เรื่องราวชีวิตจริง
ดิฉันได้เป็นเพื่อนกับคนที่อายุมากกว่าและฉลาดสุขุม
เล่าโดย เอลวา เจอร์ดิ
เมื่อประมาณ 70 ปีมาแล้ว แขกคนหนึ่งที่มาเยือนบ้านของเราพูดเรื่องหนึ่งกับพ่อซึ่งได้ทำให้ชีวิตของดิฉันเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง. นับตั้งแต่วันสำคัญวันนั้น มีคนอื่นอีกหลายคนที่มีผลกระทบต่อชีวิตดิฉันด้วย. ในระหว่างนั้น ดิฉันได้รับมิตรภาพอันล้ำค่าอย่างหนึ่งที่ดิฉันถือว่ามีคุณค่ายิ่งกว่ามิตรภาพอื่นใด. ขอดิฉันเล่าให้คุณฟัง.
ดิฉันเกิดที่เมืองซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลีย ในปี 1932. พ่อแม่ดิฉันเชื่อพระเจ้าแต่ไม่ไปโบสถ์. แม่ดิฉันสอนว่าพระเจ้าคอยเฝ้าดูเราอยู่ตลอดเวลา และจะลงโทษดิฉันถ้าดิฉันซน. นี่ทำให้ดิฉันกลัวพระเจ้า. แต่ดิฉันก็ยังสนใจคัมภีร์ไบเบิลมาก. เมื่อป้ามาเยี่ยมเราในช่วงสุดสัปดาห์ ท่านเล่าหลายเรื่องที่น่าสนใจจากคัมภีร์ไบเบิลให้ดิฉันฟัง. ดิฉันตั้งตาคอยเสมอให้ถึงวันที่ป้าจะมาเยี่ยมเรา.
เมื่อดิฉันยังเป็นวัยรุ่น พ่ออ่านหนังสือชุดหนึ่งซึ่งแม่ได้รับมาจากสตรีสูงอายุผู้หนึ่งที่เป็นพยานพระยะโฮวา. พ่อประทับใจเรื่องที่ได้อ่านจากหนังสือของคริสเตียนเหล่านี้มากจนได้ตอบรับการศึกษาคัมภีร์ไบเบิลกับพยานฯ. ขณะที่พ่อกำลังศึกษาคัมภีร์ไบเบิลในเย็นวันหนึ่ง พ่อจับได้ว่าดิฉันแอบฟัง. พ่อกำลังจะไล่ดิฉันเข้านอนแต่ผู้นำการศึกษาบอกว่า “ทำไมไม่ให้เอลวามานั่งฟังด้วยล่ะ?” ข้อเสนอนั้นเป็นจุดเริ่มต้นของวิถีชีวิตใหม่และมิตรภาพที่ดิฉันมีกับพระยะโฮวาพระเจ้าองค์เที่ยงแท้.
ไม่นานหลังจากนั้น ดิฉันกับพ่อก็เริ่มเข้าร่วมการประชุมคริสเตียน. สิ่งที่พ่อได้เรียนรู้กระตุ้นท่านให้เปลี่ยนแปลงชีวิต. พ่อถึงกับเริ่มควบคุมอารมณ์ได้ดีขึ้น. เรื่องนี้กระตุ้นให้แม่กับแฟรงก์พี่ชายดิฉันเริ่มเข้าร่วมการประชุม. * พวกเราทั้งสี่คนก้าวหน้าเป็นอย่างดีและในที่สุดก็รับบัพติสมาเป็นพยานพระยะโฮวา. นับแต่นั้นมา หลายคนที่อายุมากกว่าได้ช่วยดิฉันในหลาย ๆ ช่วงของชีวิต.
เมื่อเลือกงานประจำชีพ
ตอนเป็นวัยรุ่น ดิฉันได้ใกล้ชิดกับหลายคนในประชาคมที่อายุมากกว่า. หนึ่งในนั้นก็คืออลิซ เพลซ พี่น้องหญิงสูงอายุที่มาประกาศกับครอบครัวเราเป็นคนแรก. ท่านกลายเป็นเหมือนกับคุณยายของดิฉัน. คุณยายอลิซสอนดิฉันประกาศและสนับสนุนให้ดิฉันตั้งเป้ารับบัพติสมา. เมื่ออายุ 15 ปีดิฉันก็บรรลุเป้านั้น.
