บท 1
“เชิญตามเรามา”—พระเยซูทรงหมายความเช่นไร?
1, 2. คำเชิญอะไรที่ดีที่สุดซึ่งมนุษย์อาจได้รับ และเราอาจถามตัวเองเช่นไร?
คำเชิญอะไรที่ดีที่สุดที่คุณเคยได้รับ? คุณอาจคิดถึงตอนที่คุณได้รับเชิญให้เข้าร่วมในโอกาสพิเศษ บางทีอาจเป็นงานสมรสของบุคคลสองคนที่คุณรักเป็นอย่างยิ่ง. หรือคุณอาจรำลึกถึงวันที่คุณได้รับเชิญให้ทำงานที่สำคัญอย่างหนึ่ง. หากคุณได้รับคำเชิญดังกล่าว คุณคงจะตื่นเต้นแน่ ๆ และถึงกับรู้สึกเป็นเกียรติที่ได้รับคำเชิญนั้น. แต่ความจริงคือว่า คุณได้รับคำเชิญอย่างหนึ่งที่ดีกว่ามากนัก. เราแต่ละคนได้รับคำเชิญดังกล่าว. และวิธีที่เราตัดสินใจเลือกว่าจะตอบรับคำเชิญนั้นอย่างไรย่อมส่งผลกระทบต่อเราอย่างลึกซึ้ง. นั่นเป็นการตัดสินใจเลือกที่สำคัญที่สุดในชีวิต.
2 คำเชิญนั้นคืออะไร? คำเชิญนั้นมาจากพระเยซูคริสต์ พระบุตรผู้ได้รับกำเนิดองค์เดียวของพระยะโฮวา พระเจ้าองค์ทรงฤทธานุภาพทุกประการ และคำเชิญนี้ถูกบันทึกไว้ในคัมภีร์ไบเบิล. ที่มาระโก 10:21 (ล.ม.) เราอ่านคำตรัสของพระเยซูว่า “เชิญตามเรามา.” จริง ๆ แล้ว นั่นเป็นคำเชิญที่พระเยซูทรงให้แก่เราแต่ละคน. เราควรถามตัวเองว่า ‘ฉันจะตอบรับอย่างไร?’ คุณอาจคิดว่า ใครหรือจะปฏิเสธคำเชิญที่ยอดเยี่ยมดังกล่าว? น่าแปลกใจ คนส่วนใหญ่ปฏิเสธคำเชิญนั้น. เพราะเหตุใด?
3, 4. (ก) มีอะไรที่อาจถือได้ว่าเป็นเรื่องน่าอิจฉาเกี่ยวกับชายคนที่เข้าไปหาพระเยซูเพื่อถามเรื่องชีวิตนิรันดร์? (ข) พระเยซูอาจทอดพระเนตรเห็นคุณลักษณะที่ดีอะไรบ้างในตัวขุนนางหนุ่มผู้มั่งมีคนนี้?
3 ขอพิจารณาตัวอย่างของชายคนหนึ่งซึ่งได้รับคำเชิญนั้นโดยตรงราว ๆ 2,000 ปีมาแล้ว. เขาเป็นคนที่ได้รับความนับถืออย่างสูงส่ง. เขามีอย่างน้อยสามสิ่งซึ่งคนเรามักจะถือว่าเป็นสิ่งที่พึงปรารถนา กระทั่งน่าอิจฉาด้วยซ้ำ นั่น คือความหนุ่มแน่น, ทรัพย์สมบัติ, และอำนาจ. บันทึกในคัมภีร์ไบเบิลพรรณนาถึงเขาว่าเป็น “คนหนุ่ม,” เป็น “คนมั่งมีมาก,” และเป็น “ขุนนาง.” (มัดธาย 19:20; ลูกา 18:18, 23) อย่างไรก็ดี ชายหนุ่มคนนี้มีอะไรบางอย่างที่สำคัญกว่า. เขาได้ยินเรื่องพระเยซูครูผู้ยิ่งใหญ่ และเขาชอบเรื่องที่ตัวเองได้ยินนั้น.
