ข้ามไปยังเนื้อหา

ข้ามไปยังสารบัญ

บทบาทของผู้หญิงตามความประสงค์ของพระยะโฮวา

บทบาทของผู้หญิงตามความประสงค์ของพระยะโฮวา

“สตรีที่ประกาศข่าวประเสริฐนั้นเป็นพวกใหญ่”—เพลง. 68:11

1, 2. (ก) พระเจ้าให้ของขวัญอะไรแก่อาดาม? (ข) ทำไมพระเจ้าจัดเตรียมภรรยาให้อาดาม? (ดูภาพแรก)

พระยะโฮวาสร้างโลก “เพื่อให้เป็นที่อาศัย” สำหรับมนุษย์ (ยซา. 45:18) อาดามมนุษย์คนแรกถูกสร้างอย่างสมบูรณ์แบบ แม้อาดามจะมีความสุขอยู่ในสวนเอเดนที่พระเจ้าสร้างให้เป็นบ้านที่สวยงามเต็มไปด้วยต้นไม้นานาชนิดและสัตว์ที่น่าตื่นตาตื่นใจมากมาย แต่ยังขาดสิ่งสำคัญบางอย่างไป พระยะโฮวาบอกว่า “ซึ่งมนุษย์ผู้นั้นจะอยู่คนเดียวก็ไม่เหมาะ เราจะสร้างขึ้นอีกคนหนึ่ง ให้เป็นคู่เคียงเหมาะกับเขา” พระยะโฮวาทำให้อาดามหลับสนิทแล้วดึงกระดูกซี่โครงของเขาออกมา และใช้กระดูกนั้น “สร้างขึ้นเป็นหญิง” เมื่ออาดามตื่นขึ้นมาเขาต้องดีใจมากแน่ ๆ ที่ได้เห็นหน้าผู้หญิงเป็นครั้งแรก! เขาพูดว่า “นี่เป็นกระดูกแท้และเนื้อแท้ของเรา จะต้องเรียกว่าหญิง เพราะหญิงนี้ออกมาจากชาย”—เย. 2:18-23

2 ผู้หญิงคนนี้เป็นของขวัญที่พระเจ้าให้แก่อาดาม เธอเป็นผู้ช่วยที่สมบูรณ์แบบของอาดามและยังมีสิทธิพิเศษที่จะให้กำเนิดลูก ๆ ได้ด้วย คัมภีร์ไบเบิลบอกว่า “ชายนั้นก็เรียกชื่อภรรยาของตนว่าฮาวา เพราะนางเป็นมารดาของบรรดาชนที่มีชีวิต” (เย. 3:20) ที่จริง อาดามและฮาวาจะให้กำเนิดลูกหลานที่เป็นมนุษย์สมบูรณ์ เต็มแผ่นดินโลก อาดามและฮาวาพ่อแม่คู่แรกและลูกหลานของเขาจะมีโอกาสทำให้ทั่วทั้งโลกเป็นสวนที่สวยงามและดูแลสัตว์ต่าง ๆ—เย. 1:27, 28

3. (ก) อาดามและฮาวาต้องทำอะไรเพื่อเป็นที่รักของพระเจ้า แต่เกิดอะไรขึ้น? (ข) มีคำถามอะไรบ้างที่เราจะพิจารณา?

3 เพื่อจะเป็นที่รักของพระยะโฮวาได้อาดามและฮาวาต้องเชื่อฟังและยอมรับอำนาจของพระองค์ (เย. 2:15-17) เพื่อความประสงค์ของพระเจ้าจะสำเร็จเขาต้องซื่อสัตย์ต่อพระองค์เสมอ น่าเศร้า แทนที่อาดามและฮาวาจะเชื่อฟังพระยะโฮวา พวกเขากลับเชื่อฟังซาตาน “งูตัวแรกเดิม” และฝ่าฝืนคำสั่งของพระเจ้า (เย. 3:1-6; วิ. 12:9) การไม่เชื่อฟังครั้งนั้นส่งผลอย่างไรต่อผู้หญิง? ผู้หญิงที่ซื่อสัตย์ในสมัยก่อนได้ทำอะไรบ้าง? ทำไมทุกวันนี้เราเรียกผู้หญิงคริสเตียนว่าเป็น “พวกใหญ่”?—เพลง. 68:11

ผลของการไม่เชื่อฟัง

4. ใครต้องรับผิดชอบในความผิดของมนุษย์คู่แรก?

