บท 1
“ขอให้ราชอาณาจักรของพระองค์มา”
1, 2. พระยะโฮวาสั่งอัครสาวก 3 คนของพระเยซูให้ทำอะไร และพวกเขาตอบรับอย่างไร?
ถ้าพระยะโฮวาพระเจ้าสั่งให้คุณทำอะไรบางอย่าง คุณจะตอบรับอย่างไร? ไม่ว่าพระองค์จะขอให้คุณทำอะไร คุณก็คงตั้งใจรอฟังและทำตามคำสั่งของพระองค์ใช่ไหม? แน่นอน!
2 ไม่นานหลังจากเทศกาลปัศคาปี ค.ศ. 32 อัครสาวก 3 คนของพระเยซูคือ เปโตร ยาโกโบ และโยฮัน ก็ได้รับคำสั่งจากพระยะโฮวาอย่างนั้น (อ่านมัดธาย 17:1-5) พวกเขาอยู่กับพระเยซูอาจารย์ของเขาบน “ภูเขาสูง” และเห็นนิมิตที่แสดงว่าท่านจะได้เป็นกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ในสวรรค์ในอนาคต นิมิตนั้นเหมือนจริงมากจนเปโตรคิดว่าตัวเองอยู่ในนิมิตด้วย ขณะที่เปโตรกำลังพูดอยู่ก็มีเมฆมาปกคลุมพวกเขา แล้วเปโตรกับเพื่อน ๆ ก็ได้ยินเสียงที่แทบไม่มีใครเคยได้ยิน เสียงนั้นคือเสียงของพระยะโฮวา หลังจากที่ยืนยันว่าพระเยซูเป็นลูกชายของพระองค์ พระยะโฮวาสั่งอัครสาวก 3 คนนั้นว่า “ฟังท่านเถิด” พวกเขาเชื่อฟังคำสั่งของพระเจ้า โดยฟังสิ่งที่พระเยซูสอนและกระตุ้นคนอื่น ๆ ให้ฟังท่านด้วย—กิจ. 3:19-23; 4:18-20
3. ทำไมพระยะโฮวาอยากให้เราฟังลูกพระองค์ และเราต้องเรียนเรื่องอะไร?
3 คำว่า “ฟังท่านเถิด” มีบันทึกไว้ในคัมภีร์ไบเบิลก็เพื่อประโยชน์ของพวกเรา (โรม 15:4) ทำไม? เพราะพระเยซูเป็นโฆษกหรือผู้พูดแทนพระยะโฮวา และคำสอนต่าง ๆ ที่ออกมาจากปากพระเยซูก็เป็นสิ่งที่พระยะโฮวาอยากให้เรารู้ (โย. 1:1, 14) เนื่องจากพระเยซูชอบพูดเรื่องราชอาณาจักรของพระเจ้า ซึ่งก็คือรัฐบาลมาซีฮาในสวรรค์ที่มีพระเยซูคริสต์เป็นกษัตริย์ และมีชน 144,000 คนปกครองร่วมกับท่าน เราจึงต้องเรียนเรื่องสำคัญนี้อย่างละเอียด (วิ. 5:9, 10; 14:1-3; 20:6) แต่ตอนนี้ขอให้เรามาดูก่อนว่า ทำไมพระเยซูพูดถึงราชอาณาจักรของพระเจ้าบ่อยกว่าเรื่องอื่น
“ใจเต็มไปด้วยสิ่งใด . . . ”
4. พระเยซูแสดงให้เห็นอย่างไรว่าเรื่องราชอาณาจักรของพระเจ้าอยู่ในใจท่านเสมอ?