ดิฉันยังได้เป็นเพื่อนสนิทกับผู้สูงอายุอีกคู่หนึ่งด้วยคือเพอร์ซีและแมดจ์ [มาร์กาเรต] ดันแฮม. การคบหากับพวกท่านมีผลต่ออนาคตของดิฉันอย่างมาก. ดิฉันชอบวิชาคณิตศาสตร์ และ
ตั้งใจไว้ว่าจะเป็นครูสอนคณิต. บราเดอร์เพอร์ซีกับซิสเตอร์แมดจ์เคยรับใช้เป็นมิชชันนารีในประเทศลัตเวียในช่วงทศวรรษ 1930. เมื่อสงครามโลกครั้งที่สองปะทุขึ้นในยุโรป ทั้งคู่ได้รับเชิญให้ไปรับใช้ที่เบเธลออสเตรเลีย ซึ่งตั้งอยู่ชานเมืองชั้นในของซิดนีย์. บราเดอร์เพอร์ซีกับซิสเตอร์แมดจ์สนใจดิฉันจริง ๆ. พวกท่านเล่าประสบการณ์ที่น่าตื่นเต้นหลายเรื่องตอนที่พวกท่านรับใช้ในงานมิชชันนารี. ดิฉันเห็นได้ชัดว่าการสอนคัมภีร์ไบเบิลจะทำให้อิ่มใจพอใจยิ่งกว่าการสอนวิชาคณิตศาสตร์มาก. ดิฉันจึงตัดสินใจว่าจะเป็นมิชชันนารี.บราเดอร์เพอร์ซีกับซิสเตอร์แมดจ์สนับสนุนดิฉันให้เตรียมตัวไว้พร้อมเพื่อรับใช้เป็นมิชชันนารีโดยการเป็นไพโอเนียร์. ดังนั้น ในปี 1948 ตอนที่ดิฉันอายุ 16 ปี ดิฉันสมทบกับคนหนุ่มสาวอีกสิบคนที่มีความสุขกับการเป็นไพโอเนียร์ในประชาคมบ้านเกิดของดิฉันที่เฮิสต์วิลล์ นครซิดนีย์.
ในช่วงสี่ปีต่อจากนั้น ดิฉันเป็นไพโอเนียร์ในสี่เมือง ซึ่งทั้งหมดอยู่ในรัฐนิวเซาท์เวลส์และรัฐควีนส์แลนด์. นักศึกษาคัมภีร์ไบเบิลคนแรก ๆ ของดิฉันคือเบตตี ลอว์ (ปัจจุบันเปลี่ยนนามสกุลเป็นเรมนันต์). เบตตีอายุมากกว่าดิฉันสองปีและเป็นคนน่ารัก. ภายหลังเธอได้มาเป็นคู่ไพโอเนียร์ของดิฉันในเมืองเคารา ซึ่งอยู่ห่างจากนครซิดนีย์ไปทางตะวันตกประมาณ 230 กิโลเมตร. ถึงแม้ว่าเราเป็นไพโอเนียร์ด้วยกันเป็นเวลาสั้น ๆ ดิฉันกับเบตตีก็ยังคงเป็นเพื่อนกันตราบจนทุกวันนี้.
เมื่อได้รับมอบหมายให้เป็นไพโอเนียร์พิเศษ ดิฉันย้ายไปที่เมืองนาร์รันเดอรา ซึ่งอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของเมืองเคารา ห่างออกไปประมาณ 220 กิโลเมตร. คู่ไพโอเนียร์คนใหม่คือจอย เลนนอกซ์ (ปัจจุบันเปลี่ยนนามสกุลเป็นฮันเตอร์) ซึ่งเป็นไพโอเนียร์ที่กระตือรือร้นและแก่กว่าดิฉันสองปีเหมือนกัน. เราเป็นพยานฯ เพียงสองคนในเมืองนี้. ดิฉันกับจอยพักอยู่ที่บ้านของคู่สมรสที่มีน้ำใจรับรองแขก คือเรย์และเอสเทอร์ ไอร์ออนส์. ทั้งสองกับลูกชายคนหนึ่งและลูกสาวอีกสามคนสนใจความจริง. เรย์กับลูกชายทำงานเลี้ยงแกะและปลูกข้าวสาลีอยู่นอกเมืองในวันธรรมดา ส่วนเอสเทอร์กับลูกสาวดูแลห้องเช่าพร้อมบริการอาหาร. ทุกวันอาทิตย์ ดิฉันกับจอยทำอาหารเย็นมื้อใหญ่ประเภทปิ้งย่างให้ครอบครัวนี้พร้อมกับผู้เช่าห้องอีกนับโหล ซึ่งทั้งหมดเป็นกรรมกรสร้างทางรถไฟที่หิวโหย. งานบริการนี้เป็นส่วนหนึ่งของค่าเช่าห้องเรา. หลังจากเก็บล้างเรียบร้อยแล้ว เราก็เสิร์ฟอาหารฝ่ายวิญญาณที่เอร็ดอร่อยแก่ครอบครัวนี้ นั่นคือการศึกษาหอสังเกตการณ์ ประจำสัปดาห์. เรย์ เอสเทอร์ และลูกสี่คนของพวกเขาเข้ามาในความจริงและเป็นสมาชิกคนแรก ๆ ที่ก่อตั้งประชาคมนาร์รันเดอรา.
