บท 10
กษัตริย์ถลุงประชาชนให้นมัสการพระเจ้าอย่างถูกต้อง
1-3. พระเยซูทำอย่างไรเมื่อเห็นสิ่งที่ทำให้วิหารเสื่อมเสีย?
พระเยซูนับถือและให้เกียรติวิหารในกรุงเยรูซาเลมอย่างสูง เพราะท่านรู้ว่าสถานที่นี้เป็นศูนย์กลางของการนมัสการแท้บนแผ่นดินโลกมานานแล้ว แต่การนมัสการพระยะโฮวาพระเจ้าองค์บริสุทธิ์ต้องเป็นการนมัสการที่บริสุทธิ์สะอาดเท่านั้น ตอนนี้ ลองนึกภาพเหตุการณ์ในวันที่ 10 ไนซานปี ค.ศ. 33 พระเยซูจะรู้สึกอย่างไรเมื่อเข้าไปในวิหารแล้วเห็นสิ่งที่ทำให้วิหารเสื่อมเสีย ให้เรามาดูกันว่ามีอะไรเกิดขึ้นที่นั่น—อ่านมัดธาย 21:12, 13
2 มีพวกพ่อค้าหน้าเลือดและพวกรับแลกเงินอยู่ตรงลานสำหรับคนต่างชาติในวิหาร พวกเขาขูดรีดและเอาเปรียบคนที่นำของมาถวายพระยะโฮวา a พระเยซูเข้าไป ‘ขับไล่คนที่กำลังซื้อขายอยู่ในวิหารและคว่ำโต๊ะคนรับแลกเงิน’ (เทียบกับนะเฮมยา 13:7-9) พระเยซูประณามคนเห็นแก่ตัวเหล่านั้นที่ทำให้วิหารของพ่อท่านกลายเป็น “ถ้ำโจร” พระเยซูแสดงให้เห็นว่าท่านนับถือและให้เกียรติวิหารซึ่งพระเจ้าได้จัดเตรียมไว้เพื่อการนมัสการ การนมัสการพระเจ้าต้องสะอาดหมดจดเสมอ!
3 เกือบสองพันปีต่อมา หลังจากที่พระเยซูได้รับการแต่งตั้งเป็นกษัตริย์มาซีฮา ท่านได้ชำระวิหารอีกครั้งหนึ่ง การชำระนี้เกี่ยวข้องกับเราทุกคนในเวลานี้ที่ต้องการนมัสการพระยะโฮวาแบบที่พระองค์ยอมรับ แล้ววิหารที่พระเยซูชำระให้สะอาดในครั้งนี้คืออะไรล่ะ?
ชำระ “ลูกชายทั้งหลายของพวกเลวี” ให้สะอาด
4, 5. (ก) ตั้งแต่ปี 1914 ถึงต้นปี 1919 พระยะโฮวาถลุงและชำระสาวกผู้ถูกเจิมของพระเยซูอย่างไร? (ข) การถลุงและการชำระประชาชนของพระเจ้าเสร็จตั้งแต่ตอนนั้นไหม? ขอให้อธิบาย
4 ตามที่เราได้อ่านในบท 2 หลังจากที่พระเยซูขึ้นเป็นกษัตริย์ในปี 1914 ท่านก็มาพร้อมกับพ่อของท่านเพื่อตรวจดูวิหารที่มีเกียรติกว่า วิหารของชาวยิว ซึ่งก็คือการจัดเตรียมทุกอย่างของพระยะโฮวาบนแผ่นดินโลกเพื่อการนมัสการอันบริสุทธิ์ b แล้วกษัตริย์เยซูก็พบว่าคริสเตียนผู้ถูกเจิมหรือ “ลูกชายทั้งหลายของพวกเลวี” ยังไม่สะอาดพอ ต้องถลุงและชำระพวกเขาให้สะอาดขึ้น (มลคี. 3:1-3) ตั้งแต่ปี 1914 ถึงต้นปี 1919 พระยะโฮวาได้ถลุงประชาชนของพระองค์โดยยอมให้พวกเขาเผชิญกับความยากลำบากและการทดสอบสารพัด รูปแบบ น่าดีใจที่ผู้ถูกเจิมเหล่านั้นผ่านการทดสอบที่ร้อนแรงมาได้ พวกเขาก็สะอาดขึ้นและพร้อมที่จะสนับสนุนกษัตริย์มาซีฮาอย่างเต็มที่!
