ดำเนินกับประชาชนของพระเจ้าด้วยความสงบและความสุขที่ยั่งยืน
1, 2. (ก) พระเจ้าทรงรวบรวมชาวอิสราเอลโบราณให้เป็นตัวแทนทางแผ่นดินโลกของพระองค์อย่างไร? (ข) เหตุใดชาติอิสราเอลจึงถูกพระเจ้าปฏิเสธ และใครเข้ามาแทน?
ตลอดประวัติศาสตร์พระผู้สร้างได้จัดเตรียมแนวทางที่จะช่วยคนที่แสวงหาพระองค์ด้วยความจริงใจให้มานมัสการพระองค์ได้. พูดอีกอย่างหนึ่ง พระยะโฮวามีกลุ่มชนที่นมัสการพระองค์อย่างภักดีเสมอมาบนแผ่นดินโลก ชนกลุ่มนี้เป็นช่องทางที่พระองค์ติดต่อสื่อสารกับมนุษย์ และเป็นตัวแทนของพระองค์.
2 ตั้งแต่ศตวรรษที่ 16 ก่อน ส.ศ. และต่อเนื่องมาเป็นเวลาประมาณ 1,500 ปีชาวอิสราเอลเป็นประชาชนที่พระเจ้าทรงเลือกและพวกเขาเป็นตัวแทนของพระองค์บนแผ่นดินโลก. (เอ็กโซโด 19:5, 6) พระยะโฮวาได้รวบรวมพวกเขาขึ้นเป็นชาติ ประทานกฎหมายให้พวกเขา และให้ข้อมูลอย่างละเอียดเกี่ยวกับการนมัสการแท้. ต่อมา พระเจ้าถึงกับแต่งตั้งกษัตริย์เพื่อปกครองพวกเขา. เมื่อชาติอิสราเอลไม่ซื่อสัตย์ครั้งแล้วครั้งเล่า พระเจ้าจึงปฏิเสธพวกเขาในศตวรรษที่หนึ่ง ส.ศ. (มัดธาย 23:37, 38) เมื่อพระเยซูเสด็จมาบนโลก พระองค์ชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนถึงทางที่จะนำไปถึงพระเจ้าโดยตรัสว่า “เราเป็นทางนั้น เป็นความจริง และเป็นชีวิต. ไม่มีใครจะมาถึงพระบิดาได้นอกจากมาทางเรา.” (โยฮัน 14:6) ตั้งแต่นั้นมา พระเจ้าทรงยอมรับสาวกของพระเยซูคริสต์เป็นตัวแทนทางแผ่นดินโลกของพระองค์แทนชาติอิสราเอล.—1 เปโตร 2:9, 10
3. ลักษณะที่โดดเด่นของคริสเตียนในยุคแรกคืออะไร?
3 คริสเตียนในศตวรรษแรกเป็นสังคมมัดธาย 28:19, 20) พวกเขายึดมั่นกับคำสอนของคัมภีร์ไบเบิล. พวกเขาเป็นที่รู้จักว่า เป็นคนเชื่อฟังกฎหมาย, นับถือเจ้าหน้าที่ของรัฐ, และรักเพื่อนมนุษย์. ทั้ง ๆ ที่เป็นเช่นนี้ พวกเขากลับถูกต่อต้านและถูกข่มเหง. ทำไมล่ะ? เพราะพวกเขาเชื่อมั่นว่า มีแต่ราชอาณาจักรของพระเจ้าเท่านั้นที่จะทำให้มนุษย์มีความสงบและความสุขที่ยั่งยืนได้. เนื่องจากเชื่อฟังคำบัญชาของพระเยซู พวกเขาจึงสนับสนุนราชอาณาจักรของพระเจ้าอย่างเต็มที่ รักษาความเป็นกลางอย่างเคร่งครัด ไม่มีส่วนร่วมหรือไม่ขัดขวางด้านการเมืองหรือการทหาร. (มัดธาย 6:33; โยฮัน 18:36) บ่อยครั้งมีการเข้าใจผิดเกี่ยวกับจุดยืนของพวกเขา และทำให้พวกเขาถูกต่อ ต้านและถูกข่มเหง. แต่กระนั้น พวกเขาก็ยังประกาศเรื่องราชอาณาจักรอย่างกระตือรือร้นโดยไม่หวั่นไหว. ดังที่เปาโลได้เขียนในจดหมายที่มีไปถึงคริสเตียนในเมืองโกโลซายว่า “ข่าวดีนั้นมาถึงท่านทั้งหลายและกำลังเกิดผลทวีขึ้นทั่วโลก.” คริสเตียนในศตวรรษแรกได้ประกาศข่าวดีไปทั่วอาณาเขตของจักรวรรดิโรมัน.—โกโลซาย 1:6
พี่น้องที่มีเอกภาพ ซึ่งทุ่มเทตัวเต็มที่ในการประกาศเรื่องราชอาณาจักรของพระเจ้า. (ช่วงเวลาที่มืดมน—คริสเตียนปลอมเริ่มปรากฏตัว
4, 5. คริสตจักรโรมันคาทอลิกเกิดขึ้นอย่างไร และต่างจากประชาคมคริสเตียนในยุคแรกอย่างไร?
