จงช่วยผู้ชายให้ก้าวหน้าในความจริง
จงช่วยผู้ชายให้ก้าวหน้าในความจริง
“ตั้งแต่นี้ไปเจ้าจะจับคน.”—ลูกา 5:10
1, 2. (ก) ผู้ชายหลายคนมีท่าทีอย่างไรเมื่อได้ยินพระเยซูประกาศ? (ข) เราจะพิจารณาอะไรในบทความนี้?
ระหว่างที่เดินทางประกาศไปทั่วแคว้นแกลิลี พระเยซูกับเหล่าสาวกลงเรือลำหนึ่งเพื่อไปยังที่สงัดปลอดผู้คน. แต่ฝูงชนเดินตามพระองค์กับเหล่าสาวกมา. คนที่มาในวันนั้นนับ “เฉพาะผู้ชายได้ประมาณห้าพันคน ไม่รวมผู้หญิงและเด็กเล็ก.” (มัด. 14:21) ในอีกโอกาสหนึ่ง ฝูงชนพากันมาหาพระเยซูโดยหวังจะได้รับการรักษาและได้ฟังพระองค์ตรัส. คนที่มา “นับเฉพาะผู้ชายได้สี่พันคน ไม่รวมผู้หญิงและเด็กเล็ก.” (มัด. 15:38) เห็นได้ชัดว่ามีผู้ชายหลายคนอยู่ในกลุ่มคนที่มาหาพระเยซูและสนใจคำสอนของพระองค์. ที่จริง พระองค์ทรงคาดหมายว่าจะมีอีกหลายคนตอบรับ เพราะหลังจากที่ทรงช่วยเหล่าสาวกให้จับปลาได้อย่างอัศจรรย์แล้ว พระเยซูทรงบอกซีโมนสาวกของพระองค์ว่า “ตั้งแต่นี้ไปเจ้าจะจับคน.” (ลูกา 5:10) สาวกของพระองค์ต้องหย่อนอวนลงในทะเลแห่งมนุษยชาติและพวกเขาคาดหมายได้ว่าคนที่ “จับ” ได้จะมีผู้ชายหลายคนรวมอยู่ด้วย.
2 ในทุกวันนี้ ผู้ชายก็สนใจและตอบรับข่าวสารในคัมภีร์ไบเบิลที่เราประกาศเช่นเดียวกัน. (มัด. 5:3) อย่างไรก็ตาม หลายคนลังเลและไม่ก้าวหน้าฝ่ายวิญญาณ. เราจะช่วยพวกเขาได้อย่างไร? แม้ว่าพระเยซูไม่ได้ทำงานรับใช้เป็นพิเศษเพื่อจะได้ผู้ชายมาเป็นสาวก แต่พระองค์ตรัสถึงเรื่องที่ผู้ชายในสมัยพระองค์เป็นห่วงกังวล. โดยอาศัยตัวอย่างของพระองค์ ให้เรามาพิจารณาวิธีที่เราจะช่วยผู้ชายในทุกวันนี้ให้รับมือปัญหาสามอย่างที่มักทำให้พวกเขาเป็นห่วงกังวล: (1) การหาเลี้ยงชีพ (2) การกลัวความคิดเห็นของคนรอบข้าง (3) ความรู้สึกว่าตัวเองไม่มีความสามารถ.
การหาเลี้ยงชีพ
3, 4. (ก) ผู้ชายหลายคนเป็นห่วงเรื่องอะไร? (ข) เหตุใดผู้ชายบางคนจึงให้การหาเลี้ยงชีพมาก่อนการมุ่งติดตามสิ่งฝ่ายวิญญาณ?