4 เรื่องราชอาณาจักรอยู่ในใจพระเยซูเสมอ เรารู้ได้อย่างไร? เพราะคำพูดบ่งบอกสิ่งที่อยู่ในใจและทำให้รู้ว่าอะไรคือสิ่งสำคัญจริง ๆ สำหรับเรา พระเยซู พูดว่า “ใจเต็มไปด้วยสิ่งใด ปากก็พูดตามนั้น” (มัด. 12:34) ทุกครั้งที่มีโอกาส พระเยซูก็พูดเรื่องราชอาณาจักร ในหนังสือกิตติคุณทั้ง 4 เล่มมีการพูดถึงเรื่องนี้มากกว่า 100 ครั้ง และส่วนใหญ่ก็เป็นคำพูดของพระเยซู ท่านให้เรื่องนี้เป็นหัวข้อหลักในงานประกาศ โดยบอกว่า “เราต้องประกาศข่าวดีเรื่องราชอาณาจักรของพระเจ้าแก่เมืองอื่น ๆ ด้วย เพราะเราถูกส่งมาเพื่อการนี้” (ลูกา 4:43) แม้แต่หลังจากฟื้นขึ้นจากตาย พระเยซูก็ยังพูดเรื่องนี้กับสาวก (กิจ. 1:3) นี่แสดงว่าหัวใจของพระเยซูเต็มไปด้วยเรื่องราชอาณาจักรของพระเจ้า ท่านสนใจเรื่องนี้มาก ท่านจึงพูดถึงอยู่เสมอ
5-7. (ก) เรารู้ได้อย่างไรว่าเรื่องราชอาณาจักรอยู่ในใจพระยะโฮวาเสมอ? ขอให้ยกตัวอย่าง (ข) เราจะแสดงให้เห็นอย่างไรว่าเรื่องราชอาณาจักรก็อยู่ในใจเราด้วย?
5 เรื่องราชอาณาจักรก็อยู่ในใจพระยะโฮวาเสมอ เรารู้ได้อย่างไร? ขอให้จำไว้ว่า พระยะโฮวาส่งลูกคนเดียวของพระองค์มาบนโลก ทุกสิ่งที่ลูกของพระองค์พูดและสอนก็มาจากพระองค์ (โย. 7:16; 12:49, 50) ทุกเรื่องราวที่บันทึกในหนังสือกิตติคุณทั้ง 4 เล่มเกี่ยวกับชีวิตและงานรับใช้ของพระเยซูก็มาจากพระยะโฮวาด้วย เรื่องนี้หมายความว่าอย่างไร?
เราแต่ละคนน่าจะถามตัวเองว่า ‘เรื่องราชอาณาจักรของพระเจ้าอยู่ในใจฉันเสมอไหม?’
6 ลองนึกภาพว่าคุณกำลังจัดอัลบั้มรูปของครอบครัว คุณมีรูปเยอะแยะให้เลือก แต่จะเอารูปทั้งหมดใส่ในอัลบั้มก็ไม่ได้ คุณจะทำอย่างไร? คุณก็คงคัดเฉพาะรูปที่สำคัญใส่ไว้ในอัลบั้ม หนังสือกิตติคุณทั้ง 4 เล่มก็เหมือนกับอัลบั้มรูปที่ทำให้เราเห็นเรื่องราวชีวิตพระเยซูอย่างชัดเจน พระยะโฮวาไม่ได้ดลใจให้ผู้เขียนหนังสือกิตติคุณเขียนทุกอย่างที่พระเยซูพูดและทำตอนที่ท่านอยู่บนโลก (โย. 20:30; 21:25) แต่พระยะโฮวาใช้พระวิญญาณบริสุทธิ์หรือพลังของพระองค์ดลใจพวกเขาให้เขียนเรื่องสำคัญ ๆ ซึ่งช่วยเราให้เข้าใจว่าทำไมพระเยซูต้องมาทำงานรับใช้บนโลก และช่วยให้รู้ว่าอะไรสำคัญที่สุดสำหรับพระยะโฮวา (2 ติโม. 3:16, 17; 2 เป. 1:21) เนื่องจากหนังสือกิตติคุณเต็มไปด้วยคำสอนของพระเยซูเรื่องราชอาณาจักร เราจึงพูดได้ว่าเรื่องนี้อยู่ในใจพระยะโฮวาเสมอ ลองคิดดูสิ พระยะโฮวาอยากให้เรารู้ทุกเรื่องเกี่ยวกับการปกครองของพระองค์!
7 เราแต่ละคนน่าจะถามตัวเองว่า ‘เรื่องราชอาณาจักรของพระเจ้าอยู่ในใจฉันเสมอไหม?’ ถ้าใช่ เราก็คงอยากฟังสิ่งที่พระเยซูพูดและสอนเรื่องนี้ เช่น ราชอาณาจักรสำคัญอย่างไร ราชอาณาจักรนี้จะมาเมื่อไร และโดยวิธีใด
“ขอให้ราชอาณาจักรของพระองค์มา”—โดยวิธีใด?
8. ตามคำอธิษฐานของพระเยซู ราชอาณาจักรจะทำสิ่งสำคัญอะไร?
