อย่าให้สิ่งใดขัดขวางคุณไว้ไม่ให้ได้รับเกียรติ
“คนที่มีใจถ่อมจะได้รับเกียรติ.”—สุภา. 29:23, พระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับ 1971
1, 2. (ก) คำในภาษาฮีบรูที่มักแปลว่า “เกียรติ” หมายถึงอะไร? (ข) เราจะพิจารณาคำถามอะไรในบทความนี้?
เมื่อได้ยินคำว่า “เกียรติ” * คุณคิดถึงอะไร? คุณคิดถึงความสง่างามของสิ่งทรงสร้างของพระเจ้าไหม? (เพลง. 19:1) คุณคิดถึงคำยกย่องสรรเสริญและเกียรติที่มอบให้แก่คนที่มั่งคั่ง ฉลาด หรือประสบความสำเร็จเป็นพิเศษไหม? ในพระคัมภีร์ คำภาษาเดิมที่มักแปลว่า “เกียรติ” มีความหมายพื้นฐานที่เกี่ยวกับน้ำหนัก. ในสมัยโบราณเงินเหรียญทำจากโลหะมีค่า ยิ่งเหรียญมีน้ำหนักมากเท่าไร เหรียญนั้นก็ยิ่งมีค่ามากเท่านั้น. นั่นเป็นเหตุที่คำว่า “เกียรติ” อาจใช้เพื่อหมายถึงสิ่งที่มีค่ามากหรือน่าประทับใจอย่างยิ่ง.
2 มนุษย์มักให้เกียรติคนที่มีอำนาจหรือมีชื่อเสียง. แต่เมื่อพระเจ้าจะทรงให้เกียรติใคร พระองค์ทรงมองหาอะไรในตัวคนนั้น? สุภาษิต 22:4 กล่าวว่า “บำเหน็จแห่งการถ่อมใจลงและความยำเกรงพระยะโฮวาก็เป็นทางนำมาถึงทรัพย์สมบัติและเกียรติศักดิ์และชีวิต.” และสาวกยาโกโบก็เขียนว่า “จงถ่อมตัวเฉพาะพระพักตร์พระยะโฮวา แล้วพระองค์จะทรงยกฐานะพวกท่านให้สูงขึ้น.” (ยโก. 4:10) เกียรติที่พระยะโฮวาประทานแก่เรานั้นคืออะไร? อะไรอาจขัดขวางเราไม่ให้ได้รับเกียรตินั้น? และเราจะช่วยคนอื่นๆให้ได้รับเกียรติจากพระเจ้าได้อย่างไร?
3-5. พระยะโฮวาประทานเกียรติแก่เราอย่างไร?
3 ผู้ประพันธ์เพลงสรรเสริญแสดงความเชื่อมั่นว่าพระยะโฮวาจะประทานเกียรติแก่ท่าน. (อ่านบทเพลงสรรเสริญ 73:23, 24) พระยะโฮวาประทานเกียรติแก่ผู้รับใช้ที่ถ่อมใจของพระองค์อย่างไร? พระองค์ทรงทำเช่นนั้นโดยทรงแสดงความพอพระทัยและอวยพรพวกเขาในหลายๆวิธี. ตัวอย่างเช่น พระองค์ทรงช่วยพวกเขาให้เข้าใจพระประสงค์ของพระองค์ และทรงโปรดให้พวกเขามีสายสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับพระองค์.—1 โค. 2:7; ยโก. 4:8
4 พระยะโฮวายังประทานเกียรติแก่เราโดยทรงโปรดให้เราทำงานรับใช้พระองค์ด้วย. (2 โค. 4:1, 7) เมื่อเราสรรเสริญพระยะโฮวาด้วยการทำงานประกาศ เราได้รับเกียรติจากพระองค์และช่วยคนอื่นให้ได้รับประโยชน์. พระยะโฮวาทรงสัญญาว่า “ผู้ที่ให้เรามีเกียรติยศ เราจะให้เกียรติยศแก่ผู้นั้น.” (1 ซามู. 2:30) พระยะโฮวาทรงให้เกียรติยศแก่คนที่ทำงานประกาศด้วยการประทานชื่อเสียงที่ดีแก่พวกเขา ซึ่งก็คือ การได้รับความพอพระทัยจากพระองค์. และคนอื่นๆในประชาคมก็จะพูดถึงพวกเขาในทางที่ดี.—สุภา. 11:16; 22:1
5 จะว่าอย่างไรสำหรับอนาคตของคนที่ “คอยท่าพระยะโฮวาและรักษาทางของพระองค์ไว้”? คัมภีร์ไบเบิลสัญญาว่า “พระองค์ [พระยะโฮวา] จะทรงโปรดให้ท่านเลื่อนขึ้นได้มฤดกที่แผ่นดินนั้น. ท่านคงจะได้เห็น, เมื่อคนชั่วต้องถูกตัดขาดเสีย.” (เพลง. 37:34) ผู้รับใช้ของพระเจ้ามีความหวังอันยอดเยี่ยมที่จะมีชีวิตนิรันดร์.—เพลง. 37:29
“เราไม่ยอมรับเกียรติจากมนุษย์”
6, 7. ทำไมหลายคนจึงไม่เชื่อว่าพระเยซูเป็นพระมาซีฮา?
