ข้ามไปยังเนื้อหา

ข้ามไปยังสารบัญ

“อย่าลืมการประกาศตามบ้านเป็นอันขาด”

“อย่าลืมการประกาศตามบ้านเป็นอันขาด”

“อย่า​ลืม​การ​ประกาศ​ตาม​บ้าน​เป็น​อัน​ขาด”

เล่า​โดย ยาคอบ นอยเฟลด์

“ไม่​ว่า​เกิด​อะไร​ขึ้น อย่า​ลืม​การ​ประกาศ​ตาม​บ้าน​เป็น​อัน​ขาด.” โดย​ที่​ถ้อย​คำ​เหล่า​นี้​แจ่ม​ชัด​อยู่​ใน​จิตใจ​ของ​ผม ผม​เดิน​เท้า​ระยะ​ทาง​เกือบ​ห้า​กิโลเมตร​ไป​ยัง​หมู่​บ้าน​ซึ่ง​อยู่​ใกล้​ที่​สุด. ครั้น​ไป​ถึง ผม​รู้สึก​ไม่​กล้า​ประกาศ​ที่​บ้าน​หลัง​แรก. หลัง​จาก​รู้สึก​กระวนกระวาย​อยู่​พัก​หนึ่ง ผม​ก็​เดิน​เข้า​ป่า​และ​อธิษฐาน​ด้วย​ความ​รู้สึก​เร่าร้อน ทูล​ขอ​พระเจ้า​เพื่อ​จะ​มี​ความ​กล้า​ทำ​การ​ประกาศ. ใน​ที่​สุด ผม​ย้อน​กลับ​ไป​ที่​บ้าน​แรก​และ​สามารถ​ประกาศ​ให้​คำ​พยาน​ได้.

อะไร​เป็น​สาเหตุ​ทำ​ให้​ผม​ไป​ที่​หมู่​บ้าน​อัน​แห้ง​แล้ง​ของ​ประเทศ​ปารากวัย และ​พยายาม​ออก​ประกาศ​ตาม​ลำพัง? ผม​ขอ​กลับ​ไป​เริ่ม​เรื่อง​แต่​แรก. ผม​เกิด​เมื่อ​เดือน​พฤศจิกายน ปี 1923 ที่​หมู่​บ้าน​ครอนสตัล นิคม​เยอรมัน​เมนโนไนต์​ใน​ยูเครน. ณ ช่วง​ปลาย​ศตวรรษ​ที่ 18 พวก​เมนโนไนต์​ได้​อพยพ​จาก​ประเทศ​เยอรมนี​ไป​ยัง​ยูเครน​และ​ได้​รับ​สิทธิ​หลาย​ประการ รวม​ถึง​สิทธิ​เสรีภาพ​ใน​การ​นมัสการ (แต่​ไม่​ได้​สิทธิ​ชักจูง​ผู้​อื่น​ให้​เปลี่ยน​ศาสนา), มี​เขต​ปกครอง​ตน​เอง, และ​ได้​รับ​ยก​เว้น​จาก​การ​เกณฑ์​เป็น​ทหาร.

เมื่อ​พรรค​คอมมิวนิสต์​มี​อำนาจ​ปกครอง​ประเทศ สิทธิ​พิเศษ​ต่าง ๆ ดัง​กล่าว​ถูก​เพิกถอน. พอ​ถึง​ปลาย​ทศวรรษ 1920 ไร่​นา​อัน​กว้าง​ใหญ่​ไพศาล​ของ​พวก​เมนโนไนต์​ถูก​เปลี่ยน​เป็น​ของ​รัฐ. ประชาชน​จะ​ไม่​ได้​อาหาร​นอก​เสีย​จาก​ว่า​ยอม​ร่วม​มือ​กับ​รัฐบาล และ​ถ้า​ต่อ​ต้าน​ก็​จะ​ได้​รับ​การ​ปฏิบัติ​อย่าง​โหด​ร้าย​ทารุณ. ใน​ช่วง​ทศวรรษ 1930 หน่วย​เค​จี​บี (ตำรวจ​ลับ​ของ​อดีต​สหภาพ​โซเวียต) ได้​จับ​กุม​ผู้​ชาย​หลาย​คน ปกติ​แล้ว​มัก​ดำเนิน​การ​ใน​ตอน​กลางคืน จน​ใน​ที่​สุด หลาย​หมู่​บ้าน​เหลือ​ผู้​ชาย​เพียง​ไม่​กี่​คน. นี่​เป็น​เหตุ​การณ์​ที่​เกิด​ขึ้น​ใน​ปี 1938 ตอน​นั้น​ผม​อายุ 14 ปี พ่อ​ถูก​จับ​และ​ผม​ไม่​เห็น​หน้า​พ่อ​หรือ​ได้​ข่าว​จาก​พ่อ​อีก​เลย. สอง​ปี​หลัง​จาก​นั้น พี่​ชาย​ผม​ก็​ถูก​จับ​เช่น​กัน.