4 พระยะโฮวาต้องการให้อาดามบอกว่าทำไมเขาไม่เชื่อฟังพระองค์ แต่เขากลับแก้ตัวง่าย ๆ ว่า “หญิงที่พระองค์ประทานให้อยู่กินกับข้าพเจ้านั้นส่งผลไม้นั้นให้ข้าพเจ้า ๆ จึงรับประทาน” (เย. 3:12) อาดามไม่ได้รู้สึกเสียใจแม้แต่น้อยในสิ่งที่เขาได้ทำ แต่เขาพยายามโยนความผิดให้ฮาวาและถึงกับโทษพระยะโฮวาที่สร้างฮาวาให้มาเป็นภรรยาเขา ถึงแม้ว่าทั้งอาดามและฮาวาทำบาป แต่อาดามต้องรับผิดชอบในความผิดนี้ นี่เป็นเหตุผลที่คัมภีร์ไบเบิลบอกว่า “บาปเข้ามาในโลกเพราะคนคนเดียว [อาดาม] และความตายเกิดขึ้นเพราะบาปนั้น”—โรม 5:12

5. เมื่อมนุษย์ปกครองกันเองผลเป็นอย่างไร?

5 ซาตานหลอกอาดามและฮาวาว่าพวกเขาไม่จำเป็นต้องให้พระยะโฮวาปกครองพวกเขา นี่ทำให้เกิดคำถามว่าใครกันแน่ที่มีสิทธิ์ปกครองมนุษย์ เพื่อจะตอบคำถามนี้ มาดูว่าผลเป็นอย่างไรเมื่อพระยะโฮวายอมให้มนุษย์ปกครองกันเองมาช่วงเวลาหนึ่ง? มนุษย์เป็นต้นเหตุของความหายนะซ้ำแล้วซ้ำอีก แค่หนึ่งร้อยปีที่ผ่านมามีประมาณ 100,000,000 คนถูกฆ่าตายในสงคราม เป็นจริงดังที่พระคัมภีร์บอกไว้ว่า “ไม่ใช่ที่มนุษย์ซึ่งดำเนินนั้นจะได้กำหนดก้าวของตัวได้” (ยิระ. 10:23) นี่เป็นเหตุผลที่เรายอมให้พระยะโฮวาเป็นผู้ปกครองเรา—อ่านสุภาษิต 3:5, 6

6. ในหลายประเทศมีการปฏิบัติอย่างไรต่อผู้หญิงและเด็กผู้หญิง?

6 ผู้ชายและผู้หญิงทั่วโลกต่างก็ต้องทนทุกข์จากการปกครองของซาตาน (ผู้ป. 8:9; 1 โย. 5:19) แต่ผู้หญิงกลับตกเป็นเหยื่ออันโหดร้ายของอาชญากรรม เช่น ทั่วโลกผู้หญิงประมาณ 1 ใน 3 ถูกสามีหรือแฟนทำร้ายร่างกาย ในบางวัฒนธรรมเด็กผู้ชายกลับได้รับการเอาอกเอาใจเป็นพิเศษ เพราะถือว่าเมื่อโตขึ้นเขาจะเอาใจใส่ดูแลพ่อแม่และสืบสกุลต่อไป ในบางประเทศถือว่าลูกสาวไม่มีค่าเลย นี่ทำให้พ่อแม่หลายคนทำแท้งถ้ารู้ว่าลูกในท้องเป็นผู้หญิง

7. ในตอนเริ่มต้นพระเจ้าให้ผู้ชายและผู้หญิงมีชีวิตแบบไหน?

