จงทำตามแบบอย่างของพระเยซูในเรื่องการเฝ้าระวัง
จงทำตามแบบอย่างของพระเยซูในเรื่องการเฝ้าระวัง
“จงเฝ้าระวังอยู่เสมอและอธิษฐาน.”—มัด. 26:41
คุณจะตอบอย่างไร?
การอธิษฐานของเราจะแสดงให้เห็นว่าเราเฝ้าระวังอยู่เสมอได้อย่างไร?
เราจะแสดงให้เห็นได้โดยวิธีใดบ้างว่าเราตื่นตัวอยู่เสมอในการประกาศ?
เหตุใดจึงสำคัญที่เราจะเฝ้าระวังอยู่เสมอเมื่อถูกทดสอบ และเราจะทำอย่างนั้นได้อย่างไร?
1, 2. (ก) เกิดมีคำถามอะไรเกี่ยวกับตัวอย่างของพระเยซูในเรื่องการเฝ้าระวัง? (ข) ตัวอย่างที่สมบูรณ์แบบของพระเยซูเป็นประโยชน์ต่อมนุษย์ที่ผิดบาปไหม? จงยกตัวอย่าง.
คุณอาจสงสัยว่า ‘เป็นไปได้จริง ๆ หรือที่จะทำตามแบบอย่างของพระเยซูในเรื่องการเฝ้าระวังหรือการตื่นตัว? พระเยซูทรงเป็นมนุษย์สมบูรณ์! นอกจากนั้น ในบางครั้งพระเยซูทรงรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในอนาคต เลยสมัยพระองค์ไปหลายพันปีด้วยซ้ำ! พระองค์จำเป็นต้องเฝ้าระวังหรือตื่นตัวอยู่เสมอจริง ๆ หรือ?’ (มัด. 24:37-39; ฮีบรู 4:15) ขอให้เราพิจารณาคำถามเหล่านี้ก่อนเพื่อจะเห็นว่าเรื่องนี้สำคัญเพียงไร.
2 ตัวอย่างของมนุษย์สมบูรณ์จะเป็นประโยชน์สำหรับมนุษย์ที่ผิดบาปไหม? เป็นประโยชน์อย่างแน่นอน เพราะการเรียนจากครูที่ดีและการทำตามแบบอย่างของเขาเป็นสิ่งที่ทำได้. ตัวอย่างเช่น ขอให้นึกภาพชายคนหนึ่งที่เรียนยิงธนูเป็นครั้งแรก. เขายังยิงไม่เป็นและยิงไม่เข้าเป้าเลย แต่ว่าเขาเรียนต่อไปและพยายามฝึกยิงต่อ ๆ ไป. เพื่อจะพัฒนาฝีมือ เขาศึกษาตัวอย่างของผู้สอนซึ่งเป็นนักยิงธนูที่เชี่ยวชาญอย่างละเอียด. นักเรียนคนนี้จะสังเกตว่าครูยืนอย่างไร วางตำแหน่งแขนอย่างไร และเหนี่ยวสายธนูอย่างไร. ทีละเล็กทีละน้อย มือใหม่หัดยิงที่มุ่งมั่นคนนี้เรียนรู้ว่าจะต้องใช้แรงดึงสายธนูมากน้อยขนาดไหน; เขาจะคำนวณทิศทางลม และพยายามฝึกต่อไปเรื่อย ๆ. โดยทำตามแบบอย่างของผู้สอน ในที่สุดเขาก็จะยิงเข้าเป้าและเข้าใกล้ใจกลางเป้ามากขึ้นเรื่อย ๆ. คล้ายกัน เราพยายามก้าวหน้าฝ่ายวิญญาณต่อ ๆ ไปโดยปฏิบัติตามคำสอนของพระเยซูและทำตามตัวอย่างที่สมบูรณ์แบบของพระองค์.
3. (ก) พระเยซูทรงแสดงให้เห็นอย่างไรว่าพระองค์จำเป็นต้องเฝ้าระวัง? (ข) เราจะพิจารณาอะไรในบทความนี้?
