จงเลียนแบบความเชื่อของเขา
เขาปกป้อง หาเลี้ยงครอบครัว และทำหน้าที่ของตนอย่างซื่อสัตย์
โยเซฟโยนสัมภาระอีกชิ้นหนึ่งขึ้นบนหลังลา. ลองนึกภาพเขากวาดสายตาไปรอบหมู่บ้านเบทเลเฮมท่ามกลางความมืดมิด แล้วตบเบา ๆ ที่สีข้างของเจ้าลาน้อยจอมทรหด. เขาคงต้องคิดถึงการเดินทางอันยาวไกลที่อยู่ข้างหน้า. เป้าหมายของพวกเขาคืออียิปต์! ดินแดนของคนต่างชาติ ต่างภาษา ต่างวัฒนธรรม. ครอบครัวเล็ก ๆ ของเขาจะปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่นี้ได้อย่างไร?
ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะบอกข่าวร้ายแก่มาเรียภรรยาที่รักของเขา แต่โยเซฟก็รวบรวมความกล้าและบอกให้เธอรู้. เขาเล่าให้เธอฟังว่าทูตสวรรค์องค์หนึ่งมาพบเขาในความฝันเพื่อแจ้งข่าวจากพระเจ้าว่า กษัตริย์เฮโรดกำลังตามล่าเพื่อเอาชีวิตบุตรน้อยของพวกเขา! พวกเขาต้องหนีทันที. (มัดธาย 2:13, 14) มาเรียกังวลใจมาก. ใครกันนะที่คิดจะฆ่าบุตรน้อยที่ไร้เดียงสาและไม่มีพิษภัยของเธอ? ทั้งโยเซฟและมาเรียไม่เข้าใจเลยว่าทำไมจึงเกิดเรื่องเช่นนี้. แต่พวกเขาก็วางใจพระยะโฮวาและเตรียมออกเดินทาง.
ระหว่างที่ชาวเบทเลเฮมยังคงหลับใหลโดยไม่รู้เลยว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น โยเซฟ มาเรีย และพระเยซูก็ออกไปจากหมู่บ้านอย่างเงียบ ๆ ท่ามกลางความมืดมิด. ขณะที่โยเซฟพาครอบครัวมุ่งหน้าไปทางใต้ ท้องฟ้าทางตะวันออกก็ค่อย ๆ สว่างขึ้น. โยเซฟคงคิดถึงสิ่งที่รอเขาอยู่ข้างหน้า. ช่างไม้ที่ต่ำต้อยอย่างเขาจะปกป้องครอบครัวให้พ้นจากเงื้อมมือของเฮโรดผู้ทรงอิทธิพลได้อย่างไร? เขาจะหาเลี้ยงครอบครัวไปได้ตลอดรอดฝั่งไหม? เขาจะเลี้ยงดูบุตรชายคนพิเศษนี้ที่พระยะโฮวาพระเจ้ามอบไว้ในความดูแลของเขาไปจนเติบใหญ่ได้ไหม? โยเซฟเผชิญปัญหาและข้อท้าทายหลายอย่าง. ขณะที่เราพิจารณาวิธีที่โยเซฟรับมือกับข้อท้าทายเหล่านั้น เราจะได้เห็นว่าพ่อในทุกวันนี้รวมทั้งพวกเราทุกคนจะเลียนแบบความเชื่อของโยเซฟได้อย่างไร.
