จงเลียนแบบความเชื่อของเขา | มาเรีย
เธอรอดพ้นจากคมดาบที่แทงทะลุกลางใจ
มาเรียทรุดลงไปนั่งกับพื้นด้วยความเจ็บปวดรวดร้าวจนสุดจะพรรณนา เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดครั้งสุดท้ายของลูกชายที่กำลังจะสิ้นใจหลังถูกทรมานนานหลายชั่วโมงยังดังก้องอยู่ในหูของเธอ ทั้ง ๆ ที่เป็นเที่ยงวันแต่ท้องฟ้ากลับมืดมัวและแผ่นดินก็สั่นสะเทือนอย่างรุนแรง (มัดธาย 27:45, 51) สำหรับมาเรียแล้ว ดูเหมือนว่าพระยะโฮวากำลังประกาศให้โลกรู้ว่าพระองค์เจ็บปวดรวดร้าวต่อการตายของพระเยซูคริสต์มากยิ่งกว่ามนุษย์คนใดบนโลกนี้
แม้แสงอาทิตย์ยามบ่ายจะขับไล่ความมืดให้จางหายไปจากโกลโกทา หรือสถานที่ที่เรียกกันว่ากะโหลกศีรษะ แต่ความหม่นหมองในใจของมาเรียก็ยังไม่จางหายไป (โยฮัน 19:17, 25) ความทรงจำเก่า ๆ คงผุดขึ้นในใจเธอภาพแล้วภาพเล่า ภาพหนึ่งที่ตราตรึงในใจเธอคงเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อประมาณ 33 ปีก่อน เมื่อเธอกับโยเซฟอุ้มลูกน้อยที่เป็นดั่งแก้วตาดวงใจไปยังพระวิหารในกรุงเยรูซาเลม ชายชราที่ชื่อซิมโอนก็ได้รับการดลใจให้กล่าวคำพยากรณ์เมื่อเห็นเด็กน้อยคนนี้ เขาทำนายว่าในอนาคตเด็กคนนี้จะทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่มากมาย และยังบอกด้วยว่าวันหนึ่งมาเรียจะเจ็บปวดรวดร้าวราวกับถูกคมดาบแทงทะลุกลางใจ (ลูกา 2:25-35) ในช่วงเวลาอันโหดร้ายนี้เองที่เธอได้มารู้ซึ้งถึงความจริงอันเจ็บปวดของคำพยากรณ์ข้อนั้น
กล่าวกันว่าความตายของลูกสุดที่รักเป็นเรื่องที่โหดร้ายและสุดแสนทรมานจนเกินกว่าใครจะรับไหว ความตายเป็นศัตรูคู่อาฆาตที่อาจทิ้งบาดแผลอันแสนเจ็บปวดไว้ให้เราทุกคนไม่วันใดก็วันหนึ่ง (โรม 5:12; 1 โครินท์ 15:26) เราจะรอดพ้นจากความทุกข์นี้ได้ไหม? ขณะที่เราทบทวนเรื่องราวชีวิตของมาเรียตั้งแต่ตอนที่พระเยซูเริ่มงานประกาศสั่งสอนไปจนถึงตอนที่ท่านสิ้นชีวิตและช่วงถัดจากนั้น เราจะได้เรียนรู้หลายอย่างเกี่ยวกับความเชื่อของมาเรียซึ่งเป็นเคล็ดลับที่ช่วยให้เธอรอดพ้นจากความทุกข์ที่แทงทะลุกลางใจ
“เจ้าทั้งหลายจงทำตามที่ท่านสั่งเถิด”
ให้เราย้อนเวลากลับไปก่อนหน้านี้สามปีครึ่ง มาเรียเริ่มรู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงที่กำลังจะเกิดขึ้น แม้แต่ในเมืองเล็ก ๆ อย่างนาซาเรท ชาวเมืองต่างก็พูดถึงโยฮันผู้ให้บัพติสมาและการป่าวประกาศของเขาที่กระตุ้นให้ผู้คนกลับใจจากบาป มาเรียอาจสังเกตว่าลูกชายคนโตของเธอกำลังมองว่าคำประกาศนั้นเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าควรเริ่มงานรับใช้พระเจ้าบนแผ่นดินโลกได้แล้ว (มัดธาย 3:1, 13) มาเรียกับคนอื่น ๆ ในครอบครัวคงลำบากขึ้นแน่ ๆ ถ้าขาดพระเยซูไปสักคน ทำไมเป็นอย่างนั้น?