ในปี 1951 ดิฉันเข้าร่วมการประชุมภาคของพยานพระยะโฮวาในนครซิดนีย์. ที่นั่นดิฉันได้เข้าร่วมการประชุมพิเศษสำหรับไพโอเนียร์ที่สนใจงานมิชชันนารี. มีผู้เข้าร่วมมากกว่า 300 คนซึ่งจัดขึ้นในเต็นท์ขนาดใหญ่. นาทาน นอรร์ จากเบเธลบรุกลินกล่าวปราศรัยต่อพวกเราไพโอเนียร์ และบอกถึงความจำเป็นเร่งด่วนที่ต้องนำข่าวดีไปถึงทุกมุมโลก. เราตั้งใจฟังทุกถ้อยคำที่ท่านพูด. ไพโอเนียร์หลายคนที่อยู่ที่นั่นในภายหลังได้ไปเปิดเขตงานราชอาณาจักรในแถบแปซิฟิกใต้และเขตอื่น ๆ. ดิฉันรู้สึกตื่นเต้นที่ได้เป็นคนหนึ่งในชาวออสเตรเลีย 17 คนที่ได้รับเชิญให้เข้าร่วมชั้นเรียนที่ 19 ของโรงเรียนกิเลียดในปี 1952. ฝันของดิฉันที่อยากเป็นมิชชันนารีได้กลายเป็นจริงตอนที่ดิฉันอายุเพียง 20 ปี!
เมื่อจำเป็นต้องปรับเปลี่ยน
การสอนและการคบหาสมาคมที่โรงเรียนกิเลียดไม่เพียงแต่ทำให้ดิฉันมีความรู้ในคัมภีร์ไบเบิลมากขึ้นและเสริมความเชื่อให้เข้มแข็ง แต่ยังมีผลอย่างมากต่อบุคลิกภาพของดิฉันด้วย. ดิฉันอายุยังน้อยและยึดมั่นในอุดมการณ์และมักคาดหมายความสมบูรณ์จากตัวเองและคนอื่น ๆ. ทัศนะบางอย่างของดิฉันเข้มงวดเกินไป. ตัวอย่างเช่น เมื่อดิฉันเห็นบราเดอร์นอรร์เล่นเบสบอลกับหนุ่มเบเธลกลุ่มหนึ่ง ดิฉันตกใจมาก.
ผู้สอนในโรงเรียนกิเลียด ซึ่งทั้งหมดเป็นพี่น้องชายที่มีความเข้าใจและมีประสบการณ์มาก คงเห็นแน่ ๆ ว่าดิฉันกำลังรับมือ
กับปัญหาของตัวเองอยู่. พวกเขาสนใจดิฉันและช่วยดิฉันปรับความคิด. ทีละเล็กทีละน้อย ดิฉันเริ่มเห็นว่าพระยะโฮวาทรงเป็นพระเจ้าที่เปี่ยมด้วยความรักและทรงเห็นค่าสิ่งที่เราทำ ไม่ใช่พระเจ้าที่เข้มงวดและเรียกร้องมากเกินไป. เพื่อนร่วมชั้นบางคนก็ช่วยดิฉันด้วย. ดิฉันยังจำได้ที่เพื่อนคนหนึ่งบอกว่า “เอลวา พระยะโฮวาไม่ได้อยู่บนสวรรค์และถือแส้. อย่าเข้มงวดกับตัวเองมากเกินไป!” คำพูดง่าย ๆ ของเธอกินใจดิฉัน.หลังจบกิเลียด ดิฉันกับเพื่อนร่วมชั้นอีกสี่คนได้รับมอบหมายให้ไปที่ประเทศนามิเบีย ทวีปแอฟริกา. เราอยู่ที่นั่นได้ไม่นานก็มีนักศึกษารวมกันทั้งหมดถึง 80 ราย. ดิฉันรักนามิเบียและชีวิตมิชชันนารี แต่ดิฉันตกหลุมรักเพื่อนร่วมชั้นกิเลียดคนหนึ่งซึ่งได้รับมอบหมายให้ไปประเทศสวิตเซอร์แลนด์. หลังจากอยู่ที่นามิเบียหนึ่งปี ดิฉันก็ไปร่วมสมทบกับคู่หมั้นที่สวิตเซอร์แลนด์. หลังจากเราแต่งงาน ดิฉันไปด้วยกันกับสามีในงานเดินหมวด.
