บท 9
“จงไป ทำให้คน . . . เป็นสาวก”
1-3. (ก) ชาวนาทำเช่นไรเมื่อพืชผลมีปริมาณมากเกินไปจนเขาเก็บเกี่ยวคนเดียวไม่ไหว? (ข) พระเยซูเผชิญปัญหาอะไรในฤดูใบไม้ผลิปี ส.ศ. 33 และพระองค์ทรงแก้ปัญหานั้นโดยวิธีใด?
ชาวนาเผชิญปัญหาสำคัญอย่างหนึ่ง. หลายเดือนก่อนหน้านี้เขาได้ไถนาแล้วหว่านเมล็ดข้าว. เขาเฝ้าดูด้วยความเป็นห่วงยิ่งนักขณะที่ใบข้าวเริ่มโผล่ขึ้นมา และเขารู้สึกยินดีเมื่อถึงเวลาที่ต้นข้าวโตเต็มที่. ตอนนี้งานหนักที่เขาทำมาทั้งหมดได้รับผลตอบแทน เพราะเวลาเก็บเกี่ยวมาถึงแล้ว. ปัญหาของเขาก็คือ ข้าวมีปริมาณมากเกินไปจนเขาเก็บเกี่ยวคนเดียวไม่ไหว. เพื่อแก้ปัญหานี้ เขาตัดสินใจอย่างฉลาดที่จะว่าจ้างคนงานบางคนออกไปทำงานในทุ่งนาของเขา. ที่จริงแล้ว เขามีเวลาเพียงจำกัดที่จะเก็บเกี่ยวพืชผลอันมีค่าของตน.
2 ในฤดูใบไม้ผลิปีสากลศักราช 33 พระเยซูผู้ได้รับการปลุกให้คืนพระชนม์แล้ว เผชิญปัญหาคล้ายกัน. ระหว่างงานรับใช้ของพระองค์บนแผ่นดินโลก พระองค์ได้ทรงหว่านเมล็ดแห่งความจริง. ตอนนี้มีผลที่จะต้องเก็บเกี่ยวอย่างมากมาย. ต้องรวบรวมผู้ที่ตอบรับจำนวนมากเข้ามาเป็นสาวก. (โยฮัน 4:35-38) พระเยซูทรงแก้ปัญหานี้โดยวิธีใด? บนภูเขาลูกหนึ่งในแกลิลี ไม่นานก่อนเสด็จขึ้นสวรรค์ พระองค์ทรงมอบหมายเหล่าสาวกให้หาคนมาทำงานมากขึ้น โดยตรัสว่า “ฉะนั้น จงไปทำให้คนจากทุกชาติเป็นสาวก ให้เขารับบัพติสมา . . . , สอนเขาให้ถือรักษาสิ่งสารพัดซึ่งเราได้สั่งพวกเจ้าไว้.”—มัดธาย 28:19, 20, ล.ม.
3 พระบัญชานี้แสดงให้เห็นว่าหัวใจสำคัญของการเป็นสาวกแท้ของพระคริสต์คืออะไร. ดังนั้น ขอให้เราพิจารณาคำถามสามประการ. เหตุใดพระเยซูทรงมอบหมายงานให้หาคนมาทำงานมากขึ้น? พระองค์ทรงอบรมสาวกของพระองค์อย่างไรเพื่อพวกเขาจะหาคนงานเหล่านั้นพบ? เรามีส่วนเกี่ยวข้องอย่างไรในงานมอบหมายนี้?
เหตุผลที่ต้องมีคนงานมากขึ้น
4, 5. ทำไมเป็นไปไม่ได้ที่พระเยซูจะทำงานที่ได้เริ่มต้นนั้นให้สำเร็จ และใครจะต้องทำงานนั้นต่อไปหลังจากพระองค์เสด็จกลับสวรรค์แล้ว?