3 อาลักษณ์คนหนึ่งทูลพระเยซูว่า “อาจารย์เจ้าข้า ข้าพเจ้าจะติดตามท่านไม่ว่าท่านจะไปที่ไหน.” แต่เมื่อพระเยซูตรัสกับเขาว่า “บุตรมนุษย์ไม่มีที่จะวางศีรษะ” อาลักษณ์ผู้นี้ก็เปลี่ยนความคิด. ดูเหมือนว่าอาลักษณ์ผู้นี้ไม่ชอบการดำเนินชีวิตแบบที่ไม่รู้ว่ามื้อต่อไปจะกินอะไรหรือคืนต่อไปจะนอนที่ไหน เพราะไม่มีบันทึกที่บ่งบอกเลยว่าเขาได้เข้ามาเป็นสาวกของพระคริสต์.—มัด. 8:19, 20
4 ผู้ชายมักให้ความมั่นคงด้านวัตถุสำคัญกว่าการศึกษาและการทำตามคำสอนในคัมภีร์ไบเบิล. การศึกษาสูงและงานที่มั่นคงซึ่งมีรายได้ดีเป็นสิ่งสำคัญอันดับแรกสำหรับผู้ชายหลายคน. พวกเขามีแนวคิดว่าผลประโยชน์ที่ได้จากการหาเงินเป็นเรื่องเร่งด่วนกว่าและสำคัญกว่าผลประโยชน์ที่อาจได้จากการศึกษาพระคัมภีร์และการมีสายสัมพันธ์ใกล้ชิดกับพระเจ้า. สิ่งที่คัมภีร์ไบเบิลสอนอาจฟังดูน่าสนใจสำหรับพวกเขา แต่ “ความวิตกกังวลกับชีวิตในยุคนี้และอำนาจล่อลวงของทรัพย์สมบัติ” บดบังความสนใจที่พวกเขามี. (มโก. 4:18, 19) ขอให้พิจารณาวิธีที่พระเยซูทรงช่วยเหล่าสาวกให้ปรับการจัดลำดับความสำคัญของสิ่งต่าง ๆ.
5, 6. อะไรช่วยอันเดรอัส เปโตร ยาโกโบ และโยฮันให้ปรับการจัดลำดับความสำคัญของงานประกาศกับการหาเลี้ยงชีพ?
5 อันเดรอัสกับซีโมนเปโตรซึ่งเป็นพี่ชายทำงานประมงด้วยกัน. โยฮันกับยาโกโบซึ่งเป็นพี่ชาย และเซเบเดอุสบิดาของทั้งสองก็ทำอาชีพประมงเช่นเดียวกัน. ธุรกิจของพวกเขาไปได้ดีจนต้องจ้างคนมาช่วย. (มโก. 1:16-20) เมื่ออันเดรอัสและโยฮันได้ยินโยฮันผู้ให้บัพติสมาพูดเรื่องพระเยซูเป็นครั้งแรก พวกเขาก็เชื่อมั่นว่าพบพระมาซีฮาแล้ว. อันเดรอัสบอกข่าวนี้กับซีโมนเปโตรพี่ชาย และโยฮันก็อาจบอกยาโกโบพี่ชายของเขาด้วยเหมือนกัน. (โย. 1:29, 35-41) หลายเดือนต่อมา ทั้งสี่คนอยู่ด้วยกันกับพระเยซูเมื่อพระองค์ประกาศในแกลิลี ยูเดีย และซะมาเรีย. หลังจากนั้นสาวกทั้งสี่คนก็กลับไปทำงานประมง. พวกเขา สนใจเรื่องฝ่ายวิญญาณ แต่งานรับใช้ไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาสนใจเป็นอันดับแรก.
6 ในเวลาต่อมา พระเยซูทรงเชิญเปโตรและอันเดรอัสให้ติดตามพระองค์และ “เป็นผู้จับคน.” ทั้งสองตอบคำเชิญนั้นอย่างไร? “ทั้งสองละอวนแล้วตามพระองค์ไปทันที.” ยาโกโบและโยฮันก็ทำอย่างเดียวกัน. “ทั้งสองก็ละเรือกับบิดาแล้วตามพระองค์ไปทันที.” (มัด. 4:18-22) อะไรช่วยให้ชายเหล่านี้รับงานรับใช้เต็มเวลา? เป็นการตัดสินใจอย่างหุนหันพลันแล่นไหม? ไม่ใช่เช่นนั้นแน่! ในช่วงหลายเดือนก่อนหน้านั้น ชายเหล่านี้ได้ฟังพระเยซู เห็นพระองค์ทำการอัศจรรย์ต่าง ๆ สังเกตเห็นพระทัยแรงกล้าเพื่อความชอบธรรม และเห็นผู้คนมากมายตอบรับการประกาศของพระองค์. ผลก็คือ พวกเขามีความเชื่อและความไว้วางใจพระยะโฮวามากขึ้น!