3 แต่จะว่าอย่างไรในเรื่องการเฝ้าระวังหรือตื่นตัวอยู่เสมอ? พระเยซูจำเป็นต้องเฝ้าระวังจริง ๆ ไหม? จริง ๆ แล้ว พระองค์จำเป็นต้องเฝ้าระวัง. ตัวอย่างเช่น ในคืนสุดท้ายของชีวิตบนแผ่นดินโลก พระเยซูทรงกระตุ้นเหล่าอัครสาวกที่ซื่อสัตย์ว่า “จง . . . เฝ้าระวังอยู่กับเรา.” พระองค์ตรัสต่อไปอีกว่า “จงเฝ้าระวังอยู่เสมอและอธิษฐานมัด. 26:38, 41) แม้ว่าพระองค์ทรงเฝ้าระวังอยู่เรื่อยมา แต่ในยามคับขันพระองค์ทรงประสงค์เป็นพิเศษที่จะเฝ้าระวังและใกล้ชิดกับพระบิดาให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้. พระองค์ทรงรู้ว่าเหล่าสาวกจำเป็นต้องตื่นตัวแบบเดียวกันนี้ ไม่ใช่แค่ในตอนนั้นเท่านั้น แต่ในอนาคตด้วย. ดังนั้น ให้เรามาพิจารณาว่าทำไมพระเยซูทรงประสงค์ให้เราเฝ้าระวังหรือตื่นตัวอยู่เสมอ. หลังจากนั้น เราจะพิจารณาสามวิธีที่เราสามารถเลียนแบบพระเยซูในเรื่องการเฝ้าระวังในชีวิตประจำวันของเรา.
ไม่หยุดหย่อนเพื่อเจ้าทั้งหลายจะไม่พ่ายแพ้การล่อใจ.” (เหตุใดพระเยซูทรงประสงค์ให้เราเฝ้าระวัง?
4. เหตุใดเราจำเป็นต้องเฝ้าระวังอยู่เสมอ?
4 พระเยซูทรงประสงค์ให้เราเฝ้าระวังหรือตื่นตัวอยู่เสมอเพราะแม้ว่ามีหลายสิ่งที่เรารู้เกี่ยวกับอนาคต แต่เราไม่รู้ทุกสิ่ง. เมื่อพระเยซูทรงเป็นมนุษย์บนแผ่นดินโลก พระองค์ทรงรู้ทุกสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตไหม? ไม่เลย เพราะพระองค์ทรงยอมรับอย่างถ่อมพระทัยว่า “วันเวลานั้นไม่มีใครรู้ แม้ทูตสวรรค์หรือพระบุตรก็ไม่รู้ พระบิดาเท่านั้นที่ทรงรู้.” (มัด. 24:36) ในเวลานั้น พระเยซูผู้เป็น “พระบุตร” ไม่รู้วันเวลาที่แน่นอนที่อวสานของโลกชั่วนี้จะมาถึง. แล้วพวกเราในทุกวันนี้ล่ะ? เรามีขีดจำกัดในการรู้อนาคตมิใช่หรือ? ใช่แล้ว! เราไม่รู้ว่าพระยะโฮวาจะทรงส่งพระบุตรมาทำลายระบบชั่วนี้เมื่อไร. ถ้าเรารู้ เราก็ไม่จำเป็นต้องเฝ้าระวัง. แต่ดังที่พระเยซูทรงอธิบาย อวสานจะมาถึงอย่างฉับพลัน โดยไม่คาดคิด. ดังนั้น เราจึงจำเป็นต้องเฝ้าระวังหรือตื่นตัวอยู่เสมอ.—อ่านมัดธาย 24:43
5, 6. (ก) สิ่งที่เรารู้เกี่ยวกับอนาคตและพระประสงค์ของพระเจ้าส่งผลอย่างไรต่อการที่เราต้องตื่นตัว? (ข) เหตุใดสิ่งที่เรารู้เกี่ยวกับซาตานน่าจะทำให้เราตั้งใจแน่วแน่ที่จะเฝ้าระวังอยู่เสมอ?