ปี 1941 กองทัพ​ของ​ฮิตเลอร์​ได้​ยึด​ครอง​ยูเครน. สำหรับ​พวก​เรา นี่​หมาย​ถึง​การ​หลุด​พ้น​อำนาจ​ปกครอง​ของ​คอมมิวนิสต์. อย่าง​ไร​ก็​ตาม โดย​กะทันหัน​ครอบครัว​ยิว​แปด​ครอบครัว​หาย​ไป​จาก​หมู่​บ้าน​อย่าง​ไม่​เหลือ​ร่องรอย. ประสบการณ์​ต่าง ๆ ใน​ทำนอง​นี้​กลาย​เป็น​คำ​ถาม​คา​ใจ​ผม. ทำไม​เหตุ​การณ์​เช่น​นี้​เกิด​ขึ้น?

ความ​ซื่อ​สัตย์​ช่วย​ชีวิต​ผม

ใน​ปี 1943 กองทัพ​เยอรมัน​ล่า​ถอย​พร้อม​กับ​การ​พา​เอา​ครอบครัว​ชาว​เยอรมัน​ส่วน​ใหญ่ รวม​ทั้ง​สมาชิก​ครอบครัว​ของ​ผม​ที่​เหลือ​อยู่​กลับ​ไป​เพื่อ​ให้​ร่วม​ทำ​สงคราม. พอ​ถึง​ตอน​นั้น ผม​ถูก​เกณฑ์​เป็น​ทหาร​แล้ว และ​ได้​รับ​มอบหมาย​ให้​ประจำ​หน่วย​เอส​เอส (ชูตซ์สตัฟเฟิล กอง​รักษา​การ​ชั้น​ยอด​ของ​ฮิตเลอร์) ใน​โรมาเนีย. เหตุ​การณ์​เล็ก ๆ น้อย ๆ ใน​เวลา​นั้น​ส่ง​ผล​ต่อ​ชีวิต​ของ​ผม​อย่าง​มาก.

ผู้​บังคับ​กองร้อย​ประจำ​หน่วย​รบ​ต้องการ​ทดสอบ​ความ​ซื่อ​สัตย์​ของ​ผม. เขา​สั่ง​ผม​ให้​เอา​เครื่อง​แบบ​ของ​เขา​ไป​ที่​ร้าน​ซัก​แห้ง. ผม​พบ​เงิน​จำนวน​หนึ่ง​ที่​เขา​ตั้งใจ​ใส่​ไว้​ใน​กระเป๋า​เสื้อ​ของ​เขา. เมื่อ​ผม​นำ​เงิน​มา​คืน เขา​พูด​ว่า​เขา​ไม่​ลืม​อะไร​ใน​กระเป๋า. แต่​ผม​ยืน​ยัน​ว่า​ผม​ได้​เงิน​นั้น​มา​จาก​กระเป๋า​ของ​เขา. ไม่​นาน​ต่อ​มา ผม​ถูก​มอบหมาย​ให้​เป็น​ผู้​ช่วย​ของ​เขา และ​ได้​ทำ​งาน​ด้าน​เอกสาร, วาง​ยาม, และ​ดู​แล​การ​เงิน​ใน​หน่วย​ของ​เรา.

คืน​หนึ่ง กองทัพ​รัสเซีย​เข้า​ยึด​หน่วย​ของ​เรา​ได้​ทั้ง​หมด ยก​เว้น​ผม​คน​เดียว ผม​ถูก​ละ​ไว้​เบื้อง​หลัง​เพื่อ​ทำ​งาน​บาง​ส่วน​ของ​ผู้​บังคับ​การ​ให้​เสร็จ. เท่า​ที่​ผม​ทราบ ผม​คน​เดียว​ไม่​ถูก​จับ ทั้ง​นี้​เป็น​เพราะ​ผม​ซื่อ​สัตย์​และ​ได้​รับ​หน้า​ที่​มอบหมาย​พิเศษ. ไม่​เช่น​นั้น ผม​ก็​คง​ถูก​จับ​เช่น​กัน.

