บท 5
“คลังทรัพย์ทั้งปวงแห่งสติปัญญา”
1-3. สภาพแวดล้อมเป็นเช่นไรตอนที่พระเยซูให้คำเทศน์ในวันหนึ่งของฤดูใบไม้ผลิปี ส.ศ. 31 และทำไมผู้ฟังพระองค์รู้สึกอัศจรรย์ใจ?
วันหนึ่งในฤดูใบไม้ผลิปี ส.ศ. 31 พระเยซูคริสต์ทรงอยู่ใกล้เมืองคาเปอร์นาอุม (กัปเรนาอูม) ที่จอแจซึ่งตั้งอยู่บนชายฝั่งทางตะวันตกเฉียงเหนือของทะเลแกลิลี. บนภูเขาที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียง พระเยซูได้ทรงอธิษฐานอยู่ในที่สงัดตลอดคืนยังรุ่ง. ครั้นรุ่งเช้า พระองค์ทรงเรียกเหล่าสาวกของพระองค์มา แล้วทรงเลือก 12 คนจากท่ามกลางพวกเขาซึ่งพระองค์ตั้งเป็นอัครสาวก. ระหว่างนั้น ฝูงชนจำนวนมากมาย บางคนมาจากที่ห่างไกล ได้ติดตามพระเยซูมายังบริเวณนี้และชุมนุมกันอยู่ ณ ที่ราบบนภูเขา. พวกเขากระตือรือร้นที่จะฟังสิ่งที่พระองค์ตรัสและอยากได้รับการรักษาให้หายป่วย. พระเยซูมิได้ทำให้พวกเขาผิดหวัง.—ลูกา 6:12-19.
2 พระเยซูเสด็จเข้าไปหาฝูงชนแล้วทรงรักษาทุกคนที่เจ็บป่วย. ในที่สุด เมื่อไม่มีสักคนเดียวท่ามกลางพวกเขารู้สึกเจ็บปวดเนื่องจากความเจ็บป่วยร้ายแรง พระองค์จึงทรงนั่งและเริ่มต้นสั่งสอน. * ถ้อยคำที่พระองค์ตรัสวันนั้นในฤดูใบไม้ผลิที่อากาศสดชื่นคงต้องทำให้ผู้ฟังประหลาดใจ. ที่จริง พวกเขาไม่เคยได้ยินใครสอนอย่างพระองค์. เพื่อให้คำสอนของพระองค์มีน้ำหนักมากขึ้น พระองค์มิได้อ้างถึงประเพณีสืบปากหรือคำพูดของพวกรับบีชาวยิวที่มีชื่อเสียง. แทนที่จะเป็นเช่นนั้น หลายครั้งพระองค์อ้างถึงพระคัมภีร์ภาคภาษาฮีบรูที่มีขึ้นโดยการดลใจ. ข่าวสารของพระองค์ตรงไปตรงมา, ถ้อยคำที่พระองค์ใช้ก็เรียบง่าย, และความหมายชัดเจน. เมื่อพระองค์จบการสั่งสอน ฝูงชนรู้สึกอัศจรรย์ใจ. ที่จริง พวกเขาก็น่าจะรู้สึกอย่างนั้น. พวกเขาเพิ่งได้ฟังบุรุษผู้ชาญฉลาดที่สุดเท่าที่โลกเคยเห็น!—มัดธาย 7:28, 29.
“ฝูงชนก็อัศจรรย์ใจในวิธีสอนของพระองค์”
3 คำเทศน์ดังกล่าวพร้อมกับอีกหลายสิ่งที่พระเยซูได้ตรัสและกระทำได้รับการบันทึกไว้ในพระคำของพระเจ้า. เราสมควรจะค้นคว้าดูว่าบันทึกที่มีขึ้นโดยการดลใจนั้นกล่าวเช่นไรในเรื่องพระเยซู เพราะ “คลังทรัพย์ทั้งปวงแห่งสติปัญญา” มีอยู่ในพระองค์. (โกโลซาย 2:3, ล.ม.) สติปัญญาดังกล่าว ซึ่งก็คือความสามารถที่จะนำความรู้และความเข้าใจไปใช้ในวิธีที่ได้ผลจริง พระองค์ได้รับจากที่ไหน? พระองค์ทรงสำแดงสติปัญญาอย่างไร และเราจะดำเนินตามแบบอย่างของพระองค์ได้โดยวิธีใด?