5 ในทางตรงกันข้าม พระเยซูทรงรู้หลายสิ่งที่ยอดเยี่ยมเกี่ยวกับอนาคต ซึ่งเป็นความจริงที่ผู้คนส่วนใหญ่ไม่รู้เลย. สิ่งที่เรารู้เทียบกันไม่ได้เลยกับสิ่งที่พระเยซูทรงรู้ แต่เพราะพระองค์ทรงสอนเรา เราจึงรู้มากมายหลายสิ่งเกี่ยวกับราชอาณาจักรและสิ่งที่ราชอาณาจักรจะทำให้สำเร็จในไม่ช้า. เมื่อเรามองไปรอบ ๆ ตัว ไม่ว่าจะที่โรงเรียน ที่ทำงาน หรือในเขตประกาศ เราไม่สังเกตหรอกหรือว่าคนส่วนใหญ่อยู่ในความมืดมิดฝ่ายวิญญาณเพราะพวกเขาไม่รู้ความจริงอันรุ่งโรจน์ที่เรารู้? นี่เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่เราต้องตื่นตัวอยู่เสมอ. เช่นเดียวกับพระเยซู เราต้องตื่นตัวอยู่เสมอและมองหาโอกาสที่จะบอกสิ่งที่เรารู้เกี่ยวกับราชอาณาจักรของพระเจ้าแก่คนอื่น ๆ. แต่ละครั้งที่เรามีโอกาสจะทำอย่างนั้นถือว่ามีค่ายิ่ง และเราไม่ต้องการที่จะปล่อยโอกาสให้หลุดลอยไป. ชีวิตของผู้คนกำลังตกอยู่ในอันตราย!—1 ติโม. 4:16
6 ยังมีเรื่องอื่นอีกที่พระเยซูทรงรู้ซึ่งทำให้พระองค์ตื่นตัวอยู่เสมอ. พระองค์ทรงรู้ว่าซาตานจ้องจะล่อใจ ข่มเหง และทำลายความซื่อสัตย์จงรักภักดีของพระองค์. ศัตรูที่ชั่วร้ายผู้นี้ตื่นตัวอยู่เสมอเพื่อ “จะมีโอกาสอีก” ที่จะทดสอบพระเยซู. (ลูกา 4:13) พระเยซูไม่เคยหยุดเฝ้าระวังเลย. พระองค์ทรงต้องการอยู่พร้อมเสมอที่จะรับการทดสอบใด ๆ ก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นการล่อใจ การต่อต้าน หรือการข่มเหง. เราอยู่ในสถานการณ์แบบเดียวกับพระเยซู. เรารู้ว่าซาตานยังคงเป็น “เหมือนสิงโตคำราม เสาะหาคนที่มันจะขม้ำกินเสีย.” นั่นคือเหตุผลที่พระคำของพระเจ้ากระตุ้นเตือนคริสเตียนทุกคนว่า “จงมีสติอยู่เสมอและจงเฝ้าระวัง.” (1 เป. 5:8) แต่เราจะทำอย่างนั้นได้อย่างไร?
การอธิษฐานช่วยเราให้เฝ้าระวังอยู่เสมออย่างไร?
7, 8. พระเยซูทรงให้คำแนะนำอะไรในเรื่องการอธิษฐาน และพระองค์ทรงวางตัวอย่างเช่นไรไว้ให้เรา?
