‘ขอทรงสอนข้าพเจ้าให้ประพฤติตามพระทัยพระองค์’
“ขอทรงโปรดฝึกสอนข้าพเจ้าให้ประพฤติตามพระทัยของพระองค์; เพราะพระองค์เป็นพระเจ้าของข้าพเจ้า.”—เพลง. 143:10
1, 2. การคำนึงถึงพระประสงค์ของพระเจ้าเป็นประโยชน์แก่เราอย่างไร และเราจะได้รับประโยชน์อย่างไรจากตัวอย่างของกษัตริย์ดาวิด?
คุณเคยดูแผนที่จากคอมพิวเตอร์ซึ่งทำให้คุณสามารถเห็นภาพถ่ายทางอากาศที่แสดงจุดหมายปลายทางที่คุณจะไปไหม? การมองสิ่งต่าง ๆ จากมุมสูงอาจช่วยให้คุณตัดสินใจได้ว่าควรเลือกเส้นทางใดจึงจะดีที่สุด. การใช้หลักการคล้าย ๆ กันนี้จะช่วยเราได้เมื่อเราตัดสินใจในเรื่องสำคัญ ๆ. การมองสิ่งต่าง ๆ จากมุมมองอันสูงส่งของพระผู้สร้างจะช่วยเราให้สามารถดำเนินในแนวทางที่พระยะโฮวาทรงพอพระทัย.—ยซา. 30:21
2 ตลอดช่วงเวลาส่วนใหญ่ในชีวิตของกษัตริย์ดาวิดแห่งชาติอิสราเอลโบราณ ท่านได้วางตัวอย่างที่โดดเด่นในการคำนึงถึงพระประสงค์ของพระเจ้า. ขอให้เรามาพิจารณาเหตุการณ์บางอย่างในชีวิตของดาวิดเพื่อจะเรียนรู้จากการกระทำของชายผู้นี้ที่หัวใจของเขาอยู่กับพระยะโฮวาพระเจ้าอย่างครบถ้วน.—1 กษัต. 11:4
ดาวิดยกย่องเชิดชูพระนามพระยะโฮวา
3, 4. (ก) อะไรกระตุ้นดาวิดให้เผชิญหน้ากับฆาละยัธ? (ข) ดาวิดมีทัศนะอย่างไรต่อพระนามของพระเจ้า?
3 ขอพิจารณาเหตุการณ์ตอนที่ดาวิดเผชิญหน้าฆาละยัธยอดนักรบชาวฟิลิสติน. อะไรทำให้เด็กหนุ่มดาวิดกล้าเผชิญหน้าชายร่างยักษ์ที่มีอาวุธครบซึ่งสูงประมาณ 2.9 เมตร? (1 ซามู. 17:4) นั่นเป็นเพราะความกล้าหาญของดาวิดไหม? หรือเป็นเพราะดาวิดมีความเชื่อในพระเจ้า? คุณลักษณะทั้งสองอย่างนี้มีส่วนสำคัญที่ทำให้เขาลงมือทำอย่างกล้าหาญ. อย่างไรก็ตาม ความนับถือที่มีต่อพระยะโฮวาและพระนามอันยิ่งใหญ่ของพระองค์กระตุ้นดาวิดเป็นพิเศษให้ออกไปสู้นักรบผู้นี้ที่สูงใหญ่เป็นยักษ์ปักหลั่น. ดาวิดถามด้วยความขุ่นเคืองว่า “ชาวฟะลิศตีมที่ไม่รับศีลสุหนัตคนนี้เป็นผู้ใดเล่า จึงองอาจท้าทายกองทัพแห่งพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่?”—1 ซามู. 17:26
4 เมื่อเผชิญหน้าฆาละยัธ เด็กหนุ่มดาวิดประกาศว่า “เจ้าเข้ามา1 ซามู. 17:45) ด้วยความไว้วางใจในพระเจ้าองค์เที่ยงแท้ ดาวิดโค่นยอดนักรบชาวฟิลิสตินผู้นี้ลงโดยใช้สลิงเหวี่ยงก้อนหินเพียงก้อนเดียว. ดาวิดไว้วางใจพระยะโฮวาและยกย่องเชิดชูพระนามของพระองค์ไม่เพียงในโอกาสนี้เท่านั้น แต่ตลอดชีวิตของท่าน. ที่จริง ดาวิดกระตุ้นเพื่อนร่วมชาติชาวอิสราเอลให้ ‘อวดในนามอันบริสุทธิ์ของพระยะโฮวา.’—อ่าน 1 โครนิกา 16:8-10
หาเราด้วยดาบและหอกยาวหอกสั้นแต่ฝ่ายเรามาหาเจ้าด้วยนามแห่งพระยะโฮวาของพลโยธาพระเจ้าแห่งกองทัพยิศราเอล, ซึ่งเจ้าได้ท้าทายนั้น.” (5. คุณอาจเผชิญสถานการณ์เช่นไรที่อาจเทียบได้กับการเย้ยหยันของฆาละยัธ?