โยเซฟปกป้องครอบครัว
ย้อนไปราวหนึ่งปีกว่าก่อนหน้านั้นที่บ้านเกิดของโยเซฟในเมืองนาซาเรท ชีวิตของเขาเปลี่ยนแปลงไปอย่างไม่มีวันหวนกลับหลังจากที่เขาได้หมั้นหมายกับบุตรสาวของเฮลี. โยเซฟรู้ว่ามาเรียเป็นสาวพรหมจารีที่เลื่อมใสพระเจ้า. แต่จู่ ๆ เขาก็รู้ว่าเธอตั้งครรภ์! เขาตั้งใจจะหย่ากับเธออย่างลับ ๆ เพื่อไม่ให้เธอต้องอับอาย. * แต่ทูตสวรรค์องค์หนึ่งมาบอกเขาในความฝันว่า มาเรียตั้งครรภ์โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระยะโฮวา. ทูตสวรรค์ยังบอกด้วยว่าบุตรชายที่เธอจะให้กำเนิดนั้นจะ “ช่วยประชาชนของท่านให้รอดจากบาปของพวกเขา.” ทูตสวรรค์ได้ให้กำลังใจโยเซฟอีกว่า “อย่ากลัวที่จะรับมาเรียภรรยาของเจ้ามาอยู่ที่บ้าน.”—มัดธาย 1:18-21
โยเซฟซึ่งเป็นคนชอบธรรมและเชื่อฟังพระเจ้าทำตามที่ทูตสวรรค์บอก. เขายอมรับงานมอบหมายที่หนักที่สุดคือการเอาใจใส่เลี้ยงดูเด็กที่ไม่ใช่บุตรของตัวเอง แต่เป็นบุตรที่พระเจ้าทรงรักและหวงแหนอย่างยิ่ง. ต่อมา โยเซฟได้ทำตามกฤษฎีกาของซีซาร์ โดยพาภรรยาที่กำลังตั้งครรภ์เดินทางไปเมืองเบทเลเฮมเพื่อจดทะเบียนสำมะโนครัว. และที่นั่นเอง บุตรน้อยคนนี้ก็เกิดมา. *
โยเซฟไม่ได้พาครอบครัวกลับไปที่นาซาเรท แต่พวกเขาอาศัยอยู่ในเบทเลเฮมต่อไป. เมืองนี้อยู่ห่างจากกรุงเยรูซาเลมเพียงไม่กี่กิโลเมตร. แม้พวกเขาจะยากจน แต่โยเซฟก็ทำทุกอย่างเพื่อไม่ให้มาเรียและพระเยซูต้องขัดสนหรือลำบาก. ต่อมาไม่นาน พวกเขาย้ายเข้ามาอยู่ในบ้านหลังเล็ก ๆ. ตอน
นี้พระเยซูไม่ใช่ทารกน้อยอีกต่อไปแล้ว พระองค์มีพระชนมายุมากกว่าหนึ่งพรรษา. แต่แล้วจู่ ๆ ชีวิตของพวกเขาก็ต้องเผชิญการเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง.มีชายกลุ่มหนึ่งเดินทางมา พวกเขาเป็นโหรจากทิศตะวันออกซึ่งคงเป็นบาบิโลนอันไกลโพ้น. พวกเขาติดตามดาวดวงหนึ่งมาจนถึงบ้านของโยเซฟกับมาเรีย กำลังตามหาเด็กคนหนึ่งซึ่งจะเป็นกษัตริย์ของชาวยิว. โหรเหล่านี้แสดงความนับถือต่อพระกุมารเป็นอย่างยิ่ง.
ไม่ว่าพวกเขาจะรู้หรือไม่ โหรเหล่านี้ได้ทำให้พระกุมารเยซูตกอยู่ในอันตรายร้ายแรง. ดาวดวงนั้นไม่ได้นำพวกเขามาที่เบทเลเฮมทันที แต่นำไปที่กรุงเยรูซาเลมก่อน. เมื่อไปถึงที่นั่น พวกโหรได้บอกกษัตริย์เฮโรดว่าพวกเขากำลังตามหาเด็กคนหนึ่งซึ่งจะมาเป็นกษัตริย์ของชาวยิว. คำบอกเล่าของพวกเขาทำให้เฮโรดโกรธแค้นและริษยา.—ดูบทความ “ผู้อ่านอยากรู้ . . . ใครส่ง ‘ดาว’ มา?” หน้า 29.
