ข้ามไปยังเนื้อหา

ข้ามไปยังสารบัญ

พระเจ้าเป็น “ผู้ได้ทรงกระทำพระราชกิจอันใหญ่ยิ่ง”—ผมมารู้เรื่องนี้ได้อย่างไร?

พระเจ้าเป็น “ผู้ได้ทรงกระทำพระราชกิจอันใหญ่ยิ่ง”—ผมมารู้เรื่องนี้ได้อย่างไร?

พระเจ้า​เป็น “ผู้​ได้​ทรง​กระทำ​พระ​ราชกิจ​อัน​ใหญ่​ยิ่ง”—ผม​มา​รู้​เรื่อง​นี้​ได้​อย่าง​ไร?

เล่า​โดย มอริซ ราช

ครอบครัว​ของ​ผม​กับ​ผู้​อพยพ​อีก​หลาย​พัน​คน​พา​กัน​หนี​การ​โจมตี​ที่​รุนแรง​ที่​สุด​ครั้ง​หนึ่ง​ใน​ช่วง​สงคราม​โลก​ครั้ง​ที่​สอง. ตลอด​หลาย​วัน​เรา​เดิน​ผ่าน​ป่า​ดง​ดิบ​ของ​พม่า ตอน​กลางคืน​ก็​นอน​ใต้​ต้น​ไม้. เวลา​นั้น​ผม​อายุ​เก้า​ขวบ. ข้าวของ​ทุก​อย่าง​ของ​ผม​อยู่​ใน​ห่อ​ผ้า​เล็ก ๆ ที่​มัด​ติด​กับ​หลัง. นี่​เป็น​แค่​การ​เริ่ม​ต้น​เท่า​นั้น.

ตอน​นั้น​เป็น​ปี 1942. โลก​กำลัง​อยู่​ใน​ภาวะ​สงคราม และ​เรา​ต้อง​หนี​กองทัพ​ญี่ปุ่น​ที่​กำลัง​รุก​คืบ​เข้า​มา. พวก​ทหาร​ได้​บุก​เข้า​มา​ใน​พม่า​ซึ่ง​ปัจจุบัน​เรียก​ว่า​เมียนมาร์ และ​ยึด​แหล่ง​ขุด​เจาะ​น้ำมัน​ใน​เมือง​เยนันยอง. เรา​ยัง​ไม่​ทัน​ไป​ถึง​ชายแดน​ประเทศ​อินเดีย ทหาร​ญี่ปุ่น​ก็​ตาม​มา​ทัน​และ​บังคับ​ให้​เรา​กลับ​ไป​ที่​เยนันยอง.

เมื่อ​ผม​ยัง​เด็ก เรา​อาศัย​อยู่​ที่​เยนันยอง​และ​พ่อ​ของ​ผม​ทำ​งาน​ให้​กับ​บริษัท​น้ำมัน​แห่ง​พม่า. หลัง​จาก​กองทัพ​ญี่ปุ่น​ยึด​แหล่ง​ขุด​เจาะ​น้ำมัน​แห่ง​ใหญ่​ของ​เยนันยอง​ได้ ที่​นี่​ก็​กลาย​เป็น​จุด​ที่​ถูก​เครื่องบิน​รบ​ของ​อังกฤษ​โจมตี​อย่าง​หนัก. ครั้ง​หนึ่ง​ครอบครัว​ของ​เรา​ต้อง​หลบ​อยู่​ใน​หลุม​หลบ​ภัย​นาน​ถึง​สาม​วัน​ขณะ​ที่​มี​การ​ทิ้ง​ระเบิด​ลง​มา​อย่าง​ต่อ​เนื่อง​รอบ ๆ หลุม​หลบ​ภัย​นั้น. ใน​ที่​สุด เรา​ก็​ลง​เรือ​หนี​ไป​ยัง​ส่าเล เมือง​เล็ก ๆ ริม​ฝั่ง​แม่น้ำ​เอยาวดี​หรือ​อิรวดี. เรา​ดีใจ​มาก​ที่​รอด​ชีวิต​มา​ได้​และ​อาศัย​อยู่​ที่​นั่น​จน​สงคราม​สงบ.