4 ขุนนางส่วนใหญ่ในสมัยนั้นไม่ได้ให้ความนับถือพระเยซูอย่างที่พระองค์ควรได้รับ. (โยฮัน 7:48; 12:42) แต่ขุนนางคนนี้ปฏิบัติต่างออกไป. คัมภีร์ไบเบิลบอกเราว่า “เมื่อ [พระเยซู] กำลังเสด็จออกไปตามทาง, มีคนหนึ่งวิ่งมาหาพระองค์คุกเข่าลงทูลถามพระองค์ว่า, ‘ท่านอาจารย์ผู้ประเสริฐ, ข้าพเจ้าจะทำประการใดจึงจะได้ชีวิตนิรันดร์?’” (มาระโก 10:17) สังเกตว่าชายผู้นี้กระตือรือร้นสักเพียงไรที่จะพูดกับพระเยซู วิ่งไปหาพระองค์ในที่สาธารณะ เช่นเดียวกับใคร ๆ ที่เป็นคนยากจนและต่ำต้อยอาจได้ทำเช่นนั้น. นอกจากนี้ เขาได้คุกเข่าลงด้วยความนับถือตรงหน้าพระคริสต์. ดังนั้น เขาจึงมีความถ่อมใจอยู่บ้างและสำนึกถึงความจำเป็นทางฝ่ายวิญญาณของตน. พระเยซูทรงถือว่าคุณลักษณะที่ดีเช่นนั้นมีค่า. (มัดธาย 5:3; 18:4) ดังนั้น ไม่น่าแปลกใจที่ “พระเยซูทรงมองดูเขาและทรงรู้สึกรัก.” (มาระโก 10:21, ล.ม.) พระเยซูทรงตอบคำถามของชายหนุ่มคนนี้อย่างไร?
คำเชิญอันหาที่เปรียบมิได้
5. พระเยซูทรงตอบชายหนุ่มผู้มั่งคั่งอย่างไร และเรารู้ได้อย่างไรว่า “สิ่งหนึ่ง” ที่เขาขาดอยู่นั้นไม่ได้หมายถึงการเป็นคนยากจน? (ดูเชิงอรรถด้วย.)
5 พระเยซูแสดงให้เห็นว่าพระบิดาของพระองค์ทรงให้ข้อมูลอยู่แล้วในเรื่องคำถามสำคัญเกี่ยวกับการได้รับชีวิตนิรันดร์. พระองค์ทรงชี้ถึงพระคัมภีร์ และชายหนุ่มคนนั้นได้ยืนยันว่าเขาเชื่อฟังพระบัญญัติของโมเซอย่างซื่อสัตย์. อย่างไรก็ดี ด้วยความหยั่งเห็นเข้าใจอย่างผิดธรรมดา พระเยซูทรงเห็นสิ่งที่อยู่ลึกกว่า. (โยฮัน 2:25) พระองค์ทรงเข้าใจว่าขุนนางหนุ่มคนนี้มีปัญหาร้ายแรงอย่างหนึ่งที่ส่งผลกระทบต่อสัมพันธภาพระหว่างเขากับพระเจ้า. ฉะนั้น พระเยซูตรัสว่า “มีอย่างหนึ่งที่เจ้าขาดอยู่.” “อย่างหนึ่ง” ที่ว่านี้คืออะไร? พระเยซูตรัสว่า “จงไปขายสิ่งต่าง ๆ ที่เจ้ามีและเอาเงินแจกให้คนจน.” (มาระโก 10:21, ล.ม.) พระ เยซูทรงหมายความว่าเราต้องเป็นคนสิ้นเนื้อประดาตัวเพื่อจะรับใช้พระเจ้าไหม? ไม่ใช่. * พระคริสต์กำลังเปิดเผยอะไรบางสิ่งที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง.
6. พระเยซูทรงเสนอคำเชิญอะไร และการตอบรับของขุนนางหนุ่มผู้มั่งคั่งเผยให้เห็นอะไรเกี่ยวกับหัวใจของเขา?
