สันติสุขตลอดหนึ่งพันปี—และตลอดไป!
“พระเจ้าจะทรงเป็นทุกสิ่งแก่ทุกคน.”—1 โค. 15:28
1. มีความหวังที่น่าตื่นเต้นอะไรคอย “ชนฝูงใหญ่” อยู่?
ขอให้นึกภาพถึงสิ่งดีต่าง ๆ ที่รัฐบาลที่ทรงอำนาจซึ่งมีผู้ปกครองที่กรุณาและยุติธรรมสามารถทำเพื่อประชาชนเป็นเวลาหนึ่งพันปี. “ชนฝูงใหญ่” จะชื่นชมยินดีกับสิ่งดีต่าง ๆ เช่นนั้น. พวกเขาจะรอดชีวิตผ่าน “ความทุกข์ลำบากครั้งใหญ่” ซึ่งจะนำอวสานมาสู่ระบบชั่วทั้งสิ้นในปัจจุบัน.—วิ. 7:9, 14
2. มนุษย์ประสบอะไรในช่วง 6,000 ปีที่ผ่านไป?
2 ระหว่าง 6,000 ปีที่ผ่านไป การที่มนุษย์พยายามปกครองตัวเองทำให้เกิดความทุกข์เจ็บปวดมากมาย. คัมภีร์ไบเบิลกล่าวไว้นานมาแล้วว่า “มนุษย์ใช้อำนาจปกครองมนุษย์อย่างที่ก่อผลเสียหายแก่มนุษย์.” (ผู้ป. 8:9, ล.ม.) เราเห็นอะไรในทุกวันนี้? นอกเหนือจากสงครามและการจลาจลแล้วยังมีปัญหาร้ายแรงเกี่ยวกับความยากจน โรคภัยไข้เจ็บ การทำลายสิ่งแวดล้อม การเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศ และปัญหาอื่น ๆ อีกมากมาย. เจ้าหน้าที่รัฐบาลเตือนว่าจะเกิดความหายนะถ้าเราไม่เปลี่ยนแปลงขนานใหญ่และเลิกทำลายแผ่นดินโลก.
3. จะเกิดอะไรขึ้นในช่วงรัชสมัยพันปี?
3 ภายใต้การปกครองของพระเยซูคริสต์กษัตริย์มาซีฮาและ 144,000 คนที่ร่วมปกครองกับพระองค์ ราชอาณาจักรของพระเจ้าจะดำเนินการเป็นขั้น ๆ เพื่อลบล้างผลเสียหายทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับมนุษย์และดาวเคราะห์โลกที่เป็นบ้านของพวกเขา. ระหว่างรัชสมัยพันปี คำสัญญาของพระยะโฮวาพระเจ้าที่ให้กำลังใจเราจะสำเร็จเป็นจริง ที่ว่า “เรากำลังสร้างท้องฟ้าใหม่, และพิภพใหม่, และของเก่า ๆ นั้นจะไม่จดจำไว้, และเราจะไม่ฟื้นคิดขึ้นอีก.” (ยซา. 65:17) แต่มีเหตุการณ์อันยอดเยี่ยมอะไรที่จะเกิดขึ้นในอนาคต? คำพยากรณ์ของคัมภีร์ไบเบิลสามารถช่วยเราให้เข้าใจเหตุการณ์อันน่าพิศวงเหล่านี้แม้ว่า “มองไม่เห็น” หรือยังไม่เกิดขึ้น.—2 โค. 4:18
‘พวกเขาจะสร้างบ้านและทำสวนองุ่น’
4. ผู้คนมากมายในทุกวันนี้มีที่อยู่อาศัยแบบไหน?
4 ใครล่ะที่ไม่อยากมีบ้านเป็นของตัวเองซึ่งเป็นที่ที่เขาและครอบครัวจะรู้สึกมั่นคงและปลอดภัย? อย่างไรก็ตาม ในโลกทุกวันนี้การหาที่อยู่อาศัยที่เหมาะสมเป็นปัญหาใหญ่อย่างหนึ่ง. ผู้คนอยู่กันอย่างแออัดยัดเยียดในเมืองใหญ่. หลายคนต้องอาศัยอยู่ในบ้านที่สร้างขึ้นง่าย ๆ ในชุมชนแออัด. สำหรับพวกเขาแล้วการมีบ้านเป็นของตัวเองเป็นเพียงความฝัน.