7 คัมภีร์ไบเบิลแสดงให้เห็นว่าการอธิษฐานมีความเกี่ยวข้องอย่างมากกับการตื่นตัวฝ่ายวิญญาณหรือการเฝ้าระวัง. (โกโล. 4:2; 1 เป. 4:7) ไม่นานหลังจากที่พระเยซูขอให้สาวกเฝ้าระวังอยู่กับพระองค์ พระองค์ตรัสว่า “จงเฝ้าระวังอยู่เสมอและอธิษฐานไม่หยุดหย่อนเพื่อเจ้าทั้งหลายจะไม่พ่ายแพ้การล่อใจ.” (มัด. 26:41) พระองค์ทรงมุ่งหมายจะให้เหล่าสาวกทำตามคำแนะนำนี้เฉพาะในสถานการณ์คับขันที่พวกเขากำลังเผชิญอยู่ในตอนนั้นเท่านั้นไหม? ไม่. คำแนะนำของพระองค์เป็นหลักการที่เราควรใช้ในการดำเนินชีวิตทุก ๆ วัน.
8 พระเยซูทรงวางตัวอย่างที่ยอดเยี่ยมในเรื่องการอธิษฐาน. คุณอาจจำได้ว่าครั้งหนึ่งพระองค์ใช้เวลาทั้งคืนอธิษฐานถึงพระบิดา. ขอให้เรานึกภาพฉากเหตุการณ์ในคืนนั้น. (อ่านลูกา 6:12, 13) ตอนนั้นเป็นฤดูใบไม้ผลิ พระองค์คงจะอยู่ใกล้ ๆ คาเปอร์นาอุมซึ่งเป็นเมืองที่ผู้คนส่วนใหญ่ทำอาชีพประมง และเป็นเมืองที่พระเยซูใช้เป็นฐานในงานรับใช้ของพระองค์ในมณฑลแกลิลี. พอตกเย็น พระเยซูทรงขึ้นไปที่ภูเขาลูกหนึ่งและมองลงมาที่ทะเลแกลิลี. ขณะที่พระองค์ทรงมองดูเมืองที่มืดลงเรื่อย ๆ พระองค์คงเห็นแสงตะเกียงวอมแวมในเมืองคาเปอร์นาอุมและหมู่บ้านอื่น ๆ ที่อยู่ใกล้เคียง. แต่เมื่อพระเยซูตรัสกับพระยะโฮวา ความคิดของพระองค์จดจ่ออยู่กับการอธิษฐาน. เวลาผ่านไปหลายนาที แล้วก็หลายชั่วโมง. พระองค์แทบจะไม่สังเกตเลยว่าแสงตะเกียงที่อยู่แต่ไกลนั้นค่อย ๆ ดับไปทีละดวงสองดวง หรือดวงจันทร์เคลื่อนคล้อยผ่านฟ้า หรือหมู่สัตว์ที่หากินกลางคืนต่างก็ออกหากินตามสุมทุมพุ่มไม้. คำอธิษฐานของพระองค์คงจะเน้นเรื่องสำคัญที่พระองค์ต้องตัดสินใจ คือการเลือกอัครสาวก 12 คน. เราคงนึกภาพออกว่าพระเยซูทรงจดจ่ออยู่กับการบอกพระบิดาทุกเรื่องที่พระองค์คิดและทุกสิ่งที่พระองค์เป็นห่วงเกี่ยวกับสาวกแต่ละคน ขณะที่พระองค์ทูลอ้อนวอนขอการชี้นำและสติปัญญาอย่างจริงจัง.
9. เราเรียนอะไรได้จากตัวอย่างของพระเยซูที่ทรงอธิษฐานตลอดคืน?