4 เมื่อพระเยซูเริ่มงานรับใช้ในปี ส.ศ. 29 พระองค์ทรงทราบว่าได้เริ่มต้นงานที่จะไม่ได้ทำให้สำเร็จด้วยพระองค์เอง. ในช่วงสั้น ๆ ที่พระองค์มีเวลาเหลืออยู่บนแผ่นดินโลก พระองค์ไม่สามารถจะทำงานครอบคลุมทุกพื้นที่และนำข่าวสารเรื่องราชอาณาจักรไปถึงผู้คนได้ทั้งหมด. จริงอยู่ พระองค์จำกัดงานประกาศส่วนใหญ่ไว้กับชาวยิวและผู้เปลี่ยนมาถือศาสนายิว “แกะชาติยิศราเอลที่หายไปนั้น.” (มัดธาย 15:24) อย่างไรก็ดี “แกะ . . . ที่หายไป” เหล่านั้นกระจัดกระจายอยู่ตลอดทั่วอิสราเอล แผ่นดินที่ครอบคลุมพื้นที่หลายพันตารางกิโลเมตร. นอกจากนี้ ในที่สุดจะต้องมีการนำข่าวดีไปถึงผู้คนทั่วโลก.—มัดธาย 13:38; 24:14.
5 พระเยซูทรงตระหนักว่ามีงานมากมายที่ยังจะต้องทำให้สำเร็จหลังจากการสิ้นพระชนม์ของพระองค์. พระองค์ตรัสแก่อัครสาวกที่ซื่อสัตย์ 11 คนว่า “เรา บอกท่านทั้งหลายตามจริงว่า, ผู้ที่วางใจในเรา กิจการซึ่งเรากระทำนั้นเขาจะกระทำด้วยและเขาจะกระทำการใหญ่กว่านั้นอีก, เพราะเราไปถึงพระบิดาของเรา.” (โยฮัน 14:12) เนื่องจากพระบุตรเสด็จกลับไปสวรรค์ บรรดาผู้ติดตามพระองค์—ไม่เพียงพวกอัครสาวกเท่านั้น แต่สาวกทั้งหมดในวันข้างหน้าด้วย—จะต้องทำงานประกาศและงานสั่งสอนต่อไป. (โยฮัน 17:20) พระเยซูทรงยอมรับด้วยความถ่อมว่างานของพวกเขา “ใหญ่กว่า” งานของพระองค์. ในทางใด? ในสามประการ.
6, 7. (ก) งานที่เหล่าสาวกของพระเยซูทำจะใหญ่กว่างานที่พระองค์ทำในทางใดบ้าง? (ข) เราจะแสดงให้เห็นโดยวิธีใดว่าการที่พระเยซูมีความมั่นใจในเหล่าสาวกของพระองค์นั้นไม่ใช่เป็นการไว้ใจผิดคน?
6 ประการแรก เหล่าสาวกของพระเยซูจะครอบคลุมเขตงานมากกว่าพระองค์. ทุกวันนี้ การให้คำพยานของพวกเขาได้ไปถึงที่สุดปลายของแผ่นดินโลก ไกลเลยเขตแดนของแผ่นดินที่พระเยซูเองได้ประกาศ. ประการที่สอง พวกเขาจะไปถึงผู้คนจำนวนมากกว่าพระองค์. สาวกกลุ่มเล็ก ๆ ที่พระเยซูทรงละไว้เบื้องหลังได้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเป็นจำนวนหลายพันคน. (กิจการ 2:41; 4:4) ขณะนี้พวกเขามีจำนวนหลายล้านคน และคนใหม่หลายแสนคนได้รับบัพติสมาแต่ละปี. ประการที่สาม พวกเขาจะประกาศ ในช่วงเวลาที่นานกว่าพระองค์—หลังจากการรับใช้สามปีครึ่งของพระเยซูได้สิ้นสุดลงจนมาถึงทุกวันนี้ก็เกือบ 2,000 ปีแล้ว.