ด้วย​เหตุ​นี้ ใน​ปี 1944 ผม​ได้​รับ​อนุญาต​อย่าง​กะทันหัน​ให้​ออก​ประจำการ​จน​กว่า​จะ​มี​คำ​สั่ง​ใหม่. ผม​จึง​กลับ​บ้าน​ไป​เยี่ยม​แม่. ระหว่าง​รอ​การ​เรียก​กลับ ผม​กลาย​เป็น​ลูก​มือ​ฝึก​งาน​ของ​ช่าง​ก่อ​ตึก และ​การ​ฝึก​แบบ​นี้​เป็น​ประโยชน์​ใน​ตอน​หลัง. เดือน​เมษายน ปี 1945 กอง​ทหาร​อเมริกัน​เข้า​ยึด​ครอง​เมือง​ของ​เรา​ใกล้​กับ​มักเดบูร์ก. หนึ่ง​เดือน​ต่อ​มา สงคราม​ได้​สิ้น​สุด​ลง​อย่าง​เป็น​ทาง​การ. เรา​ยัง​มี​ชีวิต​อยู่. ดู​เหมือน​ว่า​อนาคต​ของ​เรา​สดใส.

วัน​หนึ่ง​ใน​เดือน​มิถุนายน เรา​ได้​ยิน​คำ​ประกาศ​จาก​โฆษก​ประจำ​เมือง​ประกาศ​ว่า “กอง​ทหาร​อเมริกัน​ได้​ถอน​กำลัง​ออก​ไป​เมื่อ​คืน​ที่​แล้ว และ​ทหาร​รัสเซีย​จะ​มา​ถึง​วัน​นี้ เวลา 11:00 น.” เรา​รู้สึก​ใจ​หาย​ทันที​เมื่อ​รู้​ว่า​เรา​ถูก​ดัก​ไว้​ใน​เขต​ควบคุม​ของ​คอมมิวนิสต์. ผม​และ​ลูก​พี่​ลูก​น้อง​คน​หนึ่ง​เริ่ม​วาง​แผน​เตรียม​หลบ​หนี​ทันที. เรา​ได้​ข้าม​เข้า​ไป​ใน​เขต​ทหาร​อเมริกัน​ตอน​กลาง​ฤดู​ร้อน. ครั้น​แล้ว ใน​เดือน​พฤศจิกายน ด้วย​ความ​ยาก​ลำบาก​มาก​มาย ทั้ง​ต้อง​เสี่ยง​ต่อ​การ​ถูก​จับ เรา​ได้​ย้อน​กลับ​มา​ใน​เขต​รัสเซีย​แล้ว​แอบ​พา​ครอบครัว​ของ​เรา​หนี​ข้าม​แดน.

“ตั้งใจ​ฟัง​ให้​ดี​และ​นำ​มา​เทียบเคียง​กัน”

เรา​ตั้ง​หลัก​แหล่ง​ใน​เขต​พื้น​ที่​ซึ่ง​เวลา​นั้น​คือ​เยอรมนี​ตะวัน​ตก. ไม่​นาน​หลัง​จาก​นั้น ผม​รู้สึก​ว่า​ตัว​เอง​เริ่ม​ชอบ​คัมภีร์​ไบเบิล. พอ​ถึง​วัน​อาทิตย์ ผม​จะ​เข้า​ไป​ใน​ป่า​อ่าน​พระ​คัมภีร์ แต่​เรื่อง​ที่​ผม​อ่าน​ดู​เหมือน​ว่า​มัน​แปลก ๆ พรรณนา​เหตุ​การณ์​ที่​เกิด​ขึ้น​นาน​มา​แล้ว. นอก​จาก​นั้น ผม​ได้​เข้า​กลุ่ม​เรียน​หลัก​คำ​สอน​ของ​คริสตจักร​เพื่อ​เตรียม​ตัว​รับ​บัพติสมา​ฐานะ​เป็น​สมาชิก​นิกาย​เมนโนไนต์. ผม​ประหลาด​ใจ​มาก​เมื่อ​พบ​ถ้อย​คำ​ใน​หนังสือ​คู่มือ​ถาม​ตอบ​ของ​คริสตจักร​ที่​ว่า “พระ​บิดา​เป็น​พระเจ้า, พระ​บุตร​เป็น​พระเจ้า, และ​พระ​วิญญาณ​บริสุทธิ์​เป็น​พระเจ้า” ตาม​ด้วย​คำ​ถาม “มี​พระเจ้า​สาม​องค์​หรือ?” คำ​ตอบ​ปรากฏ​อยู่​ข้าง​ล่าง: “ไม่​ใช่ สาม​องค์​เป็น​องค์​เดียว.” ผม​ถาม​นัก​เทศน์​ว่า​เป็น​ไป​ได้​อย่าง​ไร. เขา​กลับ​ตอบ​อย่าง​นี้: “นี่​พ่อ​หนุ่ม อย่า​เอา​จริง​เอา​จัง​เกิน​ไป​กับ​เรื่อง​พรรค์​นี้ บาง​คน​คิด​มาก​จน​เป็น​บ้า​เสีย​สติ​ไป​เลย.” ผม​เลย​ตัดสิน​ใจ​ตอน​นั้น​ไม่​รับ​บัพติสมา.