5, 6. (ก) ยะซายา 65:21 และมีคา 4:4 จะสำเร็จเป็นจริงอย่างไร? (ข) เราต้องทำอย่างไรเพื่อจะได้รับพระพรนั้น?
5 ภายใต้การปกครองของราชอาณาจักร ความปรารถนาของทุกคนที่อยากมีบ้านเป็นของตัวเองจะเป็นจริง เพราะผู้พยากรณ์ยะซายาห์ได้บอกล่วงหน้าว่า “คนไหนปลูกสร้าง, คนนั้นก็ได้อยู่, และคนไหนทำสวนองุ่น, คนนั้นก็ได้กินผล.” (ยซา. 65:21) อย่างไรก็ตาม พวกเขาสามารถคาดหวังมากกว่าการมีบ้านเป็นของตัวเอง. ที่จริง ในทุกวันนี้หลายคนมีบ้านเป็นของตัวเอง และบางคนถึงกับมีคฤหาสน์หรือบ้านที่ใหญ่โตหรูหรา. แต่พวกเขากังวลอยู่ตลอดว่าเขาอาจจะสูญเสียบ้านของตนเพราะปัญหาทางการเงิน. หรือพวกเขาอาจกังวลว่าขโมยหรือโจรจะขึ้นบ้าน. เมื่อราชอาณาจักรปกครอง จะไม่มีใครต้องกังวลกับเรื่องเหล่านี้อีกต่อไป. ผู้พยากรณ์มีคาเขียนว่า “ต่างคนก็จะนั่งอยู่ใต้ซุ้มเถาองุ่นและใต้ต้นมะเดื่อเทศของตน; และจะไม่มีอะไรมาทำให้เขาสะดุ้งกลัว.”—มีคา 4:4
6 เราควรทำเช่นไรหากเราต้องการอยู่ภายใต้การปกครองของราชอาณาจักร? แน่นอน เราทุกคนต้องการมีที่อยู่อาศัยที่ดี. อย่างไรก็ตาม แทนที่จะพยายามเพื่อจะมีบ้านในฝันในขณะนี้ ซึ่งอาจจะทำให้เป็นหนี้ก้อนโต เป็นเรื่องฉลาดกว่ามิใช่หรือที่เราจะมุ่งความสนใจไปที่คำสัญญาของพระยะโฮวา? พระเยซูตรัสถึงพระองค์เองว่า “หมาจิ้งจอกมีโพรงและนกมีที่เกาะ แต่บุตรมนุษย์ไม่มีที่จะวางศีรษะ.” (ลูกา 9:58) พระเยซูทรงมีความสามารถและอำนาจที่จะสร้างหรือหาบ้านที่ดีที่สุดที่ใครก็ตามอาจจะมีได้. ทำไมพระองค์ไม่ได้ทำอย่างนั้น? เห็นได้ชัดว่า พระเยซูทรงประสงค์จะหลีกเลี่ยงสิ่งใด ๆ ก็ตามที่อาจล่อใจและหน่วงเหนี่ยวพระองค์ไว้จากการให้ราชอาณาจักรมาเป็นอันดับแรก. เราจะทำตามตัวอย่างของพระองค์ได้ไหมโดยไม่ปล่อยให้สิ่งฝ่ายวัตถุกลายเป็นส่วนสำคัญที่สุดในชีวิตของเราและทำให้เรากังวล?—มัด. 6:33, 34
“สุนัขป่ากับลูกแกะจะหากินอยู่ด้วยกัน”
7. พระยะโฮวาทรงมีพระบัญชาอะไรเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของมนุษย์และสัตว์?
7 ในการทรงสร้างสิ่งต่าง ๆ บนแผ่นดินโลก พระยะโฮวาทรงสร้างมนุษย์เป็นอันดับสุดท้าย และเป็นจุดสุดยอดในการทรงสร้างของพระองค์. พระยะโฮวาตรัสกับพระบุตรหัวปีผู้เป็นนายช่างของพระองค์เกี่ยวกับพระประสงค์ที่ทรงสร้างมนุษย์ว่า “จงให้เราสร้างมนุษย์ตามแบบฉายาของเรา ให้ครอบครองฝูงปลาในทะเล, ฝูงนกในอากาศ, และฝูงสัตว์ใช้; ให้ปกครองแผ่นดินทั่วไป, และสรรพสัตว์ที่เลื้อยคลานบนแผ่นดินทั้งสิ้น.” (เย. 1:26) ด้วยเหตุนั้น อาดามกับฮาวา และในที่สุดมนุษย์ทั้งหมด ได้รับพระบัญชาให้มีอำนาจเหนือสัตว์ทั้งหลาย.