6 เพื่อเผยให้เห็นว่าอะไรที่ขาดไป พระเยซูทรงเสนอโอกาสอันยอดเยี่ยมให้ชายคนนี้โดยตรัสว่า “เชิญตามเรามา.” คิดดูสิ พระบุตรของพระเจ้าองค์สูงสุดทรงเชิญชายคนนี้โดยตรงให้ติดตามพระองค์! พระเยซูยังทรงสัญญากับเขาถึงบำเหน็จที่เกินกว่าจะนึกภาพได้. พระองค์ตรัสว่า “เจ้าจะมีทรัพย์สมบัติในสวรรค์.” ขุนนางหนุ่มผู้มั่งคั่งฉวยโอกาสนี้ทันทีโดยรับเอาคำเชิญที่น่าปีติยินดีนี้ไหม? เรื่องราวนั้นอ่านว่า “แต่เมื่อเขาได้ยินเช่นนั้นก็เศร้าใจและออกไปด้วยความทุกข์ใจเพราะเขามีทรัพย์สมบัติมาก.” (มาระโก 10:21, 22, ล.ม.) ดังนั้น คำตรัสที่คาดไม่ถึงของพระเยซูเผยให้เห็นปัญหาในหัวใจของชายคนนี้. เขาผูกพันกับทรัพย์สมบัติของตนมากเกินไป รวมทั้งผูกพันกับอำนาจและเกียรติยศชื่อเสียงที่มาพร้อมกับทรัพย์นั้นอย่างไม่ต้องสงสัย. น่าเศร้า ความรักที่เขามีต่อสิ่งดังกล่าวนั้นมีมากกว่าความรักใด ๆ ที่เขามีต่อพระคริสต์. ดังนั้น “อย่างหนึ่ง” ที่ขาดไปนั้นคือความรักอย่างสุดหัวใจแบบเสียสละตัวเองที่มีต่อพระเยซูและพระยะโฮวา. เนื่องจากชายหนุ่มขาดความรักดังกล่าว เขาจึงปฏิเสธคำเชิญอันหาที่เปรียบมิได้นั้น! แต่คำเชิญนี้เกี่ยวข้องกับคุณอย่างไร?
7. ทำไมเราอาจแน่ใจได้ว่า คำเชิญของพระเยซูนำมาใช้กับพวกเราในทุกวันนี้ด้วย?
7 คำเชิญของพระเยซูไม่ได้จำกัดอยู่แค่ชายคนนั้น; ทั้งมิได้จำกัดอยู่เพียงแค่ไม่กี่คน. พระเยซูตรัสว่า “ถ้าผู้ใดต้องการจะตามเรามา ก็ให้ผู้นั้น . . . ติดตามเราเรื่อยไป.” (ลูกา 9:23, ล.ม.) ขอสังเกตว่า “ผู้ใด” ก็สามารถเป็นสาวกของพระคริสต์ได้หากเขา “ต้องการ” จริง ๆ. พระเจ้าทรงชักนำคนที่สุจริตใจดังกล่าวให้ มาหาพระบุตรของพระองค์. (โยฮัน 6:44) ไม่ใช่แค่คนมั่งมี, ไม่ใช่เฉพาะคนยากจน, ไม่ใช่เพียงแต่คนเหล่านั้นจากบางเผ่าพันธุ์หรือบางเชื้อชาติ, และไม่ใช่แค่คนที่มีชีวิตอยู่ระหว่างช่วงเวลานั้น แต่มีการให้โอกาสทุกคน ที่จะรับเอาคำเชิญของพระเยซู. ดังนั้น คำตรัสของพระเยซูที่ว่า “เชิญตามเรามา” จึงนำมาใช้กับคุณได้อย่างแท้จริง. ทำไมคุณควรต้องการติดตามพระคริสต์? และมีอะไรเกี่ยวข้องอยู่ด้วยในเรื่องนี้?
เหตุใดจึงเป็นผู้ติดตามพระคริสต์?
8. มนุษย์ทุกคนมีความจำเป็นในเรื่องใด และเพราะเหตุใด?