7 พระเยซูแสดงความมั่นใจในเหล่าสาวกเมื่อพระองค์ตรัสว่าพวกเขาจะ “กระทำการใหญ่กว่านั้นอีก.” พระองค์ทรงมอบหมายงานสำคัญที่สุดสำหรับพระองค์ให้พวกเขาทำ เป็นงานเกี่ยวกับการประกาศและการสอน “ข่าวดีเรื่องราชอาณาจักรของพระเจ้า.” (ลูกา 4:43) พระองค์ทรงเชื่อมั่นว่าพวกเขาจะทำงานมอบหมายนั้นอย่างซื่อสัตย์ต่อไป. เรื่องนี้มีความหมายเช่นไรสำหรับเราในทุกวันนี้? เมื่อเราทำงานรับใช้อย่างกระตือรือร้นสุดหัวใจ เราก็แสดงให้เห็นว่าการที่พระเยซูมีความมั่นใจในเหล่าสาวกของพระองค์นั้นไม่ใช่เป็นการไว้ใจผิดคน. นี่เป็นสิทธิพิเศษอันยอดเยี่ยมมิใช่หรือ?—ลูกา 13:24.
ได้รับการฝึกอบรมเพื่อให้คำพยาน
8, 9. พระเยซูทรงวางตัวอย่างเช่นไรในงานรับใช้ และเราจะเลียนแบบพระองค์ในงานรับใช้ของเราได้โดยวิธีใด?
8 พระเยซูทรงให้การอบรมอย่างดีที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ในเรื่องการรับใช้แก่เหล่าสาวกของพระองค์. ที่สำคัญ พระองค์ทรงวางตัวอย่างที่สมบูรณ์ไว้ให้พวกเขา. (ลูกา 6:40) ในบทก่อน เราได้พิจารณาเจตคติที่พระองค์มีต่องานรับใช้. ขอพิจารณาสักครู่ถึงเหล่าสาวกซึ่งได้เดินทางร่วมกับพระองค์ไปในการประกาศ. พวกเขาได้สังเกตว่าพระองค์ประกาศทุกแห่งหนที่สามารถพบผู้คน ไม่ว่าจะเป็นตามชายฝั่งทะเลสาบและเนินเขา, ในเมืองและตลาด, และในบ้านส่วนตัว. (มัดธาย 5:1, 2; ลูกา 5:1-3; 8:1; 19:5, 6) พวกเขาได้เห็นว่าพระองค์ทรงทำงานหนัก ลุกขึ้นแต่เช้าตรู่และทำงานไปจนดึก. งานรับใช้ไม่ใช่เป็นแค่งานอดิเรกที่พระองค์ทำในยามว่าง! (ลูกา 21:37, 38; โยฮัน 5:17) พวกเขามองออกอย่างแน่นอนว่าพระองค์ได้รับการกระตุ้นจากความรักอันลึกซึ้งที่มีต่อผู้คน. บางทีพวกเขาได้เห็นพระพักตร์ของพระองค์สะท้อนความรู้สึกสงสารในพระทัยของพระองค์. (มาระโก 6:34) คุณคิดว่าตัวอย่างของพระเยซูมีผลกระทบเช่นไรต่อเหล่าสาวกของพระองค์? ถ้าคุณอยู่ในสมัยนั้น ตัวอย่างนั้นจะส่งผลกระทบตัวคุณ อย่างไร?
9 ในฐานะสาวกของพระคริสต์ เราเลียนแบบตัวอย่างของพระองค์ในงานรับใช้ของเรา. ดังนั้น เราพยายามทุกวิถีทางที่จะให้ “คำพยานอย่างถี่ถ้วน.” (กิจการ 10:42, ล.ม.) เช่นเดียวกับพระเยซู เราไปเยี่ยมผู้คนที่บ้านของเขา. (กิจการ 5:42) เราปรับเปลี่ยนตารางเวลาของเราหากจำเป็น เพื่อเราจะไปเยี่ยมพวกเขาตอนที่ดูเหมือนจะอยู่บ้านมากกว่า. เรายังเสาะหาและประกาศอย่างสุขุมแก่ผู้คนในที่สาธารณะ เช่น ตามถนน, ในสวนสาธารณะ, ในห้างร้านต่าง ๆ, และในที่ทำงาน. เรา “ทำงานหนักและทุ่มเทตัวเอง” ในงานรับใช้เสมอ เพราะเราถือว่างานนี้สำคัญ. (1 ติโมเธียว 4:10, ล.ม.) ความรักอันลึกซึ้งจริงใจที่มีต่อคนอื่นกระตุ้นเราให้หาโอกาสเสมอที่จะประกาศทุกแห่งหนและเมื่อไรก็ตามที่จะพบผู้คนได้.—1 เธซะโลนิเก 2:8.