8. สัตว์ทั้งหลายมักมีพฤติกรรมเช่นไรในทุกวันนี้?
8 เป็นไปได้จริง ๆ ไหมที่มนุษย์จะมีอำนาจเหนือสัตว์และมีสันติสุขกับพวกมัน? หลายคนใกล้ชิดมากกับสัตว์เลี้ยง เช่น สุนัขและแมว. แต่จะว่าอย่างไรสำหรับสัตว์ป่า? มีรายงานหนึ่งกล่าวว่า “นักวิทยาศาสตร์ที่อยู่ใกล้ชิดมากกับสัตว์ป่าและศึกษาวิจัยสัตว์เหล่านั้นพบว่าสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมทุกชนิดมีอารมณ์ความรู้สึก.” แน่นอน เราเห็นสัตว์แสดงอาการกลัวหรือดุร้ายเมื่อมันถูกคุกคาม แต่
พวกมันจะแสดงความรู้สึกที่อาจพรรณนาได้ว่าเป็นความรู้สึกที่อ่อนละมุนได้ไหม? รายงานนั้นยังบอกด้วยว่า สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมจะแสดงความอ่อนโยนอย่างมากตอนที่มันเลี้ยงลูกน้อยของมัน.9. เราสามารถคาดหมายการเปลี่ยนแปลงเช่นไรเกี่ยวกับสัตว์ทั้งหลาย?
9 ดังนั้น เราไม่น่าจะแปลกใจเมื่อเราอ่านในคัมภีร์ไบเบิลว่าจะมีสันติสุขระหว่างมนุษย์กับสัตว์. (อ่านยะซายา 11:6-9; 65:25) เพราะเหตุใด? ขอให้นึกถึงเหตุการณ์ตอนที่โนอาห์กับครอบครัวออกจากเรือหลังน้ำท่วม พระยะโฮวาทรงบอกพวกเขาว่า “สรรพสัตว์ที่แผ่นดิน . . . จะเกรงกลัวเจ้า.” การที่สัตว์กลัวมนุษย์นั้นก็เพื่อป้องกันตัวมันเองให้อยู่รอด. (เย. 9:2, 3) พระยะโฮวาทรงสามารถขจัดความกลัวเช่นนั้นออกไปเพื่อให้ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับสัตว์เป็นไปตามพระบัญชาแรกเดิมของพระองค์. (โฮ. 2:18) ทุกคนที่อยู่บนแผ่นดินโลกในตอนนั้นจะชื่นชมยินดีสักเพียงไร!
“พระองค์จะทรงเช็ดน้ำตาทุกหยด”
10. ทำไมคนเราจึงร้องไห้?
10 เมื่อโซโลมอนเห็น “บรรดาการข่มเหงที่เกิดขึ้นภายใต้ดวงอาทิตย์” ท่านคร่ำครวญว่า “นี่แน่ะ, น้ำตาของผู้ถูกข่มเหงเป็นต้น, ไม่มีคนเช็ดให้.” (ผู้ป. 4:1) สิ่งที่เกิดขึ้นในทุกวันนี้ก็คล้ายกันหรือเลวร้ายยิ่งกว่า. มีใครบ้างในพวกเราที่ไม่เคยหลั่งน้ำตาด้วยเหตุใดเหตุหนึ่ง? จริงอยู่ บางครั้งคนเราก็ร้องไห้ด้วยความยินดี. แต่ส่วนใหญ่แล้ว เราร้องไห้เพราะหัวใจเราเต็มไปด้วยความทุกข์โศกเศร้า.
11. มีเรื่องราวใดในคัมภีร์ไบเบิลที่คุณอ่านแล้วรู้สึกสะเทือนใจเป็นพิเศษ?