8 มีความจริงอย่างหนึ่งที่เราควรยอมรับ นั่นคือ โดยพื้นฐานแล้ว มนุษย์เราต้องการผู้นำที่ดี. ใช่ว่ามนุษย์ทุกคนยอมรับในเรื่องนี้ แต่ถึงกระนั้น ความต้องการเช่นนี้ก็มีอยู่อย่างที่ไม่อาจปฏิเสธได้. ยิระมะยาผู้พยากรณ์ของพระยะโฮวาได้รับการดลใจให้บันทึกความจริงนิรันดร์นี้ที่ว่า “โอ้พระยะโฮวา, ข้าพเจ้ารู้อยู่ว่าทางที่มนุษย์จะไปนั้นไม่ได้อยู่ในตัวของตัว, ไม่ใช่ที่มนุษย์ซึ่งดำเนินนั้นจะได้กำหนดก้าวของตัวได้.” (ยิระมะยา 10:23) มนุษย์ไม่มีทั้งความสามารถและสิทธิที่จะปกครองตัวเอง. ที่จริง ประวัติศาสตร์ของมนุษย์ส่วนใหญ่เป็นบันทึกเกี่ยวกับผู้นำที่ไม่ดี. (ท่านผู้ประกาศ 8:9) ในสมัยของพระเยซู พวกผู้นำได้กดขี่ประชาชน, ปฏิบัติอย่างเลวร้ายต่อพวกเขา, และนำพวกเขาไปผิดทาง. พระเยซูทรงพรรณนาสภาพการณ์ของสามัญชนได้อย่างถูกต้องว่าเป็น “เหมือนฝูงแกะไม่มีผู้เลี้ยง.” (มาระโก 6:34) มนุษยชาติในทุกวันนี้ก็ประสบสภาพการณ์ที่คล้ายกันนั้นด้วย. ในฐานะเป็นกลุ่มและเป็นรายบุคคล เราจำเป็นต้องมีผู้นำที่เราสามารถไว้ใจและนับถือได้. พระเยซูทรงสนองความจำเป็นนี้ไหม? ขอพิจารณาเหตุผลหลายประการที่ทำให้เราตอบได้ว่าใช่.
9. อะไรทำให้พระเยซูต่างจากผู้นำคนอื่น ๆ ทั้งหมด?
9 ประการแรก พระเยซูได้รับการเลือกสรรจากพระยะโฮวาพระเจ้า. ผู้นำที่เป็นมนุษย์ส่วนใหญ่ได้รับการเลือกจากเพื่อนมนุษย์ที่ไม่สมบูรณ์ ผู้ซึ่งมักจะถูกหลอกและมีแนวโน้มที่จะตัดสินผิดพลาด. พระเยซูเป็นผู้นำชนิดที่ต่างออกไป. บรรดาศักดิ์ของพระองค์นั่นเองที่บอกให้เราทราบเรื่องนี้. คำว่า “คริสต์” เช่นเดียวกับ คำว่า “มาซีฮา” หมายถึงผู้ถูกเจิม. ใช่แล้ว พระเยซูถูกเจิม หรือได้รับการแต่งตั้งโดยเฉพาะให้รับตำแหน่งที่ศักดิ์สิทธิ์ซึ่งผู้ที่แต่งตั้งพระองค์นั้นไม่ใช่ใครอื่นนอกจากพระผู้เป็นเจ้าองค์บรมมหิศรแห่งเอกภพนั่นเอง. พระยะโฮวาพระเจ้าได้ตรัสเกี่ยวกับพระบุตรของพระองค์ว่า “ดูเถิด! ผู้รับใช้ของเราซึ่งเราได้เลือกไว้ ผู้เป็นที่รักของเราซึ่งตัวเราโปรดปราน! เราจะให้วิญญาณของเราสถิตกับท่าน.” (มัดธาย 12:18, ล.ม.) ไม่มีใครทราบดีไปกว่าพระผู้สร้างของเราว่าเราจำเป็นต้องมีผู้นำแบบไหน. สติปัญญาของพระยะโฮวาไร้ขีดจำกัด ดังนั้น เราจึงมีเหตุผลมากพอที่จะไว้วางใจการเลือกของพระองค์.—สุภาษิต 3:5, 6.
10. ทำไมตัวอย่างของพระเยซูจึงดีที่สุดที่มนุษย์จะพึงติดตาม?
