ข้ามไปยังเนื้อหา

ข้ามไปยังสารบัญ

มนุษย์ไม่ได้ดำรงชีวิตด้วยอาหารสิ่งเดียว—ผมรอดจากค่ายกักกันของนาซีได้อย่างไร?

มนุษย์ไม่ได้ดำรงชีวิตด้วยอาหารสิ่งเดียว—ผมรอดจากค่ายกักกันของนาซีได้อย่างไร?

มนุษย์​ไม่​ได้​ดำรง​ชีวิต​ด้วย​อาหาร​สิ่ง​เดียว—ผม​รอด​จาก​ค่าย​กัก​กัน​ของ​นาซี​ได้​อย่าง​ไร?

เล่า​โดย โชเซฟ ฮีซีเกอร์

ผม​ถาม​นัก​โทษ​ด้วย​กัน​ว่า “คุณ​กำลัง​อ่าน​อะไร?” เขา​ตอบ​ว่า “คัมภีร์​ไบเบิล. ผม​จะ​ให้​คุณ​โดย​แลก​กับ​ส่วน​แบ่ง​ขนมปัง​หนึ่ง​สัปดาห์.”

ผม​เกิด​วัน​ที่ 1 มีนาคม 1914 ที่​เขต​โมแซล ซึ่ง​ตอน​นั้น​เป็น​ส่วน​ของ​เยอรมนี. หลัง​จาก​ที่​สงคราม​โลก​ครั้ง​ที่ 1 ยุติ​ลง​ใน​ปี 1918 โมแซล​ตก​เป็น​ของ​ฝรั่งเศส​อีก​เหมือน​เดิม. ใน​ปี 1940 เขต​นี้​ก็​ตก​เป็น​ของ​เยอรมนี​อีก​ครั้ง. ต่อ​มา เมื่อ​สงคราม​โลก​ครั้ง​ที่ 2 ยุติ​ลง​ใน​ปี 1945 โมแซล​ก็​เป็น​ส่วน​ของ​ฝรั่งเศส​อีก. สัญชาติ​ของ​ผม​ต้อง​เปลี่ยน​ไป​ใน​แต่​ละ​ครั้ง ผม​จึง​พูด​ได้​ทั้ง​ภาษา​เยอรมัน​และ​ฝรั่งเศส.

พ่อ​แม่​ของ​ผม​เป็น​ชาว​คาทอลิก​ที่​เคร่ง​ศาสนา. ครอบครัว​ของ​เรา​จะ​คุกเข่า​อธิษฐาน​ก่อน​เข้า​นอน​ทุก​คืน. เรา​ไป​โบสถ์​ทุก​วัน​อาทิตย์​และ​วัน​หยุด​ราชการ. ผม​นับถือ​ศาสนา​อย่าง​จริงจัง​และ​เป็น​สมาชิก​ของ​กลุ่ม​การ​ศึกษา​นิกาย​โรมัน​คาทอลิก.

ผม​ได้​มา​เป็น​พยาน​พระ​ยะโฮวา​ที่​ขยัน​ขันแข็ง

ใน​ปี 1935 พยาน​พระ​ยะโฮวา​สอง​คน​ได้​มา​เยี่ยม​พ่อ​แม่​ของ​ผม. การ​สนทนา​ได้​พูด​ถึง​เรื่อง​ที่​ศาสนา​เข้า​ไป​พัวพัน​กับ​สงคราม​โลก​ครั้ง​ที่ 1. หลัง​จาก​นั้น ผม​ต้องการ​เรียน​รู้​เกี่ยว​กับ​พระ​คัมภีร์​มาก​ขึ้น​และ​ใน​ปี 1936 ผม​ได้​ขอ​พระ​คัมภีร์​หนึ่ง​เล่ม​จาก​บาทหลวง. เขา​บอก​ว่า​ผม​จะ​ต้อง​เรียน​เทววิทยา​เพื่อ​จะ​เข้าใจ​พระ​คัมภีร์​ได้. อย่าง​ไร​ก็​ตาม เรื่อง​นี้​ทำ​ให้​ผม​ต้องการ​พระ​คัมภีร์​สัก​เล่ม​หนึ่ง​และ​ยิ่ง​อยาก​อ่าน​พระ​คัมภีร์​ให้​มาก​ขึ้น.