6 อะไรอาจขัดขวางเราไว้ไม่ให้ได้รับเกียรติจากพระยะโฮวา? สิ่งหนึ่งที่อาจขัดขวางเราก็คือการให้ความสำคัญแก่ความคิดเห็นของคนที่ไม่มีสายสัมพันธ์ที่ดีกับพระเจ้ามากเกินไป. นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นกับบางคนที่มีอำนาจในสมัยของพระเยซู. อัครสาวกโยฮันเขียนว่าพวกเขามีความเชื่อในพระเยซู “แต่พวกเขาก็ไม่ได้ยอมรับพระองค์อย่างเปิดเผย จะได้ไม่ถูกพวกฟาริซายขับออกจากธรรมศาลา เพราะพวกเขาชอบคำยกย่องจากมนุษย์มากกว่าจากพระเจ้า.” (โย. 12:42, 43) จะดีกว่าสักเพียงไรถ้าพวกเขาไม่ได้ให้ความสำคัญแก่ความคิดเห็นของพวกฟาริซายมากเกินไป!
7 ก่อนหน้านั้น พระเยซูเคยระบุไว้อย่างชัดเจนว่าทำไมหลายคนไม่เชื่อว่าพระองค์ทรงเป็นพระมาซีฮา. (อ่านโยฮัน 5:39-44) ชาติอิสราเอลได้รอคอยพระมาซีฮามาหลายร้อยปี. ตอนที่พระเยซูทรงเริ่มงานประกาศ บางคนอาจรู้ว่าถึงเวลาที่พระมาซีฮาจะมาปรากฏแล้วโดยอาศัยความเข้าใจจากคำพยากรณ์ของดานิเอล. หลายเดือนก่อนหน้านั้น หลายคนคิดว่าโยฮันผู้ให้บัพติสมาเป็นพระมาซีฮา. (ลูกา 3:15) แต่เมื่อพระมาซีฮาที่พวกเขารอคอยกันมานานเสด็จมาสั่งสอนอยู่ท่ามกลางพวกเขา คนที่รู้พระคัมภีร์ดีกลับไม่ยอมรับพระองค์. เพราะเหตุใด? พระเยซูทรงชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนว่าทำไมเป็นอย่างนั้นเมื่อทรงถามพวกเขาว่า “พวกเจ้าจะเชื่อเราได้อย่างไร ในเมื่อพวกเจ้ารับคำยกย่องจากกันเองและไม่อยากได้รับคำยกย่องจากพระองค์ผู้ทรงเป็นพระเจ้าแต่องค์เดียว?”
8, 9. โดยใช้ตัวอย่างเปรียบเทียบเกี่ยวกับแสงสว่าง จงอธิบายว่าเกียรติที่ได้รับจากมนุษย์อาจบดบังเกียรติที่พระเจ้าประทานได้อย่างไร.