‘คนนี้ได้สติปัญญานี้มาจากไหน?’
4. ผู้ฟังพระเยซูในเมืองนาซาเรทได้ยกคำถามอะไรขึ้นมา และเพราะเหตุใด?
4 ระหว่างการเดินทางไปประกาศคราวหนึ่ง พระเยซูได้ไปเยือนเมืองนาซาเรท เมืองที่พระองค์ได้รับการเลี้ยงดูมา และเริ่มต้นสอนในธรรมศาลาของเมืองนั้น. ผู้ฟังพระองค์หลายคนรู้สึกประหลาดใจและสงสัยว่า ‘คนนี้ได้สติปัญญานี้มาจากไหน?’ พวกเขารู้จักครอบครัวของพระองค์—บิดามารดาและน้อง ๆ ของพระองค์—และรู้ว่าพระองค์มาจากครอบครัวที่มีฐานะยากจน. (มัดธาย 13:54-56, ฉบับแปล 2002; มาระโก 6:1-3) ไม่ต้องสงสัย พวกเขารู้ด้วยว่าช่างไม้ที่พูดได้จับใจคนนี้ไม่เคยเข้าโรงเรียนรับบีใด ๆ ที่มีชื่อเสียง. (โยฮัน 7:15) ดังนั้น คำถามของพวกเขาจึงดูเหมือนว่ามีเหตุผล.
5. พระเยซูทรงเปิดเผยว่าสติปัญญาของพระองค์มาจากแหล่งไหน?
5 สติปัญญาที่พระเยซูได้สำแดงออกมาใช่ว่าเป็นผลจากความคิดที่สมบูรณ์พร้อมของพระองค์เองเท่านั้น. ต่อมาในงานเผยแพร่ของพระองค์ ขณะสั่งสอนอย่างเปิดเผยอยู่ในพระวิหาร พระเยซูทรงแจ้งให้ทราบว่าสติปัญญาของพระองค์มาจากแหล่งที่สูงกว่ามากนัก. พระองค์ตรัสว่า “คำสอนของเราไม่เป็นของเราเอง, แต่เป็นของพระองค์ที่ทรงใช้เรามา.” (โยฮัน 7:16) ใช่แล้ว พระบิดาผู้ทรงส่งพระบุตรมา ทรงเป็นแหล่งที่แท้จริงแห่งสติปัญญาของพระเยซู. (โยฮัน 12:49) แต่พระเยซูได้รับสติปัญญาจากพระยะโฮวาโดยวิธีใด?
6, 7. พระเยซูได้รับสติปัญญาจากพระบิดาของพระองค์ในทางใดบ้าง?
6 พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระยะโฮวาดำเนินกิจอยู่ในหัวใจและจิตใจของพระเยซู. ยะซายาได้บอกล่วงหน้าเกี่ยวกับพระเยซูในฐานะพระมาซีฮาตามคำสัญญา ว่า “พระวิญญาณของพระยะโฮวาจะลงมาบนท่าน วิญญาณแห่งปัญญาและความเข้าใจ วิญญาณแห่งคำแนะนำและฤทธานุภาพ วิญญาณแห่งความรู้และความเกรงกลัวพระยะโฮวา.” (ยะซายา 11:2, ล.ม.) ในเมื่อพระวิญญาณของพระยะโฮวาสถิตอยู่บนพระเยซูและชี้นำความคิดและการตัดสินใจของพระองค์ จึงไม่แปลกเลยใช่ไหมที่คำพูดและการกระทำของพระองค์สะท้อนให้เห็นสติปัญญาอันล้ำเลิศ?