5 คุณภูมิใจไหมที่มีพระยะโฮวาเป็นพระเจ้าของคุณ? (ยิระ. 9:24) คุณแสดงปฏิกิริยาอย่างไรเมื่อเพื่อนบ้าน เพื่อนร่วมงาน เพื่อนนักเรียน หรือญาติพูดไม่ดีเกี่ยวกับพระยะโฮวาและล้อเลียนพยานของพระองค์? คุณกล้าพูดไหมเมื่อพระนามพระยะโฮวาถูกตำหนิติเตียน โดยไว้วางใจว่าพระองค์จะช่วยคุณ? จริงอยู่ มี “วาระสำหรับอมพะนำ” แต่เราต้องไม่อายที่เป็นพยานของพระยะโฮวาและเป็นสาวกของพระเยซู. (ผู้ป. 3:1, 7; มโก. 8:38) แม้ว่าเราควรผ่อนหนักผ่อนเบาและสุภาพในการปฏิบัติต่อผู้คนที่ไม่เป็นมิตร แต่ขอเราอย่าเป็นเหมือนกับชาวอิสราเอลที่ “พากันสะดุ้งตกใจกลัวเป็นที่ยิ่ง” เมื่อได้ยินคำท้าของฆาละยัธ. (1 ซามู. 17:11) แทนที่จะเป็นอย่างนั้น ขอให้เราทำอย่างเด็ดเดี่ยวเพื่อทำให้พระนามพระยะโฮวาพระเจ้าเป็นที่นับถืออันบริสุทธิ์. เราปรารถนาที่จะช่วยผู้คนให้รู้จักพระยะโฮวาในฐานะพระเจ้าองค์เที่ยงแท้. เพื่อจะทำอย่างนั้นได้ เราพยายามใช้พระคำของพระองค์เพื่อช่วยคนอื่น ๆ ให้เห็นความสำคัญของการเข้าใกล้พระเจ้า.—ยโก. 4:8
6. ดาวิดออกไปเผชิญหน้ากับฆาละยัธโดยมีเป้าหมายอะไร และเรื่องที่เราควรเป็นห่วงมากที่สุดคืออะไร?
6 การเผชิญหน้าของดาวิดกับฆาละยัธสอนบทเรียนสำคัญอีกอย่างหนึ่งแก่เรา. เมื่อดาวิดกำลังวิ่งไปที่แนวรบ เขาถามว่า “จะทำอย่างไรแก่ผู้ที่จะฆ่าชาวฟะลิศตีมคนนี้, จึงจะให้ความอัปยศสูญหายไปจากพวกยิศราเอล?” ชนทั้งปวงตอบโดยพูดซ้ำสิ่งที่พวกเขาพูดไปก่อนหน้านั้นว่า “ทหารคนใดฆ่าเขาได้ กษัตริย์จะพระราชทานทรัพย์ให้ผู้นั้นมาก ทั้งจะพระราชทานราชธิดาให้ด้วย.” (1 ซามู. 17:25-27) แต่การได้รับบำเหน็จรางวัลไม่ใช่เรื่องสำคัญสำหรับดาวิด. เขามีเป้าหมายที่สำคัญกว่า. ดาวิดประสงค์จะทำให้พระเจ้าองค์เที่ยงแท้ได้รับการสรรเสริญ. (อ่าน 1 ซามูเอล 17:46, 47) จะว่าอย่างไรสำหรับตัวเราเอง? เรื่องสำคัญที่เราสนใจคือการสร้างชื่อให้กับตัวเองด้วยการสะสมความมั่งคั่งร่ำรวยและการเป็นคนมีชื่อเสียงในโลกนี้ไหม? แน่นอน เราต้องการจะเป็นเหมือนดาวิดที่ร้องเพลงว่า “ท่านทั้งหลายจงมาสรรเสริญพระยะโฮวาด้วยกันกับข้าพเจ้า, ให้เราพร้อมใจกันเยินยอพระนามของพระองค์.” (เพลง. 34:3) ด้วยเหตุนั้น ขอให้เราไว้วางใจพระเจ้าโดยให้ความสำคัญกับพระนามของพระองค์มากกว่าชื่อเสียงของตัวเราเอง.—มัด. 6:9
7. เราจะพัฒนาความเชื่อที่เข้มแข็งได้อย่างไรเมื่อเราเผชิญหน้ากับผู้คนที่ไม่เป็นมิตร?