4 ต่อมา ประชาคมคริสเตียนต้องเผชิญกับช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่. ดังที่คัมภีร์ไบเบิลบอกไว้ล่วงหน้า คริสเตียนปลอมแทรกซึมเข้ามาในองค์การของพระเจ้าและเป็นอิทธิพลที่ไม่ดี นำคำสอนและกิจปฏิบัติที่ไม่เป็นไปตามหลักพระคัมภีร์เข้ามา.—มัดธาย 13:24-30, 36-43; กิจการ 20:29, 30; 2 เทสซาโลนิเก 2:6-8; 1 ติโมเธียว 4:1-3; 2 ติโมเธียว 2:16-18; 2 เปโตร 2:1-3
5 ในประชาคมคริสเตียนสมัยศตวรรษแรกไม่มีการแบ่งชนชั้น. พอถึงศตวรรษที่สอง เริ่มมีการแบ่งชนชั้นนักเทศน์นักบวช ผลคือทำให้มีการแบ่งแยกระหว่างนักเทศน์นักบวชกับคนทั่วไป. ต่อมา คนที่อ้างตัวว่าเป็นคริสเตียนได้รับเอาหลักคำสอนนอกรีตต่าง ๆ เช่น ตรีเอกานุภาพ จิตวิญญาณอมตะ และไฟนรก. ในปี 313 ส.ศ. จักรพรรดิคอนสแตนตินแห่งโรมมีคำสั่งให้รับเอารูปแบบความเชื่อที่ออกหากนี้เป็นศาสนาที่ถูกต้องตามกฎหมาย. พอถึงปลายศตวรรษที่สี่ ศาสนาที่อ้างว่าเป็นคริสเตียนซึ่งได้เข้าไปยุ่งกับการเมืองได้รับการประกาศว่าเป็นศาสนาทางการของจักรวรรดิโรมันและเป็นที่รู้จักในชื่อคริสตจักรโรมันคาทอลิก.
6, 7. คริสตจักรโปรเตสแตนต์เกิดขึ้นอย่างไร และทำไมพวกเขาจึงไม่ใช่คริสเตียนแท้?
6 ในศตวรรษที่ 16 การปฏิรูปทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางศาสนาในยุโรป. นักปฏิรูป เช่น มาร์ติน ลูเทอร์, อุลริค ซวิงลี, และจอห์น แคลวิน ได้โจมตีคริสตจักรคาทอลิกหลายเรื่อง. ผลก็คือมีกลุ่มศาสนาต่าง ๆ เกิดขึ้นมากมาย
และกลุ่มเหล่านี้ไม่ยอมอยู่ใต้อำนาจของสันตะปาปาแห่งโรม. ต่อมา กลุ่มเหล่านี้เป็นที่รู้จักในชื่อโปรเตสแตนต์ (ผู้ต่อต้านคริสตจักรโรมันคาทอลิก).7 ถึงแม้โปรเตสแตนต์กลุ่มต่าง ๆ จะมีความแตกต่างกันบ้าง แต่โดยทั่วไปแล้วยังคงมีการแบ่งชนชั้นระหว่างนักเทศน์นักบวชกับคนทั่วไป. พวกเขายังสอนหลักคำสอนที่ไม่มีในพระคัมภีร์ เช่น ตรีเอกานุภาพ จิตวิญญาณอมตะ การทรมานตลอดกาลในไฟนรก และอื่น ๆ. ส่วนเรื่องความเป็นกลางของคริสเตียน โปรเตสแตนต์เองก็ไม่ได้ต่างอะไรกับคาทอลิก. พวกเขายังเป็นส่วนของโลก. แม้ว่าการปฏิรูปในโปรเตสแตนต์จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงบ้าง แต่ก็ไม่ได้กลับไปเป็นศาสนาคริสเตียนแท้. อย่างไรก็ตาม โดยใช้ตัวอย่างเปรียบเทียบ พระเยซูคริสต์ตรัสล่วงหน้าว่า เมื่อถึงเวลา ศาสนาคริสเตียนแท้จะได้รับการฟื้นฟูและคริสเตียนแท้ซึ่งเปรียบเหมือนข้าวสาลีจะ “ส่องแสงจ้าดุจดวงอาทิตย์.”—มัดธาย 13:24-30, 36-43
ผู้นมัสการแท้ของพระเจ้าในสมัยปัจจุบัน
8. ศาสนาคริสเตียนแท้ได้รับการฟื้นฟูอย่างไรในสมัยปัจจุบัน?