10 ประการที่สอง พระเยซูทรงวางตัวอย่างที่สมบูรณ์พร้อมและที่ก่อแรงบันดาลใจไว้ให้เรา. ผู้นำที่ดีที่สุดมีคุณลักษณะต่าง ๆ ซึ่งประชากรของเขาสามารถนิยมชมชอบและเลียนแบบได้. เขาทำหน้าที่ผู้นำโดยวางแบบอย่าง ก่อแรงบันดาลใจแก่คนอื่นเพื่อให้เป็นบุคคลที่ดีขึ้น. คุณลักษณะอะไรที่คุณจะยกย่องนับถือมากที่สุดในตัวผู้นำ? ความกล้าหาญไหม? สติปัญญาไหม? ความเมตตาสงสารไหม? จะว่าอย่างไรกับความพากเพียรเมื่อเผชิญกับความยากลำบาก? ขณะที่คุณศึกษาประวัติบันทึกเกี่ยวกับแนวทางชีวิตของพระเยซูตอนอยู่บนแผ่นดินโลก คุณจะพบว่าพระองค์ทรงมีคุณลักษณะเหล่านี้—และมีมากกว่านั้น. พระเยซูผู้เป็นภาพสะท้อนที่สมบูรณ์พร้อมของพระบิดาผู้อยู่ในสวรรค์ พระองค์ทรงมีคุณลักษณะเยี่ยงพระเจ้าอย่างครบถ้วนสมบูรณ์. พระองค์ทรงเป็นมนุษย์สมบูรณ์อย่างแท้จริงในทุกด้าน. ดังนั้น ในทุกสิ่งที่พระองค์ทรงทำ, ในทุกถ้อยคำที่พระองค์ตรัส, ในความรู้สึกภายในทุกอย่างที่พระองค์ทรงเผยออกมา เราพบสิ่งที่คู่ควรแก่การเลียนแบบ. คัมภีร์ไบเบิลบอกเราว่าพระองค์ได้ทรงวาง “แบบอย่างไว้ให้ท่าน เพื่อท่านจะได้ดำเนินตามรอยพระบาทของพระองค์อย่างใกล้ชิด.”—1 เปโตร 2:21, ล.ม.
11. พระเยซูได้พิสูจน์อย่างไรว่าเป็น “ผู้เลี้ยงแกะที่ดี”?
11 ประการที่สาม พระคริสต์ทรงปฏิบัติตามคำยืนยันของพระองค์ที่ว่า “เราเป็นผู้เลี้ยงแกะที่ดี.” (โยฮัน 10:14, ล.ม.) สำหรับผู้คนในสมัยคัมภีร์ไบเบิล ภาพพจน์นี้เป็นเรื่องที่พวกเขาคุ้นเคย. ผู้เลี้ยงแกะทำงานหนักเพื่อเอาใจใส่ดูแลแกะที่อยู่ในความรับผิดชอบของเขา. “ผู้เลี้ยงแกะที่ดี” จะเอาความปลอดภัยและสวัสดิภาพของฝูงแกะมาก่อนของตัวเอง. ตัวอย่างเช่น ดาวิดบรรพบุรุษของพระเยซูเป็นผู้เลี้ยงแกะขณะเป็นหนุ่ม และมากกว่าหนึ่งครั้งที่ท่านได้เสี่ยงชีวิตเพื่อขัดขวางสัตว์ป่าที่ดุร้ายซึ่งจู่โจมแกะของท่าน. (1 ซามูเอล 17:34-36) พระเยซูไม่เพียงเสี่ยงชีวิตของพระองค์เพื่อเหล่าผู้ติดตามพระองค์ที่เป็นมนุษย์. พระองค์ทรงสละชีวิตของพระองค์เพื่อพวกเขา. (โยฮัน 10:15) มีผู้นำสักกี่คนที่มีน้ำใจเสียสละเช่นนี้?
12, 13. (ก) ผู้เลี้ยงแกะรู้จักแกะของเขาในความหมายเช่นไร และพวกแกะรู้จักผู้เลี้ยงอย่างไร? (ข) ทำไมคุณต้องการอยู่ภายใต้การนำของท่านผู้เลี้ยงแกะที่ยอดเยี่ยมองค์ยิ่งใหญ่?
