ้นจากความรัก. (มัด. 19:13-15; โย. 15:12) ตัวอย่างของพระเยซูมีผลกระทบในทางดีต่อเหล่าอัครสาวก. ตัวอย่างเช่น ยาโกโบไม่กลัวจนตัวสั่นเมื่อเผชิญหน้ากับความตาย แต่รับใช้พระเจ้าอย่างภักดีจนกระทั่งถูกประหาร. (กิจ. 12:1, 2) โยฮันดำเนินตามรอยพระบาทของพระเยซูอย่างซื่อสัตย์เป็นเวลานานกว่า 60 ปี.—วิ. 1:1, 2, 9
8. ผู้ปกครองวางตัวอย่างอะไรไว้ให้ผู้ชายที่อายุน้อยกว่าและคนอื่น ๆ เลียนแบบ?
8 ผู้ปกครองที่เสียสละตัวเอง ถ่อม และเปี่ยมด้วยความรักเป็นตัวอย่างให้ผู้ชายที่อายุน้อยกว่าเลียนแบบ. (1 เป. 5:2, 3) นอกจากนั้น ผู้ปกครองที่เป็นแบบอย่างในเรื่องความเชื่อ การสอน การดำเนินชีวิตในฐานะคริสเตียน และการรับใช้มีความอิ่มใจยินดีที่รู้ว่าคนอื่น ๆ สามารถเลียนแบบความเชื่อของพวกเขาได้.—ฮีบรู 13:7
‘เมื่อทรงสั่งพวกเขาแล้ว พระเยซูก็ส่งพวกเขาออกไป’
9. เรารู้ได้อย่างไรว่าพระเยซูทรงฝึกอบรมเหล่าสาวกให้ทำงานเผยแพร่ได้สำเร็จ?
9 หลังจากที่พระเยซูทรงรับใช้ด้วยใจแรงกล้ามาประมาณสองปี พระองค์ทรงขยายงานประกาศโดยส่งอัครสาวก 12 คนออกไปประกาศ. แต่ก่อนจะส่งพวกเขาไป พระองค์มัด. 10:5-14) ตอนที่พระองค์กำลังจะเลี้ยงอาหารฝูงชนหลายพันคนอย่างอัศจรรย์ พระเยซูทรงบอกเหล่าสาวกว่าพระองค์ประสงค์ให้พวกเขาจัดระเบียบผู้คนและแจกจ่ายอาหารอย่างไร. (ลูกา 9:12-17) ดังนั้น เห็นได้ชัดว่าพระเยซูทรงฝึกอบรมเหล่าสาวกด้วยการให้คำแนะนำที่ชัดเจนและเฉพาะเจาะจง. การฝึกอบรมแบบนี้ พร้อมกับอำนาจอันทรงพลังของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ทำให้ในเวลาต่อมาเหล่าอัครสาวกอยู่พร้อมที่จะจัดระเบียบงานประกาศที่ทำกันอย่างกว้างขวางในสากลศักราช 33 และหลังจากนั้น.
ทรงสอนพวกเขา. (10, 11. คนใหม่ ๆ อาจได้รับการฝึกอบรมตามลำดับขั้นโดยวิธีใดได้บ้าง?
10 ปัจจุบัน การสอนฝ่ายวิญญาณเริ่มต้นขึ้นเมื่อใครคนหนึ่งตอบรับการศึกษาคัมภีร์ไบเบิล. เราอาจจำเป็นต้องช่วยเขาให้อ่านได้ดี. การช่วยเหลือของเราดำเนินต่อไปเมื่อเรานำการศึกษาคัมภีร์ไบเบิลกับเขา. เมื่อเขาเริ่มเข้าร่วมการประชุมคริสเตียนเป็นประจำ การฝึกอบรมฝ่ายวิญญาณที่เขาได้รับก็จะดำเนินต่อ ๆ ไปเมื่อเขาสมัครเป็นนักเรียนในโรงเรียนการรับใช้ตามระบอบของพระเจ้า เป็นผู้ประกาศที่ยังไม่รับบัพติสมา และอื่น ๆ. หลังจากรับบัพติสมาแล้ว การฝึกอบรมที่เขาได้รับอาจรวมถึงเรื่องอื่น เช่น การช่วยบำรุงรักษาหอประชุมราชอาณาจักร. ในเวลาต่อมา พี่น้องชายอาจได้รับการช่วยเหลือให้เห็นว่าเขาต้องทำอะไรเพื่อจะมีคุณสมบัติเป็นผู้ช่วยงานรับใช้.