8 ในช่วงท้าย ๆ ของศตวรรษที่ 19 กลุ่มนักศึกษาคัมภีร์ไบเบิลที่จริงใจในเพนซิลเวเนีย สหรัฐอเมริกา ได้เริ่มเข้าใจว่าหลักคำสอนหลายข้อของคริสตจักรต่าง ๆ ไม่ได้เป็นไปตามหลักพระคัมภีร์. พวกเขาตัดสินใจจะศึกษาคัมภีร์ไบเบิลอย่างเป็นระบบเพื่อดูว่าจริง ๆ แล้วพระคัมภีร์สอนอย่างไร. ไม่ช้าพวกเขาเริ่มบอกคนอื่น ๆ เกี่ยวกับความจริงในคัมภีร์ไบเบิลที่ตนได้เรียนรู้ โดยการตีพิมพ์และแจกจ่ายหนังสือ วารสาร และแผ่นพับต่าง ๆ. ในช่วง 100 กว่าปีที่ผ่านมา นักศึกษาคัมภีร์ไบเบิลกลุ่มนี้ซึ่งเป็นที่รู้จักว่าพยานพระยะโฮวา ได้เพิ่มจำนวนขึ้นจากเพียงไม่กี่คนเป็นมากกว่าเจ็ดล้านคนใน 235 ดินแดนทั่วโลก.
9, 10. อะไรพิสูจน์ว่าพยานพระยะโฮวาเป็นตัวแทนที่แท้จริงของพระเจ้า และเป็นองค์การของพระองค์ในสมัยปัจจุบัน?
9 พระเยซูทรงบอกเหล่าสาวกว่า “เราให้บัญญัติใหม่แก่เจ้าทั้งหลาย คือ ให้พวกเจ้ารักกัน . . . เพราะเหตุนี้แหละ คนทั้งหลายจะรู้ว่าพวกเจ้าเป็นสาวกของเรา ถ้าพวกเจ้ารักกัน.” (โยฮัน 13:34, 35) ด้วยเหตุผลนี้ พยานพระยะโฮวาจึงไม่เข้าร่วมในสงครามหรือความขัดแย้งทางสังคม. แม้อยู่ในสภาพการณ์ที่ลำบากที่สุด พวกเขาก็ตั้งใจจะรักษาจุดยืนของตนและรักกันและกันจนถึงที่สุด. ตัวอย่างเช่น ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง พวกเขาต้องเสียสละมากมายเพื่อจะเชื่อฟังพระบัญชาของพระเยซู. เมื่อให้ความเห็นเกี่ยวกับสถานการณ์ในเยอรมันสมัยนาซี นักประวัติศาสตร์คลอเดีย คูนส์ กล่าวไว้ในหนังสือของเธอที่ชื่อพวกมารดาในปิตุภูมิ (ภาษาอังกฤษ) ดังนี้: “ตั้งแต่แรก พวกพยานพระยะโฮวาไม่ร่วมมือกับรัฐบาลนาซีไม่ว่าในด้านใด ๆ. . . . ประมาณครึ่งหนึ่ง (ส่วนใหญ่เป็น ผู้ชาย) ของพวกพยานฯ ทั้งหมดถูกส่งไปค่ายกักกัน มีพันคนถูกสังหารและอีกพันคนเสียชีวิตในช่วงปี 1933-1945.” พวกเขาเต็มใจสละชีวิตเนื่องจากพวกเขารักพระเจ้าและเพื่อนบ้าน. สิ่งนี้ช่วยระบุว่าพวกเขาเป็นคริสเตียนแท้.