ดูเหมือนว่าโยเซฟสามีของมาเรียได้เสียชีวิตไปแล้ว ถ้าอย่างนั้นการสูญเสียครั้งนี้ก็ไม่ใช่ครั้งแรกของเธอ * พระเยซูที่ตอนนี้ใคร ๆ ก็เรียกว่า “ช่างไม้” ไม่ใช่แค่ “ลูกช่างไม้” ได้สานต่อธุรกิจของพ่อและรับหน้าที่หาเลี้ยงครอบครัวซึ่งรวมถึงน้อง ๆ อย่างน้อยอีกหกชีวิต (มัดธาย 13:55, 56; มาระโก 6:3) แม้พระเยซูได้ฝึกสอนยาโกโบน้องชายคนรองให้สานต่อกิจการนี้ แต่เมื่อไม่มีพี่ชายคนโตอยู่ด้วยก็คงทำให้ครอบครัวลำบากไม่น้อย มาเรียที่แบกภาระหนักอยู่แล้วจะกลัวการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ไหม? เราก็คงได้แต่เดา แต่มีอีกคำถามหนึ่งที่สำคัญยิ่งกว่านั้นคือ มาเรียจะมีท่าทีอย่างไรเมื่อรู้ว่าเยซูแห่งนาซาเรทก็คือพระเยซูคริสต์ หรือพระมาซีฮาตามที่พระเจ้าได้สัญญาไว้นานมาแล้ว? บันทึกเล่มหนึ่งของคัมภีร์ไบเบิลช่วยไขข้อข้องใจนี้—โยฮัน 2:1-12
พระเยซูไปหาโยฮันเพื่อรับบัพติสมา เมื่อได้อุทิศตัวแด่พระเจ้าลูกา 3:21, 22) จากนั้นท่านก็เริ่มเลือกสาวกคนสนิท แม้จะรู้ว่าตัวเองมีงานด่วนที่ต้องเร่งทำ แต่ท่านก็ยังหาเวลาเพื่อมีความสุขกับครอบครัวและเพื่อน ๆ พระเยซูไปงานเลี้ยงสมรสกับแม่ เหล่าสาวก และน้อง ๆ ของท่านที่เมืองคานา ซึ่งอยู่บนยอดเขาห่างจากเมืองนาซาเรทไป 13 กิโลเมตร ระหว่างที่กำลังกินเลี้ยง มาเรียก็เริ่มเห็นว่ามีปัญหาบางอย่างเกิดขึ้น เธอคงสังเกตว่าบางคนในครอบครัวนั้นชำเลืองดูอะไรบางอย่างด้วยสีหน้าวิตกกังวลและกระซิบกระซาบกัน ที่แท้ก็เหล้าองุ่นหมดนั่นเอง! ตามธรรมเนียมของชาวยิวที่ขึ้นชื่อเรื่องการรับรองแขก พวกเขาถือว่าเป็นความบกพร่องอย่างร้ายแรงถ้าไม่มีเหล้าองุ่นไว้เลี้ยงแขกอย่างเต็มที่ และบ่าวสาวรวมทั้งคนในครอบครัวของเขาคงต้องอับอายขายหน้ามาก มาเรียเข้าใจความรู้สึกของพวกเขา เธอจึงหันไปพูดกับพระเยซู
แล้ว ท่านจึงกลายเป็นพระมาซีฮาหรือผู้ถูกเจิมของพระเจ้า (เธอบอกลูกชายว่า “เขาไม่มีเหล้าองุ่นแล้ว” มาเรียอยากให้พระเยซูทำอะไร? เราก็ได้แต่คิดเดาเอาเอง แต่มาเรียรู้ว่าลูกชายของเธอสามารถทำสิ่งที่เหนือกว่ามนุษย์คนใด ๆ เพราะพระเยซูไม่ใช่คนธรรมดาเหมือนคนอื่น บางทีเธออาจหวังว่าลูกชายของเธอจะทำอะไรสักอย่างในตอนนี้ แล้วเธอก็พูดว่า “ลูกเอ๋ย