7 พระเยซูได้รับสติปัญญาจากพระบิดาของพระองค์ในอีกวิธีหนึ่งที่ลึกซึ้ง. ดังเราได้เห็นในบท 2 ระหว่างที่ดำรงอยู่ก่อนมาเป็นมนุษย์ ซึ่งเป็นช่วงเวลายาวนานจนไม่อาจนับได้ พระเยซูมีโอกาสที่จะซึมซับพระดำริของพระเจ้าในเรื่องต่าง ๆ. เราแทบจะนึกไม่ออกถึงสติปัญญาอันล้ำลึกที่พระบุตรได้รับขณะอยู่เคียงข้างพระบิดา ทำงานฐานะเป็น “นายช่าง” ของพระเจ้าในการสร้างสรรพสิ่งอื่น ๆ ทั้งที่มีชีวิตและไม่มีชีวิต. ด้วยเหตุผลที่ฟังขึ้น พระบุตรตอนที่ดำรงอยู่ก่อนมาเป็นมนุษย์จึงได้รับการพรรณนาฐานะพระปัญญาที่เป็นประหนึ่งบุคคล. (สุภาษิต 8:22-31; โกโลซาย 1:15, 16) ตลอดช่วงที่ทำงานเผยแพร่บนแผ่นดินโลก พระเยซูสามารถใช้สติปัญญาที่ได้รับขณะอยู่เคียงข้างพระบิดาในสวรรค์ให้เป็นประโยชน์. * (โยฮัน 8:26, 28, 38) ฉะนั้น เราไม่ควรแปลกใจในความรู้อันกว้างขวางและความเข้าใจที่ลึกซึ้งซึ่งสะท้อนอยู่ในคำตรัสของพระเยซูหรือการตัดสินที่ถูกต้องในการกระทำทุกอย่างของพระองค์.
8. ในฐานะสาวกของพระเยซู เราจะได้รับสติปัญญาโดยวิธีใด?
8 ในฐานะสาวกของพระเยซู เราต้องหมายพึ่งพระยะโฮวาฐานะเป็นแหล่งแห่งสติปัญญาด้วยเช่นกัน. (สุภาษิต 2:6) แน่นอน พระยะโฮวามิได้ประทานสติปัญญาให้พวกเราอย่างอัศจรรย์. อย่างไรก็ดี พระองค์ทรงตอบคำอธิษฐานอย่างจริงจังของเราที่ขอสติปัญญาที่จำเป็นเพื่อจะประสบผลสำเร็จในการรับมือกับปัญหาต่าง ๆ ในชีวิต. (ยาโกโบ 1:5) เราต้องพยายามอย่างมากเพื่อจะได้สติปัญญานั้น. เราต้องแสวงหาสติปัญญา “เหมือนหนึ่งทรัพย์ที่ซ่อนอยู่นั้น” เรื่อยไป. (สุภาษิต 2:1-6) ใช่แล้ว เราต้องขุดลึกลงไปในพระคำของพระเจ้าที่มีการ เปิดเผยสติปัญญาของพระองค์นั้นต่อ ๆ ไป และให้ชีวิตของเราประสานกับสิ่งที่เราเรียนรู้. ตัวอย่างที่พระบุตรของพระยะโฮวาวางไว้มีคุณค่าเป็นพิเศษในการช่วยเราให้ได้มาซึ่งสติปัญญา. ขอให้เราพิจารณาขอบเขตต่าง ๆ ที่พระเยซูทรงสำแดงสติปัญญาและเรียนรู้ว่าเราจะเลียนแบบพระองค์ได้โดยวิธีใด.
ถ้อยคำแห่งสติปัญญา
สติปัญญาของพระเจ้ามีการเปิดเผยไว้ในคัมภีร์ไบเบิล
9. อะไรทำให้คำสอนของพระเยซูเต็มไปด้วยสติปัญญา?