เหตุ​การณ์​เศร้า​สลด​ทำ​ให้​พบ​ความ​จริง

น้อง​ชาย​ของ​ผม​เกิด​ใน​ปี 1945 ซึ่ง​เป็น​ปี​ที่​สงคราม​โลก​ครั้ง​ที่ 2 สิ้น​สุด​ลง. พ่อ​ดีใจ​มาก​ที่​มี​ลูก​ชาย​ตอน​อายุ​มาก​แล้ว. แต่​ท่าน​มี​ความ​สุข​ได้​ไม่​นาน. สาม​เดือน​ต่อ​มา​น้อง​ของ​ผม​ก็​ตาย แล้ว​หลัง​จาก​นั้น​ไม่​นาน​พ่อ​ซึ่ง​เป็น​ทุกข์​โศก​เศร้า​อย่าง​หนัก​ก็​ตาย​ตาม​ไป.

เพื่อน​ของ​ครอบครัว​พยายาม​ปลอบโยน​ผม​โดย​บอก​ว่า​พระเจ้า​ได้​รับ​พ่อ​และ​น้อง​ไป​อยู่​กับ​พระองค์​ใน​สวรรค์. ผม​อยาก​ไป​อยู่​กับ​พวก​เขา​เหลือ​เกิน! ครอบครัว​ของ​ผม​ไป​โบสถ์​คาทอลิก​และ​ที่​นั่น​ผม​ได้​รับ​การ​สอน​เรื่อง​ศาสนา​ตั้ง​แต่​เล็ก ๆ. ผม​ได้​เรียน​ว่า​บาทหลวง​และ​แม่ชี​จะ​ขึ้น​สวรรค์​ทันที​หลัง​จาก​ตาย ส่วน​คน​อื่น ๆ จะ​ต้อง​ไป​อยู่​ใน​สถาน​ทรมาน​ชั่ว​คราว​ที่​เรียก​ว่า​ไฟ​ชำระ​จน​กว่า​จะ​หลุด​พ้น​จาก​บาป. เนื่อง​จาก​ผม​อยาก​ไป​อยู่​กับ​พ่อ​และ​น้อง​ชาย​จริง ๆ ผม​จึง​ตั้งใจ​ว่า​จะ​ต้อง​เข้า​โรง​เรียน​นัก​ธรรม​ของ​คาทอลิก​ให้​ได้. โรง​เรียน​นี้​อยู่​ที่​เมือง​เมเมียว ซึ่ง​ปัจจุบัน​เรียก​ว่า ปยิน โอ ลวิน ห่าง​จาก​บ้าน​ผม​ประมาณ 210 กิโลเมตร.

คน​ที่​จะ​เข้า​โรง​เรียน​นัก​ธรรม​ได้​ต้อง​เคย​เข้า​โรง​เรียน​และ​อ่าน​เขียน​ได้​เป็น​อย่าง​ดี. แต่​เนื่อง​จาก​ต้อง​ลี้​ภัย​ผม​จึง​ได้​เรียน​หนังสือ​เพียง​สอง​ปี​เท่า​นั้น. ระหว่าง​สงคราม​โรง​เรียน​ทุก​แห่ง​ถูก​ปิด. พอ​โรง​เรียน​เปิด​อีก​ครั้ง ครอบครัว​ของ​เรา​ก็​อยู่​ใน​สภาพ​ที่​ยาก​จน​ข้นแค้น​มาก. แม่​ของ​ผม​ต้อง​หา​เลี้ยง​ลูก​ทั้ง​สาม​คน​คือ​พี่​ชาย​สอง​คน​กับ​ผม และ​ยัง​ต้อง​เลี้ยง​ดู​ลูก​อีก​สาม​คน​ของ​น้อง​สาว​ที่​ตาย​ไป​แล้ว​ด้วย. แม่​ไม่​มี​เงิน​ส่ง​ลูก ๆ เรียน​หนังสือ​อีก​ต่อ​ไป.