ลงมือทำอะไรสักอย่างสิ!” แล้วมาเรียคงรู้สึกประหลาดใจมากเมื่อได้ยินคำตอบของพระเยซูที่บอกว่า “หญิงที่รักเอ๋ย ท่านให้เราไปเกี่ยวข้องด้วยทำไม?” แม้ว่าคำพูดของพระเยซูอาจฟังเหมือนไม่ให้เกียรติแม่ แต่นี่เป็นวิธีที่พระเยซูเตือนแม่ด้วยความกรุณา เพราะตอนนี้แม่ไม่มีสิทธิ์จะบอกให้ท่านทำโน่นทำนี่ตามใจชอบ พระยะโฮวาบิดาที่อยู่ในสวรรค์ผู้เดียวเท่านั้นที่มีสิทธิ์ชี้นำการทำงานรับใช้ของท่าน
เนื่องจากเข้าใจดีว่าพระเยซูพยายามจะบอกอะไร มาเรียจึงยอมรับด้วยความถ่อมใจแล้วหันไปพูดกับคนรับใช้ที่ช่วยในงานเลี้ยงว่า “เจ้าทั้งหลายจงทำตามที่ท่านสั่งเถิด” เธอรู้แล้วว่าต่อจากนี้ไม่ใช่หน้าที่ของเธอที่จะสั่งลูกชายให้ทำตามสิ่งที่เธอต้องการ แต่เธอและคนอื่น ๆ ต่างหากที่ต้องเป็นฝ่ายฟังพระเยซู ส่วนพระเยซูเองก็แสดงให้เห็นว่าท่านเข้าใจความรู้สึกของแม่ที่เป็นห่วงบ่าวสาวคู่นั้น ท่านจึงทำการอัศจรรย์ครั้งแรกโดยเปลี่ยนน้ำให้เป็นเหล้าองุ่น ผลเป็นอย่างไร? “เหล่าสาวกจึงมีความเชื่อในพระองค์” มาเรียเองก็มีความเชื่อในพระเยซูด้วย ตอนนี้เธอมองว่าพระเยซูไม่ได้เป็นแค่ลูกชาย แต่เป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าและเป็นผู้ช่วยให้รอด
พ่อแม่สมัยนี้ได้รับประโยชน์มากจากความเชื่อของมาเรีย ถึงแม้ไม่มีพ่อแม่คนไหนจะมีลูกที่สมบูรณ์แบบอย่างพระเยซูก็ตาม เมื่อลูก ๆ ที่เป็นคนธรรมดาเติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ การเปลี่ยนแปลงนี้อาจทำให้พ่อแม่ทำใจลำบาก เพราะพ่อแม่อาจเคยชินกับวิธีเลี้ยงลูกแบบที่คิดว่าเขายังเป็นเด็กอยู่ ทั้ง ๆ ที่ตอนนี้ไม่เหมาะแล้วที่จะทำอย่างนั้น (1 โครินท์ 13:11) พ่อแม่จะช่วยลูกให้เติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่ดีได้อย่างไร? วิธีหนึ่งคือ แสดงให้ลูกเห็นว่าพ่อแม่มั่นใจจริง ๆ ว่าเขาจะซื่อสัตย์และนำหลักการของคัมภีร์ไบเบิลไปใช้ในชีวิตต่อ ๆ ไป และย้ำกับเขาเสมอว่าพระยะโฮวาจะอวยพรให้เขาได้รับสิ่งดี ๆ ในชีวิต เมื่อพ่อแม่เชื่อและมั่นใจในตัวลูกจากใจจริง พวกเขาก็ช่วยลูกที่โตแล้วได้มาก เราแน่ใจได้ว่าพระเยซูคงต้องซาบซึ้งในความช่วยเหลือเกื้อกูลที่ได้รับจากมาเรียตลอดหลายปีที่มีเหตุการณ์มากมายเกิดขึ้นในชีวิตของท่าน
“พวกน้อง ๆ . . . ไม่มีความเชื่อในพระองค์”