แต่น่าดีใจ มีอำนาจที่เหนือกว่าเฮโรดคอยช่วยเหลือครอบครัวของโยเซฟ. โดยวิธีใด? พวกโหรให้ของกำนัลมากมายแก่พวกเขาโดยไม่ได้ขอสิ่งใดตอบแทน. ทั้งโยเซฟกับมาเรียคงต้องแปลกใจมากที่จู่ ๆ ก็มีคนนำ “ทองคำ กำยาน และมดยอบ” มามอบให้ ซึ่งเป็นของมีค่าราคาแพงทั้งนั้น! พวกโหรตั้งใจจะกลับไปบอกกษัตริย์เฮโรดว่าพวกเขาพบพระกุมารที่ไหน. แต่พระยะโฮวาทรงเข้ามาแทรกแซง. พระองค์สั่งพวกโหรในความฝันให้กลับไปยังบ้านเมืองของตนโดยใช้เส้นทางอื่น.—มัดธาย 2:1-12
ไม่นานหลังจากพวกโหรกลับไปแล้ว พระยะโฮวาทรงใช้ทูตสวรรค์มาเตือนโยเซฟว่า “จงลุกขึ้นพาพระกุมารกับมารดาหนีไปประเทศอียิปต์และอยู่ที่นั่นจนกว่าเราจะบอกเจ้า เพราะเฮโรดจะค้นหาพระกุมารเพื่อฆ่าเสีย.” (มัดธาย 2:13) โยเซฟก็เชื่อฟังและทำตามทันทีดังที่เราอ่านในตอนต้น. เขาถือว่าความปลอดภัยของบุตรน้อยสำคัญกว่าสิ่งอื่นใดและรีบพาครอบครัวหนีไปอียิปต์. เนื่องจากพวกโหรนอกรีตเหล่านั้นได้ให้ของกำนัลที่มีราคาแพงมาก ตอนนี้พวกเขาจึงมีทรัพย์มากพอสำหรับการเดินทางอันยาวไกลที่อยู่ข้างหน้า.
เทพนิยายและตำนานนอกสารบบพระคัมภีร์ได้แต่งเติมเรื่องการเดินทางไปอียิปต์นี้จนกลายเป็นนิยายรัก และเล่าว่าพระกุมารเยซูได้ทำการอัศจรรย์เพื่อย่นระยะทางให้สั้นลง ปราบพวกกองโจรที่คอยดักปล้น และถึงกับสั่งต้นอินทผลัมให้โน้มกิ่งลงมาเพื่อมารดาของพระองค์จะเด็ดผลกินได้. * แต่ที่จริงแล้ว การรอนแรมไปยังดินแดนที่แสนไกลซึ่งพวกเขาไม่รู้จักนี้เป็นการเดินทางที่เหนื่อยยากและลำบากมาก.
มีบทเรียนหลายอย่างที่พ่อแม่สามารถเรียนรู้ได้จากตัวอย่างของโยเซฟ. เขาพร้อมที่จะละจากงานอาชีพและสละความสุขสบายของตนเพื่อปกป้องครอบครัวให้พ้นจากอันตราย. เห็นได้ชัดว่า เขาถือว่าครอบครัวเป็นสมบัติล้ำค่าที่พระยะโฮวาฝากไว้ให้เขาดูแล. พ่อแม่ในทุกวันนี้ต้องเลี้ยงดูลูกในโลกที่เต็มไปด้วยอิทธิพลซึ่งอาจทำให้เด็กเสียผู้เสีย
คน หรือถึงกับทำลายชีวิตของพวกเขา. พ่อแม่ที่ทุ่มเทตัวและพร้อมจะทำทุกอย่างเพื่อปกป้องลูกให้พ้นจากอิทธิพลที่เป็นอันตรายเช่นเดียวกับโยเซฟสมควรได้รับคำชมเชยอย่างแท้จริง!โยเซฟหาเลี้ยงครอบครัว
ดูเหมือนว่าครอบครัวของโยเซฟอยู่ที่อียิปต์ไม่นาน เพราะหลังจากนั้นระยะหนึ่งทูตสวรรค์ก็มาบอกโยเซฟว่าเฮโรดตายแล้ว. โยเซฟจึงพาครอบครัวกลับไปอิสราเอล. คำพยากรณ์เก่าแก่ข้อหนึ่งกล่าวไว้ว่าพระยะโฮวาจะเรียกบุตรของพระองค์ “ออกจากอียิปต์.” (มัดธาย 2:15) โยเซฟช่วยทำให้คำพยากรณ์ข้อนี้สำเร็จ แต่ตอนนี้เขาจะพาครอบครัวของตนไปอยู่ที่ไหน?
