ข้ามไปยังเนื้อหา

ข้ามไปยังสารบัญ

เรื่อง​ราว​ชีวิต​จริง

ดิฉันได้เป็นเพื่อนกับคนที่อายุมากกว่าและฉลาดสุขุม

ดิฉันได้เป็นเพื่อนกับคนที่อายุมากกว่าและฉลาดสุขุม

เล่า​โดย เอล​วา เจอร์ดิ

เมื่อ​ประมาณ 70 ปี​มา​แล้ว แขก​คน​หนึ่ง​ที่​มา​เยือน​บ้าน​ของ​เรา​พูด​เรื่อง​หนึ่ง​กับ​พ่อ​ซึ่ง​ได้​ทำ​ให้​ชีวิต​ของ​ดิฉัน​เปลี่ยน​ไป​อย่าง​สิ้นเชิง. นับ​ตั้ง​แต่​วัน​สำคัญ​วัน​นั้น มี​คน​อื่น​อีก​หลาย​คน​ที่​มี​ผล​กระทบ​ต่อ​ชีวิต​ดิฉัน​ด้วย. ใน​ระหว่าง​นั้น ดิฉัน​ได้​รับ​มิตรภาพ​อัน​ล้ำ​ค่า​อย่าง​หนึ่ง​ที่​ดิฉัน​ถือ​ว่า​มี​คุณค่า​ยิ่ง​กว่า​มิตรภาพ​อื่น​ใด. ขอ​ดิฉัน​เล่า​ให้​คุณ​ฟัง.

ดิฉัน​เกิด​ที่​เมือง​ซิดนีย์ ประเทศ​ออสเตรเลีย ใน​ปี 1932. พ่อ​แม่​ดิฉัน​เชื่อ​พระเจ้า​แต่​ไม่​ไป​โบสถ์. แม่​ดิฉัน​สอน​ว่า​พระเจ้า​คอย​เฝ้า​ดู​เรา​อยู่​ตลอด​เวลา และ​จะ​ลง​โทษ​ดิฉัน​ถ้า​ดิฉัน​ซน. นี่​ทำ​ให้​ดิฉัน​กลัว​พระเจ้า. แต่​ดิฉัน​ก็​ยัง​สนใจ​คัมภีร์​ไบเบิล​มาก. เมื่อ​ป้า​มา​เยี่ยม​เรา​ใน​ช่วง​สุด​สัปดาห์ ท่าน​เล่า​หลาย​เรื่อง​ที่​น่า​สนใจ​จาก​คัมภีร์​ไบเบิล​ให้​ดิฉัน​ฟัง. ดิฉัน​ตั้ง​ตา​คอย​เสมอ​ให้​ถึง​วัน​ที่​ป้า​จะ​มา​เยี่ยม​เรา.

เมื่อ​ดิฉัน​ยัง​เป็น​วัยรุ่น พ่อ​อ่าน​หนังสือ​ชุด​หนึ่ง​ซึ่ง​แม่​ได้​รับ​มา​จาก​สตรี​สูง​อายุ​ผู้​หนึ่ง​ที่​เป็น​พยาน​พระ​ยะโฮวา. พ่อ​ประทับใจ​เรื่อง​ที่​ได้​อ่าน​จาก​หนังสือ​ของ​คริสเตียน​เหล่า​นี้​มาก​จน​ได้​ตอบรับ​การ​ศึกษา​คัมภีร์​ไบเบิล​กับ​พยาน​ฯ. ขณะ​ที่​พ่อ​กำลัง​ศึกษา​คัมภีร์​ไบเบิล​ใน​เย็น​วัน​หนึ่ง พ่อ​จับ​ได้​ว่า​ดิฉัน​แอบ​ฟัง. พ่อ​กำลัง​จะ​ไล่​ดิฉัน​เข้า​นอน​แต่​ผู้​นำ​การ​ศึกษา​บอก​ว่า “ทำไม​ไม่​ให้​เอล​วา​มา​นั่ง​ฟัง​ด้วย​ล่ะ?” ข้อ​เสนอ​นั้น​เป็น​จุด​เริ่ม​ต้น​ของ​วิถี​ชีวิต​ใหม่​และ​มิตรภาพ​ที่​ดิฉัน​มี​กับ​พระ​ยะโฮวา​พระเจ้า​องค์​เที่ยง​แท้.