เมื่อเผชิญวิกฤติในชีวิต
หลังจากรับใช้ในงานหมวดได้ห้าปี เราได้รับเชิญให้ไปรับใช้ที่เบเธลสวิตเซอร์แลนด์. ในครอบครัวเบเธล ดิฉันรู้สึกตื่นเต้นที่ได้อยู่ร่วมกับพี่น้องที่อายุมากกว่าหลายคนซึ่งเป็นผู้ใหญ่ฝ่ายวิญญาณ.
ไม่นานหลังจากนั้น ก็เกิดเหตุการณ์ที่เลวร้ายอย่างยิ่งกับดิฉัน. ดิฉันได้มารู้ว่าสามีไม่ซื่อสัตย์ต่อดิฉันและต่อพระยะโฮวา. แล้วเขาก็ทิ้งดิฉันไป. ดิฉันหัวใจสลาย! ดิฉันไม่รู้เลยว่าจะรับมือเรื่องนี้ได้อย่างไรถ้าไม่ได้รับความรักและการสนับสนุนจากเพื่อน ๆ ที่รักในครอบครัวเบเธลที่อายุมากกว่า. พวกเขารับฟังดิฉันเมื่อดิฉันอยากพูดและให้พักเมื่อดิฉันจำเป็นต้องพัก. คำพูดที่ปลอบโยนและการกระทำที่กรุณาช่วยค้ำจุนดิฉันในช่วงที่รู้สึกเจ็บปวดอย่างที่ไม่อาจพรรณนาเป็นคำพูดได้ และทำให้ดิฉันใกล้ชิดพระยะโฮวามากขึ้นด้วยซ้ำ.
ดิฉันยังจำคำพูดของเพื่อนบางคนที่อายุมากกว่าเคยพูดไว้เมื่อหลายปีก่อนได้. พี่น้องที่ฉลาดสุขุมเหล่านี้ได้ผ่านการทดสอบที่ทำให้พวกเขาแกร่งขึ้น. ตัวอย่างเช่น ครั้งหนึ่งซิสเตอร์แมดจ์ ดันแฮมเคยบอกดิฉันว่า “เอลวา ในการรับใช้พระยะโฮวา เธอจะพบกับการทดสอบหลายอย่าง แต่การทดสอบที่รับมือได้ยากที่สุดอาจมาจากคนใกล้ตัว. เมื่อถูกทดสอบอย่างนั้น จงเข้าใกล้พระยะโฮวา. จำไว้ว่าเธอรับใช้พระองค์ ไม่ใช่รับใช้มนุษย์ที่ไม่สมบูรณ์!” คำแนะนำของซิสเตอร์แมดจ์ช่วยนำพาดิฉันให้ผ่านพ้นช่วงเวลาอันมืดมนหลายต่อหลายครั้ง. ดิฉันตั้งใจแล้วว่าจะไม่ปล่อยให้ความผิดพลาดของสามีมาแยกดิฉันจากพระยะโฮวา.
ต่อมา ดิฉันตัดสินใจกลับไปที่ออสเตรเลียเพื่อเป็นไพโอเนียร์อยู่ใกล้ ๆ กับครอบครัว. ระหว่างเดินทางกลับบ้านโดยเรือเดินสมุทร ดิฉันได้คุยเรื่องพระคัมภีร์อย่างออกรสออกชาติเป็นประจำกับเพื่อนผู้โดยสารกลุ่มหนึ่ง. คนหนึ่งในกลุ่มนั้นคือชายชาวนอร์เวย์ที่เงียบขรึมชื่ออาร์เน เจอร์ดิ. เขาชอบเรื่องที่ได้ยิน. ต่อมา อาร์เนได้มาเยี่ยมดิฉันกับครอบครัวที่ซิดนีย์. เขาก้าวหน้าฝ่ายวิญญาณอย่างรวดเร็วและเข้ามาในความจริง. ในปี 1963 ดิฉันกับอาร์เนแต่งงานกัน และสองปีต่อมาเราก็มีลูกคนหนึ่ง คือแกรี.