11 ขอให้นึกถึงเรื่องราวต่าง ๆ ที่เราอ่านในคัมภีร์ไบเบิลเกี่ยวกับบางคนที่ร้องไห้. เมื่อซาราห์เสียชีวิตตอนที่อายุได้ 127 ปี “อับราฮามได้ไว้ทุกข์ร้องไห้คร่ำครวญถึงนางซารา.” (เย. 23:1, 2) เมื่อนาอะมีกล่าวอำลาลูกสะใภ้ม่าย “สะใภ้ทั้งสอง . . . ก็ร้องไห้เสียงดัง.” และหลังจากที่นาอะมีพูดกับสะใภ้ทั้งสองอีกครั้ง ทั้งคู่ก็ “พากันร้องไห้อีก.” (รูธ. 1:9, 14) เมื่อกษัตริย์ฮีศคียาเป็นทุกข์เพราะประชวรจนเกือบสิ้นพระชนม์ ท่านทูลอธิษฐานถึงพระเจ้าและ “ทรงกันแสงมาก.” พระยะโฮวาทรงเห็นน้ำตาของท่านและรักษาท่านให้หาย. (2 กษัต. 20:1-5) และใครล่ะจะไม่รู้สึกสะเทือนใจเมื่ออ่านเรื่องราวตอนที่อัครสาวกเปโตรปฏิเสธพระเยซู? เมื่อได้ยินเสียงไก่ขัน เปโตรก็ “ออกไปร้องไห้ด้วยความทุกข์ใจ.”—มัด. 26:75
12. การปกครองของราชอาณาจักรจะทำให้มนุษยชาติได้รับการบรรเทาทุกข์อย่างแท้จริงอย่างไร?
12 เนื่องจากมีเหตุการณ์หลายอย่างทั้งเรื่องเล็กเรื่องใหญ่ที่ทำให้เราเป็นทุกข์โศกเศร้า จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่มนุษย์จะต้องได้รับการปลอบโยนและการบรรเทาทุกข์. ระหว่างรัชสมัยพันปีของพระคริสต์ พระเจ้า “จะทรงเช็ดน้ำตาทุกหยดจากตาพวกเขา ความตายจะไม่มีอีกเลย ความโศกเศร้าหรือเสียงร้องไห้เสียใจหรือความเจ็บปวดจะไม่มีอีกเลย.” (วิ. 21:4) เป็นเรื่องน่าพิศวงเมื่อคิดว่าจะไม่มีความเจ็บปวดและความทุกข์โศกเศร้าอีกต่อไป. เป็นเรื่องที่น่าพิศวงยิ่งกว่านั้นอีกที่พระเจ้าทรงสัญญาว่าจะขจัดความตายศัตรูตัวสุดท้ายให้หมดไป. จะเป็นเช่นนั้นอย่างไร?
“ทุกคนซึ่งอยู่ในอุโมงค์ฝังศพจะ . . . ออกมา”
13. ความตายมีผลกระทบต่อมนุษย์อย่างไรนับตั้งแต่อาดามทำบาป?
13 ตั้งแต่อาดามทำบาป ความตายก็มีอำนาจปกครองดุจกษัตริย์เหนือมนุษยชาติ. ความตายเป็นศัตรูที่ไม่อาจพิชิตได้ เป็นจุดจบที่เลี่ยงไม่พ้นสำหรับมนุษย์ที่ผิดบาป เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดความทุกข์โศกเศร้าอย่างใหญ่หลวง. (โรม 5:12, 14) ที่จริง หลายล้านคน “เป็นทาสมาตลอดชีวิตเพราะกลัวความตาย.”—ฮีบรู 2:15
14. จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อความตายไม่มีอีกต่อไป?
14 คัมภีร์ไบเบิลชี้ถึงเวลาที่พระเจ้าจะทรงทำลาย 1 โค. 15:26) มีคนสองกลุ่มที่จะได้รับประโยชน์จากการทำลายนี้. สำหรับ “ชนฝูงใหญ่” ที่มีชีวิตอยู่ในเวลานี้ พวกเขาจะมีโอกาสรอดชีวิตเข้าสู่โลกใหม่ที่พระเจ้าทรงสัญญาและมีโอกาสที่จะมีชีวิตตลอดไป. ส่วนอีกหลายล้านคนที่ตายไปแล้ว พวกเขามีโอกาสจะถูกปลุกให้เป็นขึ้นจากตาย. คุณนึกภาพออกไหมถึงความยินดีและความตื่นเต้นเมื่อ “ชนฝูงใหญ่” จะต้อนรับคนที่ถูกปลุกให้เป็นขึ้นจากตาย? ถ้าเราพิจารณาเรื่องราวการกลับเป็นขึ้นจากตายที่บันทึกไว้ในคัมภีร์ไบเบิล เราก็จะพอนึกภาพออกว่าจะเป็นเช่นไรเมื่อผู้คนถูกปลุกให้เป็นขึ้นจากตายในอนาคต.—อ่านมาระโก 5:38-42; ลูกา 7:11-17
“ศัตรูตัวสุดท้าย . . . คือความตาย.” (15. คุณคงจะรู้สึกอย่างไรเมื่อเห็นคนที่คุณรักกลับมามีชีวิตอีกครั้ง?