7 เพื่อดาวิดจะออกไปสู้กับฆาละยัธอย่างกล้าหาญเช่นนั้นได้ เขาต้องมีความเชื่อมั่นอย่างเต็มเปี่ยมในพระยะโฮวา. เด็กหนุ่มดาวิดมีความเชื่อที่เข้มแข็ง. วิธีหนึ่งที่เขาเสริมสร้างความเชื่อของตนก็คือโดยไว้วางใจพระเจ้าขณะที่เขาเลี้ยงแกะในแต่ละวัน. (1 ซามู. 17:34-37) เราเองก็จำเป็นต้องมีความเชื่อที่เข้มแข็งเพื่อจะประกาศต่อ ๆ ไป โดยเฉพาะเมื่อเราเผชิญหน้ากับผู้คนที่ไม่เป็นมิตร. เราจะพัฒนาความเชื่อเช่นนั้นได้โดยไว้วางใจพระเจ้าขณะที่เราทำกิจกรรมต่าง ๆ ในแต่ละวัน. ตัวอย่างเช่น เราอาจเริ่มการสนทนาเกี่ยวกับความจริงในคัมภีร์ไบเบิลกับคนที่นั่งติดกับเราขณะที่เราเดินทางโดยใช้บริการขนส่งสาธารณะ. และเราไม่ควรลังเลที่จะคุยกับคนที่พบตามทางขณะประกาศตามบ้าน.—กิจ. 20:20, 21
ดาวิดคอยท่าพระยะโฮวา
อะไรยับยั้งดาวิดไว้ไม่ให้ฆ่าซาอูลเมื่อท่านมีโอกาสที่จะทำอย่างนั้น?
8, 9. วิธีที่ดาวิดปฏิบัติต่อซาอูลแสดงให้เห็นอย่างไรว่าท่านคำนึงถึงพระประสงค์ของพระยะโฮวาเสมอ?
8 อีกตัวอย่างหนึ่งที่แสดงว่าดาวิดไว้วางใจพระยะโฮวาเห็นได้จากวิธีที่ท่านปฏิบัติต่อซาอูล กษัตริย์องค์แรกของอิสราเอล. ซาอูลผู้อิจฉาพุ่งหอกใส่ดาวิดถึงสามครั้งโดยหมายจะให้เสียบทะลุดาวิดติดข้างฝา แต่ดาวิดหลบได้ทุกครั้งโดยไม่ตอบโต้. ในที่สุด ดาวิดก็หนีซาอูลไป. (1 ซามู. 18:7-11; 19:10) ต่อมา ซาอูลเกณฑ์ทหาร 3,000 คนจากบรรดาชาวอิสราเอลไปตามไล่ล่าดาวิดในถิ่นทุรกันดาร. (1 ซามู. 24:2) ท้ายที่สุด ซาอูลได้เข้าไปในถ้ำแห่งหนึ่งโดยไม่รู้ว่าดาวิดกับคนของท่านอยู่ที่นั่น. ถ้าดาวิดจะฉวยโอกาสกำจัดกษัตริย์ที่คุกคามชีวิตท่านก็ย่อมจะทำได้. อันที่จริง เป็นพระประสงค์ของพระเจ้าอยู่แล้วที่จะให้ดาวิดเป็นกษัตริย์ของชาติอิสราเอลแทนซาอูล. (1 ซามู. 16:1, 13) ถ้าดาวิดฟังคนของท่าน กษัตริย์ซาอูลคงถูกฆ่าไปแล้ว. แต่ดาวิดกล่าวว่า “ขอพระยะโฮวาทรงห้ามอย่าให้ข้าพเจ้าทำอย่างนี้ต่อเจ้านายของตนผู้ที่พระยะโฮวาทรงชโลมไว้.” (อ่าน 1 ซามูเอล 24:4-7) ซาอูลยังเป็นกษัตริย์ที่พระเจ้าทรงเจิมไว้. ดาวิดไม่ต้องการจะแย่งชิงตำแหน่งกษัตริย์ของซาอูล เนื่องจากพระยะโฮวายังไม่ได้ถอดเขาออกจากตำแหน่ง. ดาวิดตัดแค่ชายเสื้อชั้นนอกของซาอูลเพื่อแสดงให้เห็นว่าท่านไม่เคยคิดที่จะทำร้ายซาอูล.—1 ซามู. 24:11