7. เราอาจช่วยนักศึกษาคัมภีร์ไบเบิลให้สร้างความไว้วางใจในความสามารถของพระยะโฮวาที่จะดูแลประชาชนของพระองค์ได้อย่างไร?
7 เราจะเลียนแบบพระเยซูในการช่วยนักศึกษาคัมภีร์ไบเบิลให้สร้างความไว้วางใจในพระยะโฮวาได้อย่างไร? (สุภา. 3:5, 6) วิธีที่เราสอนมีส่วนเกี่ยวข้องอย่างมากกับเรื่องนี้. เมื่อเราสอน เราสามารถเน้นคำสัญญาของพระเจ้าที่จะอวยพรเราอย่างอุดมถ้าเราให้ผลประโยชน์ของราชอาณาจักรมาเป็นอันดับแรก. (อ่านมาลาคี 3:10; มัดธาย 6:33) แม้ว่าเราสามารถใช้ข้อคัมภีร์หลายข้อเพื่อเน้นว่าพระยะโฮวาทรงดูแลประชาชนของพระองค์อย่างไร แต่เราไม่ควรมองข้ามข้อเท็จจริงที่ว่าตัวอย่างของเราเองก็มีผลกระทบต่อนักศึกษาด้วย. การเล่าประสบการณ์ของเราเองอาจช่วยได้มากในการช่วยนักศึกษาให้พัฒนาความไว้วางใจพระยะโฮวา. นอกจากนั้น เราอาจเล่าประสบการณ์ที่ให้กำลังใจซึ่งเราอ่านพบในหนังสือของสมาคม. *
8. (ก) เหตุใดจึงสำคัญที่นักศึกษาคัมภีร์ไบเบิลจะ ‘ชิมดูเพื่อจะรู้ว่าพระยะโฮวาเป็นผู้ประเสริฐ’? (ข) เราจะช่วยนักศึกษาให้เห็นความดีของพระยะโฮวาด้วยตัวเขาเองได้อย่างไร?
8 เพื่อจะพัฒนาความเชื่อที่เข้มแข็ง จำเป็นต้องทำไม่เพียงแค่อ่านและฟังว่าคนอื่นได้รับพระพรจากพระยะโฮวาอย่างไร. นักศึกษาคัมภีร์ไบเบิลจำเป็นต้องเห็นความดีของพระยะโฮวาในชีวิตของเขาเอง. ผู้ประพันธ์เพลงสรรเสริญร้องเพลงว่า “ท่านทั้งหลายจงชิมดูจึงจะรู้ว่าพระยะโฮวาเป็นผู้ประเสริฐ; ผู้ใดที่พึ่งอาศัยในพระองค์ก็เป็นสุข.” (เพลง. 34:8) เราจะช่วยนักศึกษาให้เห็นความดีของพระยะโฮวาได้อย่างไร? สมมุติว่านักศึกษาคนหนึ่งมีปัญหาเรื่องเงิน และพยายามจะเอาชนะนิสัยที่ไม่ดีด้วย เช่น การสูบบุหรี่ การเล่นพนัน หรือการดื่มจัด. (สุภา. 23:20, 21; 2 โค. 7:1; 1 ติโม. 6:10) การสอนนักศึกษาให้อธิษฐานขอพระเจ้าช่วยเขาเอาชนะนิสัยที่ไม่ดีคงจะทำให้เขาเห็นความดีของพระยะโฮวามิใช่หรือ? ขอให้คิดดูด้วยว่าผลอาจเป็นเช่นไรเมื่อเราสนับสนุนนักศึกษาให้ใส่ใจสิ่งฝ่ายวิญญาณเป็นอันดับแรกด้วยการจัดเวลาสำหรับการศึกษาคัมภีร์ไบเบิลทุกสัปดาห์ รวมทั้งเตรียมตัวและเข้าร่วมการประชุมคริสเตียน. เมื่อเขาประสบด้วยตัวเองว่าพระยะโฮวาทรงอวยพรความพยายามของเขา ความเชื่อของเขาก็จะเข้มแข็งยิ่งขึ้น!