ไม่​กี่​วัน​ต่อ​มา ผม​ได้​ยิน​คน​แปลก​หน้า​คุย​กับ​ลูก​พี่​ลูก​น้อง​ของ​ผม. ด้วย​ความ​อยาก​รู้ ผม​เข้า​ไป​ร่วม​วง​สนทนา และ​ผม​ถาม​เขา​สอง​สาม​ข้อ. ตอน​นั้น​ผม​ไม่​รู้​ว่า​ชาย​แปลก​หน้า​คน​นี้​คือ​เอริค นิโคไล​ซิก ผู้​รอด​ชีวิต​จาก​ค่าย​กัก​กัน​เวเวลส์บูร์ก. เขา​ถาม​ผม​ว่า​อยาก​เข้าใจ​คัมภีร์​ไบเบิล​หรือ​ไม่. เมื่อ​ผม​บอก​ว่า​ต้องการ เขา​ให้​คำ​รับรอง​ว่า​ทุก​สิ่ง​ที่​เขา​สอน​ผม​สามารถ​พิสูจน์​ยืน​ยัน​ได้​จาก​พระ​คัมภีร์​ของ​ผม​เอง.

หลัง​การ​เยี่ยม​เพียง​สอง​สาม​ครั้ง เอริค​ได้​ชวน​ผม​ไป​ยัง​การ​ประชุม​ใหญ่​ของ​พยาน​พระ​ยะโฮวา ซึ่ง​ผม​เชื่อ​ว่า​นี่​เป็น​หนึ่ง​ใน​การ​ประชุม​ใหญ่​ครั้ง​แรก ๆ หลัง​สงคราม. ผม​ประทับใจ​มาก และ​ผม​จด​คัมภีร์​ทุก​ข้อ​ที่​ผู้​บรรยาย​ยก​ขึ้น​มา​อ่าน​หรือ​อ้าง​ถึง. ไม่​นาน​ผม​ก็​ตระหนัก​ว่า​การ​เรียน​รู้​สิ่ง​ที่​พระ​คัมภีร์​สอน​นำ​มา​ซึ่ง​หน้า​ที่​รับผิดชอบ​บาง​ประการ และ​ผม​ตัดสิน​ใจ​ยุติ​การ​ศึกษา. นอก​จาก​นั้น ผม​รู้สึก​ว่า​ยาก​จะ​ยอม​รับ​ว่า​มี​ศาสนา​เดียว​เป็น​ศาสนา​แท้. ครั้น​เอริค​เห็น​ว่า​ผม​ปลง​ใจ​แน่วแน่​จะ​หวน​กลับ​ไป​หา​คริสตจักร​เดิม เขา​เตือน​สติ​ผม​ดัง​นี้: “ตั้งใจ​ฟัง​ให้​ดี​และ​นำ​มา​เทียบเคียง​กัน.”

ผม​แวะ​ไป​หา​นัก​เทศน์​เพียง​สอง​ครั้ง หลัง​จาก​นั้น​ผม​ได้​มา​ตระหนัก​ว่า​พวก​เขา​พูด​ไม่​เข้า​เรื่อง และ​ไม่​รู้​ความ​จริง​เกี่ยว​กับ​คัมภีร์​ไบเบิล​แน่ ๆ. ผม​เขียน​ถึง​นัก​เทศน์​นัก​บวช​หลาย​คน​ถาม​ปัญหา​เกี่ยว​กับ​พระ​คัมภีร์. คน​หนึ่ง​ตอบ​อย่าง​นี้: “คุณ​ไม่​มี​สิทธิ์​จะ​ค้นคว้า​พระ​คัมภีร์​เนื่อง​จาก​คุณ​ยัง​ไม่​ได้​บังเกิด​ใหม่.”