9 ดาวิดแสดงความนับถือต่อผู้ที่พระเจ้าทรงเจิมไว้อีกครั้งหนึ่งตอนที่ท่านพบกษัตริย์เป็นครั้งสุดท้าย. ในตอนนั้น ดาวิดกับอะบิซัยได้มาถึงสถานที่แห่งหนึ่งที่ซาอูลตั้งค่ายและพบว่าเขากำลังหลับอยู่. แม้ว่าอะบิซัยจะลงความเห็นว่าพระเจ้าได้ทรงมอบศัตรูผู้นี้ไว้ในมือดาวิดแล้วและขอให้เขาใช้หอกแทงซาอูลให้ทะลุติดกับดิน แต่ดาวิดไม่อนุญาตให้ทำอย่างนั้น. (1 ซามู. 26:8-11) เนื่องจากดาวิดขอการชี้นำจากพระเจ้าอยู่เสมอ ท่านจึงทำตามพระประสงค์ของพระยะโฮวาอย่างแน่วแน่แม้ว่าอะบิซัยจะกระตุ้นให้ทำอีกอย่างหนึ่ง.
10. เราเองอาจถูกยั่วยุให้ทำอะไร และอะไรจะช่วยเราให้ยืนหยัดมั่นคง?
10 เราเองก็อาจถูกยั่วยุจากเพื่อน ๆ ที่พยายามกดดันเราให้ทำตามการหาเหตุผลของมนุษย์แทนที่จะสนับสนุนเราให้ทำตามพระประสงค์ของพระยะโฮวา. เช่นเดียวกับอะบิซัย บางคนอาจถึงกับสนับสนุนให้เราลงมือทำโดยที่ไม่คำนึงถึงพระประสงค์ของพระเจ้าในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง. เพื่อจะยืนหยัดมั่นคง เราต้องจำไว้เสมอว่าพระยะโฮวาทรงมองเรื่องนั้นอย่างไรและตั้งใจแน่วแน่ว่าจะยึดมั่นในแนวทางของพระองค์.
11. คุณได้เรียนอะไรจากดาวิดเกี่ยวกับการให้พระประสงค์ของพระเจ้าอยู่เหนือความคิดของคุณ?
11 ดาวิดอธิษฐานถึงพระยะโฮวาพระเจ้าว่า “ขอบทเพลงสรรเสริญ 143:5, 8, 10) แทนที่จะพึ่งความคิดของท่านเองหรือยอมให้คนอื่นมากระตุ้นให้ท่านทำตามความคิดของเขา ดาวิดปรารถนาอย่างยิ่งที่จะให้พระเจ้าสอนท่าน. ท่าน ‘ภาวนาถึงพระราชกิจทั้งปวงที่พระยะโฮวาทรงกระทำ และรำพึงถึงพระหัตถกิจต่าง ๆ ของพระเจ้า.’ เราเองก็สามารถเข้าใจพระประสงค์ของพระเจ้าได้โดยการค้นคว้าเรื่องต่าง ๆ ในพระคัมภีร์อย่างละเอียดและใคร่ครวญเรื่องราวมากมายในคัมภีร์ไบเบิลที่แสดงถึงวิธีที่พระยะโฮวาทรงปฏิบัติต่อมนุษย์.
ทรงโปรดฝึกสอนข้าพเจ้าให้ประพฤติตามพระทัยของพระองค์.” (อ่านดาวิดเห็นคุณค่าหลักการที่แฝงอยู่ในพระบัญญัติ
12, 13. เมื่อชายทั้งสามคนนำน้ำมาให้ดาวิด เหตุใดท่านจึงเทน้ำนั้นลงดิน?