15 ขอให้คิดถึงวลีที่พรรณนาว่า “พวกเขาก็ตื่นเต้นดีใจยิ่งนัก” และ “พวกเขาพากันสรรเสริญพระเจ้า.” ถ้าคุณอยู่ในเหตุการณ์เหล่านั้น คุณอาจรู้สึกแบบเดียวกัน. ที่จริง การได้เห็นคนที่เรารักมีชีวิตอีกครั้งหนึ่งโดยการกลับเป็นขึ้นจากตายจะทำให้เรารู้สึกอัศจรรย์ใจและตื่นเต้นยินดีอย่างยิ่ง. พระเยซูตรัสว่า “จะมีเวลาที่ทุกคนซึ่งอยู่ในอุโมงค์ฝังศพจะได้ยินเสียงท่าน และออกมา.” (โย. 5:28, 29) ไม่มีใครสักคนในหมู่พวกเราที่เคยเห็นเหตุการณ์เช่นนั้น แต่นั่นจะเป็นเหตุการณ์หนึ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในบรรดา “สิ่งที่มองไม่เห็น” อย่างแน่นอน.
พระเจ้าจะทรงเป็น “ทุกสิ่งแก่ทุกคน”
16. (ก) ทำไมเราควรพูดถึงพระพรที่ยังไม่เกิดขึ้นอย่างกระตือรือร้น? (ข) เปาโลกล่าวเช่นไรเพื่อหนุนใจคริสเตียนในเมืองโครินท์?
16 คนที่รักษาตัวซื่อสัตย์ต่อพระยะโฮวาในสมัยวิกฤตินี้จะมีอนาคตอันยอดเยี่ยม! แม้ว่าเรายังไม่เห็นพระพรดังกล่าว แต่การระลึกถึงเรื่องนี้ไว้เสมอจะช่วยเราให้จดจ่ออยู่กับสิ่งที่สำคัญอย่างแท้จริงและระวังเพื่อจะไม่ให้สิ่งต่าง ๆ ในโลกที่ไม่จิรังยั่งยืนมาทำให้เราเขว. (ลูกา 21:34; 1 ติโม. 6:17-19) ระหว่างการนมัสการประจำครอบครัว ในการสนทนากับเพื่อน ร่วมความเชื่อ และในการพิจารณากับนักศึกษาพระคัมภีร์และกับผู้สนใจ ขอให้เราพูดถึงความหวังอันยอดเยี่ยมของเราอย่างกระตือรือร้น. นี่จะช่วยเราให้รักษาความหวังให้แจ่มชัดอยู่เสมอในความคิดและหัวใจของเรา. อัครสาวกเปาโลทำอย่างนั้นเพื่อหนุนใจเพื่อนร่วมความเชื่อ. คำพูดของท่านช่วยพวกเขาให้คิดถึงสิ่งต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นเมื่อสิ้นสุดรัชสมัยพันปีของพระคริสต์. ขอให้นึกภาพถึงความหมายที่ครบถ้วนของถ้อยคำที่เปาโลเขียนไว้ใน 1 โครินท์ 15:24, 25, 28.—อ่าน
17, 18. (ก) พระยะโฮวา “ทรงเป็นทุกสิ่งแก่ทุกคน” ในตอนเริ่มต้นของประวัติศาสตร์มนุษย์อย่างไร? (ข) พระเยซูจะทรงทำอะไรเพื่อฟื้นฟูเอกภาพและความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน?
17 ไม่มีถ้อยคำใดที่จะพรรณนาถึงจุดสุดยอดในตอนสิ้นสุดรัชสมัยพันปีได้ดีไปกว่าถ้อยคำที่ว่า “พระเจ้าจะทรงเป็นทุกสิ่งแก่ทุกคน.” นั่นหมายถึงอะไร? ขอให้นึกย้อนไปถึงตอนที่อาดามกับฮาวามนุษย์สมบูรณ์อยู่ในสวนเอเดน. พวกเขาเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวสากลของพระยะโฮวาที่มีสันติสุขและเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน. พระยะโฮวาพระเจ้าองค์ใหญ่ยิ่งแห่งเอกภพทรงปกครองสิ่งทรงสร้างทั้งสิ้นโดยตรง ทั้งทูตสวรรค์และมนุษย์. พวกเขาสามารถติดต่อกับพระองค์เป็นส่วนตัว นมัสการพระองค์ และได้รับการอวยพรจากพระองค์. พระองค์ทรงเป็น “ทุกสิ่งแก่ทุกคน.”