ตอน​นั้น ผู้​หญิง​ที่​ผม​คบหา​อยู่​ได้​คาด​คั้น​ให้​ผม​ตัดสิน​ใจ​เลือก. เธอ​เป็น​สมาชิก​นิกาย​เมนโนไนต์​ที่​เชื่อ​เรื่อง​การ​บังเกิด​ใหม่. โดย​ยอม​ต่อ​แรง​กดดัน​ของ​ครอบครัว​เธอ​ซึ่ง​เกลียด​พยาน​พระ​ยะโฮวา เธอ​ยื่น​คำ​ขาด​ให้​ผม หาก​ผม​ยัง​คง​ยึด​ศาสนา​ใหม่​นี้ เธอ​จะ​ตัด​รัก​ผม​ทันที. พอ​ถึง​ตอน​นั้น ความ​จริง​ก็​ชัด​แจ้ง​มาก​พอ ทำ​ให้​ผม​รู้​ว่า​ทาง​เลือก​ที่​ถูก​ต้อง​มี​ทาง​เดียว​เท่า​นั้น—ผม​จึง​เลิก​คบหา​กับ​เธอ.

หลัง​จาก​นั้น​ไม่​นาน เอริค​กลับ​มา​เยี่ยม​อีก. เขา​กล่าว​ว่า​ได้​มี​กำหนดการ​ให้​บัพติสมา​ใน​สัปดาห์​ถัด​ไป และ​ถาม​ผม​มี​ความ​ประสงค์​จะ​รับ​บัพติสมา​หรือ​ไม่. ผม​ลง​ความ​เห็น​แล้ว​ว่า​พยาน​พระ​ยะโฮวา​สอน​ความ​จริง และ​ผม​ต้องการ​รับใช้​พระ​ยะโฮวา​พระเจ้า. ดัง​นั้น ผม​จึง​ตอบรับ​คำ​เชิญ​ของ​เขา​และ​ได้​รับ​บัพติสมา​ใน​อ่าง​อาบ​น้ำ​เมื่อ​เดือน​พฤษภาคม ปี 1948.

หลัง​การ​รับ​บัพติสมา​ได้​ไม่​นาน ครอบครัว​ของ​ผม​ตัดสิน​ใจ​อพยพ​ไป​ที่​ประเทศ​ปารากวัย อเมริกา​ใต้ และ​แม่​ขอร้อง​ให้​ผม​ไป​ด้วย. ผม​ไม่​สู้​จะ​เต็ม​ใจ​นัก เพราะ​ผม​ต้องการ​ศึกษา​พระ​คัมภีร์​และ​รับ​การ​สอน​ให้​มาก​ขึ้น. ตอน​ที่​ผม​ไป​เยือน​สำนักงาน​สาขา​ของ​พยาน​พระ​ยะโฮวา​ใน​วีสบาเดิน ผม​ได้​พบ​เอากุสท์ เพเทอร์ส. เขา​เตือน​ผม​ให้​นึก​ถึง​หน้า​ที่​รับผิดชอบ​ที่​ต้อง​ดู​แล​ครอบครัว​ตัว​เอง. เขา​แนะ​นำ​ผม​ด้วย​ว่า “ไม่​ว่า​เกิด​อะไร​ขึ้น อย่า​ลืม​การ​ประกาศ​ตาม​บ้าน​เป็น​อัน​ขาด. ถ้า​คุณ​ลืม คุณ​จะ​เป็น​เหมือน​สมาชิก​นิกาย​หนึ่ง​แห่ง​คริสต์​ศาสนจักร.” ตราบ​ทุก​วัน​นี้ ผม​สำนึก​ถึง​ความ​สำคัญ​ของ​คำ​แนะ​นำ​นั้น​และ​ความ​จำเป็น​ที่​จะ​ประกาศ “ตาม​บ้าน​เรือน.”—กิจการ 20:20, 21.

“ผู้​พยากรณ์​เท็จ” ใน​ประเทศ​ปารากวัย

ไม่​นาน​หลัง​จาก​พบ​กับ​เอากุสท์ เพเทอร์ส ผม​กับ​ครอบครัว​ก็​ลง​เรือ​มุ่ง​สู่​อเมริกา​ใต้. การ​เดิน​ทาง​ของ​เรา​สิ้น​สุด​ที่​ภูมิภาค​กรานชาโค ประเทศ​ปารากวัย ซึ่ง​ทำ​ให้​เรา​มา​อยู่​ใน​นิคม​ของ​พวก​เมนโนไนต์​อีก​ครั้ง​หนึ่ง. สอง​สัปดาห์​หลัง​จาก​ที่​เรา​มา​ถึง ผม​ได้​เดิน​ไป​ประกาศ​ตาม​หมู่​บ้าน​ใกล้​เคียง​โดย​ลำพัง​เหมือน​ที่​ผม​เล่า​ตอน​ต้น. ข่าว​ลือ​แพร่​สะพัด​ว่า​มี “ผู้​พยากรณ์​เท็จ” ใน​หมู่​ผู้​มา​ใหม่.