9 ผู้คนจำนวนมากพากันไปหาพระเยซูเพียงเพื่อจะฟังพระองค์ตรัส. (มาระโก 6:31-34; ลูกา 5:1-3) และนี่ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะเมื่อพระเยซูตรัส ถ้อยคำแห่งสติปัญญาอันเลิศล้ำออกมาจากพระโอษฐ์ของพระองค์! คำสอนของพระองค์สะท้อนให้เห็นความรู้อันลึกซึ้งเกี่ยวกับพระคำของพระเจ้าและความสามารถอันหาที่เปรียบมิได้ในการเข้าถึงต้นเหตุของปัญหา. คำสอนของพระองค์ดึงดูดใจผู้คนทุกหนแห่งและใช้ได้เสมอไม่ว่ายุคสมัยใด. ขอพิจารณาบางตัวอย่างของสติปัญญาที่พบในคำตรัสของพระเยซู ซึ่งเป็น “ที่ปรึกษามหัศจรรย์” ตามที่มีการบอกไว้ล่วงหน้า.—ยะซายา 9:6.
10. พระเยซูทรงกระตุ้นเราให้ปลูกฝังคุณลักษณะที่ดีอะไรบ้าง และเพราะเหตุใด?
10 คำเทศน์บนภูเขาที่มีการกล่าวถึงในตอนต้น เป็นคำสอนที่พระเยซูสอนอย่างต่อเนื่องโดยไม่มีการขัดจังหวะด้วยการพรรณนาเรื่องหรือคำพูดของคนอื่น ๆ. ในคำเทศน์นี้ พระเยซูไม่เพียงให้คำแนะนำในเรื่องการพูดและการ ประพฤติที่เหมาะสมเท่านั้น แต่ให้คำแนะนำเรื่องสิ่งที่กระตุ้นให้เราพูดหรือทำด้วย. เนื่องจากทรงทราบว่าความคิดและความรู้สึกนำไปสู่การพูดและการกระทำ พระเยซูจึงกระตุ้นเราให้ปลูกฝังคุณลักษณะที่ดีในจิตใจและหัวใจ เช่น ความอ่อนโยน, ความหิวกระหายความชอบธรรม, แนวโน้มที่จะเป็นคนเมตตาและสร้างสันติ, และความรักต่อคนอื่น. (มัดธาย 5:5-9, 43-48) ขณะที่เราพัฒนาคุณลักษณะดังกล่าวในหัวใจเรา ก็จะก่อผลเป็นคำพูดและความประพฤติที่ดีงามซึ่งไม่เพียงทำให้พระยะโฮวาพอพระทัยเท่านั้น แต่ยังส่งเสริมสัมพันธภาพที่ดีกับเพื่อนมนุษย์ด้วย.—มัดธาย 5:16.
11. เมื่อให้คำแนะนำเรื่องความประพฤติที่ผิดบาป พระเยซูทรงเข้าถึงต้นเหตุของปัญหาอย่างไร?
11 เมื่อให้คำแนะนำเรื่องความประพฤติที่ผิดบาป พระเยซูทรงเข้าถึงต้นเหตุของปัญหาทีเดียว. พระองค์ไม่เพียงบอกให้เราละเว้นจากการกระทำที่รุนแรงเท่านั้น แต่ทรงเตือนเรามิให้ปล่อยความโกรธคุกรุ่นอยู่ในหัวใจ. (มัดธาย 5:21, 22; 1 โยฮัน 3:15) พระองค์ไม่เพียงห้ามการเล่นชู้. แทนที่จะทำเช่นนั้น พระองค์ทรงเตือนถึงความกำหนัดที่เริ่มขึ้นในหัวใจและนำไปสู่การทรยศดังกล่าว. พระองค์ทรงตักเตือนเราไม่ให้ปล่อยตาของเราปลุกเร้าความปรารถนาที่ไม่เหมาะสมและกระตุ้นให้เกิดราคะตัณหา. (มัดธาย 5:27-30) พระเยซูทรงเพ่งเล็งที่ต้นเหตุ ไม่ใช่ดูแต่สิ่งที่ปรากฏให้เห็นเท่านั้น. พระองค์ตรัสถึงเจตคติและความปรารถนาที่นำไปสู่การกระทำที่ผิดบาป.—บทเพลงสรรเสริญ 7:14.
12. เหล่าสาวกของพระเยซูมองคำแนะนำของพระองค์อย่างไร และเพราะเหตุใด?