7 พระยะโฮวาไม่มีทางชอบใจที่เห็นผู้หญิงถูกกระทำอย่างโหดร้ายทารุณ เพราะพระองค์ปฏิบัติต่อผู้หญิงอย่างเท่าเทียมและให้เกียรติเสมอ เมื่อพระยะโฮวาสร้างฮาวา เธอไม่ได้ถูกสร้างให้เป็นทาสของอาดาม เธอสมบูรณ์แบบและมีคุณลักษณะยอดเยี่ยมที่จะช่วยเติมเต็มสามีของเธอ นี่เป็นเหตุผลที่พระคัมภีร์บอกว่าหลังจากที่พระยะโฮวาสร้างสิ่งต่าง ๆ เสร็จ พระองค์ “ทอดพระเนตรดูสิ่งทั้งปวงที่พระองค์ทรงสร้างไว้นั้นเห็นว่าดีนัก” (เย. 1:31) แน่นอนว่าชีวิตของอาดามและฮาวาเริ่มต้นอย่างสมบูรณ์แบบ!

 ผู้หญิงที่ได้รับการช่วยเหลือจากพระยะโฮวา

8. (ก) ผู้คนส่วนใหญ่ในโลกมีพฤติกรรมเช่นไร? (ข) ตลอดประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาใครได้รับการช่วยเหลือจากพระยะโฮวา?

8 นับตั้งแต่เกิดการกบฏในสวนเอเดนเป็นต้นมามนุษย์ก็ยังไม่เชื่อฟังพระยะโฮวา ไม่กี่ปีมานี้ นิสัยและพฤติกรรมของคนเราแย่ลงเรื่อย ๆ ไม่ต้องสงสัยเลยว่านี่เป็น “วิกฤตกาลซึ่งยากจะรับมือได้” ตามที่พระคัมภีร์บอกไว้ล่วงหน้าจริง ๆ (2 ติโม. 3:1-5) ทั้ง ๆ ที่ความชั่วมีอยู่เต็มบ้านเต็มเมืองแต่ก็ยังมีชายหญิงจำนวนมากที่เชื่อฟังกฎหมายของพระเจ้าและยอมให้พระองค์ปกครองพวกเขา พวกเขาไว้วางใจพระยะโฮวาและได้รับการช่วยเหลือจากพระองค์—อ่านบทเพลงสรรเสริญ 71:5

9. มีกี่คนที่รอดชีวิตจากน้ำท่วมโลก และทำไมจึงรอด?

9 ในสมัยโนอาห์ พระยะโฮวาทำลายคนชั่วโดยให้น้ำมาท่วมโลกและมีเพียงไม่กี่คนที่รอดชีวิต ถ้าในตอนนั้นโนอาห์มีญาติพี่น้อง พวกเขาคงจะตายไปกับน้ำท่วมโลก (เย. 5:30) ผู้ที่รอดชีวิตครั้งนั้นคือ โนอาห์กับภรรยา ลูกชายสามคนกับภรรยาของพวกเขา เห็นได้ชัดว่าผู้หญิงที่รอดชีวิตจากน้ำท่วมโลกก็มีจำนวนเท่ากับผู้ชาย พวกเขารอดเพราะเชื่อฟังพระยะโฮวาและทำสิ่งที่พระองค์บอกให้ทำ มนุษย์ทุกคนบนโลกนี้ต่างก็สืบเชื้อสายมาจากแปดคนที่พระเจ้าช่วยให้รอดจากน้ำท่วมโลกครั้งนั้น—เย. 7:7; 1 เป. 3:20

10. ทำไมพระยะโฮวาช่วยเหลือและปกป้องภรรยาของบรรพบุรุษผู้ซื่อสัตย์?