ตอน​นี้​แหละ​การ​ที่​ผม​ได้​ฝึก​งาน​เป็น​ช่าง​ก่อ​ตึก​ปรากฏ​ว่า​มี​ค่า​อย่าง​ยิ่ง. ครอบครัว​ผู้​อพยพ​แต่​ละ​ราย​ต้องการ​สร้าง​บ้าน​ก่อ​ด้วย​อิฐ ใช้​ใบ​จาก​มุง​หลังคา. หก​เดือน​ต่อ​จาก​นั้น ผม​ทำ​งาน​สร้าง​บ้าน​ไม่​เคย​ว่าง​เว้น และ​มี​หลาย​โอกาส​ที่​ผม​ได้​ประกาศ​อย่าง​ไม่​เป็น​ทาง​การ. ประชาชน​มี​มารยาท​พอ​สม​ควร แต่​พอ​ก่อ​ผนัง​บ้าน​ทั้ง​สี่​ด้าน​เสร็จ​แล้ว พวก​เขา​ดีใจ​ที่​ผม​ไม่​มา​ให้​เขา​เห็น​หน้า​อีก.

ใน​ช่วง​นั้น เรือ​โดยสาร​ได้​ขน​ส่ง​ผู้​ลี้​ภัย​ชาว​เมนโนไนต์​จาก​เยอรมนี​เข้า​มา​ใน​ประเทศ​นี้​อีก. หญิง​สาว​คน​หนึ่ง​ชื่อ​คาเทรีนา เชลเลนแบร์ก​เป็น​หนึ่ง​ใน​จำนวน​นี้​ที่​เคย​ติด​ต่อ​พยาน​ฯ​ระยะ​หนึ่ง และ​เธอ​ยอม​รับ​เกือบ​ใน​ทันที​ว่า​สิ่ง​ที่​พวก​พยาน​ฯ​สอน​นั้น​เป็น​ความ​จริง. แม้​ยัง​ไม่​ได้​รับ​บัพติสมา เธอ​ก็​แสดง​ตัว​เป็น​พยาน​พระ​ยะโฮวา​ขณะ​อยู่​บน​เรือ. ด้วย​เหตุ​นี้​เอง เธอ​ไม่​ได้​รับ​อนุญาต​ให้​เดิน​ทาง​เข้า​นิคม​เยอรมัน. เธอ​ถูก​ทิ้ง​ให้​อยู่​อย่าง​เดียว​ดาย​ใน​เมือง​อะซุนซิโอน เมือง​หลวง​ของ​ปารากวัย ครั้น​แล้ว​เธอ​ก็​ได้​งาน​ทำ โดย​เป็น​คน​รับใช้​ใน​บ้าน, เธอ​ฝึก​เรียน​ภาษา​สเปน, สืบ​หา​ที่​อยู่​ของ​พยาน​ฯ​จน​พบ, และ​รับ​บัพติสมา. ใน​เดือน​ตุลาคม ปี 1950 ผม​ได้​ผู้​หญิง​คน​นี้​ที่​กล้า​สู้​ไม่​ท้อ​ถอย​มา​เป็น​ภรรยา​ของ​ผม. เธอ​พิสูจน์​ตัว​เป็น​ผู้​สนับสนุน​และ​ช่วยเหลือ​ผม​ใน​ทุก​สิ่ง​ที่​เรา​ต้อง​ฝ่า​ฟัน​ด้วย​กัน​มา​ตลอด​หลาย​ปี.

ใน​ช่วง​เวลา​สั้น ๆ ผม​เก็บ​ออม​เงิน​ได้​พอ​ซื้อ​รถ​เทียม​ม้า​และ​ม้า​อีก​สอง​ตัว และ​ผม​ใช้​รถ​ม้า​คัน​นี้​ใน​งาน​ประกาศ ผม​จด​จำ​คำ​เตือน​ของ​บราเดอร์​เพเทอร์ส​ไว้​ตลอด​เวลา. ขณะ​นั้น น้อง​สาว​ของ​ผม​ซึ่ง​ได้​มา​เป็น​พยาน​ฯ​เช่น​กัน​สมทบ​กับ​เรา. เรา​มัก​ตื่น​นอน​ตอน​ตี​สี่, เดิน​ทาง​สี่​ชั่วโมง, และ​ประกาศ​สอง​หรือ​สาม​ชั่วโมง​แล้ว​กลับ​บ้าน.