การกลัวความคิดเห็นของคนรอบข้าง
9, 10. (ก) เหตุใดนิโคเดมุสและโยเซฟจากเมืองอะริมาเทียจึงเก็บเรื่องที่พวกเขาสนใจคำสอนของพระเยซูไว้เป็นความลับ? (ข) เหตุใดผู้ชายบางคนในทุกวันนี้จึงลังเลที่จะติดตามพระคริสต์?
9 เพราะแรงกดดันจากคนรอบข้าง ผู้ชายบางคนอาจโย. 3:1, 2; 19:38) ทั้งสองไม่ได้คิดกลัวไปเองโดยไม่มีเหตุผล. พวกหัวหน้าศาสนาเกลียดพระเยซูอย่างมากจนในที่สุดพวกเขาถึงกับขับไล่ใครก็ตามที่เชื่อในพระองค์ออกจากธรรมศาลา.—โย. 9:22
ลังเลที่จะติดตามพระคริสต์อย่างเต็มตัว. นิโคเดมุสและโยเซฟจากเมืองอะริมาเทียสนใจคำสอนของพระเยซูแต่เก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ เพราะทั้งสองกลัวว่าชาวยิวคนอื่นอาจพูดหรือทำไม่ดีต่อตนถ้าพวกเขารู้. (10 ในสมัยปัจจุบัน ถ้าผู้ชายในบางท้องถิ่นสนใจเรื่องพระเจ้า คัมภีร์ไบเบิล หรือเรื่องศาสนาอย่างมาก เขาอาจถูกเพื่อน ๆ เพื่อนร่วมงาน หรือญาติก่อกวนหรือกลั่นแกล้ง. ในที่อื่น ๆ อาจเป็นอันตรายเสียด้วยซ้ำที่จะพูดเรื่องการเปลี่ยนศาสนา. แรงกดดันจากคนรอบข้างอาจมีมากเป็นพิเศษเมื่อผู้ชายรับราชการทหาร อยู่ในแวดวงนักการเมือง หรือมีตำแหน่งในชุมชนท้องถิ่น. ตัวอย่างเช่น ชายคนหนึ่งในเยอรมนียอมรับว่า “สิ่งที่พวกคุณประกาศเกี่ยวกับคัมภีร์ไบเบิลเป็นความจริง. แต่ถ้าผมเป็นพยานฯ ในวันนี้ พอถึงพรุ่งนี้ทุกคนก็จะรู้กันหมด. คนในที่ทำงาน ในละแวกบ้าน และในสโมสรที่ผมกับครอบครัวเป็นสมาชิกจะคิดยังไง? ผมทนไม่ได้หรอก.”
11. พระเยซูทรงช่วยเหล่าสาวกให้รับมือความกลัวหน้ามนุษย์อย่างไร?