โยเซฟไม่ประมาท. เมื่อได้ยินข่าวว่าอาร์คีลาอุสเป็นผู้สืบทอดตำแหน่งต่อจากเฮโรดเขาก็กลัว เพราะรู้กิตติศัพท์ว่าอาร์คีลาอุสเป็นคนชั่วช้าอำมหิตและฆ่าคนมานักต่อนัก. พระเจ้าสั่งให้โยเซฟพาครอบครัวขึ้นไปทางเหนือไกลจากกรุงเยรูซาเลมเพื่อจะไม่ต้องรับรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นที่นั่น. พวกเขากลับมาอยู่ที่นาซาเรทบ้านเกิดของโยเซฟในแคว้นแกลิลี และโยเซฟกับมาเรียก็ลงหลักปักฐานอยู่ที่นั่น.—มัดธาย 2:19-23
พวกเขาใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย แต่ก็ใช่ว่าจะมีชีวิตที่สะดวกสบาย. คัมภีร์ไบเบิลเรียกโยเซฟว่าช่างไม้ ซึ่งเป็นคำกว้าง ๆ ที่ทำให้นึกภาพออกว่าเขาต้องทำงานหลายอย่างเกี่ยวกับไม้ เช่น โค่นต้นไม้ ลากไม้ และเตรียมไม้เพื่อนำไปสร้างบ้าน เรือ สะพานเล็ก ๆ เกวียน ล้อ แอก และเครื่องมือเครื่องใช้ในการเกษตรทุกชนิด. (มัดธาย 13:55) นี่เป็นงานที่ต้องใช้แรงมาก. ช่างไม้ในสมัยคัมภีร์ไบเบิลมักจะทำงานกลางแจ้งที่ลานหน้าบ้านหรือในโรงไม้ที่สร้างไว้ไม่ห่างจากตัวบ้าน.
โยเซฟใช้เครื่องมือหลายชนิดซึ่งบางชนิดคงเป็นมรดกตกทอดมาจากบิดาของเขา. เขาอาจใช้เหล็กฉาก ลูกดิ่ง ชอล์กสำหรับตีเส้น ขวานขนาดเล็ก เลื่อย ขวานถากไม้ ค้อนหงอน ค้อนไม้ สิ่ว สว่านคันชัก กาวชนิดต่าง ๆ และอาจใช้ตะปูด้วยแม้ว่าจะมีราคาแพงก็ตาม.
ลองนึกภาพพระเยซูผู้เยาว์วัยเฝ้าดูบิดาเลี้ยงทำงาน. พระองค์คงจ้องมองโดยไม่ละสายตาไม่ว่าโยเซฟจะหยิบจับหรือทำอะไร. พระองค์คงภูมิใจเมื่อมองดูไหล่กว้าง แขนที่แข็งแรง และมือที่ทำงานอย่างคล่องแคล่ว รวมทั้งสายตาที่เฉียบคมของบิดา. บางทีโยเซฟอาจสอนบุตรชายวัยเยาว์ให้หัดทำงานง่าย ๆ เช่น เอาหนังปลาแห้งมาขัดผิวไม้ให้เรียบ. เขาอาจสอนพระเยซูให้รู้จักต้นไม้แต่ละชนิดที่เขาใช้ ทั้งต้นมะเดื่อ ต้นโอ๊ก ต้นมะกอก และต้นอื่น ๆ.
นอกจากนั้น พระเยซูคงได้เรียนรู้ว่ามือที่แข็งแกร่งซึ่งโค่นต้นไม้ ถากไม้ และตอกไม้ให้ติดกันนี้ยังเป็นมือที่อ่อนโยนซึ่งคอยโอบกอดและปลอบโยนพระองค์กับแม่และน้อง ๆ ด้วย. ครอบครัวของโยเซฟกับมาเรียขยายใหญ่ขึ้นจนในที่สุดพวกเขามีลูกอย่างน้อยหกคน ไม่รวมพระเยซู. (มัดธาย 13:55, 56) โยเซฟต้องทำงานหนักขึ้นอีกเพื่อดูแลและหาเลี้ยงทุกคนในครอบครัว.