18 สายสัมพันธ์ที่เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันดังกล่าวขาดตอนไปช่วงหนึ่งเมื่อมนุษย์ถูกซาตานชักนำให้ขืนอำนาจการปกครองของพระยะโฮวา. อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่ปี 1914 เป็นต้นมา ราชอาณาจักรมาซีฮาได้ดำเนินการเป็นขั้น ๆ เพื่อฟื้นฟูเอกภาพและความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน. (เอเฟ. 1:9, 10) ในช่วงรัชสมัยพันปี สิ่งต่าง ๆ ที่น่าพิศวงซึ่งยัง “มองไม่เห็น” ในเวลานี้จะเป็นจริง. เมื่อสิ้นสุดรัชสมัยพันปีของพระคริสต์จะเกิดอะไรขึ้น? แม้ว่าพระคริสต์ได้รับมอบ “อำนาจทั้งสิ้นในสวรรค์และบนแผ่นดินโลก” แต่พระองค์ไม่ทรงทะเยอทะยาน. พระองค์ไม่เคยคิดจะแย่งชิงตำแหน่งของพระยะโฮวา. พระองค์ทรงถ่อมพระทัย “มอบราชอาณาจักรแด่พระเจ้า ผู้เป็นพระเจ้าและพระบิดาของพระองค์.” พระองค์จะทรงใช้ตำแหน่งและอำนาจพิเศษของพระองค์ “เพื่อยกย่องพระเจ้า.”—มัด. 28:18; ฟิลิป. 2:9-11
19, 20. (ก) ราษฎรทั้งหมดของราชอาณาจักรจะแสดงให้เห็นโดยวิธีใดว่าพวกเขายอมรับสิทธิการปกครองของพระยะโฮวา? (ข) มีความหวังอันยอดเยี่ยมอะไรคอยท่าเราอยู่?
19 เมื่อถึงตอนนั้น ราษฎรของราชอาณาจักรที่อยู่บนแผ่นดินโลกจะบรรลุความสมบูรณ์. พวกเขาจะทำตามแบบอย่างของพระเยซูและยอมรับอำนาจการปกครองของพระยะโฮวาอย่างถ่อมใจและเต็มใจ. พวกเขาจะมีโอกาสแสดงให้เห็นว่าพวกเขาปรารถนาจะทำอย่างนั้นด้วยการพยายามผ่านการทดสอบครั้งสุดท้ายให้ได้. (วิ. 20:7-10) หลังจากนั้น ผู้ขืนอำนาจทั้งหมด ทั้งมนุษย์และกายวิญญาณ จะถูกทำลายตลอดกาล. นั่นจะเป็นช่วงเวลาแห่งความปีติยินดีอย่างแท้จริง! สมาชิกทั้งหมดในครอบครัวของพระยะโฮวา ทั้งในสวรรค์และบนแผ่นดินโลก จะสรรเสริญพระองค์. และพระยะโฮวาจะทรงเป็น “ทุกสิ่งแก่ทุกคน.”—อ่านบทเพลงสรรเสริญ 99:1-3
20 สิ่งต่าง ๆ อันน่าพิศวงที่ราชอาณาจักรจะทำให้เกิดขึ้นในไม่ช้านี้จะกระตุ้นคุณให้จดจ่ออยู่กับพระประสงค์ของพระเจ้าและพยายามทำตามพระประสงค์ของพระองค์ไหม? คุณจะระวังที่จะไม่หลงไปกับความหวังและการปลอบโยนที่โลกของซาตานเสนอให้ได้ไหม? คุณได้ตัดสินใจอย่างแน่วแน่ที่จะสนับสนุนสิทธิการปกครองของพระยะโฮวาไหม? ขอให้การกระทำของคุณพิสูจน์ว่าคุณปรารถนาที่จะทำอย่างนั้นตลอดไป. ถ้าคุณทำเช่นนั้นคุณก็จะมีสันติสุขและความเจริญรุ่งเรืองตลอดหนึ่งพันปี และตลอดไป!