ไม่​นาน​หลัง​จาก​นั้น ดิฉัน​กับ​พ่อ​ก็​เริ่ม​เข้า​ร่วม​การ​ประชุม​คริสเตียน. สิ่ง​ที่​พ่อ​ได้​เรียน​รู้​กระตุ้น​ท่าน​ให้​เปลี่ยน​แปลง​ชีวิต. พ่อ​ถึง​กับ​เริ่ม​ควบคุม​อารมณ์​ได้​ดี​ขึ้น. เรื่อง​นี้​กระตุ้น​ให้​แม่​กับ​แฟรงก์​พี่​ชาย​ดิฉัน​เริ่ม​เข้า​ร่วม​การ​ประชุม. * พวก​เรา​ทั้ง​สี่​คน​ก้าว​หน้า​เป็น​อย่าง​ดี​และ​ใน​ที่​สุด​ก็​รับ​บัพติสมา​เป็น​พยาน​พระ​ยะโฮวา. นับ​แต่​นั้น​มา หลาย​คน​ที่​อายุ​มาก​กว่า​ได้​ช่วย​ดิฉัน​ใน​หลาย ๆ ช่วง​ของ​ชีวิต.

เมื่อ​เลือก​งาน​ประจำ​ชีพ

ตอน​เป็น​วัยรุ่น ดิฉัน​ได้​ใกล้​ชิด​กับ​หลาย​คน​ใน​ประชาคม​ที่​อายุ​มาก​กว่า. หนึ่ง​ใน​นั้น​ก็​คือ​อลิซ เพลซ พี่​น้อง​หญิง​สูง​อายุ​ที่​มา​ประกาศ​กับ​ครอบครัว​เรา​เป็น​คน​แรก. ท่าน​กลาย​เป็น​เหมือน​กับ​คุณ​ยาย​ของ​ดิฉัน. คุณ​ยา​ยอ​ลิซ​สอน​ดิฉัน​ประกาศ​และ​สนับสนุน​ให้​ดิฉัน​ตั้ง​เป้า​รับ​บัพติสมา. เมื่อ​อายุ 15 ปี​ดิฉัน​ก็​บรรลุ​เป้า​นั้น.

ดิฉัน​ยัง​ได้​เป็น​เพื่อน​สนิท​กับ​ผู้​สูง​อายุ​อีก​คู่​หนึ่ง​ด้วย​คือ​เพอร์ซี​และ​แมดจ์ [มาร์กาเรต] ดันแฮม. การ​คบหา​กับ​พวก​ท่าน​มี​ผล​ต่อ​อนาคต​ของ​ดิฉัน​อย่าง​มาก. ดิฉัน​ชอบ​วิชา​คณิตศาสตร์ และ​ตั้งใจ​ไว้​ว่า​จะ​เป็น​ครู​สอน​คณิต. บราเดอร์​เพอร์ซี​กับ​ซิสเตอร์​แมดจ์​เคย​รับใช้​เป็น​มิชชันนารี​ใน​ประเทศ​ลัตเวีย​ใน​ช่วง​ทศวรรษ 1930. เมื่อ​สงคราม​โลก​ครั้ง​ที่​สอง​ปะทุ​ขึ้น​ใน​ยุโรป ทั้ง​คู่​ได้​รับ​เชิญ​ให้​ไป​รับใช้​ที่​เบเธล​ออสเตรเลีย ซึ่ง​ตั้ง​อยู่​ชาน​เมือง​ชั้น​ใน​ของ​ซิดนีย์. บราเดอร์​เพอร์ซี​กับ​ซิสเตอร์​แมดจ์​สนใจ​ดิฉัน​จริง ๆ. พวก​ท่าน​เล่า​ประสบการณ์​ที่​น่า​ตื่นเต้น​หลาย​เรื่อง​ตอน​ที่​พวก​ท่าน​รับใช้​ใน​งาน​มิชชันนารี. ดิฉัน​เห็น​ได้​ชัด​ว่า​การ​สอน​คัมภีร์​ไบเบิล​จะ​ทำ​ให้​อิ่ม​ใจ​พอ​ใจ​ยิ่ง​กว่า​การ​สอน​วิชา​คณิตศาสตร์​มาก. ดิฉัน​จึง​ตัดสิน​ใจ​ว่า​จะ​เป็น​มิชชันนารี.

บราเดอร์​เพอร์ซี​กับ​ซิสเตอร์​แมดจ์​สนับสนุน​ดิฉัน​ให้​เตรียม​ตัว​ไว้​พร้อม​เพื่อ​รับใช้​เป็น​มิชชันนารี​โดย​การ​เป็น​ไพโอเนียร์. ดัง​นั้น ใน​ปี 1948 ตอน​ที่​ดิฉัน​อายุ 16 ปี ดิฉัน​สมทบ​กับ​คน​หนุ่ม​สาว​อีก​สิบ​คน​ที่​มี​ความ​สุข​กับ​การ​เป็น​ไพโอเนียร์​ใน​ประชาคม​บ้าน​เกิด​ของ​ดิฉัน​ที่​เฮิสต์​วิลล์ นคร​ซิดนีย์.