12 คำตรัสของพระเยซูประกอบด้วยสติปัญญาอย่างแท้จริง! ไม่น่าแปลกที่ “ฝูงชนก็อัศจรรย์ใจในวิธีสอนของพระองค์.” (มัดธาย 7:28, ล.ม.) ในฐานะเป็นสาวกของพระองค์ เราถือว่าคำแนะนำที่ชาญฉลาดของพระองค์เป็นเครื่องชี้นำในการดำเนินชีวิต. เราพยายามปลูกฝังคุณลักษณะที่ดีซึ่งพระองค์ทรงแนะนำ รวมถึงความเมตตา, การสร้างสันติ, และความรัก โดยรู้อยู่ว่าด้วยวิธีนี้เราจะวางรากฐานไว้สำหรับความประพฤติที่พระเจ้าพอพระทัย. เราพยายามจะขจัดความรู้สึกและความปรารถนาที่ไม่ดีซึ่งพระองค์เตือนเราให้ระวังนั้นให้หมดไปจากหัวใจของเรา เช่น ความโกรธแค้นและความปรารถนาที่ผิดศีลธรรม โดยรู้ว่าการทำเช่นนั้นจะช่วยเราหลีกเลี่ยงความประพฤติที่ผิดบาป.—ยาโกโบ 1:14, 15.
แนวทางชีวิตที่ควบคุมโดยสติปัญญา
13, 14. อะไรแสดงให้เห็นว่าพระเยซูทรงใช้วิจารณญาณที่ดีในการเลือกแนวทางชีวิตของพระองค์?
13 พระเยซูทรงสำแดงสติปัญญาไม่เพียงในคำตรัสเท่านั้น แต่ในการกระทำด้วย. รูปแบบชีวิตทั้งสิ้นของพระองค์ ไม่ว่าจะเป็นการตัดสินพระทัย, ทัศนะที่พระองค์มีต่อตัวเอง, และการปฏิบัติต่อคนอื่น ล้วนแสดงให้เห็นสติปัญญาในหลายแง่มุมที่ดีเลิศ. ขอพิจารณาบางตัวอย่างที่แสดงว่าพระเยซูได้รับการควบคุมโดย “สติปัญญาที่ใช้ได้จริงและความสามารถในการคิด.”—สุภาษิต 3:21, ล.ม.
14 สติปัญญารวมไปถึงการตัดสินที่ถูกต้อง. พระเยซูทรงใช้วิจารณญาณที่ดีในการเลือกแนวทางชีวิตของพระองค์. คุณนึกภาพออกไหมถึงรูปแบบชีวิตที่พระองค์จะมีได้ เช่น บ้านที่พระองค์อาจสร้างขึ้น, ธุรกิจที่พระองค์อาจตั้งขึ้น, หรือชื่อเสียงเด่นดังในโลกที่พระองค์สามารถมีได้? พระเยซูทรงทราบว่าการทุ่มเทชีวิตให้กับการมุ่งติดตามสิ่งดังกล่าว “เป็นอนิจจังเหมือนวิ่งไล่ตามลมไป.” (ท่านผู้ประกาศ 4:4; 5:10) แนวทางชีวิตดังกล่าวเป็นความโง่เขลา ตรงกันข้ามกับสติปัญญา. พระเยซูทรงเลือกจะดำเนินชีวิตแบบเรียบง่าย. พระองค์ไม่สนพระทัยในการหาเงินหรือสะสมทรัพย์สมบัติฝ่ายวัตถุ. (มัดธาย 8:20) สอดคล้องกับสิ่งที่พระองค์สอน พระองค์ทรงรักษาตาให้มุ่งไปที่จุดมุ่งหมายเดียว นั่นคือ การทำตามพระทัยประสงค์ของพระเจ้า. (มัดธาย 6:22) พระเยซูทรงอุทิศเวลาและพลังของพระองค์อย่างฉลาดสุขุมเพื่อส่งเสริมผลประโยชน์ของราชอาณาจักร ซึ่งมีความสำคัญและให้ผลตอบแทนยิ่งกว่าสิ่งฝ่ายวัตถุมากนัก. (มัดธาย 6:19-21) โดยวิธีนี้ พระองค์ทรงวางตัวอย่างที่ควรแก่การเลียนแบบ.