ใน​เดือน​มกราคม 1937 เพื่อน​ร่วม​งาน​ชื่อ​อัลบิน เรอเลวิตส์ ซึ่ง​เป็น​พยาน​ฯ คน​หนึ่ง เริ่ม​พูด​กับ​ผม​เกี่ยว​กับ​สิ่ง​ที่​พระ​คัมภีร์​สอน. ผม​ถาม​ว่า “คุณ​มี​พระ​คัมภีร์​สัก​เล่ม​ไหม?” เขา​มี​และ​ไม่​นาน​หลัง​จาก​นั้น​เขา​ก็​ได้​ชี้​ให้​ผม​ดู​พระ​นาม​ยะโฮวา​จาก​ฉบับ​แปล​เอลเบอร์​เฟลเดอร์​ภาษา​เยอรมัน ซึ่ง​เขา​มอบ​ให้​ผม. ผม​กลาย​เป็น​นัก​อ่าน​ที่​กระตือรือร้น​และ​เริ่ม​เข้า​ร่วม​การ​ประชุม​ของ​พวก​พยาน​ฯ ใน​เมือง​ตียงวีลล์​ที่​อยู่​ใกล้ ๆ.

ใน​เดือน​สิงหาคม 1937 ผม​กับ​อัล​บิน​ได้​ไป​ร่วม​การ​ประชุม​นานา​ชาติ​ของ​พยาน​ฯ ใน​กรุง​ปารีส. ผม​ได้​เริ่ม​ประกาศ​ตาม​บ้าน​ที่​นั่น. หลัง​จาก​นั้น​ไม่​นาน ผม​ได้​รับ​บัพติสมา และ​ช่วง​ต้น​ปี 1939 ผม​ได้​เป็น​ไพโอเนียร์ หรือ​คริสเตียน​ที่​ประกาศ​เต็ม​เวลา. ผม​ได้​รับ​มอบหมาย​ให้​ไป​ยัง​เมือง​เมตซ์. ต่อ​มา​ใน​เดือน​กรกฎาคม ผม​ได้​รับ​การ​เชิญ​ให้​ทำ​งาน​ที่​สำนักงาน​สาขา​ของ​พยาน​พระ​ยะโฮวา​ใน​กรุง​ปารีส.

ความ​ทุกข์​ลำบาก​ใน​ช่วง​สงคราม

ผม​ได้​รับใช้​ที่​สำนักงาน​สาขา​ใน​ช่วง​สั้น ๆ เนื่อง​จาก​ใน​เดือน​สิงหาคม 1939 ผม​ถูก​เกณฑ์​เป็น​ทหาร​ใน​กองทัพ​ฝรั่งเศส. ผม​ไม่​อาจ​เข้า​ร่วม​สงคราม​เนื่อง​จาก​สติ​รู้สึก​ผิด​ชอบ ผม​จึง​ต้อง​ถูก​ตัดสิน​ลง​โทษ​ใน​เรือน​จำ. ต่อ​มา​ใน​เดือน​พฤษภาคม​ขณะ​ที่​ผม​อยู่​ใน​คุก เยอรมนี​ได้​บุก​ฝรั่งเศส​แบบ​สาย​ฟ้า​แลบ. ใน​เดือน​มิถุนายน ฝรั่งเศส​ก็​พ่าย​แพ้​และ​ผม​กลาย​เป็น​ชาว​เยอรมัน​อีก​ครั้ง. ใน​เดือน​กรกฎาคม 1940 เมื่อ​ถูก​ปล่อย​จาก​เรือน​จำ ผม​ก็​ได้​กลับ​ไป​อยู่​กับ​พ่อ​แม่.