อย่างไรก็ตาม โยเซฟเข้าใจดีว่าการดูแลสมาชิกในครอบครัวให้มีความเชื่อและมีสัมพันธภาพใกล้ชิดกับพระเจ้าเป็นเรื่องสำคัญที่สุด. ดังนั้น โยเซฟจึงให้เวลากับลูกเพื่อสอนพวกเขาให้รู้จักพระยะโฮวาพระเจ้าและกฎหมายของพระองค์. โยเซฟกับมาเรียพาลูก ๆ ไปที่ธรรมศาลาเพื่อฟังการอ่านและอธิบายพระบัญญัติเป็นประจำ. หลังจากกลับมา
บ้าน พระเยซูคงต้องมีคำถามมากมายและโยเซฟก็คงพยายามอย่างดีที่สุดที่จะตอบคำถามของบุตรชายที่สนใจใคร่รู้เกี่ยวกับพระเจ้า. นอกจากนั้น โยเซฟยังพาครอบครัวของเขาไปร่วมเทศกาลทางศาสนาที่กรุงเยรูซาเลมด้วย. เมื่อถึงเทศกาลปัศคาประจำปี โยเซฟคงต้องใช้เวลาทั้งหมดนานถึงสองสัปดาห์เพื่อพาครอบครัวเดินทางไกลราว ๆ 113 กิโลเมตรไปเข้าร่วมเทศกาลนี้และเดินทางกลับ.หัวหน้าครอบครัวคริสเตียนในทุกวันนี้ก็ทำอย่างเดียวกัน. พวกเขาทุ่มเทความพยายามเพื่อจัดหาสิ่งจำเป็นด้านวัตถุให้แก่ลูก แต่พวกเขาให้ความสำคัญเป็นพิเศษกับการอบรมสั่งสอนลูกให้มีความเชื่อในพระเจ้า. พวกเขาพยายามอย่างจริงจังเพื่อพาลูก ๆ เข้าร่วมการประชุมคริสเตียนทั้งการประชุมใหญ่และการประชุมประจำสัปดาห์. เช่นเดียวกับโยเซฟ พ่อแม่คริสเตียนรู้ว่านี่เป็นการลงทุนที่คุ้มค่าที่สุดที่พวกเขาจะทำเพื่อลูกของตนได้.
“ด้วยความร้อนใจ”
เมื่อพระเยซูมีพระชนมายุ 12 พรรษา โยเซฟได้พาครอบครัวไปที่กรุงเยรูซาเลมเหมือนทุกปี. ตอนนั้นเป็นเทศกาลปัศคา และครอบครัวใหญ่หลายครอบครัวเดินทางไปด้วยกันเป็นขบวน ผ่านท้องทุ่งที่เขียวขจีในฤดูใบไม้ผลิ. เมื่อมาถึงเขตเนินเขาซึ่งเป็นทางขึ้นไปยังกรุงเยรูซาเลมที่ตั้งตระหง่านอยู่บนภูเขาสูง พวกเขาคงจะร้องเพลงสรรเสริญที่เรียกกันว่าบทเพลงที่ใช้แห่ขึ้น. (บทเพลงสรรเสริญ 120–134) กรุงนี้คงจะคลาคล่ำไปด้วยผู้คนนับแสน. พอสิ้นสุดเทศกาล แต่ละครอบครัวก็เดินทางกลับบ้านไปพร้อม ๆ กัน. โยเซฟกับมาเรียอาจยุ่งอยู่กับงานหลายอย่าง พวกเขาจึงคิดว่าพระเยซูเดินทางกลับมาพร้อมกันแต่อยู่กับญาติคนอื่น ๆ. แต่เมื่อออกจากกรุงเยรูซาเลมมาได้หนึ่งวันเต็ม พวกเขาก็ตกใจมากเมื่อรู้ว่าพระเยซูหายไป!—ลูกา 2:41-44
ด้วยความกังวลใจ พวกเขารีบย้อนกลับไปทางเดิมเพื่อตามหาพระเยซูที่กรุงเยรูซาเลม. ลองนึกภาพว่า ขณะที่พวกเขาวิ่งเข้าวิ่งออกตามถนนต่าง ๆ พร้อมกับร้องเรียกชื่อลูกชาย พวกเขาคงรู้สึกว่าตอนนี้กรุงเยรูซาเลมช่างดูเงียบเหงาเหลือเกิน. ลูกชายของพวกเขาไปอยู่ที่ไหน? หลังจากตามหาอยู่สามวัน โยเซฟจะเริ่มคิดไหมว่าเขาบกพร่องในหน้าที่อย่างร้ายแรงเนื่องจากไม่สามารถดูแลสมบัติล้ำค่าที่พระยะโฮวาฝากไว้กับเขา? ในที่สุด พวกเขาก็เข้าไปในพระวิหาร. พวกเขาเดินหาจนมาถึงห้องหนึ่งซึ่งมีบรรดาอาจารย์ลูกา 2:45, 46