15. เหล่าสาวกของพระเยซูจะแสดงให้เห็นได้อย่างไรว่าพวกเขารักษาตาให้ปกติ และทำไมการทำเช่นนี้จึงเป็นแนวทางแห่งสติปัญญา?
15 เหล่าสาวกของพระเยซูในทุกวันนี้มองเห็นว่าการมุ่งไปที่จุดมุ่งหมายเดียวเป็นแนวทางแห่งสติปัญญา. ฉะนั้น พวกเขาหลีกเลี่ยงการทำให้ตัวเองต้องแบกภาระหนี้สินที่ไม่จำเป็นและการติดตามสิ่งต่าง ๆ ฝ่ายโลกซึ่งทำให้สิ้นเปลืองพลังและต้องให้ความเอาใจใส่มากเกินไป. (1 ติโมเธียว 6:9, 10) หลายคนได้ใช้มาตรการต่าง ๆ เพื่อทำให้รูปแบบชีวิตของตนเรียบง่ายเพื่อจะอุทิศเวลามากขึ้น ให้กับงานเผยแพร่แบบคริสเตียน บางทีถึงกับรับใช้ในฐานะผู้ประกาศราชอาณาจักรเต็มเวลา. ไม่มีแนวทางอื่นใดจะเป็นแนวทางที่ฉลาดสุขุมไปกว่านี้ที่เราจะติดตาม เพราะการจัดให้ผลประโยชน์แห่งราชอาณาจักรอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสมยังผลให้มีความสุขและความพอใจมากที่สุด.—มัดธาย 6:33.
16, 17. (ก) พระเยซูทรงแสดงให้เห็นในทางใดบ้างว่าทรงเจียมตัวและคาดหมายจากตัวเองตามความเป็นจริง? (ข) เราจะแสดงได้โดยวิธีใดว่าเราเป็นคนเจียมตัวและคาดหมายจากตัวเองตามความเป็นจริง?
16 คัมภีร์ไบเบิลเชื่อมโยงสติปัญญากับความเจียมตัว ซึ่งหมายรวมถึงการรู้ขีดจำกัดของเรา. (สุภาษิต 11:2) พระเยซูทรงเจียมตัวและคาดหมายจากตัวเองตามความเป็นจริง. พระองค์ทรงทราบว่าพระองค์ไม่สามารถเปลี่ยนใจทุกคนที่ได้ยินข่าวสารของพระองค์ได้. (มัดธาย 10:32-39) พระองค์ยังตระหนักด้วยว่า พระองค์เองจะสามารถไปถึงผู้คนจำนวนจำกัด. ดังนั้น ด้วยความฉลาดสุขุมพระองค์ทรงมอบหมายงานทำให้คนเป็นสาวกแก่เหล่าผู้ติดตามพระองค์. (มัดธาย 28:18-20) พระองค์ทรงยอมรับด้วยความเจียมตัวว่าพวกเขาจะ “กระทำการใหญ่กว่า” พระองค์เอง เพราะพวกเขาจะไปถึงผู้คนมากกว่าในขอบเขตที่ใหญ่กว่าและในช่วงเวลาที่นานกว่า. (โยฮัน 14:12) พระเยซูทรงยอมรับด้วยว่าพระองค์จำเป็นต้องได้รับความช่วยเหลือ. พระองค์ยอมรับความช่วยเหลือจากเหล่าทูตสวรรค์ซึ่งมาปรนนิบัติพระองค์ในถิ่นทุรกันดารและจากทูตสวรรค์องค์ที่มาชูกำลังพระองค์ในสวนเกทเซมาเน. ในชั่วขณะที่พระองค์มีความจำเป็นมากที่สุด พระบุตรของพระเจ้าได้ร้องเสียงดังเพื่อขอความช่วยเหลือ.—มัดธาย 4:11; ลูกา 22:43; เฮ็บราย 5:7.