ใน​ช่วง​สี่​ปี​ต่อ​จาก​นั้น ดิฉัน​เป็น​ไพโอเนียร์​ใน​สี่​เมือง ซึ่ง​ทั้ง​หมด​อยู่​ใน​รัฐ​นิวเซาท์เวลส์​และ​รัฐ​ควีนส์แลนด์. นัก​ศึกษา​คัมภีร์​ไบเบิล​คน​แรก ๆ ของ​ดิฉัน​คือ​เบตตี ลอว์ (ปัจจุบัน​เปลี่ยน​นามสกุล​เป็น​เรมนันต์). เบตตี​อายุ​มาก​กว่า​ดิฉัน​สอง​ปี​และ​เป็น​คน​น่า​รัก. ภาย​หลัง​เธอ​ได้​มา​เป็น​คู่​ไพโอเนียร์​ของ​ดิฉัน​ใน​เมือง​เคารา ซึ่ง​อยู่​ห่าง​จาก​นคร​ซิดนีย์​ไป​ทาง​ตะวัน​ตก​ประมาณ 230 กิโลเมตร. ถึง​แม้​ว่า​เรา​เป็น​ไพโอเนียร์​ด้วย​กัน​เป็น​เวลา​สั้น ๆ ดิฉัน​กับ​เบตตี​ก็​ยัง​คง​เป็น​เพื่อน​กัน​ตราบ​จน​ทุก​วัน​นี้.

เมื่อ​ได้​รับ​มอบหมาย​ให้​เป็น​ไพโอเนียร์​พิเศษ ดิฉัน​ย้าย​ไป​ที่​เมือง​นาร์รันเดอรา ซึ่ง​อยู่​ทาง​ตะวัน​ตก​เฉียง​ใต้​ของ​เมือง​เคารา ห่าง​ออก​ไป​ประมาณ 220 กิโลเมตร. คู่​ไพโอเนียร์​คน​ใหม่​คือ​จอย เลน​นอกซ์ (ปัจจุบัน​เปลี่ยน​นามสกุล​เป็น​ฮันเตอร์) ซึ่ง​เป็น​ไพโอเนียร์​ที่​กระตือรือร้น​และ​แก่​กว่า​ดิฉัน​สอง​ปี​เหมือน​กัน. เรา​เป็น​พยาน​ฯ เพียง​สอง​คน​ใน​เมือง​นี้. ดิฉัน​กับ​จอย​พัก​อยู่​ที่​บ้าน​ของ​คู่​สมรส​ที่​มี​น้ำใจ​รับรอง​แขก คือ​เรย์​และ​เอสเทอร์ ไอร์ออนส์. ทั้ง​สอง​กับ​ลูก​ชาย​คน​หนึ่ง​และ​ลูก​สาว​อีก​สาม​คน​สนใจ​ความ​จริง. เรย์​กับ​ลูก​ชาย​ทำ​งาน​เลี้ยง​แกะ​และ​ปลูก​ข้าว​สาลี​อยู่​นอก​เมือง​ใน​วัน​ธรรมดา ส่วน​เอสเทอร์​กับ​ลูก​สาว​ดู​แล​ห้อง​เช่า​พร้อม​บริการ​อาหาร. ทุก​วัน​อาทิตย์ ดิฉัน​กับ​จอย​ทำ​อาหาร​เย็น​มื้อ​ใหญ่​ประเภท​ปิ้ง​ย่าง​ให้​ครอบครัว​นี้​พร้อม​กับ​ผู้​เช่า​ห้อง​อีก​นับ​โหล ซึ่ง​ทั้ง​หมด​เป็น​กรรมกร​สร้าง​ทาง​รถไฟ​ที่​หิว​โหย. งาน​บริการ​นี้​เป็น​ส่วน​หนึ่ง​ของ​ค่า​เช่า​ห้อง​เรา. หลัง​จาก​เก็บ​ล้าง​เรียบร้อย​แล้ว เรา​ก็​เสิร์ฟ​อาหาร​ฝ่าย​วิญญาณ​ที่​เอร็ดอร่อย​แก่​ครอบครัว​นี้ นั่น​คือ​การ​ศึกษา​หอสังเกตการณ์ ประจำ​สัปดาห์. เรย์ เอสเทอร์ และ​ลูก​สี่​คน​ของ​พวก​เขา​เข้า​มา​ใน​ความ​จริง​และ​เป็น​สมาชิก​คน​แรก ๆ ที่​ก่อ​ตั้ง​ประชาคม​นาร์รันเดอรา.