เนื่อง​จาก​เรา​อยู่​ภาย​ใต้​การ​ปกครอง​ของ​นาซี เรา​จึง​พบ​กัน​อย่าง​ลับ ๆ เพื่อ​ศึกษา​พระ​คัมภีร์. เรา​ได้​รับ​หอสังเกตการณ์​จาก มารีซ อะนาซิอัค สตรี​คริสเตียน​ผู้​กล้า​หาญ​ซึ่ง​ผม​เคย​พบ​ใน​ร้าน​ขนมปัง​ที่​พยาน​ฯ คน​หนึ่ง​เป็น​เจ้าของ. ผม​สามารถ​หลีก​เลี่ยง​ความ​ยุ่งยาก​ต่าง ๆ ที่​พยาน​ฯ ใน​เยอรมนี​ต้อง​เผชิญ​จน​กระทั่ง​ถึง​ปี 1941.

แล้ว​วัน​หนึ่ง​ตำรวจ​ลับ​เกสตาโป​ได้​มา​หา​ผม. หลัง​จาก​ที่​เจ้าหน้าที่​ได้​ชี้​แจ้ง​ว่า​พวก​พยาน​ฯ ถูก​สั่ง​ห้าม เขา​ได้​ถาม​ว่า​ผม​ยัง​คง​ตั้งใจ​จะ​เป็น​พยาน​ฯ ต่อ​ไป​หรือ​ไม่. เมื่อ​ผม​ตอบ​ว่า “ใช่​ครับ” เขา​ก็​บอก​ให้​ผม​ตาม​เขา​ไป. คุณ​แม่​ผม​ตกใจ​จน​เป็น​ลม​หมด​สติ​ไป. เมื่อ​เห็น​เช่น​นี้ เจ้าหน้าที่​เกสตาโป​จึง​บอก​ให้​ผม​อยู่​ดู​แล​แม่.

ที่​โรง​งาน​ที่​ผม​ทำ​งาน​อยู่ ผม​ไม่​ทักทาย​ผู้​จัด​การ​ด้วย​คำ “ไฮล์ ฮิตเลอร์!” ผม​ยัง​ปฏิเสธ​การ​เป็น​สมาชิก​พรรค​นาซี. วัน​ถัด​มา​ผม​จึง​ถูก​เกสตาโป​จับ​กุม. ระหว่าง​การ​สอบสวน ผม​ไม่​ยอม​บอก​ชื่อ​ของ​พยาน​ฯ คน​อื่น ๆ. คน​ที่​สอบสวน​ได้​ตี​ผม​ที่​ศีรษะ​อย่าง​แรง​ด้วย​ด้าม​ปืน​พก​และ​ผม​หมด​สติ​ไป. ใน​วัน​ที่ 11 กันยายน 1942 ศาล​พิเศษ​ที่​เมือง​เมตซ์​ได้​ลง​โทษ​ผม​ด้วย​การ​คุม​ขัง​เป็น​เวลา​สาม​ปี “เพราะ​การ​เผยแพร่​คำ​โฆษณา​ชวน​เชื่อ​ของ​พล​พรรค​พยาน​พระ​ยะโฮวา​และ​นัก​ศึกษา​พระ​คัมภีร์.”