17 เราต้องเจียมตัวและคาดหมายจากตัวเราเองตามความเป็นจริงด้วยเช่นกัน. แน่นอน เราต้องการทำงานอย่างสุดชีวิตและทุ่มเทตัวอย่างแข็งขันในงานประกาศและการทำให้คนเป็นสาวก. (ลูกา 13:24; โกโลซาย 3:23) ในเวลาเดียวกัน เราต้องจำไว้ว่าพระยะโฮวาไม่ได้เปรียบเทียบเรากับคนอื่น และเราก็ไม่ควรทำเช่นนั้นด้วย. (ฆะลาเตีย 6:4) สติปัญญาที่ใช้ได้จริงจะช่วยเราตั้งเป้าที่ทำได้จริงอย่างที่สอดคล้องกับความสามารถและสภาพการณ์ของเรา. นอกจากนี้ สติปัญญาจะชี้นำคนเหล่านั้นที่อยู่ในตำแหน่งซึ่งมีความรับผิดชอบให้ยอมรับว่า พวกเขามีขีดจำกัดและจำเป็นต้องได้รับความช่วยเหลือและการสนับสนุนเป็นครั้งคราว. ความเจียมตัวจะทำให้คนเช่นนั้นยอมรับความช่วยเหลือด้วยความขอบคุณ โดยสำนึกว่าพระยะโฮวาอาจใช้เพื่อนร่วมความเชื่อให้มาเป็น “ผู้ช่วยเสริมกำลัง” เขา.—โกโลซาย 4:11, ล.ม.
18, 19. (ก) อะไรแสดงว่าพระเยซูทรงมีเหตุผลและมองในแง่ดีในการปฏิบัติกับเหล่าสาวกของพระองค์? (ข) ทำไมเราจึงมีเหตุผลที่ดีที่จะมองในแง่ดีและปฏิบัติต่อกันและกันอย่างมีเหตุผล และเราจะทำเช่นนี้ได้อย่างไร?
18 ยาโกโบ 3:17 (ล.ม.) กล่าวว่า “สติปัญญาจากเบื้องบนนั้น . . . มีเหตุผล.” พระเยซูทรงมีเหตุผลและมองในแง่ดีในการปฏิบัติกับเหล่าสาวกของพระองค์. พระองค์ทรงทราบดีถึงข้อบกพร่องของพวกเขา กระนั้น พระองค์ทรงมองหาส่วนดีในตัวพวกเขา. (โยฮัน 1:47) พระองค์ทรงทราบว่าพวกเขาจะละทิ้งพระองค์ในคืนที่ถูกจับกุม แต่พระองค์ไม่ได้สงสัยความภักดีของพวกเขา. (มัดธาย 26:31-35; ลูกา 22:28-30) เปโตรปฏิเสธถึงสามครั้งว่าไม่รู้จักพระเยซูเลย. กระนั้น พระเยซูทรงอธิษฐานวิงวอนเผื่อเปโตรและแสดงความมั่นใจในความซื่อสัตย์ของท่าน. (ลูกา 22:31-34) คืนสุดท้ายที่พระองค์ทรงมีชีวิตอยู่บนแผ่นดินโลก ในคำอธิษฐานถึงพระบิดา พระเยซูมิได้เพ่งเล็งในความผิดพลาดที่เหล่าสาวกของพระองค์ได้ทำ. แทนที่จะเป็นเช่นนั้น พระองค์ตรัสในแง่ดีเกี่ยวกับแนวทางของพวกเขาจนกระทั่งคืนนั้นว่า “เขาได้ปฏิบัติตามคำของพระองค์.” (โยฮัน 17:6) ทั้ง ๆ ที่พวกเขาไม่สมบูรณ์ พระองค์ก็ยังมอบหมายให้พวกเขาทำงานประกาศเรื่องราชอาณาจักรและสอนคนให้เป็นสาวก. (มัดธาย 25:14, 15; ลูกา 12:42-44) การที่พระองค์มีความมั่นใจและความเชื่อในตัวพวกเขาคงได้เสริมกำลังพวกเขาให้ทำงานที่พระองค์ทรงบัญชานั้นจนสำเร็จอย่างไม่ต้องสงสัย.