ใน​ปี 1951 ดิฉัน​เข้า​ร่วม​การ​ประชุม​ภาค​ของ​พยาน​พระ​ยะโฮวา​ใน​นคร​ซิดนีย์. ที่​นั่น​ดิฉัน​ได้​เข้า​ร่วม​การ​ประชุม​พิเศษ​สำหรับ​ไพโอเนียร์​ที่​สนใจ​งาน​มิชชันนารี. มี​ผู้​เข้า​ร่วม​มาก​กว่า 300 คน​ซึ่ง​จัด​ขึ้น​ใน​เต็นท์​ขนาด​ใหญ่. นาทาน นอรร์ จาก​เบเธล​บรุกลิน​กล่าว​ปราศรัย​ต่อ​พวก​เรา​ไพโอเนียร์ และ​บอก​ถึง​ความ​จำเป็น​เร่ง​ด่วน​ที่​ต้อง​นำ​ข่าว​ดี​ไป​ถึง​ทุก​มุม​โลก. เรา​ตั้งใจ​ฟัง​ทุก​ถ้อย​คำ​ที่​ท่าน​พูด. ไพโอเนียร์​หลาย​คน​ที่​อยู่​ที่​นั่น​ใน​ภาย​หลัง​ได้​ไป​เปิด​เขต​งาน​ราชอาณาจักร​ใน​แถบ​แปซิฟิก​ใต้​และ​เขต​อื่น ๆ. ดิฉัน​รู้สึก​ตื่นเต้น​ที่​ได้​เป็น​คน​หนึ่ง​ใน​ชาว​ออสเตรเลีย 17 คน​ที่​ได้​รับ​เชิญ​ให้​เข้า​ร่วม​ชั้น​เรียน​ที่ 19 ของ​โรง​เรียน​กิเลียด​ใน​ปี 1952. ฝัน​ของ​ดิฉัน​ที่​อยาก​เป็น​มิชชันนารี​ได้​กลาย​เป็น​จริง​ตอน​ที่​ดิฉัน​อายุ​เพียง 20 ปี!

เมื่อ​จำเป็น​ต้อง​ปรับ​เปลี่ยน

การ​สอน​และ​การ​คบหา​สมาคม​ที่​โรง​เรียน​กิเลียด​ไม่​เพียง​แต่​ทำ​ให้​ดิฉัน​มี​ความ​รู้​ใน​คัมภีร์​ไบเบิล​มาก​ขึ้น​และ​เสริม​ความ​เชื่อ​ให้​เข้มแข็ง แต่​ยัง​มี​ผล​อย่าง​มาก​ต่อ​บุคลิกภาพ​ของ​ดิฉัน​ด้วย. ดิฉัน​อายุ​ยัง​น้อย​และ​ยึด​มั่น​ใน​อุดมการณ์​และ​มัก​คาด​หมาย​ความ​สมบูรณ์​จาก​ตัว​เอง​และ​คน​อื่น ๆ. ทัศนะ​บาง​อย่าง​ของ​ดิฉัน​เข้มงวด​เกิน​ไป. ตัว​อย่าง​เช่น เมื่อ​ดิฉัน​เห็น​บราเดอร์​นอรร์​เล่น​เบส​บอล​กับ​หนุ่ม​เบเธล​กลุ่ม​หนึ่ง ดิฉัน​ตกใจ​มาก.

ผู้​สอน​ใน​โรง​เรียน​กิเลียด ซึ่ง​ทั้ง​หมด​เป็น​พี่​น้อง​ชาย​ที่​มี​ความ​เข้าใจ​และ​มี​ประสบการณ์​มาก คง​เห็น​แน่ ๆ ว่า​ดิฉัน​กำลัง​รับมือ​กับ​ปัญหา​ของ​ตัว​เอง​อยู่. พวก​เขา​สนใจ​ดิฉัน​และ​ช่วย​ดิฉัน​ปรับ​ความ​คิด. ที​ละ​เล็ก​ที​ละ​น้อย ดิฉัน​เริ่ม​เห็น​ว่า​พระ​ยะโฮวา​ทรง​เป็น​พระเจ้า​ที่​เปี่ยม​ด้วย​ความ​รัก​และ​ทรง​เห็น​ค่า​สิ่ง​ที่​เรา​ทำ ไม่​ใช่​พระเจ้า​ที่​เข้มงวด​และ​เรียก​ร้อง​มาก​เกิน​ไป. เพื่อน​ร่วม​ชั้น​บาง​คน​ก็​ช่วย​ดิฉัน​ด้วย. ดิฉัน​ยัง​จำ​ได้​ที่​เพื่อน​คน​หนึ่ง​บอก​ว่า “เอล​วา พระ​ยะโฮวา​ไม่​ได้​อยู่​บน​สวรรค์​และ​ถือ​แส้. อย่า​เข้มงวด​กับ​ตัว​เอง​มาก​เกิน​ไป!” คำ​พูด​ง่าย ๆ ของ​เธอ​กิน​ใจ​ดิฉัน.