8 เราจะเข้าใจได้ดีขึ้นว่าเกียรติที่ได้รับจากมนุษย์อาจบดบังเกียรติที่เราได้รับจากพระเจ้าได้อย่างไรโดยเปรียบเทียบเกียรติกับแสงสว่าง. เอกภพเต็มไปด้วยแสงสว่างอย่างมากมาย. คุณอาจจำได้ถึงตอนที่คุณมองดูท้องฟ้ายามราตรีที่ไร้เมฆและเห็นดวงดาวนับหมื่นนับแสน. “รัศมีของดวงดาว” หรือความงามของดาวเหล่านั้นเป็นสิ่งที่ทำให้คุณประทับใจอย่างยิ่ง. (1 โค. 15:40, 41) แต่ในเมืองใหญ่ซึ่งมีแสงไฟสว่างไสว เราแทบจะมองไม่เห็นดวงดาวทั้งหลายเลย. ทำไมจึงเป็นอย่างนั้น? นั่นเป็นเพราะแสงสว่างจากหลอดไฟตามถนน สนามกีฬา และอาคารบ้านเรือนแรงกล้ากว่าหรือสวยงามกว่าแสงจากดาวทั้งหลายไหม? ไม่เลย! แต่ที่เป็นอย่างนั้นเพราะแสงสว่างจากเมืองใหญ่นั้นอยู่ใกล้เรามากกว่า จึงกลบแสงจากดวงดาวและทำให้เรามองไม่ค่อยเห็นดาว. เพื่อจะเห็นความงดงามของดวงดาวทั้งหลาย เราจึงต้องไปดูในที่ที่ห่างไกลจากเมืองใหญ่.
9 ในทำนองเดียวกัน ถ้าเกียรติที่ได้รับจากเพื่อนมนุษย์ซึ่งมีค่าน้อยกว่าอยู่ใกล้หัวใจของเรามากเกินไป เกียรตินั้นก็อาจทำให้เรามองไม่เห็นคุณค่าและไม่ได้พยายามเพื่อจะได้รับเกียรติอันยั่งยืนถาวรที่พระยะโฮวาทรงเต็มพระทัยจะประทานแก่เรา. หลายคนไม่ยอมรับข่าวดีเรื่องราชอาณาจักรเพราะกลัวว่าคนที่เขารู้จักหรือคนในครอบครัวจะไม่พอ ใจ. แม้แต่ผู้รับใช้ของพระเจ้าก็อาจกังวลมากเกินไปว่าคนอื่นจะคิดอย่างไร. ตัวอย่างเช่น พี่น้องหนุ่มคนหนึ่งได้รับมอบหมายให้ประกาศในเขตที่เขารู้จักทุกคน. แต่คนส่วนใหญ่ที่นั่นไม่รู้ว่าเขาเป็นพยานพระยะโฮวา. เขาจะกลัวและไม่ประกาศในเขตนั้นไหม? อีกตัวอย่างหนึ่งคือพี่น้องที่ต้องการรับใช้พระยะโฮวามากขึ้นแต่ถูกบางคนเยาะเย้ย. เขาจะปล่อยให้ทัศนคติของคนที่ไม่เห็นคุณค่าการรับใช้พระยะโฮวาอย่างที่ควรจะเป็นมีผลกระทบต่อการตัดสินใจของเขาไหม? หรือบางคนอาจพลาดพลั้งทำผิดร้ายแรง. เขาจะปกปิดความผิดไว้เพราะกลัวจะสูญเสียสิทธิพิเศษในประชาคมหรือเพราะไม่อยากทำให้ครอบครัวและเพื่อนผิดหวังไหม? หากมิตรภาพกับพระยะโฮวาเป็นสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับเขา เขาจะเข้าหาเพื่อขอความช่วยเหลือจากผู้ปกครอง.—อ่านยาโกโบ 5:14-16
10. (ก) อาจเกิดอะไรขึ้นถ้าเราเป็นห่วงมากเกินไปว่าคนอื่นคิดอย่างไรต่อเรา? (ข) ถ้าเราถ่อมใจ เราจะแน่ใจได้ในเรื่องใด?
10 คุณอาจคิดว่าคุณกำลังพยายามอยู่แล้วที่จะมีคุณลักษณะแบบคริสเตียนที่ดีขึ้น แต่พี่น้องคนหนึ่งให้คำแนะนำคุณ. คำแนะนำที่ตรงไปตรงมาของเขาอาจช่วยคุณได้ถ้าคุณไม่ปกป้องตัวเองมากเกินไปเพราะความหยิ่ง เพราะไม่อยากเสียหน้า หรือเพราะความคิดแบบเข้าข้างตัวเอง. หรือสมมุติว่าคุณกำลังทำงานอย่างหนึ่งกับเพื่อนร่วมความเชื่อ. คุณจะเป็นห่วงไหมว่าใครจะได้รับคำยกย่องสรรเสริญเมื่อคุณเสนอความคิดดีๆและขยันทำงาน? ถ้าเกิดเหตุการณ์เหล่านี้กับคุณ ขอให้จำไว้ว่า “คนที่มีใจถ่อมจะได้รับเกียรติ.”—สุภา. 29:23, ฉบับ 1971
11. เราควรรู้สึกอย่างไรเมื่อคนอื่นชมเชยเรา และเพราะเหตุใด?