หนังสือกิตติคุณแทบไม่ได้พูดถึงมาเรียเลยตลอดช่วงสามปีครึ่งที่พระเยซูออกไปประกาศสั่งสอน แต่อย่าลืมว่าเธอคงเป็นแม่ม่ายที่ยังต้องดูแลลูกคนอื่น ๆ ที่บ้านตามลำพัง จึงไม่แปลกที่เธอไม่สามารถติดตามพระเยซูไปประกาศทั่วบ้านทั่วเมือง (1 ติโมเธียว 5:8) ถึงแม้ตัวไม่ได้ไปแต่ใจยังใคร่ครวญถึงเรื่องต่าง ๆ เกี่ยวกับพระเจ้าซึ่งช่วยให้เธอได้เรียนรู้และเข้าใจเรื่องพระมาซีฮา และเธอยังไปประชุมที่ธรรมศาลาใกล้บ้านตามธรรมเนียมของครอบครัวไม่เคยขาด!—ลูกา 2:19, 51; 4:16
มาเรียอาจเป็นคนหนึ่งที่ได้นั่งฟังพระเยซูสอนในธรรมศาลาเมืองนาซาเรท เธอคงรู้สึกตื่นเต้นมากเมื่อได้ยินลูกชายประกาศลูกา 4:17-30
ว่า คำพยากรณ์เรื่องมาซีฮาที่ผู้คนเฝ้ารอมานานหลายศตวรรษกำลังสำเร็จเป็นจริงกับตัวเขา! แต่เธอคงเจ็บปวดและทุกข์ใจที่เห็นชาวนาซาเรทไม่ยอมรับพระเยซู และถึงกับพยายามหาทางฆ่าลูกชายของเธอด้วยซ้ำ!—เธอยังรู้สึกเศร้าใจด้วยเมื่อเห็นว่าลูก ๆ ของเธอก็ไม่ยอมรับพระเยซู เพราะบันทึกที่โยฮัน 7:5 บอกว่า “พวกน้อง ๆ . . . ไม่มีความเชื่อในพระองค์” จากข้อนี้ทำให้เรารู้ว่าน้องชาย 4 คนไม่มีความเชื่อในพระเยซูอย่างที่แม่เชื่อ แต่คัมภีร์ไบเบิลก็ไม่ได้บอกว่าน้องสาวของพระเยซูซึ่งอาจมีอย่างน้อย 2 คน มีความเชื่อในพระเยซูหรือไม่ * ไม่ว่าจะอย่างไร มาเรียคงรู้สึกอึดอัดใจเมื่อต้องอยู่ร่วมชายคาเดียวกับคนที่มีความเชื่อทางศาสนาต่างกัน เธอต้องพยายามยึดมั่นกับความจริงของพระเจ้าด้วยความซื่อสัตย์ภักดี แต่ในขณะเดียวกันเธอก็ต้องพยายามเอาชนะใจคนในครอบครัวและไม่บังคับพวกเขาให้มีความเชื่อเหมือนเธอ
ครั้งหนึ่งพวกญาติ ๆ และน้องของท่านคิดจะไปจับกุม “เอาตัว” พระเยซู พวกเขาพูดกันว่า “[พระเยซู] เสียสติไปแล้ว” (มาระโก 3:21, 31) ทั้ง ๆ ที่รู้อยู่เต็มอกว่าพระเยซูไม่ได้เสียสติอย่างที่พวกเขาคิด แต่มาเรียก็ตามไปด้วย บางทีเธออาจหวังลึก ๆ ว่าพวกเขาจะได้เรียนรู้อะไรบางอย่างจากพระเยซูที่จะเปลี่ยนพวกเขาให้มีความเชื่อขึ้นมา แต่พวกเขาเชื่อไหม? ทั้ง ๆ ที่พระเยซูทำสิ่งที่น่าประทับใจมากมายและยังสอนความจริงของพระเจ้าได้อย่างน่าอัศจรรย์ใจ แต่ลูก ๆ ของมาเรียก็ยังไม่เชื่อพระเยซูอยู่ดี คุณคิดว่าเธอจะโมโหและนึกสงสัยไหมว่าจะต้องให้ทำอย่างไรอีกเพื่อลูก ๆ ของเธอมีความเชื่อในพระเยซู?