หลัง​จบ​กิเลียด ดิฉัน​กับ​เพื่อน​ร่วม​ชั้น​อีก​สี่​คน​ได้​รับ​มอบหมาย​ให้​ไป​ที่​ประเทศ​นามิเบีย ทวีป​แอฟริกา. เรา​อยู่​ที่​นั่น​ได้​ไม่​นาน​ก็​มี​นัก​ศึกษา​รวม​กัน​ทั้ง​หมด​ถึง 80 ราย. ดิฉัน​รัก​นามิเบีย​และ​ชีวิต​มิชชันนารี แต่​ดิฉัน​ตก​หลุม​รัก​เพื่อน​ร่วม​ชั้น​กิเลียด​คน​หนึ่ง​ซึ่ง​ได้​รับ​มอบหมาย​ให้​ไป​ประเทศ​สวิตเซอร์แลนด์. หลัง​จาก​อยู่​ที่​นามิเบีย​หนึ่ง​ปี ดิฉัน​ก็​ไป​ร่วม​สมทบ​กับ​คู่​หมั้น​ที่​สวิตเซอร์แลนด์. หลัง​จาก​เรา​แต่งงาน ดิฉัน​ไป​ด้วย​กัน​กับ​สามี​ใน​งาน​เดิน​หมวด.

เมื่อ​เผชิญ​วิกฤติ​ใน​ชีวิต

หลัง​จาก​รับใช้​ใน​งาน​หมวด​ได้​ห้า​ปี เรา​ได้​รับ​เชิญ​ให้​ไป​รับใช้​ที่​เบเธล​สวิตเซอร์แลนด์. ใน​ครอบครัว​เบเธล ดิฉัน​รู้สึก​ตื่นเต้น​ที่​ได้​อยู่​ร่วม​กับ​พี่​น้อง​ที่​อายุ​มาก​กว่า​หลาย​คน​ซึ่ง​เป็น​ผู้​ใหญ่​ฝ่าย​วิญญาณ.

ไม่​นาน​หลัง​จาก​นั้น ก็​เกิด​เหตุ​การณ์​ที่​เลว​ร้าย​อย่าง​ยิ่ง​กับ​ดิฉัน. ดิฉัน​ได้​มา​รู้​ว่า​สามี​ไม่​ซื่อ​สัตย์​ต่อ​ดิฉัน​และ​ต่อ​พระ​ยะโฮวา. แล้ว​เขา​ก็​ทิ้ง​ดิฉัน​ไป. ดิฉัน​หัวใจ​สลาย! ดิฉัน​ไม่​รู้​เลย​ว่า​จะ​รับมือ​เรื่อง​นี้​ได้​อย่าง​ไร​ถ้า​ไม่​ได้​รับ​ความ​รัก​และ​การ​สนับสนุน​จาก​เพื่อน ๆ ที่​รัก​ใน​ครอบครัว​เบเธล​ที่​อายุ​มาก​กว่า. พวก​เขา​รับ​ฟัง​ดิฉัน​เมื่อ​ดิฉัน​อยาก​พูด​และ​ให้​พัก​เมื่อ​ดิฉัน​จำเป็น​ต้อง​พัก. คำ​พูด​ที่​ปลอบโยน​และ​การ​กระทำ​ที่​กรุณา​ช่วย​ค้ำจุน​ดิฉัน​ใน​ช่วง​ที่​รู้สึก​เจ็บ​ปวด​อย่าง​ที่​ไม่​อาจ​พรรณนา​เป็น​คำ​พูด​ได้ และ​ทำ​ให้​ดิฉัน​ใกล้​ชิด​พระ​ยะโฮวา​มาก​ขึ้น​ด้วย​ซ้ำ.

ดิฉัน​ยัง​จำ​คำ​พูด​ของ​เพื่อน​บาง​คน​ที่​อายุ​มาก​กว่า​เคย​พูด​ไว้​เมื่อ​หลาย​ปี​ก่อน​ได้. พี่​น้อง​ที่​ฉลาด​สุขุม​เหล่า​นี้​ได้​ผ่าน​การ​ทดสอบ​ที่​ทำ​ให้​พวก​เขา​แกร่ง​ขึ้น. ตัว​อย่าง​เช่น ครั้ง​หนึ่ง​ซิสเตอร์​แมดจ์ ดันแฮม​เคย​บอก​ดิฉัน​ว่า “เอล​วา ใน​การ​รับใช้​พระ​ยะโฮวา เธอ​จะ​พบ​กับ​การ​ทดสอบ​หลาย​อย่าง แต่​การ​ทดสอบ​ที่​รับมือ​ได้​ยาก​ที่​สุด​อาจ​มา​จาก​คน​ใกล้​ตัว. เมื่อ​ถูก​ทดสอบ​อย่าง​นั้น จง​เข้า​ใกล้​พระ​ยะโฮวา. จำ​ไว้​ว่า​เธอ​รับใช้​พระองค์ ไม่​ใช่​รับใช้​มนุษย์​ที่​ไม่​สมบูรณ์!” คำ​แนะ​นำ​ของ​ซิสเตอร์​แมดจ์​ช่วย​นำ​พา​ดิฉัน​ให้​ผ่าน​พ้น​ช่วง​เวลา​อัน​มืดมน​หลาย​ต่อ​หลาย​ครั้ง. ดิฉัน​ตั้งใจ​แล้ว​ว่า​จะ​ไม่​ปล่อย​ให้​ความ​ผิด​พลาด​ของ​สามี​มา​แยก​ดิฉัน​จาก​พระ​ยะโฮวา.