11 เมื่อมอบหมายงานให้พี่น้องชายที่รับบัพติสมาแล้ว ผู้ปกครองควรยินดีอธิบายให้เขาเข้าใจวิธีดำเนินงานขององค์การที่เกี่ยวข้องกับงานนั้นและสอนเขาตามที่จำเป็น. พี่น้องชายที่ได้รับการฝึกอบรมต้องเข้าใจว่าเขาถูกคาดหมายให้ทำอะไร. ถ้าเขามีปัญหาในการทำงานมอบหมาย ผู้ปกครองที่เปี่ยมด้วยความรักจะไม่ด่วนสรุปว่าเขาไม่มีคุณสมบัติ. แทนที่จะทำอย่างนั้น ผู้ปกครองจะชี้ให้เขาเห็นสิ่งที่ควรเอาใจใส่อย่างกรุณาและทบทวนเป้าหมายและขั้นตอนในการดำเนินการ. การได้เห็นพี่น้องชายตอบรับความพยายามดังกล่าวและมีความยินดีจากการรับใช้คนอื่น ๆ ทำให้ผู้ปกครองมีความสุข.—กิจ. 20:35
“คนที่มีปัญญานั้นย่อมฟังคำตักเตือน”
12. อะไรทำให้คำแนะนำของพระเยซูมีประสิทธิภาพ?
12 พระเยซูทรงฝึกอบรมเหล่าสาวกด้วยการให้คำแนะนำเป็นส่วนตัวที่ปรับให้เข้ากับความจำเป็นของพวกเขา. ตัวอย่างเช่น พระองค์ทรงตำหนิยาโกโบและโยฮันที่อยากเรียกไฟให้ตกลงมาจากสวรรค์เผาผลาญชาวซะมาเรียบางคนที่ไม่ต้อนรับพระองค์. (ลูกา 9:52-55) เมื่อมารดาของยาโกโบและโยฮันเข้ามาหาพระเยซูเพื่อขอให้บุตรชายทั้งสองได้ตำแหน่งที่มีหน้ามีตาในราชอาณาจักร พระเยซูตรัสกับพี่น้องคู่นี้อย่างตรงไปตรงมาว่า “ใครจะได้นั่งด้านขวาหรือด้านซ้ายของเรานั้น เราไม่ใช่ผู้กำหนด แต่ที่นั่งเหล่านั้นจะเป็นของผู้ที่พระบิดาของเราเตรียมไว้ให้.” (มัด. 20:20-23) ในทุก ๆ ครั้ง พระเยซูประทานคำแนะนำที่ชัดเจน ใช้ได้จริง และยึดหลักการของพระเจ้าเป็นหลัก. พระองค์ทรงสอนเหล่าสาวกให้ลงความเห็นโดยอาศัยหลักการเหล่านั้น. (มัด. 17:24-27) พระเยซูยังตระหนักด้วยถึงข้อจำกัดของเหล่าสาวกและไม่คาดหมายความสมบูรณ์จากพวกเขา. คำแนะนำของพระองค์ได้รับแรงกระตุ้นจากความรักที่แท้จริง.—โย. 13:1
13, 14. (ก) ใครจำเป็นต้องได้รับคำแนะนำ? (ข) จงยกตัวอย่างคำแนะนำเป็นส่วนตัวที่ผู้ปกครองอาจให้แก่บางคนที่ไม่ก้าวหน้าฝ่ายวิญญาณ.