12 อีกแง่หนึ่งที่ดาวิดเป็นตัวอย่างที่ดีที่เราควรเลียนแบบก็คือการที่ท่านเห็นคุณค่าหลักการที่แฝงอยู่ในพระบัญญัติและปรารถนาที่จะดำเนินชีวิตตามหลักการเหล่านั้น. ขอพิจารณาสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อดาวิดอยากจะดื่ม “น้ำจากบ่อริมประตูเมืองเบธเลเฮ็ม.” คนของดาวิดสามคนตีฝ่าเข้าไปในเมือง ซึ่งในตอนนั้นพวกฟิลิสตินครอบครองอยู่ และนำน้ำกลับมาให้ท่าน. อย่างไรก็ตาม “ดาวิดไม่เสวย แต่เทออกถวายพระยะโฮวา.” เพราะเหตุใด? ดาวิดอธิบายว่า “ขอพระยะโฮวาทรงห้ามปรามไว้อย่าให้ข้าพเจ้ากระทำสิ่งนี้เลย (คือดื่ม) โลหิตของผู้ที่สละชีวิตของตนในภัยอันตราย? เพราะยอมสละชีวิตของตนจึงได้น้ำมาให้.”—1 โคร. 11:15-19
เราเรียนอะไรได้จากการที่ดาวิดไม่ยอมดื่มน้ำที่คนของท่านนำมาให้?
13 ดาวิดรู้ว่าพระบัญญัติกำหนดไว้ว่าห้ามรับประทานโลหิตและควรเทลงดินถวายแด่พระยะโฮวา. ท่านยังเข้าใจเหตุผลที่ควรทำอย่างนั้นด้วย. ดาวิดรู้ว่า “ชีวิตของเนื้อหนังคือโลหิต.” แต่นี่คือน้ำไม่ใช่โลหิต. ทำไมดาวิดจึงปฏิเสธที่จะดื่มน้ำนั้น? ท่านเข้าใจหลักการที่แฝงอยู่ในพระบัญญัติ. สำหรับดาวิดแล้ว น้ำนั้นมีค่าอย่างยิ่งเช่นเดียวกับโลหิตของชายทั้งสามคน. จึงเป็นเรื่องเหลือคิดที่ท่านจะดื่มน้ำนั้น. แทนที่จะดื่ม ท่านตัดสินใจว่าควรเทน้ำนั้นลงดิน.—เลวี. 17:11; บัญ. 12:23, 24
14. อะไรช่วยให้ดาวิดตัดสินใจอย่างที่พระยะโฮวาทรงพอพระทัย?
14 ดาวิดพยายามให้ความคิดทั้งสิ้นของท่านจดจ่ออยู่กับกฎหมายของพระเจ้า. ท่านร้องเพลงว่า เพลง. 40:8) ดาวิดศึกษากฎหมายของพระเจ้าและใคร่ครวญอย่างลึกซึ้ง. ท่านไว้วางใจสติปัญญาที่อยู่ในพระบัญญัติของพระยะโฮวา. ผลก็คือ ดาวิดไม่เพียงแต่กระตือรือร้นที่จะปฏิบัติตามพระบัญญัติของโมเซตามตัวบทกฎหมายเท่านั้น แต่ท่านพร้อมจะทำตามเจตนารมณ์ที่แท้จริงของพระบัญญัติด้วย. เมื่อศึกษาคัมภีร์ไบเบิล เราควรใคร่ครวญสิ่งที่ได้อ่านและเก็บไว้ในหัวใจเราเพื่อเราจะตัดสินใจในเรื่องต่าง ๆ ได้อย่างที่พระยะโฮวาทรงพอพระทัย.
“ข้าแต่พระเจ้าของข้าพเจ้า, ข้าพเจ้ายินดีที่จะประพฤติตามน้ำพระทัยของพระองค์; แท้จริงพระบัญญัติของพระองค์อยู่ในใจของข้าพเจ้า.” (15. โซโลมอนไม่ได้แสดงความนับถือต่อกฎหมายของพระเจ้าอย่างไร?
15 โซโลมอนราชบุตรของดาวิดได้รับความโปรดปรานจากพระยะโฮวาอย่างมาก. แต่ในภายหลัง โซโลมอนไม่ได้แสดงความนับถือต่อกฎหมายของพระเจ้า. เขาไม่ทำตามพระบัญชาของพระยะโฮวาที่ห้ามกษัตริย์ชาวอิสราเอล “มิให้มีมเหสีมาก.” (บัญ. 17:17) ที่จริง โซโลมอนสมรสกับหญิงชาวต่างชาติหลายคน. เมื่อแก่ชราแล้ว “เหล่านางห้ามก็ทำให้พระทัยของพระองค์หลงปฏิบัติพระอื่น.” ไม่ว่าโซโลมอนอาจหาเหตุผลอย่างไรก็ตาม “พระทัยของท่านหาดีรอบคอบเฉพาะพระยะโฮวาพระเจ้าของพระองค์, เหมือนอย่างพระทัยของดาวิดพระราชบิดาไม่.” (1 กษัต. 11:1-6) นับว่าสำคัญสักเพียงไรที่เราจะปฏิบัติตามกฎหมายและหลักการต่าง ๆ ที่พบในพระคำของพระเจ้า! การทำอย่างนี้นับว่าสำคัญสำหรับคนที่คิดจะสมรส.