ที่ชำนาญในพระบัญญัติชุมนุมกันอยู่ แล้วพวกเขาก็เห็นพระเยซูนั่งอยู่ที่นั่น! ลองนึกดูสิว่าโยเซฟกับมาเรียคงรู้สึกโล่งอกสักเพียงไร!—พระเยซูกำลังนั่งฟังผู้มีความรู้เหล่านั้นและซักถามพวกเขาด้วยความสนใจใคร่รู้. อาจารย์เหล่านั้นรู้สึกทึ่งเมื่อเห็นว่าเด็กชายคนนี้มีความเข้าใจและตอบคำถามที่ลึกซึ้งได้. โยเซฟกับมาเรียประหลาดใจที่เห็นเช่นนั้น. ตามบันทึกในพระคัมภีร์ โยเซฟไม่ได้พูดอะไรเลย. แต่คำพูดของมาเรียที่พูดแทนเขาทั้งสองนั้นสะท้อนความรู้สึกของคนที่เป็นพ่อแม่ได้เป็นอย่างดี. เธอพูดว่า “ลูกเอ๋ย ทำไมจึงทำให้พ่อแม่เป็นห่วงอย่างนี้? ดูสิ พ่อกับแม่ตามหาเจ้าด้วยความร้อนใจ.”—ลูกา 2:47, 48
เพียงคำพูดไม่กี่คำนี้ พระคำของพระเจ้าช่วยให้เรามองเห็นภาพที่ตรงกับชีวิตจริงของคนที่เป็นพ่อแม่. พวกเขาอาจต้องเผชิญความกังวลและความเครียด แม้แต่เมื่อมีลูกที่เป็นมนุษย์สมบูรณ์เช่นพระเยซู! การเลี้ยงลูกในโลกทุกวันนี้ที่เต็มไปด้วยอันตรายอาจทำให้พ่อแม่ “ร้อนใจ” ได้ไม่หยุดหย่อน แต่พวกเขาคงมีกำลังใจเมื่อรู้ว่าคัมภีร์ไบเบิลยอมรับว่าสิ่งที่พ่อแม่เผชิญอยู่เป็นข้อท้าทายที่ยากมาก.
น่าดีใจ พระเยซูกำลังอยู่ในสถานที่แห่งเดียวในโลกที่ทำให้พระองค์รู้สึกใกล้ชิดพระยะโฮวาพระบิดาในสวรรค์มากที่สุด. พระองค์ทรงกระตือรือร้นที่จะเรียนรู้เรื่องต่าง ๆ ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้. ด้วยเหตุนี้ พระเยซูจึงตรัสตอบมารดาแบบซื่อ ๆ ตามประสาเด็กว่า “ทำไมต้องตามหาลูก? พ่อกับแม่ไม่รู้หรือว่าลูกต้องอยู่ในพระนิเวศของพระบิดา?”—ลูกา 2:49
โยเซฟคงต้องคิดถึงถ้อยคำเหล่านั้นอีกหลายต่อหลายครั้ง. และเขาอาจยิ้มออกมาด้วยความภาคภูมิใจด้วยซ้ำ. ที่จริง เขาได้พร่ำสอนบุตรบุญธรรมให้มีความรู้สึกเช่นนั้นต่อพระยะโฮวาพระเจ้า. แม้ตอนนี้พระเยซูยังเป็นเด็ก แต่พระองค์ก็ซาบซึ้งกับความหมายของคำว่า “บิดา” แล้ว ซึ่งความรู้สึกเช่นนี้คงต้องเกิดจากการที่พระองค์ได้คลุกคลีใกล้ชิดกับบิดาอย่างโยเซฟ.
ถ้าคุณเป็นพ่อ คุณได้ช่วยลูกให้เข้าใจไหมว่าพ่อที่รักและพร้อมจะปกป้องลูกเสมอนั้นเป็นอย่างไร? และคุณตระหนักไหมว่าการช่วยลูกเช่นนี้เป็นหน้าที่รับผิดชอบอันมีเกียรติเพียงไร? ถ้าคุณมีลูกเลี้ยงหรือลูกบุญธรรม ขอให้คุณนึกถึงตัวอย่างของโยเซฟและปฏิบัติต่อลูกด้วยความรัก ให้ลูกรู้สึกว่าเขาเป็นคนพิเศษและมีค่าสำหรับคุณ. จงช่วยพวกเขาให้พัฒนาสายสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับพระยะโฮวาพระเจ้า พระบิดาในสวรรค์.