พี่​ชาย​คน​โต​ออก​ไป​ทำ​งาน​นอก​บ้าน แต่​ผม​อายุ​แค่ 13 ปี​จึง​ทำ​อะไร​ได้​ไม่​มาก​นัก. พ่อ​มี​น้อง​ชาย​คน​หนึ่ง​ชื่อ​มานูเอล เนทาน​อาศัย​อยู่​ที่​เมือง​เช่าก์​ใกล้ ๆ กับ​เมือง​ส่าเล​ที่​เรา​อยู่. ผม​จึง​คิด​ว่า ‘ถ้า​ผม​ไป​จาก​บ้าน​ก็​จะ​เหลือ​คน​ที่​แม่​ต้อง​หา​เลี้ยง​น้อย​ลง​อีก​คน​หนึ่ง.’ ผม​จึง​ไป​อยู่​กับ​อา​ที่​เมือง​เช่าก์.

ผม​ไม่​รู้​เลย​ว่า​อา​ของ​ผม​เพิ่ง​ได้​รู้​จัก​พยาน​พระ​ยะโฮวา​และ​รอ​คอย​อย่าง​ใจจดใจจ่อ​เพื่อ​จะ​บอก​ผม​เกี่ยว​กับ​ความ​รู้​ใน​คัมภีร์​ไบเบิล​ที่​ท่าน​ได้​เรียน​รู้. ท่าน​เล่า​ให้​ผม​ฟัง​ที​ละ​เล็ก​ที​ละ​น้อย​โดย​เริ่ม​จาก​การ​อธิบาย​ความ​หมาย​ของ​คำ​อธิษฐาน​ที่​ชาว​คาทอลิก​เรียก​ว่า​บท​สวด​ข้า​แต่​พระ​บิดา. คำ​อธิษฐาน​นั้น​เริ่ม​ว่า “ข้า​แต่​พระ​บิดา​ของ​พวก​เรา พระองค์​สถิต​ใน​สวรรค์ พระ​นาม​ของ​พระองค์​จง​เป็น​ที่​เคารพ​สักการะ.”—มัดธาย 6:9, 10, ฉบับ​ประชา​นิยม

อา​อธิบาย​ว่า “ฉะนั้น พระเจ้า​ทรง​มี​พระ​นาม​และ​พระ​นาม​นั้น​ก็​คือ ยะโฮวา.” แล้ว​ท่าน​ก็​ให้​ผม​ดู​พระ​นาม​ของ​พระเจ้า​ใน​คัมภีร์​ไบเบิล. ผม​อยาก​เรียน​รู้​ให้​มาก​ขึ้น แต่​ผม​อ่าน​หนังสือ​ไม่​เก่ง​แม้​แต่​ภาษา​ทมิฬ​ซึ่ง​เป็น​ภาษา​ของ​ผม​เอง. ส่วน​คัมภีร์​ไบเบิล​กับ​หนังสือ​อธิบาย​พระ​คัมภีร์​ที่​อา​ผม​มี​ก็​เป็น​ภาษา​อังกฤษ​ซึ่ง​ผม​รู้​แค่​นิด​หน่อย​เท่า​นั้น. แต่​ถึง​ผม​จะ​เรียน​มา​น้อย ผม​ก็​ค่อย ๆ เข้าใจ​คำ​สอน​ใน​คัมภีร์​ไบเบิล​มาก​ขึ้น. (มัดธาย 11:25, 26) ผม​ได้​มา​เข้าใจ​ว่า​คำ​สอน​หลาย​เรื่อง​ที่​เคย​รู้​มา​ไม่​ตรง​กับ​คำ​สอน​ของ​คัมภีร์​ไบเบิล. ใน​ที่​สุด ผม​ก็​บอก​กับ​อา​ว่า “อา นี่​แหละ​ความ​จริง!”

พอ​อายุ 16 ปี​ผม​ก็​เริ่ม​บอก​คน​อื่น ๆ เกี่ยว​กับ​เรื่อง​ที่​ได้​เรียน​รู้. ตอน​นั้น​มี​พยาน​พระ​ยะโฮวา​ใน​พม่า​เพียง 77 คน. ต่อ​มา​ไม่​นาน โรเบิร์ต เคิร์ก มิชชันนารี​คน​หนึ่ง​ของ​พยาน​พระ​ยะโฮวา​จาก​ร่างกุ้ง (ปัจจุบัน​คือ​ย่างกุ้ง) ซึ่ง​เป็น​เมือง​หลวง​ใน​เวลา​นั้น​ได้​มา​เยี่ยม​อา​ของ​ผม​ที่​เมือง​เช่าก์. ผม​บอก​โรเบิร์ต​ว่า​ผม​ได้​อุทิศ​ชีวิต​ของ​ผม​แด่​พระ​ยะโฮวา​แล้ว. ดัง​นั้น ใน​วัน​ที่ 24 ธันวาคม 1949 ผม​จึง​รับ​บัพติสมา​ซึ่ง​เป็น​สัญลักษณ์​การ​อุทิศ​ตัว​แด่​พระเจ้า​ที่​แม่น้ำ​เอยาวดี.