13 ผู้ชายทุกคนที่พยายามเพื่อจะมีหน้าที่รับผิดชอบในประชาคมคริสเตียนจำเป็นต้องได้รับคำตักเตือนหรือคำแนะนำตามหลักพระคัมภีร์ไม่เวลาใดก็เวลาหนึ่ง. สุภาษิต 12:15 กล่าวว่า “คนที่มีปัญญานั้นย่อมฟังคำตักเตือน.” พี่น้องหนุ่มคนหนึ่งกล่าวว่า “ผมรู้สึกว่าการรับมือความไม่สมบูรณ์ของตัวผมเองเป็นเรื่องยากที่สุด. คำแนะนำของผู้ปกครองคนหนึ่งช่วยให้ผมมีทัศนะที่ถูกต้องในเรื่องนี้.”
14 หากผู้ปกครองสังเกตว่าการประพฤติที่น่าสงสัยบางอย่างกำลังหน่วงเหนี่ยวความก้าวหน้าฝ่ายวิญญาณของพี่น้องชายคนหนึ่ง พวกเขาควรริเริ่มที่จะปรับเขาให้เข้าที่ด้วยน้ำใจอ่อนโยน. (กลา. 6:1) บางครั้ง จำเป็นต้องให้คำแนะนำพี่น้องชายบางคนเพราะนิสัยบางอย่างของเขา. ตัวอย่างเช่น ถ้าพี่น้องชายคนหนึ่งมีนิสัยที่ไม่ค่อยจริงจังเท่าไรนัก ผู้ปกครองอาจเห็นว่าเป็นประโยชน์ที่จะ ชี้ให้เขาดูตัวอย่างของพระเยซูซึ่งเป็นผู้ประกาศราชอาณาจักรที่มีใจแรงกล้าและเป็นผู้มอบหมายงานสอนคนเป็นสาวก. (มัด. 28:19, 20; ลูกา 8:1) ถ้าพี่น้องชายคนหนึ่งดูเหมือนว่าเป็นคนทะเยอทะยาน ผู้ปกครองอาจชี้ให้เขาดูตัวอย่างของพระเยซูที่ช่วยเหล่าสาวกให้เห็นอันตรายของการแสวงหาความเด่นดัง. (ลูกา 22:24-27) จะว่าอย่างไรถ้าพี่น้องชายคนหนึ่งมีนิสัยไม่ยอมให้อภัยผู้อื่น? อุทาหรณ์เรื่องทาสที่ไม่ยอมยกหนี้จำนวนน้อยนิดแม้ว่าเขาเองได้รับการยกหนี้จำนวนมากกว่านั้นมากคงจะเป็นข้อเตือนใจที่มีพลังสำหรับเขา. (มัด. 18:21-35) เมื่อจำเป็นต้องให้คำแนะนำ นับว่าดีที่ผู้ปกครองจะให้คำแนะนำเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้.—อ่านสุภาษิต 27:9
“จงฝึกฝนตัวเอง”
15. ครอบครัวของพี่น้องชายจะช่วยเขาให้รับใช้คนอื่น ๆ ได้อย่างไร?
15 ผู้ปกครองนำหน้าในการฝึกอบรมพี่น้องชายให้พยายามเพื่อจะได้ทำหน้าที่ในประชาคม แต่คนอื่น ๆ สามารถสนับสนุนความพยายามของพวกเขา. ตัวอย่างเช่น ครอบครัวของพี่น้องชายสามารถช่วยเขาให้พยายามเพื่อจะได้ทำหน้าที่ และพวกเขาควรทำเช่นนั้น. และถ้าเขาเป็นผู้ปกครองอยู่แล้ว เขาจะได้รับประโยชน์จากการสนับสนุนของภรรยาผู้เป็นที่รักและลูก ๆ ที่ไม่เห็นแก่ตัว. การที่ครอบครัวเต็มใจให้เขาแบ่งเวลาให้แก่ประชาคมเป็นเรื่องสำคัญเพื่อเขาจะสามารถทำหน้าที่รับผิดชอบได้สำเร็จ. น้ำใจเสียสละของครอบครัวทำให้เขามีความยินดีและคนอื่น ๆ ก็เห็นค่าในน้ำใจของพวกเขาอย่างยิ่ง.—สุภา. 15:20; 31:10, 23
16. (ก) การพยายามเพื่อจะได้ทำหน้าที่ขึ้นอยู่กับใครเป็นสำคัญ? (ข) พี่น้องชายจะพยายามเพื่อจะมีสิทธิพิเศษในประชาคมได้อย่างไร?