12 พระเยซูทรงเป็น “ผู้เลี้ยงแกะที่ดี” ในอีกแง่หนึ่ง. พระองค์ตรัสว่า “เรารู้จักแกะของเรา, และแกะของเราก็รู้จักเรา.” (โยฮัน 10:14) ขอให้คิดถึงคำพรรณนาของพระเยซู. ในสายตาของผู้คนทั่วไป แกะอาจดูไม่ต่างอะไรกับสัตว์ที่มีขนปุยซึ่งอยู่รวมกันเป็นฝูงใหญ่. แต่ผู้เลี้ยงแกะรู้จักแกะแต่ละตัว. เขารู้ว่าแกะตัวเมียตัวใดจะต้องได้รับความช่วยเหลือจากเขาในไม่ช้าตอนที่มันตกลูก, ลูกแกะตัวใดที่เขายังคงต้องอุ้มไปเพราะมันตัวเล็กกระจ้อยร่อยและอ่อนแอเกินกว่าที่จะเดินไปไกล ๆ ด้วยตัวมันเอง, และแกะตัวไหนที่ป่วยหรือได้รับบาดเจ็บไม่นานมานี้. แกะก็รู้จักผู้เลี้ยงด้วยเช่นกัน. พวกมันจำเสียงของเขาได้ ไม่เคยหลงว่าเสียงของผู้เลี้ยงแกะคนอื่นเป็นเสียงผู้เลี้ยงของมัน. เมื่อผู้เลี้ยงเรียกด้วยน้ำเสียงตื่นตระหนกหรือเสียงที่แสดงถึงความเร่งด่วน พวกมันตอบสนองทันที. ผู้เลี้ยงนำไปที่ไหน พวกมันก็ตามไปที่นั่น. และเขารู้ว่าจะนำพวกมันไปที่ไหน. เขารู้ว่าที่ไหนมีหญ้าเขียวชอุ่มบริบูรณ์, ที่ไหนมีลำธารที่ใสสะอาด, ที่ไหนมีทุ่งหญ้าที่ปลอดภัย. ขณะที่เขาเฝ้าดูฝูงแกะ พวกมันก็รู้สึกว่าปลอดภัย.—บทเพลงสรรเสริญ 23.
13 คุณปรารถนาการนำแบบนี้มิใช่หรือ? ผู้เลี้ยงแกะที่ยอดเยี่ยมองค์ยิ่งใหญ่มีประวัติอันหาที่เปรียบมิได้ในการปฏิบัติต่อเหล่าผู้ติดตามพระองค์แบบนั้นทีเดียว. พระองค์ทรงสัญญาจะนำคุณไปสู่ชีวิตที่มีความสุขและน่าพอใจในขณะนี้ และไปสู่อนาคตถาวร! (โยฮัน 10:10, 11; วิวรณ์ 7:16, 17) ฉะนั้น เราต้องรู้ว่า มีอะไรเกี่ยวข้องอยู่ด้วยในการติดตามพระคริสต์.
ความหมายของการเป็นผู้ติดตามพระคริสต์
14, 15. เพื่อจะเป็นผู้ติดตามพระคริสต์ ทำไมการอ้างว่าเป็นคริสเตียนหรือการสร้างความรู้สึกผูกพันกับพระเยซูจึงยังไม่พอ?
14 ผู้คนจำนวนมากมายในทุกวันนี้คงจะรู้สึกว่าพวกเขาได้ยอมรับคำเชิญของพระคริสต์. ที่จริง พวกเขาได้เรียกตัวเองว่าคริสเตียน. บางทีพวกเขาเป็นสมาชิกของคริสตจักรที่บิดามารดาได้ให้เขารับศีลบัพติสมา. หรือพวกเขาอาจอ้างว่ามีความรู้สึกผูกพันกับพระเยซูและยอมรับพระองค์ฐานะเป็นผู้ช่วยให้รอดของตน. แต่นั่นทำให้เขาเป็นสาวกของพระคริสต์ไหม? นั่นเป็นสิ่งที่พระเยซูทรงคิดถึงไหมเมื่อเชิญเราให้ตามพระองค์ไป? การเป็นผู้ติดตามพระคริสต์มิได้มีเพียงแค่นั้น.
15 ขอพิจารณาแวดวงของคริสต์ศาสนจักร ซึ่งก็คือบรรดาประเทศชาติที่พลเมืองส่วนใหญ่อ้างว่าเป็นสาวกของพระคริสต์. คริสต์ศาสนจักรสะท้อนให้เห็นคำสอนของพระเยซูคริสต์ไหม? หรือว่าเรากลับเห็นความเกลียดชัง, การกดขี่, อาชญากรรม, และความอยุติธรรมในดินแดนเหล่านั้นพอ ๆ กับที่พบในตลอดทั่วส่วนอื่น ๆ ของโลก? มหาตมา คานธี ผู้นำที่ชาวฮินดูนับถือได้กล่าวครั้งหนึ่งว่า “ข้าพเจ้ารู้ว่าไม่มีใครเสียสละเพื่อมนุษยชาติมากไปกว่าพระเยซู. ที่จริง ศาสนาคริสเตียนไม่มีอะไรบกพร่องเลย. ปัญหาก็คือ พวกคุณที่เป็นคริสเตียน. คุณไม่ได้เริ่มดำเนินชีวิตตามคำสอนที่คุณมีอยู่.”