เอา​ชนะ​อุปสรรค​ต่าง ๆ

ต่อ​มา​ไม่​นาน ผม​ย้าย​ไป​มัณฑะเลย์​เพื่อ​หา​งาน​ทำ. ผม​มี​เป้าหมาย​จะ​เป็น​ไพโอเนียร์​ซึ่ง​เป็น​ชื่อ​เรียก​ผู้​เผยแพร่​เต็ม​เวลา​ของ​พยาน​พระ​ยะโฮวา. วัน​หนึ่ง​ขณะ​ที่​กำลัง​ดู​การ​แข่งขัน​ฟุตบอล​อยู่ ผม​ก็​ล้ม​ลง​และ​ชัก. ผม​เป็น​โรค​ลม​ชัก​และ​ต้อง​ย้าย​กลับ​ไป​อยู่​กับ​ครอบครัว​เพื่อ​จะ​มี​คน​ดู​แล.

ผม​ป่วย​เป็น​โรค​ลม​ชัก​อยู่​แปด​ปี. เมื่อ​สุขภาพ​เริ่ม​ดี​ขึ้น​ผม​ก็​พอ​จะ​ทำ​งาน​อาชีพ​ได้. ทั้ง ๆ ที่​แม่​พยายาม​พูด​ให้​ผม​ล้ม​เลิก​ความ​ตั้งใจ​ที่​จะ​ทำ​งาน​รับใช้​พระเจ้า​เต็ม​เวลา​เพราะ​เป็น​ห่วง​ผม แต่​วัน​หนึ่ง​ผม​ก็​บอก​ท่าน​ว่า “ผม​รอ​ต่อ​ไป​ไม่​ไหว​แล้ว. ผม​อยาก​เป็น​ไพโอเนียร์. พระ​ยะโฮวา​จะ​ดู​แล​ผม​เอง!”

ใน​ปี 1957 ผม​ย้าย​ไป​อยู่​ที่​ย่างกุ้ง​และ​เริ่ม​เป็น​ไพโอเนียร์. น่า​แปลก​ที่​หลัง​จาก​นั้น 50 ปี​ผม​ไม่​เคย​เป็น​ลม​ชัก​อีก​เลย​จน​กระทั่ง​ปี 2007 ผม​ก็​กลับ​มา​เป็น​อีก. และ​ตอน​นี้​ผม​ต้อง​กิน​ยา​เพื่อ​ควบคุม​อาการ​ชัก. ใน​ปี 1958 ผม​ได้​รับ​การ​แต่ง​ตั้ง​เป็น​ไพโอเนียร์​พิเศษ​โดย​ใช้​เวลา​ประกาศ​เผยแพร่​เดือน​ละ 150 ชั่วโมง.

เขต​มอบหมาย​แรก​ของ​ผม​คือ​หมู่​บ้าน​จง​ชา ซึ่ง​ห่าง​จาก​เมือง​ย่างกุ้ง​ขึ้น​ไป​ทาง​ตะวัน​ตก​เฉียง​เหนือ​ประมาณ 110 กิโลเมตร. ชาว​บ้าน​กลุ่ม​เล็ก ๆ ที่​นั่น​เคย​อ่าน​หนังสือ​อธิบาย​คัมภีร์​ไบเบิล​ของ​เรา​และ​อยาก​เรียน​รู้​มาก​ขึ้น. เมื่อ​โรเบิร์ต​กับ​ผม​มา​ถึง ชาว​บ้าน​หลาย​คน​แห่​กัน​มา​หา​เรา. เรา​ตอบ​คำ​ถาม​เกี่ยว​กับ​คัมภีร์​ไบเบิล​หลาย​ข้อ​และ​จัด​การ​ประชุม​เพื่อ​ศึกษา​คัมภีร์​ไบเบิล. ไม่​ช้า​พวก​เขา​บาง​คน​ก็​เริ่ม​ไป​ประกาศ​กับ​เรา. ผม​ได้​รับ​มอบหมาย​ให้​อยู่​ที่​หมู่​บ้าน​นี้​ต่อ​ไป. ภาย​ใน​ไม่​กี่​เดือน​กลุ่ม​เล็ก ๆ นี้​ได้​เติบโต​ขึ้น​จน​กลาย​เป็น​ประชาคม. ปัจจุบัน มี​พยาน​พระ​ยะโฮวา​มาก​กว่า 150 คน​ใน​เขต​นี้.