ต่อ​มา ดิฉัน​ตัดสิน​ใจ​กลับ​ไป​ที่​ออสเตรเลีย​เพื่อ​เป็น​ไพโอเนียร์​อยู่​ใกล้ ๆ กับ​ครอบครัว. ระหว่าง​เดิน​ทาง​กลับ​บ้าน​โดย​เรือ​เดิน​สมุทร ดิฉัน​ได้​คุย​เรื่อง​พระ​คัมภีร์​อย่าง​ออก​รส​ออก​ชาติ​เป็น​ประจำ​กับ​เพื่อน​ผู้​โดยสาร​กลุ่ม​หนึ่ง. คน​หนึ่ง​ใน​กลุ่ม​นั้น​คือ​ชาย​ชาว​นอร์เวย์​ที่​เงียบ​ขรึม​ชื่อ​อาร์เน เจอร์ดิ. เขา​ชอบ​เรื่อง​ที่​ได้​ยิน. ต่อ​มา อาร์เน​ได้​มา​เยี่ยม​ดิฉัน​กับ​ครอบครัว​ที่​ซิดนีย์. เขา​ก้าว​หน้า​ฝ่าย​วิญญาณ​อย่าง​รวด​เร็ว​และ​เข้า​มา​ใน​ความ​จริง. ใน​ปี 1963 ดิฉัน​กับ​อาร์เน​แต่งงาน​กัน และ​สอง​ปี​ต่อ​มา​เรา​ก็​มี​ลูก​คน​หนึ่ง คือ​แกรี.

เมื่อ​ต้อง​รับมือ​การ​สูญ​เสีย​อีก​ครั้ง​หนึ่ง

ดิฉัน อาร์เน และ​แกรี​มี​ชีวิต​ครอบครัว​ที่​มี​ความ​สุข​มาก. หลัง​จาก​นั้น​ไม่​นาน อาร์เน​ก็​ต่อ​เติม​บ้าน​ของ​เรา​เพื่อ​ให้​พ่อ​แม่​ดิฉัน​ซึ่ง​ชรา​แล้ว​มา​อยู่​ด้วย. แต่​หลัง​จาก​แต่งงาน​ได้​หก​ปี เรา​ก็​เจอ​มรสุม​ชีวิต​อีก​แบบ​หนึ่ง. แพทย์​วินิจฉัย​ว่า​อาร์เน​เป็น​โรค​มะเร็ง​สมอง. ดิฉัน​ไป​เยี่ยม​เขา​ที่​โรง​พยาบาล​ทุก​วัน​ตอน​ที่​เขา​รับ​การ​รักษา​โดย​การ​ฉาย​รังสี​อย่าง​ต่อ​เนื่อง​เป็น​เวลา​นาน. มี​อยู่​ช่วง​หนึ่ง​ที่​เขา​ฟื้น​ตัว​ได้​ดี แต่​แล้ว​อาการ​ของ​เขา​ก็​ทรุด​ลง​และ​มี​อาการ​เส้น​เลือด​เลี้ยง​สมอง​อุดตัน. แพทย์​บอก​ดิฉัน​ว่า​เขา​จะ​อยู่​ได้​อีก​ไม่​กี่​สัปดาห์. อย่าง​ไร​ก็​ตาม อาร์เน​รอด​ชีวิต​มา​ได้. ใน​ที่​สุด เขา​ก็​กลับ​บ้าน​ได้ และ​ดิฉัน​ก็​คอย​ดู​แล​จน​เขา​ค่อย ๆ ดี​ขึ้น. ใน​เวลา​ต่อ​มา เขา​สามารถ​เดิน​ได้​อีก​ครั้ง​หนึ่ง​และ​ทำ​หน้า​ที่​ผู้​ปกครอง​ใน​ประชาคม​ต่อ​ไป​ได้. นิสัย​ที่​ร่าเริง​และ​อารมณ์​ขัน​ของ​เขา​มี​ส่วน​ช่วย​ให้​เขา​ฟื้น​ตัว​และ​ทำ​ให้​ดิฉัน​ดู​แล​เขา​อย่าง​ต่อ​เนื่อง​ได้​ง่าย​ขึ้น.