9 เราอาจเรียนอะไรได้จากตัวอย่างของพระเยซู? เราต้องใช้เวลาหลายชั่วโมงในการอธิษฐานอย่างนั้นไหม? ไม่ใช่อย่างนั้น เพราะพระองค์ตรัสถึงเหล่าสาวกด้วยความเมตตาและยอมรับความเป็นจริงว่า “ใจกระตือรือร้นก็จริง แต่กายนั้นอ่อนแอ.” (มัด. 26:41) อย่างไรก็ตาม เราเลียนแบบพระเยซูได้. ตัวอย่างเช่น เราขอคำแนะนำจากพระบิดาของเราก่อนตัดสินใจเรื่องใดก็ตามที่อาจส่งผลกระทบต่อตัวเรา ครอบครัว หรือเพื่อนร่วมความเชื่อของเราไหม? เราแสดงความเป็นห่วงพี่น้องของเราด้วยไหมเมื่อเราอธิษฐาน? เราอธิษฐานจากหัวใจไหมหรือเราอธิษฐานซ้ำ ๆ แบบเดิมทุกครั้ง? ขอให้สังเกตด้วยว่าพระเยซูทรงเห็นว่าการอธิษฐานเป็นส่วนตัวอย่างใกล้ชิดสนิทสนมกับพระบิดาเป็นเรื่องที่มีค่ามาก. ในโลกทุกวันนี้ที่วุ่นวายสับสน เป็นเรื่องง่ายมากที่การดำเนินชีวิตแบบเร่งรีบอาจทำให้เราลืมว่าอะไรสำคัญที่สุด. ถ้าเราจัดเวลาไว้มากพอที่จะอธิษฐานอย่างลึกซึ้งเป็นส่วนตัว เราก็จะตื่นตัวฝ่ายวิญญาณมากขึ้น. (มัด. 6:6, 7) เราจะเข้าใกล้พระยะโฮวามากขึ้น กระตือรือร้นที่จะทำให้สายสัมพันธ์ของเรากับพระองค์แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น และหลีกเลี่ยงการทำสิ่งใดก็ตามที่อาจทำให้สายสัมพันธ์ของเรากับพระองค์อ่อนลง.—เพลง. 25:14
เราจะตื่นตัวอยู่เสมอในงานประกาศได้อย่างไร?
10. มีตัวอย่างอะไรที่แสดงให้เราเห็นว่าพระเยซูทรงตื่นตัวอยู่เสมอและหาโอกาสที่จะประกาศ?
10 พระเยซูทรงตื่นตัวในงานที่พระยะโฮวาทรงมอบหมายให้พระองค์ทำ. อาจมีงานบางอย่างที่คนทำงานใจลอยได้โดยไม่เกิดผลเสียหายร้ายแรง. แต่มีงานหลายชนิดที่คนงานต้องจดจ่อและตื่นตัวจริง ๆ และแน่นอนว่างานรับใช้ของคริสเตียนเป็นอย่างนั้น. พระเยซูทรงตื่นตัวเสมอในงานของพระองค์ และมองหาโอกาสที่จะประกาศข่าวดี. ตัวอย่างเช่น เมื่อพระองค์กับเหล่าสาวกมาถึงเมืองซีคาร์หลังจากเดินมาทั้งเช้า เหล่าสาวกพากันไปซื้ออาหาร. พระเยซูทรงนั่งพักอยู่ใกล้ ๆ บ่อน้ำ แต่พระองค์ทรงตื่นตัวอยู่เสมอและหาโอกาสที่จะประกาศ. หญิงชาวซะมาเรียคนหนึ่งมาตักน้ำ. พระเยซูอาจเลือกจะงีบหลับก็ได้. พระองค์อาจนึกถึงเหตุผลได้หลายอย่างที่จะไม่ต้องพูดกับใคร. แต่พระองค์ทรงสนทนากับหญิงผู้นี้ และประกาศอย่างมีพลังซึ่งส่งผลต่อชีวิตของหลายคนในเมืองนั้น. (โย. 4:4-26, 39-42) เราจะทำตามแบบอย่างของพระเยซูอย่างใกล้ชิดยิ่งขึ้นได้ไหมในเรื่องการตื่นตัวอยู่เสมอ โดยที่อาจตื่นตัวมากขึ้นในการประกาศข่าวดีแก่ผู้คนที่เราพบในชีวิตประจำวัน?
11, 12. (ก) พระเยซูทรงแสดงปฏิกิริยาอย่างไรต่อคนที่ทำให้พระองค์เขวจากงานมอบหมาย? (ข) พระเยซูทรงมีความสมดุลเช่นไรในเรื่องงานของพระองค์?