ต่อ​มา​ผม​ได้​รับ​การ​แต่ง​ตั้ง​ให้​เป็น​ผู้​รับใช้​เดิน​ทาง​ซึ่ง​ทำ​หน้า​ที่​เยี่ยม​ประชาคม​และ​กลุ่ม​ต่าง ๆ ทั่ว​พม่า. ผม​เดิน​ทาง​มา​แล้ว​นับ​หมื่น​นับ​แสน​กิโลเมตร บาง​ครั้ง​ก็​ต้อง​อาศัย​นั่ง​บน​กอง​สินค้า​หลัง​รถ​บรรทุก เดิน​บุก​ป่า​ฝ่า​ดง ล่อง​เรือ​ไป​ตาม​แม่น้ำ และ​เดิน​ข้าม​ภูเขา​เป็น​ลูก ๆ. แม้​ว่า​ร่าง​กาย​ผม​ไม่​ค่อย​แข็งแรง​นัก แต่​ผม​รู้สึก​ว่า​พระ​ยะโฮวา​ประทาน​กำลัง​ให้​ผม​เสมอ​เพื่อ​จะ​ทำ​งาน​รับใช้​ได้.—ฟิลิปปอย 4:13

“พระ​ยะโฮวา​จะ​ช่วย​คุณ”

พอ​ถึง​ปี 1962 ผม​ก็​ได้​รับ​มอบหมาย​ให้​ไป​ทำ​งาน​ที่​สำนักงาน​สาขา​ของ​พยาน​พระ​ยะโฮวา​ใน​ย่างกุ้ง โดย​มี​โรเบิร์ต​เป็น​ผู้​สอน​งาน​ต่าง ๆ ให้​ผม. จาก​นั้น​ไม่​นาน รัฐบาล​มี​คำ​สั่ง​ให้​มิชชันนารี​ต่าง​ชาติ​ทั้ง​หมด​ออก​จาก​พม่า และ​ภาย​ใน​ไม่​กี่​สัปดาห์​พวก​เขา​ก็​ไป​กัน​หมด. ผม​นึก​ไม่​ถึง​เลย​ว่า​ผม​จะ​ต้อง​มา​ดู​แล​สำนักงาน​สาขา​เสีย​เอง.

ผม​สงสัย​ว่า ‘ผม​จะ​ทำ​งาน​นี้​ได้​อย่าง​ไร? ผม​เรียน​มา​น้อย​ประสบการณ์​ก็​ไม่​มี.’ พี่​น้อง​คริสเตียน​ที่​อาวุโส​บาง​คน​สังเกต​ว่า​ผม​กังวล​ใจ​มาก​จึง​บอก​ผม​ว่า “มอริซ อย่า​เป็น​ห่วง​เลย. พระ​ยะโฮวา​จะ​ช่วย​คุณ. และ​พวก​เรา​จะ​คอย​สนับสนุน​คุณ.” คำ​พูด​ของ​พวก​เขา​ให้​กำลังใจ​ผม​มาก​จริง ๆ! ไม่​กี่​เดือน​ต่อ​มา ผม​ต้อง​รวบ​รวม​รายงาน​การ​ประกาศ​ของ​พยาน​พระ​ยะโฮวา​ใน​พม่า​เพื่อ​จะ​พิมพ์​ลง​ใน​หนังสือ​ประจำ​ปี​ของ​พยาน​พระ​ยะโฮวา 1967. ตลอด 38 ปี​ที่​ผม​ได้​รวบ​รวม​รายงาน​ประจำ​ปี​ของ​พม่า​ทำ​ให้​ผม​เห็น​ชัดเจน​ว่า​พระ​ยะโฮวา​ทรง​ชี้​นำ​กิจการ​งาน​ประกาศ​ของ​เรา​ใน​ประเทศ​นี้.