สอง​สัปดาห์​ต่อ​มา ผม​ออก​จาก​เรือน​จำ​เมตซ์​เพื่อ​เดิน​ทาง​ไป​สู่​ค่าย​แรงงาน​ที่​ซไวบรึคเคน. ที่​นั่น​ผม​ได้​ทำ​งาน​เป็น​คน​ซ่อม​บำรุง​ทาง​รถไฟ. เรา​เปลี่ยน​ราง​ที่​หนัก, ยึด​ราง​ไว้​ด้วย​กัน, และ​จัด​เรียง​ก้อน​หิน​ตาม​ราง​รถไฟ. อาหาร​ทั้ง​หมด​ที่​เรา​ได้​รับ​คือ​กาแฟ​หนึ่ง​ถ้วย​และ​ขนมปัง​ประมาณ 75 กรัม​ใน​ตอน​เช้า​และ​ซุป​หนึ่ง​ชาม​ตอน​กลางวัน​และ​อีก​ครั้ง​ตอน​เย็น. ต่อ​มา​ผม​ได้​ถูก​ย้าย​ไป​ยัง​เรือน​จำ​ใน​เมือง​ใกล้​เคียง​ซึ่ง​ผม​ได้​ทำ​งาน​ใน​แผนก​ซ่อม​รอง​เท้า. หลาย​เดือน​ผ่าน​ไป ผม​ถูก​ส่ง​กลับ​ซไวบรึคเคน และ​ตอน​นี้​ต้อง​ทำ​งาน​ใน​ไร่.

ดำรง​ชีวิต​ไม่​ใช่​ด้วย​อาหาร​เพียง​สิ่ง​เดียว

ใน​เรือน​จำ เพื่อน​ร่วม​ห้อง​ขัง​ของ​ผม​เป็น​ชาย​หนุ่ม​จาก​เนเธอร์แลนด์. โดย​เรียน​รู้​บาง​คำ​ใน​ภาษา​ของ​เขา ผม​จึง​สามารถ​เล่า​ให้​เขา​ฟัง​เกี่ยว​กับ​ความ​เชื่อ​ของ​ผม. เขา​ได้​เรียน​และ​เริ่ม​ดำเนิน​ชีวิต​ตาม​มาตรฐาน​ของ​พระเจ้า​จน​ถึง​ขั้น​ที่​ขอ​ผม​บัพติสมา​ให้​เขา​ใน​แม่น้ำ. เมื่อ​ขึ้น​จาก​น้ำ เขา​ได้​กอด​ผม​และ​บอก​ว่า “โชเซฟ ผม​เป็น​พี่​น้อง​ร่วม​ความ​เชื่อ​ของ​คุณ​แล้ว!” เมื่อ​ผม​ถูก​ส่ง​กลับ​ไป​ทำ​ทาง​รถไฟ เรา​ก็​ต้อง​แยก​จาก​กัน.

คราว​นี้​นัก​โทษ​ที่​ร่วม​ห้อง​ขัง​กับ​ผม​เป็น​ชาว​เยอรมัน. เย็น​วัน​หนึ่ง​เขา​เริ่ม​อ่าน​หนังสือ​เล่ม​เล็ก ๆ เล่ม​หนึ่ง คัมภีร์​ไบเบิล​นั่น​เอง! ตอน​นั้น​เอง​ที่​เขา​เสนอ​แลก​พระ​คัมภีร์​กับ​ขนมปัง​ที่​ได้​รับ​ปัน​ส่วน​ประจำ​สัปดาห์​แก่​ผม. ผม​ตอบ​ทันที​ว่า “ตก​ลง!” แม้​ว่า​ขนมปัง​ที่​ได้​รับ​ปัน​ส่วน​ประจำ​สัปดาห์​จะ​มี​ความ​หมาย​มาก​จริง ๆ แต่​ผม​ไม่​เคย​เสียใจ. ผม​เริ่ม​เรียน​รู้​ความ​หมาย​แห่ง​ถ้อย​คำ​ของ​พระ​เยซู​ที่​ว่า “มนุษย์​ดำรง​ชีวิต​ด้วย​อาหาร​อย่าง​เดียว​ไม่​ได้ แต่​ต้อง​ดำรง​ชีวิต​ด้วย​คำ​ตรัส​ทุก​คำ​ที่​ออก​มา​จาก​พระ​โอษฐ์​ของ​พระ​ยะโฮวา.”—มัดธาย 4:4