โยเซฟทำหน้าที่อย่างซื่อสัตย์โดยไม่ย่อท้อ
คัมภีร์ไบเบิลกล่าวถึงชีวิตของโยเซฟอีกเพียงเล็กน้อย แต่เรื่องราวเหล่านั้นก็มีค่าแก่การใคร่ครวญอย่างจริงจัง. เราอ่านว่าพระเยซูทรง ‘อยู่ในการปกครองของบิดามารดาต่อไป.’ นอกจากนี้ เราได้รู้ว่า “พระเยซูก็เจริญขึ้นทั้งทางสติปัญญาและทางกาย และเป็นที่ชื่นชอบของพระเจ้าและคนทั้งหลายมากขึ้นเรื่อย ๆ.” (ลูกา 2:51, 52) ถ้อยคำเหล่านั้น บอกให้รู้อะไรเกี่ยวกับโยเซฟ? มีหลายเรื่องทีเดียว. เราได้เรียนรู้ว่าโยเซฟยังปกครองและดูแลครอบครัวต่อไป เพราะบุตรที่เป็นมนุษย์สมบูรณ์ของเขายอมรับอำนาจของโยเซฟในฐานะบิดาด้วยความนับถือและยอมอยู่ใต้การปกครองของเขา.
นอกจากนั้น เรายังได้รู้ว่าพระเยซูทรงเจริญวัยขึ้นพร้อมด้วยสติปัญญา. โยเซฟคงต้องมีบทบาทอย่างมากในเรื่องนี้. ในสมัยนั้น มีสุภาษิตข้อหนึ่งที่ชาวยิวรู้จักกันดีซึ่งกล่าวว่า เฉพาะคนที่มีชีวิตสุขสบายเท่านั้นจึงจะเป็นคนมีปัญญาได้ แต่คนที่ทำงานหนัก เช่น ช่างไม้ ชาวนาชาวไร่ และช่างตีเหล็ก “ไม่สามารถเข้าใจเรื่องความยุติธรรมและการพิพากษา และจะไม่พบพวกเขาในที่ชุมนุมของเหล่านักปราชญ์.” ในเวลาต่อมา พระเยซูแสดงให้เห็นว่าสุภาษิตข้อนี้ไม่เป็นความจริงเลย. บ่อยเพียงไรที่พระเยซูผู้เยาว์วัยได้ยินบิดาเลี้ยงของพระองค์พร่ำสอนเรื่อง “ความยุติธรรมและการพิพากษา” ของพระยะโฮวา! และทั้ง ๆ ที่เป็นเพียงช่างไม้ที่ต่ำต้อยแต่โยเซฟก็สามารถสอนพระองค์ให้เข้าใจเรื่องที่ลึกซึ้งได้. แน่นอนว่าโยเซฟคงได้ทำเช่นนั้นหลายครั้งหลายหน.
เรายังเห็นได้ว่าโยเซฟช่วยพระเยซูให้เติบโตด้านร่างกายด้วย. เนื่องจากได้รับการเอาใจใส่เป็นอย่างดี พระเยซูจึงเติบโตขึ้นเป็นชายหนุ่มที่มีสุขภาพดีและมีร่างกายแข็งแรง. นอกจากนั้น โยเซฟยังฝึกบุตรชายคนนี้ให้เป็นช่างไม้ที่ชำนาญ. พระเยซูไม่เพียงได้ชื่อว่าลูกช่างไม้ แต่ยังถูกเรียกว่า “ช่างไม้” ด้วย. (มาระโก 6:3) นี่แสดงว่าการสอนของโยเซฟได้ผลดี. หัวหน้าครอบครัวควรเลียนแบบโยเซฟโดยเอาใจใส่ดูแลสวัสดิภาพของลูก และสอนลูกให้สามารถหาเลี้ยงตัวเองได้เมื่อเติบใหญ่.
เมื่อเราอ่านบันทึกเรื่องราวตอนที่พระเยซูรับบัพติสมาเมื่อพระชนมายุ 30 พรรษา เราพบว่าคัมภีร์ไบเบิลไม่ได้กล่าวถึงโยเซฟอีกเลย. หลักฐานต่าง ๆ บ่งชี้ว่ามาเรียน่าจะเป็นม่ายตอนที่พระเยซูเริ่มงานประกาศสั่งสอน. (ดูกรอบ “โยเซฟเสียชีวิตเมื่อไร?” หน้า 27.) ถึงกระนั้น ประวัติชีวิตของโยเซฟยังเป็นเรื่องที่น่าจดจำเพราะเขาเป็นแบบอย่างที่ยอดเยี่ยมของพ่อที่ปกป้องดูแล หาเลี้ยงครอบครัว และทำหน้าที่ของตนอย่างซื่อสัตย์จนถึงที่สุด. ผู้เป็นพ่อ หัวหน้าครอบครัว และคริสเตียนทุกคนควรเลียนแบบความเชื่อของโยเซฟ.