11 บางครั้ง คนที่มีเจตนาดีพยายามทำให้พระเยซูมัด. 15:24) ดังนั้นพระองค์ทรงบอกประชาชนเหล่านี้ว่า “เราต้องประกาศข่าวดีเรื่องราชอาณาจักรของพระเจ้าแก่เมืองอื่น ๆ ด้วย เพราะเราถูกส่งมาเพื่อการนี้.” (ลูกา 4:40-44) เห็นได้ชัดว่า พระเยซูทรงจดจ่ออยู่กับงานรับใช้. พระองค์ไม่ปล่อยให้สิ่งใดมาทำให้พระองค์เขว.
เขวจากงานของพระองค์. ในเมืองคาเปอร์นาอุม ฝูงชนถูกกระตุ้นใจอย่างมากจากการรักษาโรคด้วยวิธีอัศจรรย์ของพระเยซูจนพวกเขาอยากให้พระองค์อยู่ที่นั่นกับพวกเขาต่อไป. ไม่แปลกที่พวกเขาพยายามทำอย่างนั้น. แต่พระเยซูได้รับมอบหมายให้ประกาศแก่ “แกะของเรือนอิสราเอลที่หายไป” ทั้งหมด ไม่ใช่แค่ที่เมืองนี้เมืองเดียว. (12 พระเยซูทรงจดจ่ออยู่กับงานของพระองค์จนถึงขนาดที่กลายเป็นคนคลั่งศาสนาหรือผู้บำเพ็ญพรตไหม? พระองค์ทรงหมกมุ่นอยู่กับงานรับใช้จนไม่สนใจไยดีสิ่งที่คนในครอบครัวทั้งหลายจำเป็นต้องได้รับไหม? พระเยซูทรงวางตัวอย่างที่สมบูรณ์แบบในเรื่องการเป็นคนสมดุล. พระองค์ทรงชื่นชมกับชีวิตและทรงเพลิดเพลินสนุกสนานด้วยกันกับสหายของพระองค์. พระองค์ทรงให้ความสำคัญกับครอบครัวทั้งหลาย แสดงความเห็นอกเห็นใจอย่างยิ่งต่อความจำเป็นและปัญหาของพวกเขา และทรงแสดงความรักอย่างเต็มที่ต่อเด็ก ๆ.—อ่านมาระโก 10:13-16
13. ในการประกาศเรื่องราชอาณาจักร เราอาจจะทำตามแบบอย่างของพระเยซูในเรื่องการตื่นตัว และสมดุลได้อย่างไร?
13 ขณะที่เราทำตามแบบอย่างของพระเยซูในเรื่องการเฝ้าระวังหรือการตื่นตัว เราจะพยายามมีความสมดุลคล้าย ๆ กับพระเยซูได้อย่างไร? เราไม่ปล่อยให้โลกนี้ชักนำให้เราเขวจากงานของเรา. แม้แต่เพื่อนและญาติที่เจตนาดีอาจกระตุ้นเราให้ทำน้อยลงในงานรับใช้หรือให้ดำเนินชีวิตอย่างที่พวกเขาถือว่าเป็นการดำเนินชีวิตตามปกติธรรมดา. แต่ถ้าเราทำตามแบบอย่างของพระเยซู เราจะมองงานรับใช้ของเราว่าเป็นเหมือนอาหาร. (โยฮัน 4:34) เมื่อเราทำงานที่ได้รับมอบหมาย เราเองก็จะได้รับการบำรุงเลี้ยงฝ่ายวิญญาณและความชื่นชมยินดีด้วย. แต่เราไม่ต้องการเป็นคนสุดโต่ง ถือว่าตัวเองชอบธรรมหรือเป็นคนเคร่งจนเกินไป. เช่นเดียวกับพระเยซู เราต้องการเป็นผู้รับใช้ที่มีความยินดีและสมดุลของ “พระเจ้าผู้มีความสุข.”—1 ติโม. 1:11
เราจะเฝ้าระวังในยามที่ทุกข์ลำบากได้อย่างไร?