11 ผู้ปกครองและคนที่พยายามเพื่อจะมีคุณสมบัติได้ทำหน้าที่ผู้ปกครองควรระวังเพื่อจะไม่แสวงหาคำยกย่องสรรเสริญจากมนุษย์. (1 ติโม. 3:1; 1 เทส. 2:6) พี่น้องชายควรแสดงปฏิกิริยาอย่างไรเมื่อได้รับคำชมเชยที่ทำบางสิ่งบางอย่างได้ดี? แน่นอน เขาคงจะไม่สร้างอนุสาวรีย์สำหรับตัวเองเหมือนกับที่กษัตริย์ซาอูลทำ. (1 ซามู. 15:12) แต่เขาตระหนักไหมว่าที่เขาประสบความสำเร็จได้ก็เพราะพระยะโฮวาช่วยเขาและในอนาคตเขาจะประสบความสำเร็จได้ก็ต่อเมื่อพระยะโฮวายังคงอวยพรและช่วยเหลือเขาต่อไป? (1 เป. 4:11) ความรู้สึกในส่วนลึกของเราเมื่อได้รับคำยกย่องสรรเสริญจะเผยให้เห็นว่าจริงๆแล้วเราต้องการจะได้รับเกียรติแบบไหน.—สุภา. 27:21
“พวกเจ้าอยากทำตามที่พ่อเจ้าต้องการ”
12. ทำไมชาวยิวบางคนไม่ยอมฟังข่าวสารที่พระเยซูประกาศ?
12 อีกสิ่งหนึ่งที่อาจขัดขวางทำให้เราไม่ได้รับเกียรติจากพระยะโฮวาคือความปรารถนาที่ไม่ถูกต้อง. เมื่อมีความปรารถนาที่ผิดๆ เราอาจไม่ต้องการฟังความจริง. (อ่านโยฮัน 8:43-47) พระเยซูทรงบอกชาวยิวบางคนว่าพวกเขาไม่ฟังข่าวสารที่พระองค์ประกาศเพราะ ‘พวกเขาอยากทำตามความต้องการของมาร พ่อของพวกเขา.’
13, 14. (ก) นักวิจัยกล่าวไว้อย่างไรเกี่ยวกับสมองของเราและคำพูดของมนุษย์? (ข) การเลือกว่าจะฟังใครขึ้นอยู่กับอะไร?
13 บางครั้ง เราฟังเฉพาะสิ่งที่เราอยากฟัง. (2 เป. 3:5) พระยะโฮวาทรงสร้างสมองของเราให้มีความสามารถที่น่าทึ่งที่จะเพิกเฉยต่อเสียงบางเสียง. ขอให้หยุดนิ่งสักครู่และตั้งใจฟังเสียงต่างๆที่อยู่รอบตัวคุณ. คุณอาจได้ยินเสียงหลายเสียงที่ก่อนหน้านั้นไม่ได้ยิน. ทำไมเป็นอย่างนั้น? แม้ว่าสมองของคุณมีความสามารถในการได้ยินเสียงต่างๆทุกเสียง สมองมีระบบที่ช่วยคุณให้จดจ่อเป็นพิเศษกับเสียงใดเสียงหนึ่งเท่านั้น. แต่เมื่อเราฟังเสียงคนพูด สมองจะทำหน้าที่อย่างนั้นได้ยากกว่า. นักวิจัยพบว่าเราสามารถตั้งใจฟังคนอื่นพูดได้ทีละคนเท่านั้น. นี่หมายความว่าเมื่อมีสองคนพูดกับคุณพร้อมกัน คุณต้องเลือกว่าจะสนใจฟังคนไหน. คุณจะเลือกฟังใครนั้นขึ้นอยู่กับว่าคุณต้องการ ฟังใครมากกว่า. ชาวยิวในสมัยพระเยซูต้องการทำตามพญามาร พ่อ ของพวกเขา และนั่นเป็นเหตุที่ทำให้พวกเขาไม่ฟังพระเยซู.