ตัว​อย่าง​เช่น ก่อน​หน้า​นั้น​ผม​เคย​ยื่น​เรื่อง​ขอ​เป็น​พลเมือง​พม่า แต่​มี​เงิน​ไม่​พอ​สำหรับ​จ่าย​ค่า​หนังสือ​รับรอง​การ​ถือ​สัญชาติ. เงิน​ผม​ขาด​ไป 450 จั๊ด a ผม​จึง​พัก​เรื่อง​นี้​ไว้​ก่อน. แต่​แล้ว​วัน​หนึ่ง​เมื่อ​ผม​เดิน​ผ่าน​สำนักงาน​ที่​ผม​เคย​ทำ​งาน​เมื่อ​หลาย​ปี​ก่อน เจ้านาย​เก่า​เห็น​ผม​จึง​ตะโกน​ว่า “ราช เข้า​มา​เอา​เงิน​ของ​นาย​ไป​สิ. นาย​ลืม​รับ​เงิน​สวัสดิการ​ตอน​ที่​นาย​ลา​ออก​ไป.” จำนวน​เงิน​นั้น​เท่า​กับ 450 จั๊ด​พอ​ดี.

ขณะ​ที่​เดิน​ออก​จาก​สำนักงาน​นั้น ผม​คิด​ว่า​จะ​ทำ​อะไร​กับ​เงิน 450 จั๊ด​นี้​ดี. แต่​เนื่อง​จาก​จำนวน​เงิน​นี้​เท่า​กับ​เงิน​ที่​ผม​ต้องการ​สำหรับ​ทำ​หนังสือ​รับรอง​การ​ถือ​สัญชาติ​พอ​ดี ผม​จึง​รู้สึก​ว่า​พระ​ยะโฮวา​ต้องการ​ให้​ผม​ใช้​เงิน​นี้​เพื่อ​วัตถุ​ประสงค์​ดัง​กล่าว. นั่น​เป็น​การ​ตัดสิน​ใจ​ที่​ถูก​ต้อง​จริง ๆ. ใน​ฐานะ​พลเมือง​พม่า ผม​อยู่​ใน​ประเทศ​นี้​ได้ เดิน​ทาง​ไป​ไหน ๆ ได้​อย่าง​อิสระ นำ​เข้า​หนังสือ​ต่าง ๆ ของ​สมาคม และ​ทำ​งาน​อื่น ๆ ที่​สำคัญ​ซึ่ง​เกี่ยว​ข้อง​กับ​งาน​ประกาศ​ใน​พม่า.

การ​ประชุม​ใหญ่​ทาง​ภาค​เหนือ

เมื่อ​ถึง​ปี 1969 งาน​ประกาศ​ของ​เรา​ใน​เมือง​มยิจีนา​ซึ่ง​อยู่​ทาง​ภาค​เหนือ​ของ​พม่า​ก้าว​หน้า​อย่าง​รวด​เร็ว เรา​จึง​ตัดสิน​ใจ​จัด​การ​ประชุม​ใหญ่​ใน​เมือง​นี้. แต่​ปัญหา​ใหญ่​ที่​สุด​คือ​เรา​ต้อง​หา​วิธี​ช่วย​พี่​น้อง​พยาน​ฯ ทั้ง​หมด​ที่​อยู่​ทาง​ใต้​ให้​เดิน​ทาง​ไป​ร่วม​ประชุม​ได้. เรา​อธิษฐาน​และ​ยื่น​คำ​ร้อง​ต่อ​การ​รถไฟ​พม่า​เพื่อ​ขอ​จอง​รถไฟ​หก​ตู้. เรา​แปลก​ใจ​มาก​ที่​คำ​ขอ​ของ​เรา​ได้​รับ​การ​อนุมัติ.