16. การเข้าใจเจตนารมณ์ที่แท้จริงของพระบัญชาที่ให้สมรสกับ “ผู้ที่เชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้า” เท่านั้นจะส่งผลอย่างไรต่อคนที่คิดจะสมรส?
16 ถ้าคนที่ไม่มีความเชื่อเข้ามาเกี้ยวพาราสี ปฏิกิริยาของเราสะท้อนให้เห็นทัศนะแบบเดียวกับดาวิดหรือแบบเดียวกับโซโลมอน? ผู้นมัสการแท้ได้รับพระบัญชาให้สมรสกับ “ผู้ที่เชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้า” เท่านั้น. (1 โค. 7:39) ถ้าคริสเตียนเลือกที่จะสมรส เขาหรือเธอควรสมรสกับเพื่อนร่วมความเชื่อ. และถ้าเราเข้าใจเจตนารมณ์ที่แท้จริงของข้อเรียกร้องตามหลักพระคัมภีร์ข้อนี้ เราจะไม่เพียงแต่ละเว้นจากการสมรสกับผู้ไม่มีความเชื่อ แต่เราจะไม่สนใจเมื่อคนเหล่านั้นเข้ามาเกี้ยวพาราสีเรา.
17. อะไรอาจช่วยเราไม่ให้ติดกับดักของสื่อลามก?
17 นอกจากนั้น ขอพิจารณาด้วยว่าตัวอย่างของดาวิดที่ขอการชี้นำจากพระเจ้าอย่างจริงจังจะช่วยเราให้ต้านทานการล่อใจให้ดูสื่อลามกได้อย่างไร. ขอให้อ่านข้อพระคัมภีร์ต่อไปนี้ คิดถึงหลักการที่อยู่ในข้อเหล่านี้ และพยายามจะเข้าใจพระประสงค์ของพระยะโฮวาในเรื่องนี้. (อ่านบทเพลงสรรเสริญ 119:37; มัดธาย 5:28, 29; โกโลซาย 3:5) การใคร่ครวญมาตรฐานอันสูงส่งของพระองค์จะช่วยเราให้หลีกเลี่ยงกับดักของสื่อลามก.
จงมีทัศนะแบบเดียวกับพระเจ้าทุกเวลา
18, 19. (ก) แม้ว่าดาวิดไม่สมบูรณ์ อะไรช่วยท่านให้เป็นที่โปรดปรานของพระเจ้าเสมอ? (ข) คุณตั้งใจแน่วแน่เช่นไร?
18 ถึงแม้ว่าดาวิดเป็นแบบอย่างที่ดีในหลาย ๆ ด้าน แต่ท่านก็ได้ทำบาปร้ายแรงหลายครั้ง. (2 ซามู. 11:2-4, 14, 15, 22-27; 1 โคร. 21:1, 7) อย่างไรก็ตาม ตลอดช่วงชีวิตของดาวิด ท่านกลับใจเมื่อได้ทำบาป. ท่านดำเนินเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า ‘ด้วยใจซื่อสัตย์.’ (1 กษัต. 9:4) ทำไมเราจึงกล่าวเช่นนั้นได้? เนื่องจากดาวิดพยายามประพฤติตามพระประสงค์ของพระยะโฮวา.
19 แม้ว่าเราเป็นมนุษย์ไม่สมบูรณ์ แต่เราก็สามารถเป็นที่โปรดปรานของพระยะโฮวาอยู่เสมอได้. ขอให้เราศึกษาพระคำของพระเจ้าอย่างขยันขันแข็ง ใคร่ครวญอย่างลึกซึ้งว่าเราเรียนอะไรได้จากเรื่องที่เราศึกษา และลงมือทำทันทีตามสิ่งที่เราได้เรียนรู้. ถ้าเราทำอย่างนั้น เราก็จะเป็นเหมือนกับผู้ประพันธ์เพลงสรรเสริญที่ทูลขอพระยะโฮวาอย่างถ่อมใจว่า “ขอทรงโปรดฝึกสอนข้าพเจ้าให้ประพฤติตามพระทัยของพระองค์.”