19 เหล่าสาวกของพระเยซูมีเหตุผลที่จะเลียนแบบตัวอย่างของพระองค์ในเรื่องนี้. หากพระบุตรที่สมบูรณ์ของพระเจ้าทรงอดทนในการปฏิบัติกับเหล่าสาวกที่ไม่สมบูรณ์ของพระองค์ มากยิ่งกว่านั้นสักเท่าไรที่เราซึ่งเป็นมนุษย์ผิดบาปควรเป็นคนมีเหตุผลในการปฏิบัติต่อกันและกัน! (ฟิลิปปอย 4:5, ล.ม.) แทนที่จะเพ่งเล็งในข้อบกพร่องของเพื่อนร่วมนมัสการ เราควรมองหาส่วนดีในตัวเขา. นับว่าฉลาดที่เราพึงจำไว้ว่าพระยะโฮวาได้ทรงชักนำพวกเขามา. (โยฮัน 6:44) ถ้าเช่นนั้น แน่นอนว่าพระองค์คงต้องเห็นความดีในตัวเขาอยู่บ้าง ดังนั้น เราก็น่าจะเห็นความดีในตัวเขาเช่นกัน. เจตคติดังกล่าวจะช่วยเราไม่เพียงแต่ “มองข้ามการล่วงละเมิด” แต่มองหาส่วนดีของคนอื่นที่เราจะชมเชยได้. (สุภาษิต 19:11, ล.ม.) เมื่อเราแสดงความมั่นใจในตัวพี่น้องชายหญิงคริสเตียนของเรา เราช่วยพวกเขาให้รับใช้พระยะโฮวาสุดความสามารถและพบความยินดีในงานนั้น.—1 เธซะโลนิเก 5:11.
20. เราควรทำประการใดกับคลังทรัพย์อันล้ำค่าแห่งสติปัญญาที่พบในเรื่องราวของพระธรรมกิตติคุณ และเพราะเหตุใด?
20 เรื่องราวในพระธรรมกิตติคุณทั้งสี่เกี่ยวกับชีวิตและงานรับใช้ของพระเยซูเป็นคลังทรัพย์อันล้ำค่าแห่งสติปัญญาจริง ๆ! เราควรทำประการใดกับของประทานอันประเมินค่ามิได้นี้? ในตอนสรุปของคำเทศน์บนภูเขา พระเยซูทรงกระตุ้นเตือนเหล่าผู้ฟังที่จะไม่เพียงแต่ได้ยิน คำตรัสที่ฉลาดสุขุมของพระองค์เท่านั้น แต่ให้ประพฤติตาม หรือนำคำเหล่านั้นไปใช้ด้วย. (มัดธาย 7:24-27) การให้คำตรัสและการกระทำที่ฉลาดสุขุมของพระเยซูนวดปั้นความคิด, แรงกระตุ้น, และการกระทำของเราจะช่วยเราให้พบชีวิตที่ดีที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ในขณะนี้และช่วยเราให้อยู่บนทางสู่ชีวิตนิรันดร์. (มัดธาย 7:13, 14) แน่นอนไม่มีแนวทางใดที่เราปฏิบัติได้ซึ่งจะดีหรือฉลาดสุขุมไปกว่านี้!
^ วรรค 2 คำบรรยายของพระเยซูในวันนั้นได้มาเป็นที่รู้จักกันว่าคำเทศน์บนภูเขา. ดังที่บันทึกในมัดธาย 5:3–7:27 คำเทศน์นี้มี 107 ข้อและคงจะใช้เวลาราว ๆ 20 นาทีในการบรรยาย.
^ วรรค 7 ดูเหมือนว่า เมื่อ ‘ท้องฟ้าแหวกออก’ ตอนที่พระเยซูรับบัพติสมานั้น ความทรงจำของพระองค์เกี่ยวกับการดำรงอยู่ก่อนมาเป็นมนุษย์ได้กลับคืนมาสู่พระองค์.—มัดธาย 3:13-17.