16, 17. บ่อยครั้งอะไรขาดไปท่ามกลางผู้ที่อ้างว่าเป็นคริสเตียน และอะไรทำให้สาวกแท้ของพระคริสต์ต่างออกไป?
16 พระเยซูตรัสว่าสาวกแท้ของพระองค์จะเป็นที่รู้จักไม่เพียงแต่โดยคำกล่าวอ้างหรือสมญานามที่ใช้เรียกตัวเองเท่านั้น แต่รู้จักด้วยการกระทำเป็นประการสำคัญ. ตัวอย่างเช่น พระองค์ตรัสว่า “มิใช่ทุกคนที่เรียกเราว่า ‘พระองค์เจ้าข้า, พระองค์เจ้าข้า’ จะได้เข้าในเมืองสวรรค์, แต่ผู้ที่ปฏิบัติตามพระทัยพระบิดาของเราผู้อยู่ในสวรรค์นั้นจึงจะเข้าได้.” (มัดธาย 7:21) เหตุใดหลายคนจริง ๆ ที่อ้างว่าพระเยซูเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าของเขาจึงไม่ได้ทำตามพระทัยประสงค์ ของพระบิดา? ขอนึกถึงขุนนางหนุ่มผู้มั่งมี. บ่อยทีเดียวที่ ‘มีอย่างหนึ่งที่ขาดอยู่’ ในท่ามกลางผู้ที่อ้างว่าเป็นคริสเตียน นั่นคือ ความรักแบบสุดชีวิตต่อพระเยซูและต่อพระองค์ผู้นั้นที่ทรงใช้พระเยซูมา.
17 เป็นเช่นนั้นได้อย่างไร? ผู้คนนับล้านที่เรียกตัวเองเป็นคริสเตียนอ้างว่ารักพระคริสต์ด้วยมิใช่หรือ? ไม่ต้องสงสัย พวกเขาอ้างเช่นนั้น. แต่ความรักต่อพระเยซูและพระยะโฮวาเกี่ยวข้องไม่เพียงแค่คำพูด. พระเยซูตรัสว่า “ถ้าผู้ใดรักเรา, ผู้นั้นจะประพฤติตามคำของเรา.” (โยฮัน 14:23) และอีกครั้งหนึ่ง โดยพูดในฐานะผู้เลี้ยงแกะ พระองค์ตรัสว่า “แกะของเราย่อมฟังเสียงของเรา เรารู้จักแกะนั้น, และแกะนั้นตามเรา.” (โยฮัน 10:27) ใช่แล้ว การพิสูจน์ที่แท้จริงเกี่ยวกับความรักที่เรามีต่อพระคริสต์ไม่ใช่เพียงแค่อาศัยคำพูดหรือความรู้สึก แต่ดูจากการกระทำของเรามากกว่า.
18, 19. (ก) การเรียนรู้เกี่ยวกับพระเยซูควรส่งผลกระทบต่อเราอย่างไร? (ข) จุดประสงค์ของหนังสือเล่มนี้คืออะไร และหนังสือนี้จะเป็นประโยชน์อย่างไรต่อผู้ที่ถือว่าตัวเองเป็นสาวกของพระคริสต์มานานแล้ว?
18 อย่างไรก็ดี ที่แท้แล้ว การกระทำของเราสะท้อนให้เห็นบุคคลที่เราเป็นอยู่ภายใน. ณ จุดนี้เองที่เราต้องลงมือ. พระเยซูตรัสว่า “นี่แหละหมายถึงชีวิตนิรันดร์ คือการที่เขารับเอาความรู้ต่อ ๆ ไปเกี่ยวกับพระองค์ ผู้เป็นพระเจ้าเที่ยงแท้องค์เดียว และเกี่ยวกับผู้ที่พระองค์ทรงใช้มา คือพระเยซูคริสต์.” (โยฮัน 17:3, ล.ม.) หากเรารับเอาความรู้ถ่องแท้เกี่ยวกับพระเยซูต่อ ๆ ไปและคิดรำพึงถึงความรู้นี้ หัวใจของเราจะได้รับผลกระทบ. เราจะรักพระองค์มากยิ่งขึ้น ทำให้เกิดความปรารถนาในตัวเรามากขึ้นเรื่อย ๆ ที่จะติดตามพระองค์วันแล้ววันเล่า.