14 คัมภีร์ไบเบิลกล่าวโดยนัยว่า “พระปัญญา” และ “หญิงโฉด” พยายามชักชวนเราให้ฟัง. (สุภา. 9:1-5, 13-17) เราเลือกจะฟังใคร? นั่นย่อมขึ้นอยู่กับว่าเราต้องการทำให้ใครพอใจ. ถ้าเราเป็นแกะของพระเยซู เราย่อมจะฟังเสียงของพระองค์และติดตามพระองค์ไป. (โย. 10:16, 27) พระเยซูตรัสว่าเหล่าสาวกของพระองค์ “อยู่ฝ่ายความจริง.” (โย. 18:37) พวกเขา “ไม่รู้จักเสียงคนแปลกหน้า.” (โย. 10:5) คนที่ติดตามพระเยซูด้วยความถ่อมใจจะได้รับเกียรติจากพระเจ้า.—สุภา. 3:13, 16; 8:1, 18
“ที่เป็นอย่างนี้ก็เพื่อให้ท่านทั้งหลายได้รับเกียรติ”
15. ทำไมเปาโลจึงกล่าวว่าความทุกข์ลำบากที่ท่านประสบนั้นก็เพื่อให้พี่น้องชาวเอเฟโซส์ได้รับเกียรติ?
15 เราจะช่วยคนอื่นๆให้ได้รับเกียรติจากพระเจ้าได้อย่างไร? วิธีหนึ่งที่เราทำได้คือโดยการวางตัวอย่างในเรื่องความเพียรอดทน. เปาโลเขียนถึงประชาคมในเมืองเอเฟโซส์ว่า “ข้าพเจ้าขอท่านทั้งหลายอย่าท้อใจที่ข้าพเจ้าต้องทุกข์ลำบากเพื่อประโยชน์ของพวกท่าน เพราะที่เป็นอย่างนี้ก็เพื่อให้ท่านทั้งหลายได้รับเกียรติ.” (เอเฟ. 3:13) ทำไมเปาโลจึงกล่าวว่าความทุกข์ลำบากที่ท่านประสบนั้นก็เพื่อให้พี่น้องชาวเอเฟโซส์ได้รับเกียรติ? ด้วยการรับใช้พี่น้องทั้งๆที่ประสบความทุกข์ลำบาก เปาโลแสดงให้พี่น้องเห็นว่าการรับใช้พระเจ้าควรเป็นสิ่งที่มีค่าที่สุดสำหรับคริสเตียน. ถ้าเปาโลยอมแพ้เมื่อถูกทดสอบ พี่น้องอาจคิดว่าสายสัมพันธ์ที่พวกเขามีกับพระยะโฮวา การรับใช้พระองค์ และความหวังของพวกเขาไม่ใช่สิ่งสำคัญ. ด้วยการวางตัวอย่างในเรื่องความเพียรอดทน เปาโลแสดงให้พี่น้องเห็นว่าการเป็นสาวกของพระคริสต์นั้นคุ้มค่ากับการเสียสละใดๆก็ตาม.
16. เกิดอะไรขึ้นกับเปาโลในเมืองลิสตรา?
16 ขอให้สังเกตว่าความกระตือรือร้นและความเพียรอดทนของเปาโลมีผลกระทบอย่างไรต่อพี่น้อง. กิจการ 14:19, 20 บอกเราเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับเปาโลในเมืองลิสตราว่า “มีพวกยิวที่มาจากเมืองอันทิโอกกับเมืองอิโกนิอันได้ยุฝูงชน พวกเขาเอาหินขว้างเปาโลแล้วลากเขาออกไปนอกเมือง [ลิสตรา] เพราะคิดว่าตายแล้ว. แต่เมื่อเหล่าสาวกมายืนรอบเขา เปาโลก็ลุกขึ้นแล้วเข้าไปในเมือง. ในวันรุ่งขึ้น เปาโลกับบาร์นาบัสก็ไปยังเมืองเดอร์เบ.” ขอให้นึกภาพว่าคงเป็นเรื่องยากลำบากขนาดไหนที่เปาโลเดินเท้าเป็นระยะทางถึง 100 กิโลเมตรในวันรุ่งขึ้นหลังจากที่ท่านถูกหินขว้างจนเกือบเสียชีวิต!
17, 18. (ก) ติโมเธียวอาจรู้เกี่ยวกับความทุกข์ลำบากที่เปาโลประสบในเมืองลิสตราได้อย่างไร? (ข) ตัวอย่างความเพียรอดทนของเปาโลมีผลต่อติโมเธียวอย่างไร?