10 หลายปีต่อมา ภรรยาของบรรพบุรุษผู้ซื่อสัตย์ยังคงได้รับการช่วยเหลือและการปกป้องจากพระเจ้า พวกเธอไม่ใช่คนที่เอาแต่บ่นเกี่ยวกับชีวิตของตัวเองและพระยะโฮวาก็อวยพรพวกเธอเสมอ (ยูดา 16) หนึ่งในผู้หญิงที่ดีเหล่านั้นคือซาราห์ เมื่อเธอถูกขอให้ย้ายออกจากบ้านที่สะดวกสบายในเมืองอูร์ไปอาศัยอยู่ในเต็นท์ แทนที่จะบ่น เธอ “เชื่อฟังอับราฮาม เรียกท่านว่า ‘นาย’” (1 เป. 3:6) อีกคนที่น่าจะพูดถึงด้วยคือริบะคาห์ ภรรยาของยิศฮาค เธอเป็นเหมือนของขวัญพิเศษจากพระเจ้า พระคัมภีร์บอกว่าหลังจากยิศฮาครับริบะคาห์เป็นภรรยาแล้ว เขา ‘มีความรักใคร่นางมาก และมีใจเบิกบานคลายความโศกเศร้าถึงมารดา’ (เย. 24:67) ทุกวันนี้ ประชาชนของพระยะโฮวาถือเป็นสิทธิพิเศษที่ได้รับใช้ร่วมกับพี่น้องหญิงที่ซื่อสัตย์เหมือนซาราห์และริบะคาห์

11. หญิงชาวอิสราเอลสองคนที่เป็นหมอตำแยแสดงความกล้าหาญอย่างไร?

11 ในสมัยที่ชาวอิสราเอลเป็นทาสในอียิปต์ จำนวนของพวกเขาค่อย ๆ เพิ่มขึ้นจนกลายเป็นชนชาติใหญ่ ฟาโรห์จึงสั่งให้ฆ่าเด็กผู้ชายทุกคนตั้งแต่แรกเกิด ในตอนนั้นมีหญิงชาวอิสราเอลสองคนชื่อซิฟราและพูอาที่เป็นหมอตำแย เธอทั้งสองไม่ยอมทำตามคำสั่งของฟาโรห์ที่ให้ฆ่าเด็กผู้ชายชาวอิสราเอล พวกเธอกล้าหาญเพราะเกรงกลัวพระยะโฮวามากกว่าฟาโรห์ และภายหลังพระยะโฮวาก็อวยพรให้พวกเธอเองมีครอบครัวที่ดี—เอ็ก. 1:15-21

12. ดะโบรากับยาเอลมีบทบาทที่โดดเด่นอะไร?

12 ในสมัยที่ชาติอิสราเอลมีผู้วินิจฉัย พระยะโฮวาได้แต่งตั้งดะโบราให้เป็นผู้พยากรณ์หญิง ดะโบราให้กำลังใจผู้วินิจฉัยบาราคและช่วยชาวอิสราเอลให้รอดและเป็นอิสระจากพวกศัตรู เธอพยากรณ์ว่าคนที่จะได้รับการยกย่องสำหรับชัยชนะเหนือชาวคะนาอันไม่ใช่บาราคแต่จะเป็นผู้หญิงคนหนึ่ง แล้วก็เป็นอย่างนั้นจริง ศัตรูพ่ายแพ้เมื่อยาเอลหญิงที่ไม่ใช่ชาวอิสราเอลฆ่าซีซะราแม่ทัพของชาวคะนาอัน—วินิจ. 4:4-9, 17-22

13. คัมภีร์ไบเบิลพูดถึงอะบีฆายิลอย่างไร?