คุณอยู่ในบ้านที่นับถือศาสนาต่างกัน พ่อแม่ไปทาง ลูกไปทางไหม? ความเชื่อของมาเรียจะเป็นแบบอย่างให้คุณได้ เธอไม่เคยถอดใจที่จะช่วยให้ญาติมีความเชื่อในพระเยซู เธอจึงเลือกที่จะแสดงให้พวกเขาเห็นว่าความเชื่อนั้นทำให้เธอมีความสุขและมีสันติสุขในใจ ขณะเดียวกันเธอก็ยังคงสนับสนุนพระเยซูลูกชายที่ซื่อสัตย์ของเธอต่อ ๆ ไป มาเรียจะคิดถึงหน้าลูกบ้างไหม? เธอหวังว่าสักวันหนึ่งพระเยซูจะกลับบ้านมาอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตากับครอบครัวเหมือนเดิมไหม? ถ้าอย่างนั้น มาเรียคงข่มใจไว้ไม่แสดงให้ใครเห็นว่าเธอคิดถึงลูกมากแค่ไหน แล้วเธอก็มองว่าเป็นเกียรติสูงส่งที่ได้สนับสนุนและส่งเสริมให้พระเยซูทำงานรับใช้พระเจ้าได้อย่างเต็มที่ คุณจะเลียนแบบมาเรียโดยสนับสนุนลูก ๆ ให้คิดถึงพระเจ้าเป็นอันดับแรกในชีวิตได้ไหม?
“ดาบยาวจะแทงทะลุตัวเจ้า”
มาเรียได้รับผลตอบแทนอะไรบ้างไหมจากความเชื่อที่เธอมีต่อพระเยซู? พระยะโฮวาไม่เคยมองข้าม และในกรณีของมาเรียพระองค์ก็ไม่ลืมตอบแทนเธอเช่นกัน (ฮีบรู 11:6) คุณนึกออกไหมว่ามาเรียจะรู้สึกอย่างไรเมื่อได้ยินลูกชายของเธอสอนผู้คน หรือได้ยินคนอื่นเล่าเรื่องที่พวกเขาได้ฟังจากคำเทศน์ของพระเยซู
ตัวอย่างเปรียบเทียบที่พระเยซูยกขึ้นมาสอนคงทำให้มาเรียคิดถึงเสียงที่น่ารักตามประสาเด็กของพระเยซูตอนที่ท่านเติบโตในเมืองนาซาเรท เมื่อมาเรียได้ยินพระเยซูพูดถึงหญิงที่กำลังกวาดบ้านเพื่อหาเหรียญเงินที่หายไป การโม่แป้งเพื่อทำขนมปัง หรือการจุดตะเกียงให้ส่องสว่างแล้วเอาไปตั้งบนเชิงตะเกียง เธอคงนึกถึงลูกชายตัวน้อยที่ป้วนเปี้ยนอยู่ใกล้ ๆ ตอนที่เธอทำงานบ้านไหม? (ลูกา 11:33; 15:8, 9; 17:35) และตอนที่พระเยซูพูดว่าแอกของท่านพอเหมาะและภาระของท่านก็เบา คงทำให้มาเรียนึกย้อนไปถึงวันเวลาดี ๆ ที่ยังตราตรึงอยู่ในใจเธอ สมัยที่โยเซฟพร่ำสอนลูกชายวัยเยาว์ให้หัดทำแอกอย่างพิถีพิถันเพื่อสัตว์จะแบกแอกนั้นได้อย่างสบาย (มัดธาย 11:30) มาเรียคงปลาบปลื้มใจมากเมื่อคิดทบทวนถึงเกียรติอันยิ่งใหญ่ที่พระยะโฮวาให้เธอได้เป็นแม่ผู้คอยสั่งสอนเลี้ยงดูลูกชายที่จะได้เป็นพระมาซีฮาในวันข้างหน้า หัวใจของเธอคงพองโตด้วยความสุขเมื่อได้ฟังครูผู้ยิ่งใหญ่สอนบทเรียนที่ลึกซึ้งโดยใช้สิ่งของใกล้ตัว และฉากเหตุ การณ์ที่ผู้คนคุ้นเคยมาเป็นตัวอย่างประกอบบทเรียนได้อย่างยอดเยี่ยม!