ผม​ได้​อ่าน​ใน​สรรพหนังสือ​ของ​พวก​เรา​ว่า​มี​การ​จัด​การ​บรรยาย​สาธารณะ ดัง​นั้น ผม​จึง​จัด​เตรียม​คำ​บรรยาย. ผม​ไม่​เคย​เข้า​ร่วม​การ​ประชุม​ประชาคม​ใน​เยอรมนี​แม้​แต่​ครั้ง​เดียว ฉะนั้น ผม​ได้​แต่​เพียง​คาด​เดา​ว่า​การ​ประชุม​ควร​จัด​อย่าง​ไร​และ​ได้​บรรยาย​เรื่อง​ราชอาณาจักร​ของ​พระเจ้า. การ​ประชุม​คราว​นั้น​มี​แปด​คน​ไป​ร่วม​ฟัง และ​นี่​ก็​มาก​ไป​สำหรับ​นัก​เทศน์​นิกาย​เมนโนไนต์. พวก​เขา​จัด​การ​รณรงค์​ให้​เก็บ​สรรพหนังสือ​ทุก​ชิ้น​ที่​เกี่ยว​ข้อง​กับ​คัมภีร์​ไบเบิล​ที่​พวก​เรา​จ่าย​แจก​ประชาชน​มา​ให้​หมด ทั้ง​ยัง​สั่ง​ห้าม​ประชาชน​ทักทาย​พวก​เรา​ด้วย.

ต่อ​มา ผม​ถูก​เรียก​ตัว​ให้​ไป​ที่​สำนักงาน​ใหญ่​ฝ่าย​บริหาร​นิคม​และ​ถูก​ผู้​บริหาร​และ​นัก​เทศน์​สอง​คน​จาก​แคนาดา​ซัก​ถาม​อยู่​นาน​หลาย​ชั่วโมง. ใน​ที่​สุด คน​หนึ่ง​พูด​ว่า “พ่อ​หนุ่ม คุณ​จะ​เชื่อ​อะไร​ก็​ได้​ตาม​ใจ​ชอบ แต่​ต้อง​สัญญา​ว่า​จะ​ไม่​พูด​เรื่อง​ความ​เชื่อ​ของ​คุณ​กับ​ใคร ๆ ทั้ง​สิ้น.” นั่น​เป็น​สัญญา​ซึ่ง​ผม​ไม่​อาจ​ตก​ลง​ได้. ดัง​นั้น พวก​เขา​ออก​คำ​สั่ง​ให้​ผม​ไป​จาก​นิคม เพราะ​เขา​ไม่​ต้องการ “ผู้​พยากรณ์​เท็จ” อยู่​ท่ามกลาง “พวก​พี่​น้อง​ที่​ซื่อ​สัตย์.” ครั้น​ผม​ปฏิเสธ เขา​จึง​เสนอ​จะ​จ่าย​ค่า​เคลื่อน​ย้าย​สำหรับ​ทุก​คน​ใน​ครอบครัว. ผม​ก็​ยัง​คง​ยืนกราน​หนักแน่น และ​ไม่​ยอม​เคลื่อน​ย้าย.

ฤดู​ร้อน​ปี 1953 ผม​ได้​ไป​ร่วม​การ​ประชุม​ภาค​ที่​เมือง​อะซุนซิโอน. ที่​นั่น ผม​ได้​พูด​คุย​กับ​นาทาน นอรร์​จาก​สำนักงาน​ใหญ่​ของ​พยาน​พระ​ยะโฮวา​ใน​บรุกลิน นิวยอร์ก. ท่าน​ได้​แนะ​นำ​ผม​ให้​ย้าย​ไป​อยู่​ใน​เมือง​หลวง และ​ทำ​งาน​กับ​มิชชันนารี​กลุ่ม​เล็ก ๆ ที่​ถูก​มอบหมาย​ไป​ที่​นั่น โดย​เฉพาะ​อย่าง​ยิ่ง เนื่อง​จาก​การ​ประกาศ​ของ​เรา​ใน​นิคม​เมนโนไนต์​ไม่​ค่อย​บังเกิด​ผล.

จัด​ให้​ราชอาณาจักร​ของ​พระเจ้า​เป็น​อันดับ​แรก

สมัย​นั้น​ทั่ว​ประเทศ​ปารากวัย​มี​พยาน​ฯ​เพียง 35 คน. ผม​ได้​หารือ​กับ​ภรรยา​ด้วย​เรื่อง​การ​คิด​จะ​ย้าย​ไป​อยู่​เมือง​ใหญ่ แม้​ไม่​ค่อย​ชอบ กระนั้น เธอ​ก็​เต็ม​ใจ​จะ​ตั้ง​ต้น​ใหม่. ปี 1954 ผม​กับ​คา​เท​รีนา​ได้​สร้าง​บ้าน​อิฐ—เพียง​เรา​สอง​คน​และ​ทำ​ใน​เวลา​ว่าง. เรา​ไม่​เคย​ขาด​การ​ประชุม และ​ใน​วัน​สุด​สัปดาห์​เรา​ได้​พูด​คุย​กับ​ประชาชน​เสมอ​ถึง​เรื่อง​คัมภีร์​ไบเบิล.