เมื่อต้องรับมือการสูญเสียอีกครั้งหนึ่ง
ดิฉัน อาร์เน และแกรีมีชีวิตครอบครัวที่มีความสุขมาก. หลังจากนั้นไม่นาน อาร์เนก็ต่อเติมบ้านของเราเพื่อให้พ่อแม่ดิฉันซึ่งชราแล้วมาอยู่ด้วย. แต่หลังจากแต่งงานได้หกปี เราก็เจอมรสุมชีวิตอีกแบบหนึ่ง. แพทย์วินิจฉัยว่าอาร์เนเป็นโรคมะเร็งสมอง. ดิฉันไปเยี่ยมเขาที่โรงพยาบาลทุกวันตอนที่เขารับการรักษาโดยการฉายรังสีอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานาน. มีอยู่ช่วงหนึ่งที่เขาฟื้นตัวได้ดี แต่แล้วอาการของเขาก็ทรุดลงและมีอาการเส้นเลือดเลี้ยงสมองอุดตัน. แพทย์บอกดิฉันว่าเขาจะอยู่
ได้อีกไม่กี่สัปดาห์. อย่างไรก็ตาม อาร์เนรอดชีวิตมาได้. ในที่สุด เขาก็กลับบ้านได้ และดิฉันก็คอยดูแลจนเขาค่อย ๆ ดีขึ้น. ในเวลาต่อมา เขาสามารถเดินได้อีกครั้งหนึ่งและทำหน้าที่ผู้ปกครองในประชาคมต่อไปได้. นิสัยที่ร่าเริงและอารมณ์ขันของเขามีส่วนช่วยให้เขาฟื้นตัวและทำให้ดิฉันดูแลเขาอย่างต่อเนื่องได้ง่ายขึ้น.หลายปีต่อมา ในปี 1986 สุขภาพของอาร์เนก็แย่ลงอีก. ถึงตอนนี้ พ่อแม่ดิฉันเสียชีวิตไปแล้ว เราจึงย้ายจากเมืองซิดนีย์ไปอยู่บลูเมาเทนส์ที่สวยงาม ซึ่งทำให้เราได้อยู่ใกล้กับเพื่อน ๆ มากขึ้น. ต่อมา แกรีแต่งงานกับพี่น้องหญิงที่น่ารักคนหนึ่งชื่อคาริน และทั้งสองก็ชวนเราให้ไปอยู่บ้านหลังเดียวกัน. ไม่กี่เดือนต่อมา เราทั้งหมดก็ย้ายไปอยู่ในบ้านหลังหนึ่งซึ่งอยู่ห่างออกไปไม่กี่ถนนจากบ้านที่ดิฉันกับอาร์เนเคยอยู่.
ในช่วง 18 เดือนสุดท้ายของชีวิต อาร์เนนอนแซ่วอยู่กับเตียงและดิฉันต้องคอยดูแลตลอดเวลา. ในเมื่อต้องอยู่กับบ้านเกือบตลอดเวลา ดิฉันจึงใช้เวลาวันละสองชั่วโมงศึกษาคัมภีร์ไบเบิลและหนังสืออธิบายพระคัมภีร์. การทำแบบนี้ทำให้ดิฉันได้พบคำแนะนำที่ฉลาดสุขุมมากมายเกี่ยวกับวิธีรับมือสถานการณ์ของดิฉัน. นอกจากนั้น พี่น้องในประชาคมที่อายุมากกว่าดิฉัน ซึ่งบางคนเคยเผชิญการทดสอบคล้าย ๆ กัน แสดงความรักโดยมาเยี่ยมดิฉัน. การเยี่ยมของพวกเขาช่วยชูใจดิฉันจริง ๆ! อาร์เนเสียชีวิตในเดือนเมษายน 2003 โดยมีความหวังที่จะได้รับการปลุกให้เป็นขึ้นจากตาย.