มาเรียไม่ได้คุยโตโอ้อวด และลูกชายของเธอก็ไม่เคยยกยอปอปั้นหรือเทิดทูนแม่ที่ยอมเสียสละและอุทิศตนเพื่อการนมัสการพระเจ้า ครั้งหนึ่งระหว่างที่พระเยซูประกาศสั่งสอน มีหญิงคนหนึ่งร้องตะโกนขึ้นมาท่ามกลางฝูงชนว่า แม่ผู้ให้กำเนิดพระเยซูคงต้องเป็นหญิงที่มีความสุขที่สุด แต่ท่านตอบว่า “หามิได้ ผู้ที่ได้ยินพระคำของพระเจ้าและปฏิบัติตามต่างหากที่มีความสุข!” (ลูกา 11:27, 28) และเมื่อมีคนชี้ให้พระเยซูดูว่าเขาเห็นแม่และน้องของท่านอยู่ใกล้ ๆ ท่านกลับตอบว่า คนที่มีความเชื่อในพระเจ้าคือแม่และพี่น้องที่แท้จริงของท่าน มาเรียไม่ได้โกรธเพราะเธอเข้าใจคำพูดของพระเยซูที่กำลังบอกว่าสายเลือดไม่สำคัญเท่ากับสายสัมพันธ์กับพระเจ้า—มาระโก 3:32-35
เมื่อมาถึงตอนนี้ คงไม่มีถ้อยคำใดที่สามารถถ่ายทอดความรู้สึกที่เจ็บปวดของมาเรียเมื่อต้องทนเห็นสภาพที่น่าเวทนาของลูกชายก่อนจะสิ้นใจบนเสาทรมาน ต่อมา โยฮันสาวกคนสนิทซึ่งอยู่ในเหตุการณ์นี้และเห็นการประหารพระเยซูต่อหน้าต่อตาได้บันทึกเหตุการณ์ในวันนั้นไว้อย่างละเอียดว่า ระหว่างที่พระเยซูถูกทรมานนั้น มาเรียกำลังยืนอยู่ “ใกล้เสาทรมานของพระเยซู” ไม่มีอะไรจะฉุดรั้งแม่ที่รักลูกดั่งดวงใจคนนี้ไม่ให้เฝ้าดูลูกชายในช่วงวาระสุดท้ายของชีวิต เมื่อเห็นมาเรียอยู่ใกล้ ๆ พระเยซูก็กระเสือกกระสนพูดกับแม่ทั้ง ๆ ที่ต้องทุรนทุรายทุกลมหายใจเข้าออก ทุกถ้อยคำที่พูดออกมาล้วนมีค่ามากเพราะต้องแลกกับความเจ็บปวดแสนสาหัส พระเยซูสั่งเสียโยฮันอัครสาวกที่ท่านรักให้ช่วยดูแลมาเรียแม่ของท่าน เพราะพวกน้อง ๆ ยังไม่ได้เป็นผู้ที่เชื่อถือพระเจ้า พระเยซูไม่ได้ฝากฝังน้อง ๆ ให้ดูแลแม่ นอกจากสาวกคนสนิทที่จงรักภักดีคนนี้ พระเยซูแสดงให้เห็นว่าเป็นสิ่งสำคัญที่ชายผู้มีความเชื่อจะต้องดูแลเอาใจใส่คนในครอบครัวของเขาโดยเฉพาะเรื่องการรักษาความสัมพันธ์ที่ดีกับพระเจ้า—โยฮัน 19:25-27