หน้า​ที่​มอบหมาย​พิเศษ​อย่าง​หนึ่ง​ของ​ผม​คือ​เดิน​ทาง​ไป​กับ​ผู้​ดู​แล​หมวด ทำ​หน้า​ที่​เป็น​ล่าม​ใน​ระหว่าง​การ​เยี่ยม​นิคม​ชาว​เยอรมัน​ใน​ปารากวัย. เนื่อง​จาก​ผม​รู้​ภาษา​สเปน​เพียง​เล็ก​น้อย ครั้ง​แรก​ที่​ผม​แปล​คำ​บรรยาย​จาก​ภาษา​สเปน​เป็น​เยอรมัน​น่า​จะ​เป็น​งาน​มอบหมาย​ครั้ง​ที่​ยาก​ที่​สุด​ของ​ผม.

เนื่อง​จาก​ภรรยา​มี​ปัญหา​ด้าน​สุขภาพ เรา​จึง​ย้าย​ไป​อยู่​ใน​ประเทศ​แคนาดา ปี 1957. แล้ว​ย้าย​ไป​ที่​ประเทศ​สหรัฐ​ใน​ปี 1963. ไม่​ว่า​เรา​อยู่​ที่​ไหน เรา​พยายาม​จัด​ให้​ผล​ประโยชน์​แห่ง​ราชอาณาจักร​ของ​พระเจ้า​เป็น​อันดับ​แรก​ใน​ชีวิต​ของ​เรา​เสมอ. (มัดธาย 6:33) ผม​ขอบพระคุณ​พระ​ยะโฮวา​พระเจ้า​อย่าง​แท้​จริง​ที่​พระองค์​ทรง​ให้​โอกาส​ผม​ได้​เรียน​ความ​จริง​จาก​คัมภีร์​ไบเบิล พระ​คำ​ของ​พระองค์​ใน​ตอน​ที่​ผม​ยัง​หนุ่มแน่น. การ​ฝึก​อบรม​ฝ่าย​วิญญาณ​เช่น​นั้น​ช่วย​ผม​มาก​มาย​หลาย​ประการ​ตลอด​ชีวิต​ของ​ผม!

นับ​ว่า​เป็น​สิทธิ​พิเศษ​เลิศ​ล้ำ​ที่​ช่วย​ผู้​คน​เรียน​รู้​ความ​จริง​อัน​ยอด​เยี่ยม​จาก​คัมภีร์​ไบเบิล ซึ่ง​ได้​ทำ​ให้​ผม​สบาย​ใจ​มาก. ความ​ปีติ​ยินดี​ของ​ผม​คือ​ลูก​ทุก​คน​รวม​ถึง​หลาน ๆ ได้​รับ​ประโยชน์​เนื่อง​ด้วย​การ​ฝึก​อบรม​จาก​คัมภีร์​ไบเบิล​ตั้ง​แต่​ปฐม​วัย. ลูก​หลาน​ทุก​คน​กำลัง​ปฏิบัติ​ตาม​คำ​แนะ​นำ​ของ​บราเดอร์​เพเทอร์ส ผู้​ซึ่ง​บอก​ผม​นาน​มา​แล้ว​ว่า “อย่า​ลืม​การ​ประกาศ​ตาม​บ้าน​เป็น​อัน​ขาด.”

[คำ​โปรย​หน้า 22]

ความ​ปีติ​ยินดี​ของ​ผม​อยู่​ที่​การ​ได้​เห็น​บุตร​ชาย​หญิง​ทุก​คน​และ​หลาน ๆ ได้​รับ​ประโยชน์​เนื่อง​ด้วย​การ​ฝึก​อบรม​จาก​คัมภีร์​ไบเบิล​ตั้ง​แต่​ปฐม​วัย

[ภาพ​หน้า 20, 21]

ผม​กับ​คา​เท​รีนา ไม่​นาน​ก่อน​วัน​สมรส​ของ​เรา​ใน​ปี 1950

[ภาพ​หน้า 21]

กับ​ลูก​คน​แรก​ที่​บ้าน​ของ​เรา​ใน​ปารากวัย ปี 1952

[ภาพ​หน้า 23]

กับ​ครอบครัว​ขยาย​ของ​เรา​ใน​ปัจจุบัน

[ที่​มา​ของ​ภาพ]

Photo by Keith Trammel © 2000

[ภาพ​หน้า 19]

Photo by Keith Trammel © 2000