11 แม้ว่าไม่มีอัครสาวกคนใดของพระเยซูเป็นคนขี้ขลาด แต่พวกเขาทุกคนต้องต่อสู้กับความกลัวหน้ามนุษย์. (มโก. 14:50, 66-72) พระเยซูทรงช่วยพวกเขาอย่างไรให้ก้าวหน้าต่อไปแม้ถูกคนรอบข้างกดดันอย่างหนัก? พระเยซูทรงเตรียมเหล่าสาวกของพระองค์ให้พร้อมรับมือการต่อต้านที่พวกเขาจะเผชิญในภายหลัง. พระองค์ตรัสว่า “เจ้าทั้งหลายมีความสุขเมื่อคนเกลียดชังเจ้า เมื่อเขาขับไล่เจ้า ติเตียนเจ้า และเหยียดหยามเจ้าโดยหาว่าเป็นคนชั่วเพราะเจ้าเห็นแก่บุตรมนุษย์.” (ลูกา 6:22) พระเยซูทรงเตือนเหล่าสาวกของพระองค์ว่าพวกเขาคาดหมายได้เลยว่าจะถูกติเตียน. พวกเขาควรทนรับคำติเตียนเหล่านั้นเพราะ “เห็นแก่บุตรมนุษย์.” พระเยซูยังทรงรับรองด้วยว่าพระเจ้าจะทรงสนับสนุนและเสริมกำลังพวกเขาตราบใดที่พวกเขาหมายพึ่งพระองค์. (ลูกา 12:4-12) นอกจากนั้น พระเยซูทรงเชิญคนใหม่ให้มาคบหาและเป็นเพื่อนกับเหล่าสาวกของพระองค์.—มโก. 10:29, 30
12. มีวิธีใดบ้างที่เราอาจช่วยคนใหม่ให้เอาชนะความกลัวหน้ามนุษย์ได้?
12 เราเองก็เช่นกันต้องช่วยนักศึกษาคัมภีร์ไบเบิลให้เอาชนะความกลัวหน้ามนุษย์. นักศึกษามักจะรับมือข้อท้าทายดังกล่าวได้ง่ายขึ้นเมื่อเขาคิดเรื่องนี้ไว้ล่วงหน้า. (โย. 15:19) ตัวอย่างเช่น เราควรช่วยนักศึกษาให้เตรียมคำตอบง่าย ๆ และมีเหตุผลที่อาศัยคัมภีร์ไบเบิลเป็นหลักเพื่อตอบคำถามและข้อคัดค้านที่เพื่อนร่วมงานและคนอื่น ๆ อาจยกขึ้นมา. นอกจากที่เราจะเป็นเพื่อนกับเขา เราอาจแนะนำให้เขารู้จักคนอื่น ๆ ในประชาคม โดยเฉพาะคนที่มีอะไรบางอย่างคล้าย ๆ กันกับเขา. ที่สำคัญ เราควรสอนเขาให้อธิษฐานเป็นประจำและอธิษฐานจากหัวใจ. การทำอย่างนี้อาจช่วยเขาให้มีสายสัมพันธ์ใกล้ชิดกับพระเจ้าและทำให้พระยะโฮวาเป็นที่คุ้มภัยและศิลาของเขา.—อ่านบทเพลงสรรเสริญ 94:21-23; ยาโกโบ 4:8
ความรู้สึกว่าตัวเองไม่มีความสามารถ
13. ความรู้สึกว่าตนเองไม่มีความสามารถอาจยับยั้งบางคนไว้จากการทำกิจกรรมฝ่ายวิญญาณได้อย่างไร?
13 ผู้ชายบางคนลังเลที่จะมีส่วนร่วมในกิจกรรมฝ่ายวิญญาณ
เพราะพวกเขาอ่านไม่เก่งหรือพูดไม่คล่องหรือเพียงเพราะเขาเป็นคนขี้อาย. ผู้ชายบางคนรู้สึกอึดอัดที่จะบอกทัศนะหรือความรู้สึกของตนในที่สาธารณะ. ความคิดที่ว่าต้องศึกษา ออกความคิดเห็น ณ การประชุมคริสเตียน หรือบอกความเชื่อของตนแก่คนอื่น ๆ อาจเป็นเรื่องยากมากสำหรับพวกเขา. พี่น้องชายคนหนึ่งยอมรับว่า “ตอนที่ผมยังเด็ก ผมจะรีบเดินไปที่ประตู ทำทีเป็นกดกริ่ง แล้วก็เดินจากไปเงียบ ๆ และหวังว่าจะไม่มีใครได้ยินหรือเห็นผม. . . . เพียงแค่คิดถึงการไปประกาศตามบ้านผมก็ป่วยแล้ว.”14. เหตุใดเหล่าสาวกของพระเยซูจึงไม่สามารถรักษาเด็กชายที่ถูกปิศาจสิง?