8 ขอให้ดูคำอธิษฐานแบบอย่างของพระเยซู ท่านใช้คำง่าย ๆ แต่มีความหมายเพื่อสรุปความสำคัญของราชอาณาจักร และสิ่งที่ราชอาณาจักรจะต้องทำให้สำเร็จ ในคำอธิษฐานแบบอย่างมีคำขอ 7 ข้อ ซึ่ง 3 ข้อแรกพูดถึงสิ่งที่พระยะโฮวาตั้งใจจะทำ คือ ทำให้ชื่อของพระองค์เป็นที่นับถืออันบริสุทธิ์ ให้ ราชอาณาจักรของพระองค์มาปกครอง และทำให้ทุกสิ่งบนโลกเป็นไปตามที่พระองค์ต้องการเหมือนกับในสวรรค์ (อ่านมัดธาย 6:9, 10) คำขอทั้ง 3 ข้อนี้เกี่ยวข้องกันอย่างมาก เพราะรัฐบาลมาซีฮาคือเครื่องมือที่พระยะโฮวาจะใช้เพื่อทำให้ชื่อของพระองค์เป็นที่นับถืออันบริสุทธิ์ และทำให้ทุกสิ่งบนโลกเป็นไปตามที่พระองค์ต้องการ
9, 10. (ก) ราชอาณาจักรของพระเจ้าจะมาโดยวิธีใด? (ข) คุณอยากเห็นคำสัญญาข้อไหนในคัมภีร์ไบเบิลเกิดขึ้นจริง?
9 ราชอาณาจักรของพระเจ้าจะมาโดยวิธีใด? เมื่อเราอธิษฐานว่า “ขอให้ราชอาณาจักรของพระองค์มา” เรากำลังขอให้รัฐบาลนี้มาจัดการขั้นเด็ดขาด พอถึงตอนนั้น รัฐบาลของพระเจ้าจะมาทำลายระบบปัจจุบันที่ชั่วช้ารวมทั้งรัฐบาลทั้งหมดของมนุษย์ และทำให้โลกนี้เป็นโลกใหม่ที่ชอบธรรม (ดานิ. 2:44; 2 เป. 3:13) หลังจากนั้น รัฐบาลของพระเจ้าจะทำให้แผ่นดินโลกกลายเป็นอุทยาน (ลูกา 23:43) คนที่อยู่ในความทรงจำของพระเจ้าจะถูกปลุกให้ฟื้นขึ้นจากตายและกลับมาอยู่ร่วมกับคนที่เขารักอีกครั้ง (โย. 5:28, 29) มนุษย์ที่เชื่อฟังจะเป็นคนสมบูรณ์และมีชีวิตตลอดไป (วิ. 21:3-5) ในที่สุด ทุกสิ่งบนโลกจะเป็นไปตามที่พระยะโฮวาตั้งใจไว้เหมือนกับในสวรรค์! คุณอยากเห็นคำสัญญาต่าง ๆ ในคัมภีร์ไบเบิลเกิดขึ้นจริงไหม? ขอให้จำไว้ว่า ทุกครั้งที่คุณอธิษฐานขอให้ราชอาณาจักรของพระเจ้ามา คุณก็กำลังขอให้คำสัญญาที่ยอดเยี่ยมเหล่านั้นเกิดขึ้นจริง
10 เห็นได้ชัดว่าราชอาณาจักรของพระเจ้ายังไม่ “มา” ตามที่พระเยซูสอนให้อธิษฐาน รัฐบาลของมนุษย์ยังปกครองอยู่และยังไม่มีโลกใหม่ที่ชอบธรรม แต่ข่าวดีก็คือ ราชอาณาจักรนี้ก่อตั้งแล้ว เราจะเรียนเรื่องนี้มากขึ้นในบทต่อไป ตอนนี้ให้เรามาสังเกตคำพูดของพระเยซูเพื่อจะรู้ว่าราชอาณาจักรนี้ก่อตั้งเมื่อไร และจะมาเมื่อไร
ราชอาณาจักรของพระเจ้าก่อตั้งเมื่อไร?
11. พระเยซูบอกอย่างไรเกี่ยวกับการก่อตั้งราชอาณาจักรของพระเจ้า?