10-12. พระเยซูทรงสอนบทเรียนสำคัญอะไรแก่เหล่าสาวกก่อนที่จะส่งพวกเขาออกไปประกาศ?
10 อีกวิธีหนึ่งที่พระเยซูฝึกอบรมเหล่าสาวกของพระองค์คือ ให้คำสั่งสอนแนะนำที่ละเอียดแก่พวกเขาในเรื่องวิธีทำงานรับใช้. ก่อนส่งอัครสาวก 12 คนออกไปในตอนแรกและต่อมาก็ส่งสาวก 70 คนไปประกาศ พระเยซูได้จัดการประชุมเพื่อฝึกอบรมพวกเขาในงานประกาศ. (มัดธาย 10:1-15; ลูกา 10:1-12) การอบรมเกิดผลดี เพราะลูกา 10:17 รายงานว่า “ฝ่ายสาวกเจ็ดสิบคนนั้นจึงกลับมาด้วยความยินดี.” ขอให้เราพิจารณาบทเรียนสำคัญสองเรื่องที่พระเยซูทรงสอน โดยจำไว้ว่าจะต้องเข้าใจคำตรัสของพระองค์โดยคำนึงถึงภูมิหลังตามธรรมเนียมของชาวยิวในสมัยคัมภีร์ไบเบิล.
11 พระเยซูทรงสอนเหล่าสาวกให้วางใจในพระยะโฮวา. พระองค์ตรัสแก่พวกเขาว่า “อย่าคิดหาทองคำ, หรือเงิน, หรือทองเหลืองไว้ในไถ้ของท่าน หรือย่ามใช้ตามทาง, หรือเสื้อสองตัว หรือรองเท้า หรือไม้เท้า เพราะว่าผู้ทำการควรจะได้อาหารกิน.” (มัดธาย 10:9, 10) เป็นธรรมดาที่นักเดินทางจะเอาไถ้ใส่เงิน, ย่ามใส่เสบียงอาหารติดตัวไปด้วย, รวมทั้งรองเท้าสำรอง. * โดยรับสั่งว่าสาวกไม่ต้องเป็นห่วงกังวลเกี่ยวกับสิ่งของดังกล่าว ที่แท้แล้วพระเยซูตรัสว่า “จงวางใจอย่างเต็มที่ในพระยะโฮวา เพราะพระองค์จะทรงเอาใจใส่ดูแลความจำเป็นของเจ้า.” พระยะโฮวาจะจัดเตรียมให้พวกเขาโดยกระตุ้นคนเหล่านั้นที่ยอมรับข่าวดีให้แสดงน้ำใจต้อนรับแขก ซึ่งเป็นธรรมเนียมอย่างหนึ่งในอิสราเอล.—ลูกา 22:35.
12 พระเยซูยังสอนเหล่าสาวกให้หลีกเลี่ยงสิ่งที่ทำให้เขวไปโดยไม่จำเป็น. พระองค์ตรัสว่า “อย่าคำนับผู้ใดตามทาง.” (ลูกา 10:4) พระเยซูทรงบอกให้พวกเขาเฉยเมยหรือไม่แยแสต่อคนอื่นไหม? เปล่าเลย. ในสมัยคัมภีร์ไบเบิล บ่อยครั้งการทักทายเกี่ยวข้องไม่เพียงแค่พูดคำว่าสวัสดี. การทักทายตามธรรมเนียมรวมไปถึงพิธีการหลายอย่างและการสนทนายืดยาว. ผู้คงแก่เรียนด้านคัมภีร์ไบเบิลคนหนึ่งกล่าวว่า “การทักทายกันท่ามกลางชาวตะวันออกมิได้ประกอบด้วยการก้มศีรษะเล็กน้อย, หรือการยื่นมือออกเช่นที่ทำกันในท่ามกลางพวกเรา แต่มีการสวมกอดกันหลายครั้ง, และการค้อมตัวลง, และกระทั่งการหมอบตัวลงบนพื้นด้วยซ้ำ. ทั้งหมดนี้ต้องใช้เวลา มาก.” โดยสั่งเหล่าสาวกมิให้มีส่วนในการทักทายตามธรรมเนียมดังกล่าว ในแง่หนึ่ง พระเยซูตรัสว่า “เจ้าต้องใช้เวลาของเจ้าอย่างบังเกิดผลมากที่สุด เพราะข่าวสารที่เจ้านำไปเป็นเรื่องเร่งด่วน.” *
13. เราสามารถแสดงให้เห็นในทางใดว่าเราเอาใจใส่คำแนะนำที่พระเยซูทรงให้แก่เหล่าสาวกของพระองค์ในศตวรรษแรก?