19 จุดประสงค์ของหนังสือเล่มนี้คือเพื่อจะเสริมสร้างความปรารถนาที่จะติดตามพระเยซู. เป้าหมายของหนังสือนี้ไม่ใช่เพื่อสรุปชีวิตและงานรับใช้ของพระเยซูอย่างครบถ้วน แต่เพื่อช่วยเราเห็นอย่างชัดเจนยิ่งขึ้นถึงวิธีที่จะติดตามพระองค์. * หนังสือนี้ถูกออกแบบเพื่อช่วยเรามองดูในกระจกแห่งพระคัมภีร์แล้วถามตัวเองว่า ‘ฉันกำลังติดตามพระเยซูจริง ๆ ไหม?’ (ยาโกโบ 1:23-25) บาง ทีคุณอาจถือว่าตัวเองเป็นแกะที่ได้รับการนำจากท่านผู้เลี้ยงแกะที่ดีมานานแล้ว. แต่คุณคงจะเห็นด้วยมิใช่หรือว่า เราสามารถพบวิธีต่าง ๆ ที่จะปรับปรุงให้ดีขึ้นได้เสมอ? คัมภีร์ไบเบิลกระตุ้นเราว่า “ท่านทั้งหลายจงพิจารณาดูตัวของท่านเองว่าท่านตั้งอยู่ในความเชื่อหรือไม่ จงชันสูตรดูตัวของท่านเองเถิด.” (2 โกรินโธ 13:5) นับว่าคุ้มค่ากับความพยายามของเราที่จะทำให้แน่ใจว่าเราได้รับการชี้นำจริง ๆ จากพระเยซู ผู้เลี้ยงแกะที่ยอดเยี่ยมองค์เปี่ยมด้วยความรักของเรา ผู้ที่พระยะโฮวาเองได้ทรงแต่งตั้งให้นำเรา.
20. จะมีการพิจารณาเรื่องอะไรในบทถัดไป?
20 ขอให้การศึกษาหนังสือเล่มนี้ช่วยคุณเสริมความรักที่คุณมีต่อพระเยซูและพระยะโฮวาให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น. ขณะที่ความรักดังกล่าวชี้นำคุณในชีวิต คุณจะพบสันติสุขและความอิ่มใจมากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ในโลกเก่านี้ และคุณจะมีชีวิตอยู่เพื่อสรรเสริญพระยะโฮวาตลอดไปที่ทรงประทานผู้เลี้ยงแกะที่ดีให้เรา. แน่นอน การที่เราเรียนรู้เกี่ยวกับพระคริสต์ต้องอาศัยพื้นฐานที่ถูกต้อง. ดังนั้น นับว่าเหมาะสมที่ในบท 2 เราจะพิจารณาบทบาทของพระเยซูในพระประสงค์ของพระยะโฮวา.
^ วรรค 5 พระเยซูมิได้ขอให้ทุกคนที่ติดตามพระองค์ละทิ้งทรัพย์สมบัติทั้งหมด. และถึงแม้พระองค์ทรงอธิบายว่าเป็นเรื่องยากสักเพียงไรที่คนมั่งมีจะเข้าในราชอาณาจักรของพระเจ้า แต่พระองค์ได้ตรัสเสริมว่า “พระเจ้าทรงกระทำให้สำเร็จได้ทุกสิ่ง.” (มาระโก 10:23, 27) ที่จริง คนมั่งมีบางคนได้เข้ามาเป็นผู้ติดตามพระคริสต์. พวกเขาได้รับคำแนะนำที่เฉพาะเจาะจงในประชาคมคริสเตียน แต่พวกเขาไม่ได้ถูกขอให้บริจาคทรัพย์สมบัติทั้งหมดของตนให้แก่คนจน.—1 ติโมเธียว 6:17.
^ วรรค 19 สำหรับการสรุปตามลำดับเวลาอย่างครบถ้วนเกี่ยวกับเหตุการณ์ต่าง ๆ ในชีวิตและงานรับใช้ของพระเยซู โปรดดูหนังสือบุรุษผู้ใหญ่ยิ่งเท่าที่โลกเคยเห็น จัดพิมพ์โดยพยานพระยะโฮวา.