14. ในยามที่ทุกข์ลำบาก เราต้องต้านทานแนวโน้มเช่นไร และเพราะเหตุใด?
14 ดังที่เราได้เห็นแล้ว พระเยซูทรงให้คำกระตุ้นเตือนที่จริงจังที่สุดในเรื่องการเฝ้าระวังเมื่อพระองค์ทรงถูกทดสอบอย่างรุนแรง. (อ่านมาระโก 14:37) เมื่อเราเผชิญความทุกข์ลำบาก เรายิ่งต้องคิดถึงตัวอย่างของพระองค์ให้มากขึ้น. เมื่อถูกทดสอบ หลายคนมักลืมข้อเท็จจริงอย่างหนึ่งซึ่งสำคัญมากจนหนังสือสุภาษิตกล่าวถึงข้อเท็จจริงนี้ถึงสองครั้ง ที่ว่า “มีทางหนึ่งซึ่งดูเหมือนบางคนเห็นว่าเป็นทางถูก แต่ปลายทางนั้นเป็นทางแห่งความตาย.” (สุภา. 14:12; 16:25) ถ้าเราพึ่งความคิดของตัวเอง โดยเฉพาะเมื่อเราเผชิญปัญหาร้ายแรง เราอาจจะทำให้ตัวเองและคนที่เรารักได้รับความเสียหาย.
15. หัวหน้าครอบครัวอาจถูกล่อใจเช่นไรในยามที่ประสบความลำบากทางเศรษฐกิจ?
15 ตัวอย่างเช่น หัวหน้าครอบครัวอาจถูกกดดันอย่างหนักในการหาเงินเพื่อเลี้ยงดู “คนเหล่านั้นที่อยู่ในความรับผิดชอบของเขา.” (1 ติโม. 5:8) เขาอาจ ถูกล่อใจให้รับงานที่ทำให้เขาขาดการประชุมคริสเตียน ไม่ได้นำหน้าในการนมัสการประจำครอบครัวเป็นประจำ หรือไม่ได้เข้าร่วมในงานประกาศอย่างสม่ำเสมอ. ถ้าเขาคิดแบบที่คนทั่วไปคิด การทำอย่างนั้นอาจดูเหมือนว่ามีเหตุผลสมควรหรือแม้แต่ชอบธรรมด้วยซ้ำ. แต่ว่านั่นอาจส่งผลให้เขาป่วยหรือตายฝ่ายวิญญาณได้เลยทีเดียว. นับว่าดีกว่าสักเพียงไรที่จะทำตามคำแนะนำที่สุภาษิต 3:5, 6! โซโลมอนกล่าวว่า “จงวางใจในพระยะโฮวาด้วยสุดใจของเจ้า, อย่าพึ่งในความเข้าใจของตนเอง. จงรับพระองค์ให้เข้าส่วนในทางทั้งหลายของเจ้า, และพระองค์จะชี้ทางเดินของเจ้าให้แจ่มแจ้ง.”
16. (ก) พระเยซูทรงวางตัวอย่างไว้เช่นไรในการพึ่งสติปัญญาของพระยะโฮวาแทนที่จะพึ่งสติปัญญาของพระองค์เอง? (ข) หัวหน้าครอบครัวหลายคนทำตามแบบอย่างของพระเยซูอย่างไรในเรื่องการไว้วางใจพระยะโฮวาเมื่อประสบความทุกข์ลำบาก?