11 พระเยซูบอกว่าจะไม่มีการก่อตั้งราชอาณาจักรในศตวรรษแรก ทั้ง ๆ ที่สาวกบางคนคิดแบบนั้น (กิจ. 1:6) ขอให้ดูตัวอย่างเปรียบเทียบ 2 เรื่องที่ต่างกัน ซึ่งพระเยซูเล่าในช่วงเวลาที่ห่างกันไม่ถึง 2 ปี
12. จากตัวอย่างเปรียบเทียบเรื่องข้าวสาลีและวัชพืช เรารู้ได้อย่างไรว่าราชอาณาจักรไม่ได้ก่อตั้งในศตวรรษแรก?
12 ตัวอย่างเปรียบเทียบเรื่องข้าวสาลีและวัชพืช (อ่านมัดธาย 13:24-30) ประมาณช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิปี 31 พระเยซูเล่าตัวอย่างเปรียบเทียบเรื่องนี้และอธิบายความหมายให้สาวกฟัง (มัด. 13:36-43) ใจความสำคัญและความหมายของเรื่องนี้ คือ หลังจากอัครสาวกตายหมดแล้ว ซาตานพญามารจะหว่านวัชพืช (คริสเตียนปลอม) ปนกับข้าวสาลี (“เหล่าบุตรแห่งราชอาณาจักร” หรือคริสเตียนผู้ถูกเจิม) ทั้งข้าวสาลีและวัชพืชจะถูกปล่อยให้เติบโตไปด้วยกันจนถึงฤดูเกี่ยว ซึ่งก็คือ “ช่วงสุดท้ายของยุค” พอฤดูเกี่ยวเริ่มต้นก็จะมี การถอนวัชพืชและการรวบรวมข้าวสาลี ดังนั้น ตัวอย่างเปรียบเทียบนี้แสดงว่าจะไม่มีการก่อตั้งราชอาณาจักรในศตวรรษแรก แต่ต้องรอให้ข้าวสาลีและวัชพืชโตเต็มที่จนกว่าจะถึงฤดูเกี่ยว ซึ่งเริ่มขึ้นในปี 1914
13. พระเยซูใช้ตัวอย่างอะไรที่ช่วยให้เราเข้าใจว่า ท่านไม่ได้เป็นกษัตริย์มาซีฮาทันทีที่กลับไปสวรรค์?
13 ตัวอย่างเปรียบเทียบเรื่องเงินมินา (อ่านลูกา 19:11-13) พระเยซูเล่าเรื่องนี้ในปี 33 ตอนที่เดินทางไปกรุงเยรูซาเลมครั้งสุดท้าย ผู้ฟังบางคนคิดว่าพระเยซูจะตั้งราชอาณาจักรขึ้นทันทีที่ไปถึงกรุงเยรูซาเลม เพื่อปรับความคิดของพวกเขาและแสดงให้เห็นว่าการก่อตั้งราชอาณาจักรยังอยู่อีกไกล พระเยซูจึงเปรียบตัวท่านเองเป็น “เจ้าองค์หนึ่ง” ที่ต้องเดินทาง “ไปแดนไกลเพื่อรับอำนาจเป็นกษัตริย์” a แดนไกลนี้หมายถึงสวรรค์ ซึ่งท่านจะไปรับอำนาจจากพ่อ แต่พระเยซูรู้ว่าจะไม่ได้เป็นกษัตริย์มาซีฮาทันทีที่กลับไปสวรรค์ ท่านต้องนั่งด้านขวาของพระเจ้าและรอจนถึงเวลากำหนด และการรอคอยนั้นก็ยาวนานเกือบ 2,000 ปี—เพลง. 110:1, 2; มัด. 22:43, 44; ฮีบรู 10:12, 13
ราชอาณาจักรของพระเจ้าจะมาเมื่อไร?
14. (ก) พระเยซูตอบคำถามของอัครสาวก 4 คนอย่างไร? (ข) เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตามคำพยากรณ์ของพระเยซูบอกอะไรเราเกี่ยวกับสมัยที่ท่านกลับมาและราชอาณาจักร?