ตอน​นี้​เรา​เตรียม​ทุก​อย่าง​พร้อม​แล้ว​สำหรับ​การ​ประชุม​ใหญ่. เมื่อ​ถึง​วัน​ที่​ต้อง​ไป​รับ​พยาน​ฯ จาก​ที่​ต่าง ๆ ตาม​กำหนดการ เรา​ไป​ถึง​สถานี​รถไฟ​ประมาณ​เที่ยง​เพื่อ​รอ​รถไฟ​ขบวน​ที่​คาด​ว่า​จะ​มา​ถึง​เวลา 14.30 น. ขณะ​ที่​รอ​อยู่ นาย​สถานี​ก็​ยื่น​โทรเลข​ให้​เรา​ฉบับ​หนึ่ง​ซึ่ง​เขียน​ว่า “เรา​ได้​ตัด​ตู้​โดยสาร​ของ​สมาคม​ว็อชเทาเวอร์​ออก​หก​ตู้.” เขา​บอก​ว่า​หัว​รถ​จักร​ไม่​มี​แรง​พอ​ที่​จะ​ลาก​ขบวน​รถ​ทั้ง​หมด​ขึ้น​เขา​ได้.

เรา​จะ​ทำ​อย่าง​ไร​ดี? ตอน​แรก​เรา​คิด​จะ​เลื่อน​การ​ประชุม​ออก​ไป. แต่​นั่น​หมาย​ความ​ว่า​เรา​ต้อง​ทำ​เรื่อง​ขอ​อนุญาต​ใหม่​ทั้ง​หมด​ซึ่ง​ต้อง​ใช้​เวลา​หลาย​สัปดาห์​เลย​ที​เดียว! ขณะ​ที่​เรา​อธิษฐาน​วิงวอน​ต่อ​พระ​ยะโฮวา​อยู่​นั้น รถไฟ​ขบวน​หนึ่ง​ก็​เข้า​มา​เทียบ​ชานชาลา. เรา​แทบ​ไม่​เชื่อ​สายตา​ตัว​เอง​เมื่อ​เห็น​ว่า​รถไฟ​ทั้ง​หก​ตู้​นั้น​เต็ม​ไป​ด้วย​พยาน​ฯ! พวก​เขา​ยิ้ม​แย้ม​และ​โบก​ไม้​โบก​มือ​ให้​เรา. เมื่อ​เรา​ถาม​ว่า​เกิด​อะไร​ขึ้น พวก​เขา​คน​หนึ่ง​อธิบาย​ว่า “เจ้าหน้าที่​ตัด​ตู้​โดยสาร​ออก​ไป​หก​ตู้ แต่​ไม่​ใช่​ตู้​ของ​เรา!”

ใน​ช่วง​ปี 1967 ถึง 1971 พยาน​ฯ ใน​พม่า​ได้​เพิ่ม​ขึ้น​สอง​เท่า​จน​มี​จำนวน​เกือบ 600 คน. ต่อ​มา​ใน​ปี 1978 สำนักงาน​สาขา​ได้​ย้าย​มา​อยู่​ที่​บ้าน​สอง​ชั้น​หลัง​หนึ่ง. ยี่​สิบ​ปี​หลัง​จาก​นั้น​จำนวน​พยาน​ฯ ได้​เพิ่ม​ขึ้น​จน​มี​มาก​กว่า 2,500 คน. มี​การ​อุทิศ​สำนักงาน​สาขา​แห่ง​ใหม่​ใน​วัน​ที่ 22 มกราคม 2000. จอห์น อี. บารร์ สมาชิก​คณะ​กรรมการ​ปกครอง​ของ​พยาน​พระ​ยะโฮวา​ได้​เดิน​ทาง​มา​จาก​สหรัฐ​อเมริกา​เพื่อ​บรรยาย​อุทิศ​อาคาร​สำนักงาน​และ​ที่​พัก​อาศัย​ซึ่ง​เป็น​ตึก​สาม​ชั้น. อาคาร​ดัง​กล่าว​ใช้​มา​จน​ถึง​ทุก​วัน​นี้.