ตอน​นี้​ผม​มี​พระ​คัมภีร์ แต่​ปัญหา​คือ​จะ​เก็บ​รักษา​พระ​คัมภีร์​ไว้​อย่าง​ไร. ไม่​เหมือน​นัก​โทษ​คน​อื่น พยาน​ฯ ไม่​ได้​รับ​อนุญาต​ให้​มี​พระ​คัมภีร์. ผม​จึง​ต้อง​อ่าน​พระ​คัมภีร์​ตอน​กลางคืน โดย​ลักลอบ​อ่าน​ใต้​ผ้า​ห่ม. ใน​ตอน​กลางวัน ผม​ซ่อน​ไว้​ใน​เสื้อ​และ​เอา​ติด​ตัว​ไป​ด้วย. ผม​ไม่​ทิ้ง​พระ​คัมภีร์​ไว้​ใน​ห้อง​ขัง​เพราะ​ผู้​คุม​จะ​ค้น​เจอ​เมื่อ​ผม​ไม่​อยู่.

วัน​หนึ่ง​ระหว่าง​ที่​เรา​ถูก​เรียก​รายงาน​ตัว​ไป​ทำ​งาน ผม​นึก​ขึ้น​ได้​ว่า​ผม​ได้​ลืม​พระ​คัมภีร์​ไว้​ที่​ห้อง. เย็น​วัน​นั้น ผม​รีบ​กลับ​ไป​ที่​ห้อง​ของ​ผม​แต่​พระ​คัมภีร์​ได้​หาย​ไป​แล้ว. หลัง​จาก​ที่​อธิษฐาน​ถึง​พระเจ้า ผม​ได้​ไป​หา​ผู้​คุม​อธิบาย​ว่า​มี​คน​เอา​หนังสือ​ของ​ผม​ไป​และ​ผม​ต้องการ​มัน​คืน. เขา​ไม่​ได้​ใส่​ใจ​เท่า​ไร​นัก และ​ใน​ที่​สุด​ผม​ก็​เจอ​พระ​คัมภีร์​ของ​ผม. ผม​ขอบพระคุณ​พระ​ยะโฮวา​จาก​ส่วน​ลึก​ใน​หัวใจ​ของ​ผม​จริง ๆ!

ใน​โอกาส​หนึ่ง ผม​ถูก​ส่ง​ไป​อาบ​น้ำ. ขณะ​ที่​ถอด​เสื้อ​ผ้า​ที่​สกปรก ผม​แอบ​หย่อน​พระ​คัมภีร์​ลง​ที่​พื้น. เมื่อ​ผู้​คุม​เผลอ ผม​ก็​ใช้​เท้า​เขี่ย​พระ​คัมภีร์​ไป​ใกล้​ที่​อาบ​น้ำ. ผม​ซ่อน​พระ​คัมภีร์​ไว้​ข้าง​ฝา​ขณะ​ที่​อาบ​น้ำ. เมื่อ​ผม​ออก​จาก​ห้อง​อาบ​น้ำ ผม​ก็​ทำ​แบบ​เดิม​และ​เขี่ย​พระ​คัมภีร์​ไป​ที่​กอง​เสื้อ​ผ้า​ที่​สะอาด.

ช่วง​ที่​ดี​และ​ช่วง​ที่​เลว​ร้าย​ระหว่าง​การ​กัก​ขัง

เช้า​วัน​หนึ่ง​ใน​ปี 1943 ขณะ​ที่​นัก​โทษ​เข้า​แถว​กัน​ที่​สนาม ผม​พบ​อัล​บิน! เขา​ถูก​จับ​เช่น​กัน. เขา​ชำเลือง​มอง​ผม​อย่าง​ที่​รู้ ๆ กัน​และ​เอา​มือ​ไว้​ที่​หัวใจ​เป็น​เครื่องหมาย​บ่ง​บอก​ความ​เป็น​พี่​น้อง. เขา​ยัง​ได้​ทำ​ท่า​ทาง​บอก​ให้​รู้​ว่า​จะ​เขียน​ถึง​ผม. วัน​ต่อ​มา​เมื่อ​เขา​เดิน​ผ่าน​ไป เขา​ก็​ทิ้ง​กระดาษ​ชิ้น​หนึ่ง​ลง​บน​พื้น. แต่​ผู้​คุม​เห็น​เข้า และ​เรา​ทั้ง​สอง​จึง​ต้อง​ถูก​ขัง​เดี่ยว​เป็น​เวลา​สอง​สัปดาห์. เรา​ได้​รับ​แค่​ขนมปัง​เก่า ๆ กับ​น้ำ​และ​ต้อง​นอน​บน​พื้น​กระดาน​โดย​ไม่​มี​ผ้า​ห่ม.