14 ไม่กี่วันก่อนที่พระเยซูจะถูกประหาร อัครสาวก 4 คนถามท่านว่า “อะไรจะเป็นสัญญาณบอกว่าพระองค์ประทับอยู่ และบอกว่าเป็นช่วงสุดท้ายของยุค?” (มัด. 24:3; มโก. 13:4) พระเยซูตอบพวกเขาด้วยคำพยากรณ์ตามที่บันทึกในมัดธายบท 24 และ 25 โดยให้รายละเอียดเกี่ยวกับเหตุการณ์หลาย อย่างที่จะเกิดขึ้นบนโลกซึ่งเป็นสัญญาณของการ “ประทับ” หรือสมัยที่ท่านกลับมา ช่วงเวลานี้เริ่มต้น เมื่อราชอาณาจักรก่อตั้ง และจะสิ้นสุด ลงเมื่อราชอาณาจักรมา ปกครองโลก เรามีหลักฐานมากมายที่พิสูจน์ว่าคำพยากรณ์ของพระเยซูเกิดขึ้นจริงตั้งแต่ปี 1914 b นั่นเป็นตอนเริ่มต้นของสมัยที่พระคริสต์กลับมาและเป็นปีที่ราชอาณาจักรของพระเจ้าก่อตั้งขึ้น
15, 16. เมื่อพูดถึง “คนในยุคนี้” พระเยซูหมายถึงใคร?
15 แต่ในที่สุดราชอาณาจักรของพระเจ้าจะมาเมื่อไร? พระเยซูไม่ได้บอกวันเวลาที่แน่นอน (มัด. 24:36) แต่ท่านพูดอะไรบางอย่างซึ่งทำให้เรามั่นใจว่าเวลานั้นใกล้มากแล้วจริง ๆ พระเยซูระบุว่าราชอาณาจักรจะมาหลังจาก “คนในยุคนี้” ได้เห็นเหตุการณ์ต่าง ๆ เกิดขึ้นจริงตามคำพยากรณ์ (อ่านมัดธาย 24:32-34) คำว่า “คนในยุคนี้” หมายถึงใคร? ให้เรามาพิจารณาคำพูดของพระเยซูอย่างละเอียด
16 “คนในยุคนี้” พระเยซูหมายถึงคนที่ไม่มีความเชื่อไหม? ไม่ใช่ พระเยซูตอบคำถามของใคร? พระเยซูพูดเรื่องนี้กับอัครสาวกไม่กี่คนที่มาถามท่าน ‘เป็นส่วนตัว’ ซึ่งอีกไม่นานพวกเขาก็จะได้รับการเจิมด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ (มัด. 24:3) ขอให้ดูท้องเรื่องด้วย ก่อนจะพูดถึง “คนในยุคนี้” พระเยซูพูดว่า “จงดูต้นมะเดื่อเป็นตัวอย่าง เมื่อกิ่งอ่อนของมันผลิใบ เจ้าทั้งหลายก็รู้ว่าใกล้จะถึงฤดูร้อนแล้ว ทำนองเดียวกัน เมื่อเจ้าทั้งหลายเห็นสิ่งทั้งปวงนี้ จงรู้ว่าบุตรมนุษย์มาใกล้แล้ว ท่านอยู่ที่ประตู” เมื่อสาวกที่ถูกเจิมเห็นเหตุการณ์ที่พระเยซูบอกล่วงหน้า พวกเขาจะเข้าใจความหมายของเหตุการณ์เหล่านั้น และรู้ว่านั่นคือเวลาที่ท่าน “มาใกล้แล้ว อยู่ที่ประตู” แต่คนที่ไม่มีความเชื่อจะไม่เข้าใจเรื่องนี้ ดังนั้น เมื่อพูดถึง “คนในยุคนี้” พระเยซูกำลังหมายถึงสาวกที่ถูกเจิม ของท่าน
17. คำว่า “คนในยุค” และ “สิ่งทั้งปวงนี้” หมายถึงอะไร?
17 “จะไม่ล่วงลับไปจนกว่าสิ่งทั้งปวงนี้จะเกิดขึ้น” คำพูดนี้จะเป็นจริงอย่างไร? ก่อนจะได้คำตอบ เราต้องรู้ความหมายของ 2 สิ่ง คือ คำว่า “คนในยุค” และ “สิ่งทั้งปวงนี้” คำว่า “คนในยุค” มักจะใช้เพื่อหมายถึงผู้คนที่มีอายุต่างกันซึ่งมีช่วงชีวิตคาบเกี่ยวกันอยู่ช่วงหนึ่ง ชั่วอายุหนึ่งไม่ได้เป็นช่วงเวลาที่ยาวนานจนเกินไปและมีจุดสิ้นสุด (วินิจ. 2:10) คำว่า “สิ่งทั้งปวงนี้” หมายถึงเหตุการณ์ที่เริ่มขึ้นตั้งแต่ปี 1914 จนถึง “ความทุกข์ลำบากใหญ่” ซึ่งพระเยซูได้บอกไว้ล่วงหน้าว่าจะเกิดขึ้นในสมัยที่ท่านกลับมา—มัด. 24:21
18, 19. เราเข้าใจคำว่า “คนในยุคนี้” ที่พระเยซูพูดถึงอย่างไร? และเราได้ข้อสรุปอะไร?