17 ติโมเธียวเป็นคนหนึ่งในกลุ่ม “เหล่าสาวก” ที่พากันมาช่วยเปาโลไหม? อาจเป็นไปได้ว่าเป็นอย่างนั้น. บันทึกในหนังสือกิจการไม่ได้บอกไว้. แต่ติโมเธียวรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเปาโล. เปาโลเขียนในจดหมาย ฉบับที่สองถึงติโมเธียวว่า “ท่านได้ทำตามคำสอนของข้าพเจ้าเป็นอย่างดี และได้เลียนแบบข้าพเจ้าเป็นอย่างดีในด้านวิถีชีวิต ... สิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นกับข้าพเจ้าในเมืองอันทิโอก [ถูกขับไล่ออกจากเมือง] เมืองอิโกนิอัน [บางคนพยายามเอาหินขว้าง] เมืองลิสตรา [ถูกเอาหินขว้าง] การข่มเหงต่างๆนานาที่ข้าพเจ้าได้ทนเอา แต่องค์พระผู้เป็นเจ้าก็ได้ช่วยข้าพเจ้าให้รอดจากสิ่งทั้งปวงนั้น.”—2 ติโม. 3:10, 11; กิจ. 13:50; 14:5, 19
18 ติโมเธียวรู้ว่าเปาโลได้แสดงความเพียรอดทนในสถานการณ์ที่ยากลำบากเหล่านี้ทั้งหมด. ติโมเธียวซึ่งตอนนั้นอายุยังน้อยคงต้องได้เรียนรู้มากมายจากตัวอย่างของเปาโล. เมื่อเปาโลไปเยี่ยมเมืองลิสตรา ท่านก็พบว่าติโมเธียวเป็นตัวอย่างที่ดีเยี่ยมในประชาคม “พี่น้องในเมืองลิสตราและเมืองอิโกนิอันต่างกล่าวถึงติโมเธียวในทางที่ดี.” (กิจ. 16:1, 2) ในเวลาต่อมา ติโมเธียวพัฒนาตัวเองจนพร้อมที่จะรับเอาหน้าที่รับผิดชอบสำคัญมากขึ้น.—ฟิลิป. 2:19, 20; 1 ติโม. 1:3
19. ความเพียรอดทนของเราอาจช่วยคนอื่นๆอย่างไร?
19 ถ้าเราบากบั่นพากเพียรในการทำตามพระประสงค์ของพระเจ้า ตัวอย่างของเราอาจช่วยเยาวชนให้เติบโตขึ้นเป็นผู้รับใช้ที่มีค่ามากของพระเจ้า. เยาวชนสังเกตดูเราและเรียนรู้จากวิธีที่เราพูดกับผู้คนในการประกาศและโดยเฉพาะอย่างยิ่งจากวิธีที่เราแสดงปฏิกิริยาต่อสถานการณ์ที่ยุ่งยากลำบากในชีวิต. เปาโลกล่าวว่าท่าน “เพียรอดทนทุกสิ่งต่อไป” เพื่อทุกคนที่รักษาความซื่อสัตย์ “จะได้รับความรอดอันเกี่ยวเนื่องกับพระคริสต์เยซูพร้อมกับเกียรติยศชั่วนิรันดร์.”—2 ติโม. 2:10
20. เหตุใดเราควรแสวงหาเกียรติที่มาจากพระเจ้า?
20 ดังนั้น มีเหตุผลที่ดีมากมายที่เราจะ “อยากได้รับคำยกย่องจากพระองค์ผู้ทรงเป็นพระเจ้าแต่องค์เดียว.” (โย. 5:44; 7:18) พระยะโฮวาประทาน “ชีวิตนิรันดร์แก่ผู้ที่แสวงหาเกียรติยศ.” (อ่านโรม 2:6, 7) นอกจากนั้น การที่เรา “พากเพียรทำการดี” อาจกระตุ้นหนุนใจคนอื่นๆให้รักษาความซื่อสัตย์และได้รับชีวิตนิรันดร์. ด้วยเหตุนั้น ขออย่าได้ปล่อยให้สิ่งใดขัดขวางคุณไว้จากการได้รับเกียรติจากพระเจ้า.
[เชิงอรรถ]
^ วรรค 1 ในคัมภีร์ไบเบิลภาษาไทย ยังแปลคำภาษาเดิมที่หมายถึงเกียรติโดยใช้คำอื่นๆด้วย เช่น เกียรติยศ เกียรติศักดิ์ คำยกย่อง รัศมี.