16 แม้ว่าคนอื่น ๆ อาจช่วยและสนับสนุนเขา แต่เขาจะพยายามจริง ๆ จนได้ทำหน้าที่หรือไม่นั้นอยู่ที่ตัวเขาเอง. (อ่านกาลาเทีย 6:5) แน่นอน พี่น้องชายไม่จำเป็นต้องเป็นผู้ช่วยงานรับใช้หรือผู้ปกครองก่อนจึงจะช่วยคนอื่น ๆ และมีส่วนร่วมเต็มที่ในงานประกาศได้. แต่การพยายามเพื่อจะมีสิทธิพิเศษในประชาคมหมายถึงการพยายามเพื่อจะบรรลุคุณสมบัติที่กำหนดไว้ในพระคัมภีร์. (1 ติโม. 3:1-13; ทิทุส 1:5-9; 1 เป. 5:1-3) ดังนั้น ถ้าพี่น้องชายปรารถนาจะรับใช้เป็นผู้ช่วยงานรับใช้หรือผู้ปกครองแต่ยังไม่ได้รับการแต่งตั้ง เขาควรเอาใจใส่ในจุดที่เขาจำเป็นต้องพัฒนา. เพื่อจะทำอย่างนั้น เขาจำเป็นต้องอ่านคัมภีร์ไบเบิลเป็นประจำ ขยันศึกษาส่วนตัว ใคร่ครวญอย่างจริงจัง อธิษฐานด้วยความรู้สึกจากหัวใจ และมีส่วนร่วมในการประกาศด้วยใจแรงกล้า. ถ้าเขาทำอย่างนั้น เขาก็กำลังทำตามคำแนะนำที่เปาโลให้แก่ติโมเธียว ที่ว่า “จงฝึกฝนตัวเองเพื่อจะมีความเลื่อมใสพระเจ้า.”—1 ติโม. 4:7
17, 18. พี่น้องชายที่รับบัพติสมาแล้วอาจทำอะไรได้ถ้าความกังวล ความรู้สึกว่าตัวเองไม่มีความสามารถพอ หรือการขาดแรงกระตุ้นหน่วงเหนี่ยวเขาไว้?
17 แต่จะว่าอย่างไรถ้าผู้ชายไม่พยายามเพื่อจะได้ทำหน้าที่เพราะกังวลหรือรู้สึกว่าตัวเองไม่มีความสามารถเพลง. 68:19) ดังนั้น พระบิดาของเราผู้อยู่ในสวรรค์สามารถช่วยพี่น้องชายให้รับเอาหน้าที่รับผิดชอบในประชาคม. นอกจากนั้น พี่น้องชายที่ไม่ได้เป็นผู้ช่วยงานรับใช้หรือผู้ปกครองอาจเห็นว่าเป็นประโยชน์ที่จะพิจารณาข้อเท็จจริงที่ว่าจำเป็นต้องมีผู้ชายมากขึ้นที่เป็นผู้ใหญ่ฝ่ายวิญญาณที่จะตอบรับสิทธิพิเศษต่าง ๆ ในการรับใช้ในองค์การของพระเจ้า. การใคร่ครวญข้อเท็จจริงเช่นนี้อาจกระตุ้นพี่น้องชายให้พยายามเอาชนะความรู้สึกในแง่ลบ. เขาอาจทูลขอพระวิญญาณบริสุทธิ์ และระลึกเสมอว่าลักษณะหนึ่งของผลพระวิญญาณก็คือสันติสุขและการควบคุมตนเอง ซึ่งเป็นคุณลักษณะที่จำเป็นต้องมีเพื่อจะขจัดความกังวลหรือความรู้สึกว่าตัวเองไม่มีความสามารถพอ. (ลูกา 11:13; กลา. 5:22, 23) และเขาสามารถมั่นใจได้อย่างเต็มที่ว่าพระยะโฮวาจะอวยพรทุกคนที่พยายามเพื่อจะได้ทำหน้าที่โดยมีแรงกระตุ้นที่เหมาะสม.