13 เราเอาใจใส่คำแนะนำที่พระเยซูให้แก่เหล่าสาวกในศตวรรษแรก. ในการทำงานรับใช้ของเรา เราวางใจในพระยะโฮวาอย่างเต็มที่. (สุภาษิต 3:5, 6) เราทราบว่าเราจะไม่มีวันขาดสิ่งจำเป็นในชีวิตหาก “แสวงหาแผ่นดิน [“ราชอาณาจักร,” ล.ม.] ของพระเจ้า . . . ก่อน.” (มัดธาย 6:33) ผู้ประกาศราชอาณาจักรเต็มเวลาตลอดทั่วโลกสามารถยืนยันว่าแม้แต่ระหว่างช่วงเวลาที่ยากลำบาก พระยะโฮวาทรงยื่นมือช่วยเหลือเสมอ. (บทเพลงสรรเสริญ 37:25) เราตระหนักถึงความจำเป็นที่จะหลีกเลี่ยงสิ่งที่ทำให้เขวไปด้วย. หากเราไม่ระวัง ระบบนี้อาจทำให้เราเขวไปอย่างง่ายดาย. (ลูกา 21:34-36) อย่างไรก็ดี ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่เราจะเขวไป. เนื่องจากชีวิตอยู่ในระหว่างเสี่ยง ข่าวสารของเราจึงเป็น เรื่องเร่งด่วน. (โรม 10:13-15) การที่หัวใจเราสำนึกถึงความเร่งด่วนอยู่เสมอจะป้องกันมิให้เราปล่อยให้สิ่งต่าง ๆ ของโลกนี้ที่ทำให้เขวไปมาทำให้เสียเวลาและพลังซึ่งเอาไปใช้ในงานเผยแพร่คงจะดีกว่า. อย่าลืมว่าเวลาที่เหลืออยู่มีน้อยและการเก็บเกี่ยวก็ใหญ่นักหนา.—มัดธาย 9:37, 38.
งานมอบหมายที่เกี่ยวข้องกับเรา
14. อะไรบ่งบอกว่างานมอบหมายตามที่บันทึกในมัดธาย 28:18-20 เป็นการมอบหมายสำหรับสาวกของพระคริสต์ทุกคน? (ดูเชิงอรรถด้วย.)
14 โดยคำตรัสที่ว่า “จงไปทำให้คน . . . เป็นสาวก” พระเยซูผู้ได้รับการปลุกให้คืนพระชนม์แล้วทรงมอบความรับผิดชอบที่หนักไว้กับเหล่าสาวกของพระองค์. พระองค์ทรงคำนึงถึงไม่เพียงแต่เหล่าสาวกซึ่งอยู่บนภูเขาที่แกลิลีในวันนั้น. * งานที่พระองค์มอบหมายเกี่ยวข้องกับการไปถึง “คนจากทุกชาติ” และงานนี้ดำเนินต่อไป “จนกระทั่งช่วงอวสานแห่งระบบ.” เห็นได้ชัดว่า นี่เป็นงานมอบหมายสำหรับสาวกของพระคริสต์ทุกคน รวมทั้งพวกเราในทุกวันนี้. ขอให้เราพิจารณาคำตรัสของพระเยซูตามบันทึกที่มัดธาย 28:18-20 อย่างละเอียดมากขึ้น.