[เชิงอรรถ]
^ วรรค 7 ในสมัยนั้น การหมั้นแทบไม่ต่างอะไรกับการสมรส.
^ วรรค 8 โปรดดูบทความ “จงเลียนแบบความเชื่อของเขา—เธอ ‘ใคร่ครวญอยู่ในใจ’ ” ในหอสังเกตการณ์ 1 ตุลาคม 2008.
^ วรรค 14 คัมภีร์ไบเบิลกล่าวอย่างชัดเจนว่าพระเยซูทรงทำการอัศจรรย์ครั้งแรกหลังจากพระองค์รับบัพติสมาแล้ว. (โยฮัน 2:1-11) สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับกิตติคุณนอกสารบบพระคัมภีร์ โปรดดูบทความ “กิตติคุณนอกสารบบ—ความจริงที่ถูกปิดซ่อนเกี่ยวกับพระเยซูหรือ?” ในหน้า 18.
[กรอบหน้า 27]
โยเซฟเสียชีวิตเมื่อไร?
เรารู้ว่าโยเซฟยังมีชีวิตอยู่ตอนที่พระเยซูมีพระชนมายุ 12 พรรษา. เด็กชายชาวยิวในวัยนี้มักเริ่มหัดทำงานกับบิดา และเริ่มฝึกอาชีพอย่างจริงจังตอนอายุ 15 ปี. ดูเหมือนว่าโยเซฟมีชีวิตอยู่นานพอที่จะฝึกสอนพระเยซูให้เป็นช่างไม้. โยเซฟยังมีชีวิตอยู่ไหมตอนที่พระเยซูเริ่มงานประกาศสั่งสอนเมื่อพระชนมายุได้ 30 พรรษา? ดูเหมือนไม่น่าจะเป็นเช่นนั้น. บันทึกในช่วงนั้นกล่าวถึงมารดา น้องชาย และน้องสาวของพระเยซู แต่ไม่เอ่ยถึงโยเซฟเลย. ครั้งหนึ่งผู้คนถึงกับเรียกพระเยซูว่า “บุตรนางมาเรีย” ไม่ใช่บุตรโยเซฟ. (มาระโก 6:3) มีการกล่าวถึงมาเรียว่าเธอคิดและตัดสินใจทำสิ่งต่าง ๆ ด้วยตัวเองโดยไม่ได้ปรึกษาสามี. (โยฮัน 2:1-5) ในสมัยคัมภีร์ไบเบิล ผู้หญิงที่แต่งงานแล้วจะไม่ทำเช่นนั้น เว้นแต่เธอจะเป็นม่าย. นอกจากนั้น ตอนที่พระเยซูกำลังจะสิ้นพระชนม์ พระองค์ได้ขอให้อัครสาวกโยฮันช่วยดูแลมารดาของพระองค์. (โยฮัน 19:26, 27) พระเยซูคงไม่ทำเช่นนั้นถ้าโยเซฟยังมีชีวิตอยู่. ดังนั้น อาจกล่าวได้ว่าโยเซฟเสียชีวิตตอนที่พระเยซูอยู่ในวัยหนุ่ม. ในฐานะบุตรชายคนโต พระเยซูคงได้ทำงานช่างไม้ต่อจากบิดาและดูแลมารดากับน้อง ๆ จนถึงเวลาที่พระองค์รับบัพติสมา.
[ภาพหน้า 24]
โยเซฟพร้อมจะทำทุกสิ่งโดยไม่ลังเลเพื่อปกป้องบุตรของตนอย่างไม่เห็นแก่ตัว
[ภาพหน้า 25]
โยเซฟทำงานหนักเพื่อหาเลี้ยงครอบครัว
[ภาพหน้า 26]
โยเซฟพาครอบครัวไปนมัสการที่พระวิหารในกรุงเยรูซาเลมเป็นประจำ
[ภาพหน้า 28]
โยเซฟฝึกสอนบุตรชายให้เป็นช่างไม้