13 อะบีฆายิลเป็นผู้หญิงอีกคนหนึ่งที่ซื่อสัตย์ซึ่งมีชีวิตอยู่ก่อนพระเยซูคริสต์ประมาณ 1,100 ปี คัมภีร์ไบเบิลบอกว่าเธอเป็นคนดีรอบคอบ แต่นาบาลสามีของเธอ เป็นคนไม่ได้เรื่อง เลวทราม และโง่เขลา (1 ซามู. 25:2, 3, 25) เนื่องจากดาวิดช่วยปกป้องลูกน้องของนาบาล ดาวิดจึงส่งคนไปขอเสบียงอาหารจากนาบาล แต่นาบาล “กลับดุเอาคนเหล่านั้น” และไม่ได้ให้อะไรเลย เมื่อดาวิดรู้อย่างนั้นจึงโกรธมากและวางแผนจะไปจัดการนาบาลกับคนของเขา แต่เมื่ออะบีฆายิลรู้ว่านาบาลได้ทำอะไรลงไป เธอจึงจัดเตรียมอาหารและของกำนัลต่าง ๆ ไปให้ดาวิด ความเฉลียวฉลาดของเธอทำให้ดาวิดไม่ได้ฆ่านาบาล (1 ซามู. 25:8-18) ภายหลังดาวิดบอกเธอว่า “สาธุการแด่พระยะโฮวาพระเจ้าของพวกยิศราเอลที่ทรงโปรดให้เจ้ามาพบเราวันนี้” (1 ซามู. 25:32) หลังจากที่นาบาลตาย ดาวิดก็รับอะบีฆายิลมาเป็นภรรยา—1 ซามู. 25:37-42

14. ลูกสาวของซาลุมช่วยงานอะไร และในทุกวันนี้พี่น้องหญิงหลายคนได้ทำอะไรที่คล้ายกัน?

14 เมื่อกองทัพบาบิโลนมาทำลายพระวิหารและกรุงเยรูซาเลมในปี 607 ก่อน ค.ศ. มีผู้คนทั้งชายหญิงและเด็กล้มตายเป็นจำนวนมาก ในปี 455 ก่อน ค.ศ. กำแพงกรุงเยรูซาเลมถูกสร้างขึ้นใหม่โดยมีนะเฮมยานำหน้า ในหมู่คนงานจำนวนมากที่ร่วมกันสร้างกำแพงเมืองนั้นมีลูกสาวของซาลุมช่วยงานอยู่ด้วย ทั้ง ๆ ที่พ่อของพวกเธอเป็นถึง “ผู้ปกครองแขวงครึ่งหนึ่งของเยรูซาเล็ม” (นเฮม. 3:12, ฉบับมาตรฐาน ) แต่ลูกสาวของซาลุมมีความสุขที่ได้ช่วยงานที่ดูเหมือนต่ำต้อย นี่ทำให้เรานึกถึงพี่น้องหญิงหลายคนที่ช่วยงานสร้างหอประชุมอยู่ทั่วโลกในเวลานี้

ผู้หญิงที่เกรงกลัวพระเจ้าในสมัยพระเยซู

15. มาเรียได้รับสิทธิพิเศษอะไรจากพระยะโฮวา?

15 พระยะโฮวาให้ผู้หญิงหลายคนมีสิทธิพิเศษในการทำงานรับใช้ หนึ่งในนั้นคือมาเรียหญิงพรหมจารีซึ่งเป็นคู่หมั้นของโยเซฟ แต่ก่อนจะแต่งงานกันมาเรียตั้งครรภ์โดยพลังบริสุทธิ์ของพระเจ้า ทำไมพระเจ้าเลือกมาเรียให้เป็นแม่ของพระเยซู? ต้องเป็นเพราะเธอมีคุณสมบัติดีพอแน่ ๆ ที่จะเลี้ยงดูลูกชายที่เป็นมนุษย์สมบูรณ์ของพระองค์ได้ แน่นอนว่านี่เป็นสิทธิพิเศษที่ยิ่งใหญ่มากที่ได้เป็นแม่ของชายผู้ใหญ่ยิ่งที่สุดที่เคยมีชีวิตอยู่บนโลก!—มัด. 1:18-25