พอ? นับว่าดีที่เขาจะใคร่ครวญว่าพระยะโฮวาพระเจ้าและพระเยซูคริสต์ทรงทำเพื่อเรามากขนาดไหน. จริงทีเดียว พระยะโฮวา “ทรงแบกภาระของพวกเราทุก ๆ วัน.” (18 การขาดแรงกระตุ้นอาจขัดขวางผู้ชายที่รับบัพติสมาแล้วไม่ให้พยายามเพื่อจะได้ทำหน้าที่ไหม? อะไรอาจช่วยพี่น้องชายที่ไม่มีความปรารถนามากพอที่จะรับใช้? อัครสาวกเปาโลเขียนว่า “[พระเจ้า] ดำเนินงานอยู่ในตัวท่านทั้งหลายเพื่อให้พวกท่านมีใจประสงค์และลงมือทำตามที่พระองค์ชอบพระทัย.” (ฟิลิป. 2:13) ความปรารถนาที่จะรับใช้เป็นของประทานจากพระเจ้า และพระวิญญาณของพระยะโฮวาสามารถประทานกำลังแก่คนที่ทำงานรับใช้อันศักดิ์สิทธิ์ถวายพระเจ้า. (ฟิลิป. 4:13) นอกจากนั้น คริสเตียนสามารถอธิษฐานขอให้พระเจ้าช่วยเขาทำสิ่งที่ถูกต้อง.—เพลง. 25:4, 5
19. การแต่งตั้ง “เมษบาลเจ็ดท่าน, และคนเก่งกล้าแปดท่าน” ให้คำรับรองอะไรแก่เรา?
19 พระยะโฮวาทรงอวยพรความพยายามของผู้ปกครองที่ฝึกอบรมคนอื่น. คนที่ตอบรับและพยายามเพื่อจะได้สิทธิพิเศษในประชาคมก็ได้รับพระพรจากพระองค์ด้วย. คัมภีร์ไบเบิลรับรองกับเราว่า ในท่ามกลางประชาชนของพระเจ้า “เมษบาลเจ็ดท่าน, และคนเก่งกล้าแปดท่าน” ซึ่งก็คือจำนวนผู้ชายที่มีความสามารถตามที่จำเป็นต้องมี จะถูกแต่งตั้งให้นำหน้าในองค์การของพระยะโฮวา. (มีคา 5:5) นับว่าเป็นพระพรจริง ๆ ที่ผู้ชายคริสเตียนจำนวนมากกำลังได้รับการฝึกอบรมและพวกเขาพยายามด้วยความถ่อมใจเพื่อจะมีสิทธิพิเศษในการรับใช้เพื่อสรรเสริญพระยะโฮวา!
คุณจะตอบอย่างไร?
• พระเยซูทรงช่วยเหล่าสาวกของพระองค์อย่างไรให้มีคุณสมบัติที่จะรับเอาหน้าที่รับผิดชอบเพิ่มขึ้น?
• ผู้ปกครองจะทำตามแบบอย่างของพระเยซูได้อย่างไรเมื่อพวกเขาช่วยพี่น้องชายในประชาคมให้นำหน้า?
• ครอบครัวของพี่น้องชายมีส่วนอย่างไรในการช่วยเขาให้พยายามเพื่อจะได้ทำหน้าที่?
• พี่น้องชายจะทำส่วนของเขาเองได้อย่างไรในการพยายามเพื่อจะได้รับสิทธิพิเศษต่าง ๆ?
[คำถาม]
[ภาพหน้า 31]
คุณอาจฝึกอบรมนักศึกษาคัมภีร์ไบเบิลอย่างไรเมื่อเขาพยายามจะก้าวหน้า?
[ภาพหน้า 32]
ผู้ชายจะแสดงให้เห็นได้อย่างไรว่าเขาพยายามเพื่อจะได้ทำหน้าที่?