15. ทำไมนับว่าฉลาดสุขุมที่เราเชื่อฟังพระบัญชาของพระเยซูที่ให้ทำคนเป็นสาวก?
15 ก่อนมอบหมายงานนี้ พระเยซูตรัสว่า “ฤทธานุภาพทั้งสิ้นในสวรรค์ก็ดี, ในแผ่นดินโลกก็ดี ทรงมอบไว้แก่เราแล้ว.” (ข้อ 18) พระเยซูมีฤทธานุภาพอันไพศาลเช่นนั้นไหม? ใช่ พระองค์มีอำนาจอย่างแท้จริง! พระองค์เป็นอัครทูตสวรรค์ ทรงบัญชาการทูตสวรรค์จำนวนมหาศาล. (1 เธซะโลนิเก 4:16; วิวรณ์ 12:7) ในฐานะ “ประมุขของประชาคม” พระองค์มีอำนาจเหนือเหล่าสาวกของพระองค์บนแผ่นดินโลก. (เอเฟโซ 5:23, ล.ม.) ตั้งแต่ปี 1914 เป็นต้นมา พระองค์ทรงปกครองฐานะพระมหากษัตริย์มาซีฮาในสวรรค์. (วิวรณ์ 11:15) พระองค์ถึงกับมีอำนาจที่จะปลุกคนตายให้เป็นขึ้นมาด้วยซ้ำ. (โยฮัน 5:26-28) โดย ประกาศถึงฤทธานุภาพอันกว้างไกลของพระองค์ก่อน พระเยซูทรงบ่งชี้ว่าคำตรัสต่อจากนั้น (ในข้อ 19 และ 20) ไม่ใช่เป็นข้อเสนอแนะ แต่เป็นพระบัญชา. นับว่าฉลาดสุขุมที่เราเชื่อฟังพระบัญชานี้ เพราะอำนาจของพระองค์ใช่ว่าเป็นการทึกทักเอาเอง แต่เป็นอำนาจที่ได้รับจากพระเจ้า.—1 โกรินโธ 15:27.
16. โดยตรัสแก่เราว่า “จงไป” พระเยซูทรงเรียกร้องให้เราทำอะไร และเราทำให้แง่มุมนี้ของงานมอบหมายนั้นสำเร็จโดยวิธีใด?
16 ตอนนี้พระเยซูทรงชี้แจงงานมอบหมายนั้น ซึ่งเริ่มต้นด้วยวลีสั้น ๆ ที่ว่า “จงไป.” (ข้อ 19) โดยวิธีนี้ พระองค์ทรงบัญชาให้เราริเริ่มที่จะนำข่าวสารเรื่องราชอาณาจักรไปยังคนอื่น ๆ. ในการทำให้แง่มุมนี้ของงานมอบหมายสำเร็จ เราสามารถใช้หลากหลายวิธี. การประกาศตามบ้านเป็นวิธีบังเกิดผลมากที่สุดเพื่อจะพบปะผู้คนเป็นส่วนตัว. (กิจการ 20:20) เรายังมองหาโอกาสที่จะให้คำพยานแบบไม่เป็นทางการด้วย; เรากระตือรือร้นที่จะริเริ่มการสนทนาเรื่องข่าวดีไม่ว่าที่ไหนที่เหมาะสมระหว่างชีวิตประจำวันของเรา. วิธีประกาศของเราอาจแตกต่างกัน โดยปรับให้เข้ากับความจำเป็นและสภาพการณ์ในท้องถิ่น. แต่สิ่งหนึ่งที่ยังเหมือนกันอยู่คือ เรา “ไป” เสาะหาคนที่เหมาะสม.—มัดธาย 10:11, ฉบับแปลใหม่.
17. เรา ‘ทำให้คนเป็นสาวก’ โดยวิธีใด?