การเกื้อหนุนที่ยิ่งใหญ่ที่สุด
เมื่อดิฉันยังสาว ดิฉันยึดมั่นในอุดมการณ์. แต่ดิฉันพบว่ามีน้อยครั้งที่ชีวิตจะเป็นอย่างที่เราคาดหวัง. ดิฉันได้รับพระพรมากมายนับไม่ถ้วนและพบเรื่องร้าย ๆ ถึงสองครั้ง คือการสูญเสียคู่สมรสเพราะความไม่ซื่อสัตย์และอีกครั้งหนึ่งเพราะโรคร้าย. ตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา ดิฉันได้รับการชี้นำและการปลอบโยนจากหลาย ๆ แหล่ง. การเกื้อหนุนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดยังคงเป็น “ผู้ทรงพระชนม์แต่เบื้องบรรพ์” คือพระยะโฮวาพระเจ้า. (ดานิ. 7:9) คำแนะนำของพระองค์ช่วยหล่อหลอมบุคลิกภาพของดิฉันและช่วยดิฉันให้มีประสบการณ์ที่น่ายินดีมากมายในงานมิชชันนารี. เมื่อเกิดปัญหา ‘พระกรุณาคุณของพระยะโฮวาช่วยประคองดิฉันไว้และความประเล้าประโลมของพระองค์ทำให้ดิฉันชื่นบาน.’ (เพลง. 94:18, 19) นอกจากนั้น ดิฉันได้รับความรักและการสนับสนุนจากครอบครัวของดิฉันและจาก ‘มิตรแท้ที่เกิดมาสำหรับช่วยกันในเวลาทุกข์ยาก.’ (สุภา. 17:17) มิตรแท้เหล่านี้หลายคนอายุมากกว่าดิฉันและเป็นคนที่ฉลาดสุขุม.
ปฐมบรรพบุรุษโยบถามว่า “คนโบราณย่อมมีปัญญา, และคนอายุยืนย่อมมีความรู้, ดังนั้นหรือ?” (โยบ 12:12) เมื่อมองย้อนไปดูชีวิตตัวเอง ดิฉันสามารถตอบได้ว่าใช่. คำแนะนำของผู้มีอายุมากกว่าที่ฉลาดสุขุมได้ช่วยดิฉัน การปลอบโยนของพวกเขาช่วยเกื้อหนุนดิฉัน และมิตรภาพที่มีกับพวกเขาได้ช่วยให้ชีวิตดิฉันบริบูรณ์. ดิฉันรู้สึกขอบคุณที่ได้เป็นเพื่อนกับพวกเขา.
ตอนนี้ดิฉันอายุ 80 ปีแล้ว และดิฉันเองก็กลายมาเป็นผู้สูงอายุคนหนึ่ง. ประสบการณ์ของดิฉันทำให้ดิฉันไวเป็นพิเศษต่อความจำเป็นของผู้สูงอายุคนอื่น ๆ. ดิฉันยังคงชอบไปเยี่ยมและช่วยพวกเขา. แต่ดิฉันก็ชอบที่จะอยู่กับคนหนุ่มสาวด้วย. กำลังวังชาของพวกเขาเป็นแรงกระตุ้นสำหรับดิฉัน และความกระตือรือร้นของพวกเขาทำให้ดิฉันพลอยกระตือรือร้นไปด้วย. เมื่อหนุ่มสาวมาขอคำแนะนำหรือการหนุนใจจากดิฉัน ดิฉันยินดีจริง ๆ ที่จะช่วยพวกเขา.
[เชิงอรรถ]
^ วรรค 7 แฟรงก์ แลมเบิร์ต พี่ชายของเอลวา ได้มาเป็นไพโอเนียร์ที่กระตือรือร้นในชนบทที่ห่างไกลของออสเตรเลีย. หนังสือประจำปีของพยานพระยะโฮวา 1983 (ภาษาอังกฤษ) หน้า 110-112 เล่าหลายเรื่องที่น่าตื่นเต้นเกี่ยวกับการเดินทางของเขาเพื่อทำงานมอบหมายในการประกาศ.
[ภาพหน้า 14]
เป็นไพโอเนียร์กับจอย เลนนอกซ์ ที่นาร์รันเดอรา
[ภาพหน้า 15]
เอลวากับสมาชิกครอบครัวเบเธลสวิตเซอร์แลนด์ในปี 1960
[ภาพหน้า 16]
ดูแลอาร์เนตอนที่เขาป่วย