10 เช่นเดียวกับคริสเตียนในยุคแรก พยานพระยะโฮวาเป็นพลเมืองที่เชื่อฟังกฎหมาย. พวกเขาตั้งใจจะทำตามคำตรัสของพระเยซูที่ว่า “ฉะนั้น ของของซีซาร์จงคืนให้ซีซาร์ แต่ของของพระเจ้าจงคืนให้พระเจ้า.” (มัดธาย 22:21) พวกเขาเชื่อฟัง “ซีซาร์” หรือเจ้าหน้าที่รัฐบาล โดยพยายามทำตามหน้าที่ที่รัฐบาลเรียกร้องให้พลเมืองทำ เช่น เสียภาษี และทำตามกฎหมายเรื่องสำมะโนครัวและการจดทะเบียนสมรส. อย่างไรก็ตาม เมื่อกฎหมายของซีซาร์ขัดแย้งกับข้อเรียกร้องของพระเจ้า พวกเขาเลียบแบบตัวอย่างของคริสเตียนในศตวรรษแรก ซึ่งกล่าวว่า “พวกข้าพเจ้าต้องเชื่อฟังพระเจ้าในฐานะผู้มีอำนาจปกครอง ไม่ใช่เชื่อฟังมนุษย์.” (กิจการ 5:29) จริงทีเดียว ในแง่มุมนี้และในทุกแง่มุมของชีวิตรวมทั้งการนมัสการ พยานพระยะโฮวาเป็นผู้นมัสการแท้ของพระเจ้าในสมัยปัจจุบัน.
เข้ามาสู่การนมัสการแท้ในขณะนี้
11. พยานพระยะโฮวาทำอะไรเพื่อช่วยผู้คนทุกชาติให้มาหาพระเจ้า?
11 คัมภีร์ไบเบิลบอกเราว่า “พระเจ้าไม่ทรงลำเอียง แต่พระองค์ทรงชอบพระทัยคนที่ยำเกรงพระองค์และประพฤติชอบธรรมไม่ว่าจะเป็นคนชาติใด.” (กิจการ 10:34, 35) พระเจ้าทรงประสงค์ให้ผู้คนทุกชาติรู้จักพระองค์และได้รับพระพรจากพระองค์. ด้วยเหตุนี้ พยานพระยะโฮวาจึงได้จัดพิมพ์หนังสือที่อธิบายคัมภีร์ไบเบิลมากกว่า 400 ภาษา. พวกเขาใช้ทุกสิ่งที่มีอยู่เพื่อนำข่าวดีในคัมภีร์ไบเบิลไปถึงผู้คนทั่วโลก. (มัดธาย 24:14) และพวกเขาเสนอการศึกษาคัมภีร์ไบเบิลโดยไม่คิดค่าแก่ทุกคนที่สนใจ. พยานพระยะโฮวาขอเชิญคุณอย่างจริงใจให้มาดำเนินด้วยความสงบและความสุขที่ยั่งยืนร่วมกับพวกเขา. คุณอยากจะทำตามคำเชิญนั้นไหม?
12. เหตุใดจึงเป็นเรื่องเร่งด่วนที่คุณต้องเลือกการนมัสการอย่างถูกต้องในตอนนี้?
12 มากกว่าสองพันปีแล้วที่องค์การและศาสนาต่าง ๆ ได้ทำให้ผู้คนเข้าใจผิดเกี่ยวกับศาสนาคริสเตียนแท้และได้ทำให้พระนามของพระเจ้าและพระคริสต์เสื่อมเสีย. เวลาที่พระเจ้าจะดำเนินการพิพากษาศาสนาเท็จทั้งสิ้นมาใกล้แล้ว! เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ พยานพระยะโฮวาจึงกระตุ้นทุกคนที่รักพระเจ้าอย่างแท้จริงให้เอาใจใส่ฟังคำสั่งที่พบในวิวรณ์ 18:4 และออกมาจากศาสนาเท็จทั้งปวง. การนมัสการแท้ได้รับการฟื้นฟูแล้ว และหลายล้านคนทั่วโลกกำลังหลั่งไหลเข้ามา. (ยะซายา 2:2-4) คุณเป็นคนหนึ่งไหม? ถ้าใช่ คุณก็มีหวังจะได้รับพระพรอันยอดเยี่ยมที่กำลังจะมาถึง.