16 เมื่อพระเยซูถูกทดสอบ พระองค์ทรงตั้งใจแน่วแน่ที่จะไม่พึ่งความเข้าใจของพระองค์เอง. คิดดูสิ! บุรุษที่ฉลาดที่สุดเท่าที่เคยมีชีวิตบนโลกนี้เลือกที่จะไม่พึ่งสติปัญญาของตัวเองเพื่อจะได้คำตอบในเรื่องต่าง ๆ. ยกตัวอย่าง เมื่อถูกซาตานล่อใจ พระเยซูทรงตอบหลายต่อหลายครั้งด้วยวลีที่ว่า “มีคำเขียนไว้ว่า.” (มัด. 4:4, 7, 10) พระองค์ทรงหมายพึ่งสติปัญญาของพระบิดาเพื่อปฏิเสธการล่อใจ และแสดงให้เห็นว่าทรงมีความถ่อมใจซึ่งเป็นคุณลักษณะที่ซาตานไม่มีเลยและเหยียดหยาม. เราทำอย่างเดียวกันไหม? หัวหน้าครอบครัวที่ทำตามแบบอย่างของพระเยซูในเรื่องการเฝ้าระวังจะให้พระคำของพระเจ้าชี้นำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยามที่ประสบความทุกข์ลำบาก. ตลอดทั่วโลก หัวหน้าครอบครัวจำนวนมากกำลังทำอย่างนั้น. พวกเขายึดมั่นในการจัดให้ราชอาณาจักรของพระเจ้าและการนมัสการบริสุทธิ์มาเป็นอันดับแรกในชีวิต และให้เรื่องนี้มาก่อนความเป็นห่วงกังวลด้านวัตถุ. โดยทำอย่างนั้น พวกเขาดูแลครอบครัวของตนอย่างดีที่สุด. พระยะโฮวาจะทรงอวยพรความพยายามของพวกเขาในการจัดหาสิ่งจำเป็นด้านวัตถุ ดังที่ทรงสัญญาไว้ในพระคำของพระองค์.—มัด. 6:33
17. อะไรกระตุ้นคุณให้ทำตามแบบอย่างของพระเยซูในเรื่องการเฝ้าระวัง?
17 ไม่มีข้อสงสัยเลยว่าพระเยซูทรงวางตัวอย่างที่ดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ในเรื่องการเฝ้าระวังหรือตื่นตัวอยู่เสมอ. ตัวอย่างของพระองค์เป็นประโยชน์ ใช้ได้จริง และแม้กระทั่งช่วยชีวิตด้วยซ้ำ. จำไว้ว่า ซาตานอยากกล่อมคุณให้หลับฝ่ายวิญญาณ มีความเชื่ออ่อนแอ นมัสการอย่างเอื่อยเฉื่อย และอะลุ่มอล่วยในเรื่องความซื่อสัตย์จงรักภักดี. (1 เทส. 5:6) อย่ายอมให้มันทำอย่างนั้นได้สำเร็จ! ขอให้เฝ้าระวังหรือตื่นตัวอยู่เสมอเช่นเดียวกับพระเยซู ทั้งในการอธิษฐาน ในการประกาศ และในการรับมือความทุกข์ลำบาก. ด้วยการทำตามแนวทางดังกล่าว คุณจะมีชีวิตที่อุดมบริบูรณ์ มีความสุข และประสบความสำเร็จ แม้แต่ในขณะนี้ซึ่งอยู่ในช่วงที่ระบบนี้กำลังจะสิ้นสุดลง. เมื่อคุณเฝ้าระวังหรือตื่นตัวอยู่เสมอ คุณก็จะแน่ใจได้ด้วยว่าเมื่อพระเยซูนายของคุณมาทำลายระบบนี้ พระองค์จะพบว่าคุณตื่นตัวและขันแข็งในการทำตามพระประสงค์ของพระบิดาพระองค์. พระยะโฮวาจะทรงยินดีสักเพียงไรที่จะประทานบำเหน็จแก่คุณสำหรับแนวทางที่ซื่อสัตย์ของคุณ!—วิ. 16:15
[คำถาม]
[ภาพหน้า 6]
พระเยซูทรงประกาศแก่หญิงคนนี้ที่บ่อน้ำ. คุณหาโอกาสที่จะประกาศในแต่ละวันอย่างไร?
[ภาพหน้า 7]
การที่คุณดูแลสวัสดิภาพฝ่ายวิญญาณของครอบครัวแสดงว่าคุณกำลังเฝ้าระวังอยู่เสมอ