16. พระเยซูปฏิบัติต่อผู้หญิงอย่างไร? ขอยกตัวอย่าง

16 พระเยซูปฏิบัติต่อผู้หญิงด้วยความกรุณาเสมอ เช่น เมื่อหญิงคนหนึ่งที่ “มีอาการตกเลือดมาสิบสองปีแล้ว” แตะที่เสื้อของพระเยซูเพราะเชื่อว่าจะทำให้หายจากโรคได้ พระเยซูโมโหเธอไหม? ไม่เลย ท่านกรุณาต่อเธอและพูดกับเธอว่า “ลูกเอ๋ย ความเชื่อของเจ้าทำให้เจ้าหายโรค จงไปอย่างมีความสุขและหายจากอาการป่วยที่ทำให้เจ้าเป็นทุกข์เถิด”—มโก. 5:25-34

17. เกิดอะไรขึ้นในวันเพนเทคอสต์ ค.ศ. 33?

17 ขณะที่พระเยซูกับอัครสาวกกำลังเดินทาง ท่านพบผู้หญิงบางคนที่ต้องได้รับการช่วยเหลือที่จำเป็น (ลูกา 8:1-3) และในวันเพนเทคอสต์ ค.ศ. 33 มีผู้ชายและผู้หญิงประมาณ 120 คนได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์ซึ่งเป็นพลังของพระเจ้า (อ่านกิจการ 2:1-4) นานหลายปีก่อนหน้านั้น พระยะโฮวาบอกว่า “เราจะเทวิญญาณของเรามาเหนือมนุษย์ทุกคน บุตรชายบุตรหญิงของเจ้าจะเผยพระวจนะ . . . เราจะเทวิญญาณของเรามาเหนือแม้กระทั่งคนใช้ชายหญิง” (โยเอล 2:28, 29, ฉบับมาตรฐาน ) การอัศจรรย์ในวันเพนเทคอสต์นั้นพิสูจน์ว่าพระยะโฮวารักผู้ชายและผู้หญิงเหล่านี้และให้พวกเขาเป็น “อิสราเอลของพระเจ้า” (กลา. 3:28; 6:15, 16) ลูกสาวสี่คนของฟิลิปผู้เผยแพร่ข่าวดีอยู่ในจำนวนของผู้หญิงมากมายที่ประกาศข่าวดีในสมัยศตวรรษแรก—กิจ. 21:8, 9

ผู้หญิง “เป็นพวกใหญ่”

18, 19. (ก) พระเจ้าให้สิทธิพิเศษอะไรแก่ทั้งผู้ชายและผู้หญิงที่สนใจคัมภีร์ไบเบิลอย่างจริงจัง? (ข) ผู้แต่งเพลงสรรเสริญพูดถึงผู้หญิงที่ประกาศข่าวดีอย่างไร?

18 ปลายศตวรรษที่ 19 มีผู้ชายและผู้หญิงเพียงไม่กี่ คนที่สนใจความจริงในคัมภีร์ไบเบิลอย่างจริงจัง พวกเขาปูทางไว้เพื่อการประกาศข่าวสารของพระเยซูและมีส่วนทำให้คำพยากรณ์ของท่านสำเร็จที่ว่า “ข่าวดีเรื่องราชอาณาจักรจะได้รับการประกาศไปทั่วแผ่นดินโลกที่มีคนอาศัยอยู่เพื่อให้พยานหลักฐานแก่ทุกชาติ แล้วอวสานจะมาถึง”—มัด. 24:14

19 นักศึกษาคัมภีร์ไบเบิลเพิ่มจำนวนจากกลุ่มเล็ก ๆ มาเป็นพยานพระยะโฮวาซึ่งมีประมาณ 8,000,000 คนในปัจจุบัน นอกจากนั้น ยังมีคนอื่นอีกมากกว่า 11,000,000 คนซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงเข้าร่วมในการระลึกถึงการสละชีวิตของพระเยซู ทั่วโลกมีพยานพระยะโฮวามากกว่า 1,000,000 คนทำงานรับใช้เต็มเวลาซึ่งส่วนใหญ่แล้วเป็นผู้หญิง พระยะโฮวาให้สิทธิพิเศษแก่ผู้หญิงในการเป็นตัวแทนของพระองค์ นี่ทำให้คำพูดของผู้แต่งเพลงสรรเสริญเป็นความจริงที่ว่า “พระเจ้าทรงประทานพระวจนะ สตรีที่ประกาศข่าวประเสริฐนั้นเป็นพวกใหญ่”—เพลง. 68:11