หลัง​จาก​นั้น ผม​ถูก​ส่ง​ไป​เรือน​จำ​ที่​เมือง​ซิคบูร์ก และ​ได้​ทำ​งาน​ใน​โรง​กลึง. งาน​ที่​ทำ​หนัก​มาก​และ​อาหาร​ปัน​ส่วน​ก็​ไม่​พอ​เพียง. ตอน​กลางคืน ผม​ฝัน​ถึง​ของ​อร่อย ๆ เช่น เค้ก​กับ​ผลไม้ และ​ตื่น​ขึ้น​พร้อม​กับ​กระเพาะ​ที่​ส่ง​เสียง​โครก​คราก​และ​คอ​ที่​แห้ง​ผาก. น้ำหนัก​ผม​เหลือ​เพียง 45 กิโลกรัม. อย่าง​ไร​ก็​ตาม ผม​อ่าน​พระ​คัมภีร์​ทุก​วัน​และ​พบ​เหตุ​ผล​ที่​จะ​มี​ชีวิต​อยู่​ต่อ​ไป.

เป็น​อิสระ​ใน​ที่​สุด!

เช้า​วัน​หนึ่ง​ใน​เดือน​เมษายน 1945 พวก​ผู้​คุม​ได้​หลบ​หนี​ออก​จาก​เรือน​จำ​อย่าง​กะทันหัน และ​ปล่อย​ประตู​เรือน​จำ​เปิด​ไว้​กว้าง. ผม​เป็น​อิสระ​แล้ว! แต่​แรก​ที​เดียว ผม​ต้อง​ใช้​เวลา​พักฟื้น​ใน​โรง​พยาบาล. ใน​ตอน​สิ้น​เดือน​พฤษภาคม ผม​ได้​กลับ​มา​ที่​บ้าน​ของ​พ่อ​แม่. พวก​เขา​ไม่​ได้​หวัง​ว่า​ผม​จะ​ยัง​มี​ชีวิต​อยู่. เมื่อ​เห็น​หน้า​ผม แม่​ก็​ร้องไห้​โฮ​ด้วย​ความ​ดีใจ. น่า​เสียใจ​ที่​พ่อ​แม่​สิ้น​ชีวิต​ไม่​นาน​หลัง​จาก​นั้น.

ผม​ได้​เริ่ม​สมทบ​กับ​ประชาคม​ตียงวีลล์​อีก​ครั้ง​หนึ่ง. น่า​ยินดี​จริง ๆ ที่​ได้​พบ​พี่​น้อง​ชาย​หญิง​ร่วม​ความ​เชื่อ​อีก​ครั้ง​หนึ่ง! การ​ที่​ได้​รู้​ว่า​พวก​เขา​ได้​รักษา​ความ​ซื่อ​สัตย์​แม้​ว่า​จะ​มี​การ​ทดลอง​หลาย​ประการ​เป็น​สิ่ง​ที่​น่า​ยินดี​จริง ๆ. อัล​บิน​เพื่อน​ที่​รัก​ได้​เสีย​ชีวิต​ที่​เมือง​เรเกนส์บูรก์​ใน​เยอรมนี. ต่อ​มา​ผม​ได้​ทราบ​ว่า ชอง ฮีซีเกอร์ ผู้​เป็น​ลูก​พี่​ลูก​น้อง​ของ​ผม​ได้​มา​เป็น​พยาน​ฯ และ​ถูก​ประหาร​ชีวิต​เพราะ​ปฏิเสธ​การ​เป็น​ทหาร​ด้วย​เหตุ​ผล​ทาง​สติ​รู้สึก​ผิด​ชอบ. ชอง เกรัว ผู้​ที่​ผม​ได้​ทำ​งาน​ด้วย​เมื่อ​อยู่​ที่​สำนักงาน​สาขา​กรุง​ปารีส​ต้อง​ทน​อยู่​ใน​ค่าย​แรงงาน​เยอรมัน​เป็น​เวลา​ห้า​ปี. *