หวน​คิด​ถึง​พระ​พร​มาก​มาย​ที่​ได้​รับ

ปัจจุบัน​มี​อาสา​สมัคร 52 คน​ทำ​งาน​และ​อาศัย​อยู่​ที่​สำนักงาน​สาขา​ใน​ย่างกุ้ง และ​มี​พยาน​ฯ ประมาณ 3,500 คน​รับใช้​อยู่​ใน 74 ประชาคม​และ​กลุ่ม​โดด​เดี่ยว​ทั่ว​ประเทศ. ผม​ยินดี​ที่​จะ​บอก​ว่า​ใน​ปี 1969 แม่​ผู้​เป็น​ที่​รัก​ของ​ผม​ได้​มา​เป็น​พยาน​พระ​ยะโฮวา​ก่อน​ที่​ท่าน​จะ​เสีย​ชีวิต​ไม่​นาน.

ใน​ช่วง​กลาง​ทศวรรษ 1960 ไพโอเนียร์​ชาว​พม่า​ชื่อ​ดอริส บา เอ ได้​เข้า​มา​เป็น​ผู้​แปล​คน​หนึ่ง​ใน​สำนักงาน​สาขา. ก่อน​หน้า​นั้น​ใน​ปี 1959 เธอ​ได้​เข้า​ร่วม​ชั้น​เรียน​ที่ 32 ของ​โรง​เรียน​ว็อชเทาเวอร์​ไบเบิล​แห่ง​กิเลียด ซึ่ง​เป็น​โรง​เรียน​ฝึก​อบรม​มิชชันนารี​ของ​พยาน​พระ​ยะโฮวา. ผม​ชื่นชม​และ​ประทับใจ​ใน​ตัว​เธอ​เพราะ​เธอ​เป็น​คน​สวย​น่า​รัก มี​บุคลิก​ร่าเริง​แจ่ม​ใส และ​เป็น​คน​ที่​สนใจ​ศึกษา​คัมภีร์​ไบเบิล​อย่าง​ลึกซึ้ง. เรา​แต่งงาน​กัน​ใน​ปี 1970. จน​ถึง​ตอน​นี้​เรา​ยัง​คง​ทุ่มเท​ตัว​ใน​การ​รับใช้​พระ​ยะโฮวา​และ​เอา​ใจ​ใส่​ดู​แล​กัน​และ​กัน​เสมอ.

ตลอด​เวลา​กว่า​หก​สิบ​ปี​ที่​ผ่าน​มา ผม​ได้​เห็น​ว่า​พระ​ยะโฮวา​ทรง​ดู​แล​ให้​งาน​ประกาศ​ของ​เรา​ใน​ประเทศ​นี้​บรรลุ​ผล​สำเร็จ​อย่าง​ดี. พระองค์​ทรง​ใหญ่​ยิ่ง​และ​สม​ควร​จะ​ได้​รับ​การ​สรรเสริญ​อย่าง​แท้​จริง. พระองค์​เป็น “ผู้​ได้​ทรง​กระทำ​พระ​ราชกิจ​อัน​ใหญ่​ยิ่ง” ดัง​ที่​ผม​ได้​เห็น​มา​ตลอด​ชีวิต.—บทเพลง​สรรเสริญ 106:21

[เชิงอรรถ]

a ใน​เวลา​นั้น เงิน 450 จั๊ด​มี​มูลค่า​ประมาณ 3,000 บาท ซึ่ง​เป็น​เงิน​จำนวน​ไม่​น้อย.

[ภาพ​หน้า 27]

ทำ​งาน​ประกาศ​เผยแพร่​ที่​ร่างกุ้ง ประเทศ​พม่า ราว​ปี 1957

[ภาพ​หน้า 28]

เดิน​ทาง​ไป​ร่วม​การ​ประชุม​ใหญ่​ที่​เมือง​กะเลเมียว ประเทศ​พม่า ปลาย​ทศวรรษ 1970

[ภาพ​หน้า 29]

สำนักงาน​สาขา​หลัง​ใหม่​ที่​สวย​งาม​ของ​เรา​ซึ่ง​อุทิศ​ใน​ปี 2000

[ภาพ​หน้า 29]

กับ​ดอริส​ใน​ปัจจุบัน

[ภาพ​หน้า 29]

ทำ​งาน​เผยแพร่​ตาม​บ้าน​ด้วย​กัน