14 ขอให้คิดว่าเหล่าสาวกของพระเยซูคงต้องขาดความมั่นใจขนาดไหนเมื่อพวกเขาไม่สามารถรักษาเด็กชายคนหนึ่งที่ถูกปิศาจสิง. บิดาของเด็กคนนี้มาหาพระเยซูและทูลว่า “[บุตรชายข้าพเจ้า] ป่วยเป็นโรคลมชัก เขาตกลงในไฟและในน้ำบ่อย ๆ ข้าพเจ้าพาเขามาหาสาวกของพระองค์แล้ว แต่พวกเขารักษาไม่ได้.” พระเยซูทรงขับปิศาจนั้นและรักษาเด็กชายคนนี้. ภายหลัง เหล่าสาวกมาหาพระเยซูและทูลถามว่า “ทำไมพวกข้าพเจ้าขับปิศาจตนนั้นไม่ได้?” พระเยซูทรงตอบว่า “เพราะพวกเจ้ามีความเชื่อน้อย. เราบอกเจ้าทั้งหลายตามจริงว่า ถ้าเจ้ามีความเชื่อขนาดเท่าเมล็ดมัสตาร์ดเมล็ดหนึ่ง เจ้าจะบอกภูเขานี้ว่า ‘จงย้ายจากที่นี่ไปที่นั่น’ แล้วมันจะย้ายไป และจะไม่มีอะไรเป็นไปไม่ได้สำหรับเจ้าทั้งหลาย.” (มัด. 17:14-20) เพื่อจะเอาชนะอุปสรรคที่ใหญ่โตราวกับภูเขา ต้องมีความเชื่อในพระยะโฮวา. จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อใครคนหนึ่งสูญเสียความเชื่อเช่นนั้น และเริ่มมองแต่ความสามารถของตนเอง? เมื่อไม่ประสบความสำเร็จ เขาก็จะขาดความมั่นใจ.
15, 16. เราอาจช่วยนักศึกษาคัมภีร์ไบเบิลให้เอาชนะความรู้สึกว่าตัวเองไม่มีความสามารถพอได้อย่างไร?
15 วิธีที่ดีวิธีหนึ่งเพื่อช่วยคนที่ต่อสู้กับความรู้สึกว่าตัวเองไม่มีความสามารถคือสนับสนุนเขาไม่ให้คิดถึงแต่ความสามารถของตนเอง แต่ให้มีความเชื่อว่าพระยะโฮวาจะทรงช่วยเขา. เปาโลเขียนว่า “จงถ่อมตัวอยู่ใต้พระหัตถ์อันทรงฤทธิ์ของพระเจ้าเพื่อพระองค์จะทรงยกฐานะท่านทั้งหลายให้สูงขึ้นในเวลาอันควร ในขณะที่ท่านทั้งหลายฝากความวิตกกังวลทั้งสิ้นไว้กับพระองค์.” (1 เป. 5:6, 7) นี่หมายความว่าเราต้องช่วยนักศึกษาคัมภีร์ไบเบิลให้รักพระยะโฮวาและปรารถนาให้พระองค์ชี้นำเขา. คนที่มีแนวโน้มฝ่ายวิญญาณอย่างนี้จะเห็นคุณค่าของสิ่งฝ่ายวิญญาณ. เขารักพระคำของพระเจ้าและแสดง “ผลของพระวิญญาณ” ในชีวิตเขา. (กลา. 5:22, 23) เขารักการอธิษฐาน. (ฟิลิป. 4:6, 7) นอกจากนั้น เขาหมายพึ่งกำลังและความกล้าหาญจากพระเจ้าเพื่อรับมือปัญหาใด ๆ ก็ตามหรือเพื่อทำหน้าที่มอบหมายใด ๆ ให้สำเร็จ.—อ่าน 2 ติโมเธียว 1:7, 8
16 นักศึกษาบางคนอาจจำเป็นต้องได้รับความช่วยเหลือที่ใช้ได้จริงในเรื่องการอ่าน การสนทนา หรือความสามารถในการพูดด้วย. ส่วนบางคนก็อาจรู้สึกว่าตัวเองไม่คู่ควรจะรับใช้พระเจ้าเพราะเขาเคยทำสิ่งที่ไม่ดีในอดีตก่อนที่จะมารู้จักพระยะโฮวา. ไม่ว่าจะในกรณีใด สิ่งที่เขาจำเป็นต้องได้รับจริง ๆ ก็อาจเพียงแค่การช่วยเหลือด้วยความรักและอดทน. พระเยซูตรัสว่า “คนที่สบายดีไม่ต้องการหมอ แต่คนป่วยต้องการ.”—มัด. 9:12
ช่วยผู้ชายให้มากขึ้น
17, 18. (ก) เราอาจพยายามเข้าถึงและประกาศกับผู้ชายให้มากขึ้นโดยวิธีใด? (ข) เราจะศึกษาอะไรในบทความถัดไป?