ผม​รีบ​กลับ​ไป​เมือง​เมตซ์​เพื่อ​ทำ​การ​ประกาศ. ใน​เวลา​นั้น ผม​ได้​พบ​กับ​ครอบครัว​มินซานิ​บ่อย ๆ. ตินา ลูก​สาว​ของ​พวก​เขา ได้​รับ​บัพติสมา​ใน​วัน​ที่ 2 พฤศจิกายน 1946. เธอ​เอา​การ​เอา​งาน​ใน​การ​รับใช้​และ​ผม​ก็​เห็น​ว่า​เธอ​เป็น​คน​น่า​รัก. เรา​ได้​แต่งงาน​กัน​ใน​วัน​ที่ 13 ธันวาคม 1947. ใน​เดือน​กันยายน 1967 ตินา​เริ่ม​เป็น​ผู้​ประกาศ​เต็ม​เวลา​และ​เธอ​ได้​อยู่​ใน​การ​รับใช้​นั้น​จน​กระทั่ง​เสีย​ชีวิต​ใน​เดือน​มิถุนายน 2003 เมื่อ​อายุ​ได้ 98 ปี. ผม​คิด​ถึง​ตินา​มาก​เหลือ​เกิน.

ปัจจุบัน ด้วย​อายุ​ที่​เลย​วัย 90 ปี​มา​มาก​แล้ว ผม​ตระหนัก​ว่า​พระ​คำ​ของ​พระเจ้า​ได้​ให้​กำลัง​แก่​ผม​เสมอ​ที่​จะ​เผชิญ​การ​ทดลอง​และ​เอา​ชนะ​การ​ทดลอง​เหล่า​นั้น. บาง​ครั้ง​ผม​มี​ท้อง​ที่​ว่าง​เปล่า​แต่​ผม​ก็​หล่อ​เลี้ยง​ความ​คิด​จิตใจ​และ​หัวใจ​ของ​ผม​ด้วย​พระ​คำ​ของ​พระเจ้า​เสมอ. พระ​ยะโฮวา​ทำ​ให้​ผม​เข้มแข็ง. “พระ​ดำรัส​ของ​พระองค์​ได้​รักษา​ชีวิต [ผม] ไว้.”—บทเพลง​สรรเสริญ 119:50, ล.ม.

[เชิงอรรถ]

^ วรรค 27 ดู​หอสังเกตการณ์ (ภาษา​อังกฤษ) วัน​ที่ 1 ตุลาคม 1989 หน้า 22-26 สำหรับ​เรื่อง​ราว​ของ ชอง เก​รัว.

[ภาพ​หน้า 21]

อัลบิน เรอเลวิตส์ เพื่อน​ที่​รัก​ของ​ผม

[ภาพ​หน้า 21]

มารีซ อะนาซิอัค

[ภาพ​หน้า 22]

คัมภีร์​ไบเบิล​ที่​ผม​ต้อง​แลก​ด้วย​ขนมปัง​ปัน​ส่วน ประจำ​สัปดาห์

[ภาพ​หน้า 23]

กับ ตินา คู่​หมั้น​ของ​ผม​ใน​ปี 1946

[ภาพ​หน้า 23]

ชอง เกรัว​กับ ติติกา ภรรยา​ของ​เขา