17 ต่อจากนั้นพระเยซูทรงอธิบายวัตถุประสงค์ของงานมอบหมายนั้น นั่นคือ “ทำให้คน จากทุกชาติเป็นสาวก.” (ข้อ 19) เรา ‘ทำให้คนเป็นสาวก’ โดยวิธีใด? โดยพื้นฐานแล้ว สาวกคือผู้เรียนรู้ ผู้ได้รับการสอน. อย่างไรก็ดี การทำให้คนเป็นสาวกไม่ใช่เป็นเพียงเรื่องของการถ่ายทอดความรู้แก่คนอื่น. เมื่อเราศึกษาคัมภีร์ไบเบิลกับผู้สนใจ เป้าหมายของเราคือเพื่อช่วยเขาเข้ามาเป็นสาวกของพระคริสต์. เมื่อไรก็ตามที่เป็นไปได้ เราเน้นตัวอย่างของพระเยซูเพื่อที่นักศึกษาของเราจะเรียนรู้ที่จะหมายพึ่งพระองค์ฐานะเป็นครูและแบบอย่างของเขา โดยดำเนินชีวิตตามแบบที่พระองค์ดำเนิน และทำงานอย่างที่พระองค์ทรงทำ.—โยฮัน 13:15.
18. ทำไมการรับบัพติสมาจึงเป็นเหตุการณ์สำคัญที่สุดในชีวิตของสาวก?
18 มีการแสดงให้เห็นส่วนหนึ่งที่สำคัญของงานมอบหมายนี้ด้วยถ้อยคำที่ว่า “ให้เขารับบัพติสมาในนามแห่งพระบิดาและพระบุตรและพระวิญญาณบริสุทธิ์.” (ข้อ 19) การรับบัพติสมาเป็นเหตุการณ์สำคัญที่สุดในชีวิตของสาวก เพราะนั่นเป็นสัญลักษณ์ที่เหมาะสมของการที่เขาอุทิศตัวแด่พระเจ้าอย่างสุดหัวใจ. ดังนั้น การอุทิศตัวจึงเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อความรอด. (1 เปโตร 3:21) ใช่แล้ว โดยการทำสุดความสามารถต่อไปในการรับใช้พระยะโฮวา สาวกที่ได้รับบัพติสมาแล้วสามารถคอยท่าพระพรที่ไม่สิ้นสุดในโลกใหม่ที่กำลังจะมาถึง. คุณได้ช่วยใครสักคนให้เข้ามาเป็นสาวกที่รับบัพติสมาแล้วของพระคริสต์ไหม? ในงานรับใช้ของคริสเตียน ไม่มีเหตุอันใดที่จะทำให้เกิดความยินดียิ่งไปกว่านี้.—3 โยฮัน 4.
19. เราสอนอะไรแก่คนใหม่ และทำไมการสอนอาจดำเนินต่อไปหลังจากเขารับบัพติสมาแล้ว?
19 พระเยซูทรงอธิบายส่วนต่อไปของงานมอบหมายนั้นว่า “สอน เขาให้ถือรักษาสิ่งสารพัดซึ่งเราได้สั่งพวกเจ้าไว้.” (ข้อ 20) เราสอนคนใหม่ให้เอาใจใส่พระบัญชาของพระเยซู รวมทั้งพระบัญชาที่ให้รักพระเจ้า, รักเพื่อนบ้าน, และเป็นผู้ ทำให้คนเป็นสาวกด้วย. (มัดธาย 22:37-39) เราสอนพวกเขาทีละขั้นให้อธิบายความจริงในคัมภีร์ไบเบิลและปกป้องความเชื่อที่เขามีมากขึ้น. เมื่อเขามีคุณวุฒิที่จะมีส่วนร่วมในงานเผยแพร่แก่สาธารณชน เราทำงานร่วมกับเขา สอนเขาถึงวิธีที่จะทำงานนี้อย่างบังเกิดผลโดยคำพูดและตัวอย่างของเรา. ผู้ที่รับบัพติสมาใหม่อาจต้องได้รับการสั่งสอนเพิ่มอีกเพื่อช่วยเขาแก้ปัญหาอันเกี่ยวข้องกับการเป็นสาวกของพระคริสต์.—ลูกา 9:23, 24.
“เราอยู่กับพวกเจ้าเสมอ”
20, 21. (ก) ในการทำงานที่ได้รับมอบหมายจากพระเยซู ทำไมเราไม่มีสาเหตุที่จะกลัว? (ข) เหตุใดตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะช้าลง และเราควรมีความตั้งใจเช่นไร?