พี่น้องหญิงที่ประกาศข่าวดี “เป็นพวกใหญ่” จริง ๆ (ดูข้อ 18, 19)

ผู้หญิงที่เกรงกลัวพระเจ้าจะได้รับพระพรมากมาย

20. มีเรื่องอะไรบ้างที่เราน่าจะนำมาพิจารณากันในการนมัสการประจำครอบครัวหรือการศึกษาส่วนตัว?

20 เป็นไปไม่ได้ที่บทความนี้จะพูดถึงผู้หญิงที่ซื่อสัตย์ทุกคนที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ แต่เราจะอ่านประสบการณ์ของผู้หญิงเหล่านั้นได้จากหนังสือขององค์การ เราสามารถใคร่ครวญถึงตัวอย่างความภักดีของรูธได้ (รูธ. 1:16, 17) นอกจากนั้น เรายังจะได้รับประโยชน์จากการพิจารณาตัวอย่างของราชินีเอศเธระด้วย ในการนมัสการประจำครอบครัวเราเรียนเกี่ยวกับชีวิตและแบบอย่างของผู้หญิงเหล่านี้ได้ หรือถ้าอยู่คนเดียว เราก็น่าจะอ่านและศึกษาเรื่องราวของผู้หญิงที่รับใช้พระเจ้าในการศึกษาส่วนตัวด้วย

21. พี่น้องหญิงที่ซื่อสัตย์ได้พิสูจน์ตัวว่าพวกเธอภักดีต่อพระยะโฮวาอย่างไร?

21 เห็นได้ชัดว่าพระยะโฮวาอวยพรพี่น้องหญิงที่ซื่อสัตย์ทั้งในงานประกาศและในยามที่พวกเธอเจอกับการทดสอบที่หนักหนาสาหัส เช่น ระหว่างที่พวกคอมมิวนิสต์ปกครองและพวกนาซีต่อต้านอย่างหนัก แม้ว่าพี่น้องหญิงหลายคนต้องทนทุกข์ทรมานและบางคนถึงกับถูกฆ่าเพราะเชื่อฟังพระเจ้า แต่พระยะโฮวาช่วยพี่น้องที่ซื่อสัตย์เหล่านั้นให้รักษาความภักดีต่อพระองค์ได้ (กิจ. 5:29) เช่นเดียวกับพี่น้องหญิงที่ซื่อสัตย์เหล่านั้น ในทุกวันนี้พี่น้องหญิงคริสเตียนและคนอื่น ๆ ได้เลือกพระยะโฮวาให้เป็นผู้ปกครองของพวกเขา พระเจ้าบอกพวกเขาเหมือนกับที่บอกชาวอิสราเอลโบราณว่า “อย่ากลัวเลย เราจะช่วยเจ้า”—ยซา. 41:10-13

22. เราตั้งตารอคอยที่จะได้รับสิทธิพิเศษอะไรบ้างในอนาคต?

22 ในอนาคต ทั้งผู้ชายและผู้หญิงที่เกรงกลัวพระเจ้าจะถูกใช้เพื่อช่วยอีกหลายล้านคนที่ฟื้นขึ้นจากตายให้เรียนรู้เรื่องพระยะโฮวาและสิ่งดี ๆ ที่พระองค์ตั้งใจจะทำให้มวลมนุษย์ ยิ่งกว่านั้น เราจะมีส่วนร่วมในงานฟื้นฟูแผ่นดินโลกให้เป็นอุทยานที่สวยงาม ขอให้เราทุกคนถือว่าเป็นสิทธิพิเศษล้ำค่าที่ได้ “พร้อมใจกัน” รับใช้พระยะโฮวา—ซฟัน. 3:9