หลาย​ปี​ต่อ​มา ใน​ปี 1986 สุขภาพ​ของ​อาร์เน​ก็​แย่​ลง​อีก. ถึง​ตอน​นี้ พ่อ​แม่​ดิฉัน​เสีย​ชีวิต​ไป​แล้ว เรา​จึง​ย้าย​จาก​เมือง​ซิดนีย์​ไป​อยู่​บลูเมาเทนส์​ที่​สวย​งาม ซึ่ง​ทำ​ให้​เรา​ได้​อยู่​ใกล้​กับ​เพื่อน ๆ มาก​ขึ้น. ต่อ​มา แกรี​แต่งงาน​กับ​พี่​น้อง​หญิง​ที่​น่า​รัก​คน​หนึ่ง​ชื่อ​คา​ริน และ​ทั้ง​สอง​ก็​ชวน​เรา​ให้​ไป​อยู่​บ้าน​หลัง​เดียว​กัน. ไม่​กี่​เดือน​ต่อ​มา เรา​ทั้ง​หมด​ก็​ย้าย​ไป​อยู่​ใน​บ้าน​หลัง​หนึ่ง​ซึ่ง​อยู่​ห่าง​ออก​ไป​ไม่​กี่​ถนน​จาก​บ้าน​ที่​ดิฉัน​กับ​อาร์เน​เคย​อยู่.

ใน​ช่วง 18 เดือน​สุด​ท้าย​ของ​ชีวิต อาร์เน​นอน​แซ่ว​อยู่​กับ​เตียง​และ​ดิฉัน​ต้อง​คอย​ดู​แล​ตลอด​เวลา. ใน​เมื่อ​ต้อง​อยู่​กับ​บ้าน​เกือบ​ตลอด​เวลา ดิฉัน​จึง​ใช้​เวลา​วัน​ละ​สอง​ชั่วโมง​ศึกษา​คัมภีร์​ไบเบิล​และ​หนังสือ​อธิบาย​พระ​คัมภีร์. การ​ทำ​แบบ​นี้​ทำ​ให้​ดิฉัน​ได้​พบ​คำ​แนะ​นำ​ที่​ฉลาด​สุขุม​มาก​มาย​เกี่ยว​กับ​วิธี​รับมือ​สถานการณ์​ของ​ดิฉัน. นอก​จาก​นั้น พี่​น้อง​ใน​ประชาคม​ที่​อายุ​มาก​กว่า​ดิฉัน ซึ่ง​บาง​คน​เคย​เผชิญ​การ​ทดสอบ​คล้าย ๆ กัน แสดง​ความ​รัก​โดย​มา​เยี่ยม​ดิฉัน. การ​เยี่ยม​ของ​พวก​เขา​ช่วย​ชู​ใจ​ดิฉัน​จริง ๆ! อาร์เน​เสีย​ชีวิต​ใน​เดือน​เมษายน 2003 โดย​มี​ความ​หวัง​ที่​จะ​ได้​รับ​การ​ปลุก​ให้​เป็น​ขึ้น​จาก​ตาย.

การ​เกื้อ​หนุน​ที่​ยิ่ง​ใหญ่​ที่​สุด

เมื่อ​ดิฉัน​ยัง​สาว ดิฉัน​ยึด​มั่น​ใน​อุดมการณ์. แต่​ดิฉัน​พบ​ว่า​มี​น้อย​ครั้ง​ที่​ชีวิต​จะ​เป็น​อย่าง​ที่​เรา​คาด​หวัง. ดิฉัน​ได้​รับ​พระ​พร​มาก​มาย​นับ​ไม่​ถ้วน​และ​พบ​เรื่อง​ร้าย ๆ ถึง​สอง​ครั้ง คือ​การ​สูญ​เสีย​คู่​สมรส​เพราะ​ความ​ไม่​ซื่อ​สัตย์​และ​อีก​ครั้ง​หนึ่ง​เพราะ​โรค​ร้าย. ตลอด​ช่วง​เวลา​ที่​ผ่าน​มา ดิฉัน​ได้​รับ​การ​ชี้​นำ​และ​การ​ปลอบโยน​จาก​หลาย ๆ แหล่ง. การ​เกื้อ​หนุน​ที่​ยิ่ง​ใหญ่​ที่​สุด​ยัง​คง​เป็น “ผู้​ทรง​พระ​ชนม์​แต่​เบื้อง​บรรพ์” คือ​พระ​ยะโฮวา​พระเจ้า. (ดานิ. 7:9) คำ​แนะ​นำ​ของ​พระองค์​ช่วย​หล่อ​หลอม​บุคลิกภาพ​ของ​ดิฉัน​และ​ช่วย​ดิฉัน​ให้​มี​ประสบการณ์​ที่​น่า​ยินดี​มาก​มาย​ใน​งาน​มิชชันนารี. เมื่อ​เกิด​ปัญหา ‘พระ​กรุณาคุณ​ของ​พระ​ยะโฮวา​ช่วย​ประคอง​ดิฉัน​ไว้​และ​ความ​ประเล้าประโลม​ของ​พระองค์​ทำ​ให้​ดิฉัน​ชื่น​บาน.’ (เพลง. 94:18, 19) นอก​จาก​นั้น ดิฉัน​ได้​รับ​ความ​รัก​และ​การ​สนับสนุน​จาก​ครอบครัว​ของ​ดิฉัน​และ​จาก ‘มิตร​แท้​ที่​เกิด​มา​สำหรับ​ช่วย​กัน​ใน​เวลา​ทุกข์​ยาก.’ (สุภา. 17:17) มิตร​แท้​เหล่า​นี้​หลาย​คน​อายุ​มาก​กว่า​ดิฉัน​และ​เป็น​คน​ที่​ฉลาด​สุขุม.