18 ถ้าอย่างนั้น เราจะเข้าใจคำว่า “คนในยุคนี้” ที่พระเยซูพูดถึงอย่างไร? คนในยุคนี้หมายถึงผู้ถูกเจิม 2 กลุ่มที่มีช่วงอายุคาบเกี่ยวกัน กลุ่มแรกคือผู้ถูกเจิมที่ได้เห็นการเริ่มต้นของสัญญาณต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นจริงในปี 1914 และกลุ่มที่สองคือผู้ถูกเจิมที่มีชีวิตช่วงหนึ่งคาบเกี่ยวกับคนกลุ่มแรก อย่างน้อยผู้ถูกเจิมบางคนในกลุ่มที่ 2 นี้จะยังมีชีวิตอยู่และได้เห็นตอนเริ่มต้นของความทุกข์ ลำบากใหญ่ที่กำลังจะมาถึง ดังนั้น ทั้ง 2 กลุ่มนี้เป็นคนยุคเดียวกันเพราะพวกเขาเป็นผู้ถูกเจิมที่มีชีวิตช่วงหนึ่งคาบเกี่ยวกัน c
19 เราได้ข้อสรุปอะไร? เราเห็นว่ามีเหตุการณ์หลายอย่างที่เกิดขึ้นทั่วโลก ซึ่งเป็นสัญญาณชัดเจนว่านี่เป็นสมัยที่พระเยซูกลับมาเพื่อเป็นกษัตริย์ในสวรรค์ เรายังรู้ด้วยว่าผู้ถูกเจิมที่เป็น “คนในยุคนี้” ก็แก่ชรามากแล้ว แต่พวกเขาบางคนจะยังไม่ตายไปจนกว่าจะได้เห็นความทุกข์ลำบากใหญ่เริ่มขึ้น ดังนั้น เราได้ข้อสรุปว่าราชอาณาจักรของพระเจ้าจะมาและปกครองทั่วโลกในไม่ช้า! น่าตื่นเต้นจริง ๆ ที่เราจะได้เห็นคำอธิษฐานที่พระเยซูสอนว่า “ขอให้ราชอาณาจักรของพระองค์มา” เกิดขึ้นจริง!
20. หัวข้อสำคัญของหนังสือนี้คืออะไร และเราจะพิจารณาอะไรในบทถัดไป?
20 ขอเราอย่าลืมคำพูดที่พระยะโฮวาพูดจากสวรรค์เกี่ยวกับลูกชายของพระองค์ที่บอกว่า “ฟังท่านเถิด” พวกเราที่เป็นคริสเตียนแท้ต้องตั้งใจฟังคำสั่งของพระเจ้า เราสนใจจริง ๆ ในทุกเรื่องที่พระเยซูพูดและสอนเกี่ยวกับราชอาณาจักรของพระเจ้า หัวข้อสำคัญของหนังสือนี้ที่เราจะได้เรียนด้วยกันคือ สิ่งที่ราชอาณาจักรนี้ได้ทำให้สำเร็จไปแล้วและสิ่งที่จะทำในอนาคต ในบทถัดไป เราจะพิจารณาเหตุการณ์ที่น่าตื่นเต้นตอนที่ราชอาณาจักรของพระเจ้าก่อตั้งในสวรรค์
a ตัวอย่างเปรียบเทียบของพระเยซูอาจทำให้ผู้ฟังนึกถึงอาร์คีลาอุส ลูกชายของกษัตริย์เฮโรดผู้ยิ่งใหญ่ ก่อนเฮโรดจะตาย เขาแต่งตั้งอาร์คีลาอุสให้เป็นผู้ปกครองในแคว้นยูเดียและอาณาเขตอื่น ๆ แต่ก่อนอาร์คีลาอุสจะเริ่มปกครอง เขาต้องเดินทางไกลไปกรุงโรมเพื่อรับการอนุมัติจากซีซาร์เอากุสตุส
b สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติม โปรดดูบท 9 ของหนังสือคัมภีร์ไบเบิลสอนอะไรจริงๆ?