ตอนที่พระเยซูสิ้นใจ มาเรียคงสัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดเหมือนถูกแทงด้วยดาบยาวตามคำพยากรณ์ที่เคยบอกไว้นานมาแล้ว ถ้าเรานึกภาพออกว่าตอนนั้นเธอรู้สึกปวดร้าวเพียงไร เราก็จะยิ่งเข้าใจว่าเธอคงจะดีใจขนาดไหนในอีกสามวันต่อมา! มาเรียได้เห็นการอัศจรรย์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยเห็น นั่นคือพระเยซูถูกปลุกให้ฟื้นขึ้นจากตาย! และความยินดีของเธอคงต้องเพิ่มเป็นทวีคูณ เมื่อรู้ว่าพระเยซูไปพบยาโกโบน้องชายของท่านเป็นการส่วนตัว (1 โครินท์ 15:7) การพบปะกันครั้งนั้นคงส่งผลอย่างมากต่อยาโกโบและน้องชายคนอื่น ๆ ของพระเยซู ภายหลังพวกเขาก็มีความเชื่อในพระเยซูและยอมรับว่าท่านเป็นพระคริสต์ ไม่นานหลังจากนั้น พวกเขาก็เข้าร่วมการประชุมคริสเตียนกับมาเรียแม่ของพวกเขาและพร้อมใจกัน “พากเพียรอธิษฐาน” (กิจการ 1:14) ต่อมา น้องสองคนของพระเยซูก็ได้เขียนหนังสือยาโกโบและยูดาในคัมภีร์ไบเบิลด้วย
นี่เป็นครั้งสุดท้ายที่พูดถึงมาเรียว่าเธออยู่ที่การประชุมและกำลังอธิษฐานกับลูก ๆ เรื่องราวชีวิตของมาเรียจบลงอย่างสวยงามและเธอก็ได้วางตัวอย่างที่ล้ำค่าไว้ให้กับคนรุ่นหลัง! มาเรียรอดพ้นจากคมดาบแห่งความเจ็บปวดที่แทงทะลุกลางใจได้เพราะความเชื่อของเธอ และสุดท้ายเธอได้รับผลตอบแทนที่ล้ำค่าจากพระยะโฮวาพระเจ้า ถ้าเราเลียนแบบความเชื่อของมาเรีย เราจะรอดพ้นจากคมดาบแห่งความทุกข์ของโลกนี้ได้เช่นกัน ยิ่งกว่านั้น เราจะได้รับผลตอบแทนที่ทำให้ชีวิตมีความสุขจนเกินกว่าจะนึกภาพออกได้
^ วรรค 8 บันทึกในหนังสือกิตติคุณที่กล่าวถึงเรื่องราวของพระเยซูตอนอายุ 12 ขวบยังพูดถึงโยเซฟอยู่ แต่หลังจากนั้นก็พูดถึงแต่แม่และน้อง ๆ ของพระเยซู โดยไม่มีการกล่าวถึงโยเซฟอีกเลย ครั้งหนึ่ง มีคนเรียกพระเยซูว่า “บุตรนางมาเรีย” แต่ไม่ได้พูดถึงโยเซฟ—มาระโก 6:3
^ วรรค 16 เนื่องจากโยเซฟไม่ใช่พ่อแท้ ๆ พระเยซูจึงไม่ได้เป็นพี่น้องร่วมสายเลือดกับพวกเขา—มัดธาย 1:20