ปฐม​บรรพบุรุษ​โยบ​ถาม​ว่า “คน​โบราณ​ย่อม​มี​ปัญญา, และ​คน​อายุ​ยืน​ย่อม​มี​ความ​รู้, ดัง​นั้น​หรือ?” (โยบ 12:12) เมื่อ​มอง​ย้อน​ไป​ดู​ชีวิต​ตัว​เอง ดิฉัน​สามารถ​ตอบ​ได้​ว่า​ใช่. คำ​แนะ​นำ​ของ​ผู้​มี​อายุ​มาก​กว่า​ที่​ฉลาด​สุขุม​ได้​ช่วย​ดิฉัน การ​ปลอบโยน​ของ​พวก​เขา​ช่วย​เกื้อ​หนุน​ดิฉัน และ​มิตรภาพ​ที่​มี​กับ​พวก​เขา​ได้​ช่วย​ให้​ชีวิต​ดิฉัน​บริบูรณ์. ดิฉัน​รู้สึก​ขอบคุณ​ที่​ได้​เป็น​เพื่อน​กับ​พวก​เขา.

ตอน​นี้​ดิฉัน​อายุ 80 ปี​แล้ว และ​ดิฉัน​เอง​ก็​กลาย​มา​เป็น​ผู้​สูง​อายุ​คน​หนึ่ง. ประสบการณ์​ของ​ดิฉัน​ทำ​ให้​ดิฉัน​ไว​เป็น​พิเศษ​ต่อ​ความ​จำเป็น​ของ​ผู้​สูง​อายุ​คน​อื่น ๆ. ดิฉัน​ยัง​คง​ชอบ​ไป​เยี่ยม​และ​ช่วย​พวก​เขา. แต่​ดิฉัน​ก็​ชอบ​ที่​จะ​อยู่​กับ​คน​หนุ่ม​สาว​ด้วย. กำลัง​วังชา​ของ​พวก​เขา​เป็น​แรง​กระตุ้น​สำหรับ​ดิฉัน และ​ความ​กระตือรือร้น​ของ​พวก​เขา​ทำ​ให้​ดิฉัน​พลอย​กระตือรือร้น​ไป​ด้วย. เมื่อ​หนุ่ม​สาว​มา​ขอ​คำ​แนะ​นำ​หรือ​การ​หนุน​ใจ​จาก​ดิฉัน ดิฉัน​ยินดี​จริง ๆ ที่​จะ​ช่วย​พวก​เขา.

[เชิงอรรถ]

^ วรรค 7 แฟรงก์ แลมเบิร์ต พี่​ชาย​ของ​เอล​วา ได้​มา​เป็น​ไพโอเนียร์​ที่​กระตือรือร้น​ใน​ชนบท​ที่​ห่าง​ไกล​ของ​ออสเตรเลีย. หนังสือ​ประจำ​ปี​ของ​พยาน​พระ​ยะโฮวา 1983 (ภาษา​อังกฤษ) หน้า 110-112 เล่า​หลาย​เรื่อง​ที่​น่า​ตื่นเต้น​เกี่ยว​กับ​การ​เดิน​ทาง​ของ​เขา​เพื่อ​ทำ​งาน​มอบหมาย​ใน​การ​ประกาศ.

[ภาพ​หน้า 14]

เป็น​ไพโอเนียร์​กับ​จอย เลนนอกซ์ ที่​นาร์รันเดอรา

[ภาพ​หน้า 15]

เอลวา​กับ​สมาชิก​ครอบครัว​เบเธล​สวิตเซอร์แลนด์​ใน​ปี 1960

[ภาพ​หน้า 16]

ดู​แล​อาร์เน​ตอน​ที่​เขา​ป่วย