17 เราอยากเห็นผู้ชายอีกหลายคนที่ตอบรับข่าวสารที่น่าพึงพอใจอย่างแท้จริงซึ่งมีเฉพาะในคัมภีร์ไบเบิลเท่านั้น. (2 ติโม. 3:16, 17) ดังนั้น เราจะเข้าถึงและประกาศกับผู้ชายมากขึ้นได้อย่างไร? ด้วยการใช้เวลามากขึ้นในการประกาศตอนเย็น ตอนบ่ายของวันหยุดสุดสัปดาห์ หรือในวันหยุดซึ่งเป็นเวลาที่ผู้ชายจะอยู่บ้านมากกว่า. ถ้าเป็นไปได้เราอาจขอพูดกับผู้ชายที่เป็นหัวหน้าครอบครัว. ให้เรา ประกาศอย่างไม่เป็นทางการกับเพื่อนร่วมงานผู้ชายเมื่อเห็นว่าเหมาะสมและพยายามช่วยสามีที่ไม่มีความเชื่อของพี่น้องในประชาคมให้สนใจความจริง.
18 เมื่อเราประกาศกับทุกคนที่เราพบ เรามั่นใจได้ว่าคนที่มีหัวใจที่ดีและเห็นคุณค่าจะตอบรับ. ขอให้เราช่วยทุกคนที่สนใจความจริงอย่างจริงใจด้วยความอดทน. อย่างไรก็ตาม เราจะช่วยผู้ชายที่รับบัพติสมาแล้วในประชาคมให้พยายามเพื่อจะมีคุณสมบัติเหมาะที่จะรับเอาหน้าที่รับผิดชอบในองค์การของพระเจ้าได้อย่างไร? บทความถัดไปจะพิจารณาคำถามนี้.
[เชิงอรรถ]
^ วรรค 7 โปรดดูหนังสือประจำปีของพยานพระยะโฮวา (ภาษาอังกฤษ) และเรื่องราวชีวิตจริงที่ลงในวารสารหอสังเกตการณ์ และตื่นเถิด!
คุณจะตอบอย่างไร?
• ผู้ชายจะได้รับความช่วยเหลือให้จัดสิ่งฝ่ายวิญญาณเป็นอันดับแรกในชีวิตได้โดยวิธีใด?
• เราจะช่วยคนใหม่ให้รับมือแรงกดดันจากคนรอบข้างได้อย่างไร?
• อะไรอาจช่วยบางคนให้เอาชนะความรู้สึกว่าตัวเองไม่มีความสามารถพอ?
[คำถาม]
[ภาพหน้า 25]
คุณหาโอกาสที่จะประกาศข่าวดีแก่ผู้ชายไหม?
[ภาพหน้า 26]
คุณจะช่วยนักศึกษาคัมภีร์ไบเบิลให้พร้อมเผชิญการทดสอบได้อย่างไร?