20 ถ้อยคำตอนท้ายเกี่ยวกับงานมอบหมายจากพระเยซูเป็นการให้กำลังใจมากจริง ๆ ที่ว่า “นี่แน่ะ! เราอยู่กับพวกเจ้าเสมอจนกระทั่งช่วงอวสานแห่งระบบ.” (มัดธาย 28:20, ล.ม.) พระเยซูทรงตระหนักว่างานมอบหมายนี้เป็นสิ่งสำคัญ. พระองค์ทรงทราบด้วยว่าการทำงานนี้ให้สำเร็จจะก่อให้เกิดปฏิกิริยาที่เป็นปรปักษ์จากผู้ต่อต้านในบางครั้ง. (ลูกา 21:12) อย่างไรก็ดี ไม่มีเหตุผลที่จะกลัว. ผู้นำของเรามิได้คาดหมายให้เราทำงานมอบหมายนี้โดยไม่มีการช่วยเหลือหรือให้เราทำตามลำพัง. เป็นการปลอบใจมิใช่หรือที่รู้ว่าพระองค์ผู้ซึ่งมี “อำนาจทั้งสิ้น . . . ทั้งในสวรรค์และบนแผ่นดินโลก” ทรงอยู่กับเราเพื่อเกื้อหนุนเราในการทำงานมอบหมายนี้?
21 พระเยซูทรงรับรองกับเหล่าสาวกว่าพระองค์จะอยู่กับพวกเขาในการทำงานรับใช้ตลอดหลายศตวรรษจนกระทั่ง “ช่วงอวสานแห่งระบบ.” เราต้องทำงานที่พระเยซูทรงมอบหมายให้เราทำต่อ ๆ ไปจนกว่าอวสานจะมาถึง. ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่เราจะช้าลง. การเก็บเกี่ยวฝ่ายวิญญาณอย่างอุดมบริบูรณ์กำลังดำเนินอยู่! ผู้ที่ตอบรับจำนวนมากมายกำลังถูกรวบรวม. ในฐานะสาวกของพระคริสต์ ให้เราตั้งใจแน่วแน่ที่จะทำงานสำคัญที่มอบหมายไว้ให้เราจนสำเร็จ. ให้เราตั้งใจที่จะอุทิศเวลา, กำลัง, และทรัพยากรของเราเพื่อทำตามพระบัญชาของพระคริสต์ที่ว่า “จงไปทำให้คน . . . เป็นสาวก.”
^ วรรค 11 ไถ้อาจจะเป็นถุงใช้สำหรับใส่เงินเหรียญที่ติดอยู่กับเข็มขัดคาดเอว. ย่ามเป็นถุงขนาดใหญ่กว่า ปกติทำด้วยหนัง สะพายไว้ที่บ่า ใช้ใส่อาหารหรือสิ่งจำเป็นอื่น ๆ.
^ วรรค 12 ผู้พยากรณ์อะลีซาเคยให้คำสั่งคล้ายกันแก่เฆฮะซี คนรับใช้ของท่าน. เมื่อส่งเขาไปที่บ้านของหญิงคนหนึ่งที่บุตรชายของเธอเสียชีวิต อะลีซาบอกว่า “ถ้าพบผู้ใด, อย่าคำนับ.” (2 กษัตริย์ 4:29) งานมอบหมายนั้นเร่งด่วน ดังนั้น ต้องไม่ให้เสียเวลาไปโดยไม่จำเป็น.
^ วรรค 14 เนื่องจากสาวกของพระองค์ส่วนใหญ่อยู่ในแกลิลี อาจเป็นช่วงเวลาที่พรรณนาไว้ในมัดธาย 28:16-20 ที่ว่า พระเยซูผู้คืนพระชนม์แล้วได้ทรงปรากฏแก่ “พวกพี่น้องกว่าห้าร้อยคน.” (1 โกรินโธ 15:6) ดังนั้น อาจมีหลายร้อยคนอยู่ด้วยตอนที่พระเยซูมอบหมายงานทำให้คนเป็นสาวก.