5 การถลุงและการชำระประชาชนของพระเจ้าเสร็จสิ้นตั้งแต่ตอนนั้นไหม? ไม่! พระยะโฮวาได้ให้กษัตริย์มาซีฮาคอยช่วยเหลือผู้ติดตามท่านให้เป็นคนสะอาดมาตลอดสมัยสุดท้าย เพื่อพวกเขาจะนมัสการพระเจ้าได้อย่างถูกต้องเสมอ ใน 2 บทถัดไป เราจะเห็นวิธีที่พระเจ้าถลุงพวกเขาด้านศีลธรรมและด้านองค์การ แต่ในบทนี้เราจะดูวิธีที่กษัตริย์เยซูถลุง ประชาชนด้านการนมัสการ ทั้งในวิธีที่มองเห็นและมองไม่เห็น การพิจารณาเรื่องนี้จะทำให้เรามีความเชื่อเข้มแข็งขึ้น
รักษาตัวให้สะอาดหมดจด
6. (ก) พระยะโฮวาสั่งเชลยชาวยิวให้ทำอะไร? (ข) คำสั่งนี้ช่วยให้เราได้ข้อสรุปอะไร?
6 ความสะอาดด้านการนมัสการพระเจ้าหมายถึงอะไร? เพื่อตอบคำถามนี้ ให้เรามาตรวจดูข้อความที่เปาโลอ้างถึงตอนที่พระยะโฮวาพูดกับเชลยชาวยิวที่กำลังจะออกจากกรุงบาบิโลนปี 537 ก่อน ค.ศ. (อ่าน 2 โครินท์ 6:17) เชลยเหล่านั้นกำลังจะกลับไปที่กรุงเยรูซาเลมบ้านเกิดของพวกเขาเพื่อบูรณะวิหารและฟื้นฟูการนมัสการแท้ (เอษรา 1:2-4) พระยะโฮวาอยากให้พวกเขาทิ้งสิ่งที่เกี่ยวข้องกับศาสนาของบาบิโลนทั้งหมด ลองสังเกตคำสั่งต่าง ๆ ที่ว่า “จงแยกออกมาจากพวกเขา” “อยู่ต่างหาก” และ “เลิกแตะต้องสิ่งที่ไม่สะอาด” การนมัสการที่บริสุทธิ์ของพระยะโฮวาต้องไม่แปดเปื้อนด้วยศาสนาเท็จ ดังนั้น เราอาจได้ข้อสรุปอะไร? ความสะอาดด้านการนมัสการพระเจ้าเกี่ยวข้องกับการปกป้องไม่ให้คำสอนและพิธีกรรมต่าง ๆ ของศาสนาเท็จเข้ามาเจือปนกับหลักคำสอนของพระเจ้า
7. พระเยซูใช้ใครเป็นช่องทางเพื่อช่วยผู้ติดตามท่านให้เป็นคนสะอาดด้านการนมัสการ?
7 ไม่นานหลังจากขึ้นเป็นกษัตริย์ พระเยซูเตรียมช่องทางหนึ่งที่เห็นได้อย่างชัดเจนเพื่อช่วยผู้ติดตามท่านให้เป็นคนสะอาดด้านการนมัสการ ช่องทางนั้นก็คือทาสสัตย์ซื่อและสุขุมที่พระคริสต์ได้แต่งตั้งในปี 1919 (มัด. 24:45) พอถึงปีนั้น นักศึกษาคัมภีร์ไบเบิลได้ชำระตัวเองให้สะอาดในระดับหนึ่งแล้ว โดยปฏิเสธคำสอนหลายอย่างของศาสนาเท็จ แต่ก็ไม่หมดเท่านั้น พวกเขายังมีบางอย่างที่ต้องชำระอีก พระคริสต์ได้ใช้ทาสสัตย์ซื่อของท่านเพื่อช่วยผู้ติดตามคนอื่น ๆ ให้เข้าใจอย่างชัดเจนว่า พวกเขาต้องเลิกเกี่ยวข้องกับพิธีและเทศกาลต่าง ๆ ทางศาสนา (สุภา. 4:18) ให้เรามาดูบางตัวอย่างด้วยกัน
คริสเตียนควรฉลองคริสต์มาสไหม?
8. ข้อเท็จจริงอะไรที่นักศึกษาคัมภีร์ไบเบิลรู้มานานแล้วเกี่ยวกับวันคริสต์มาส แต่มีอะไรที่เขายังไม่เข้าใจชัดเจน?
8 นักศึกษาคัมภีร์ไบเบิลรู้มานานแล้วว่าคริสต์มาสมีต้นตอมาจากลัทธินอกรีต พวกเขารู้ว่าพระเยซูไม่ได้เกิดวันที่ 25 ธันวาคม หอสังเกตการณ์ ธันวาคม 1881 บอกว่า “หลายล้านคนที่เคยเป็นพวกนอกรีตได้เข้ามาในคริสตจักร แต่ส่วนใหญ่ก็เปลี่ยน เป็นคริสเตียนแต่ในนาม จากนักบวชนอกรีตเปลี่ยนเป็นนักบวชคริสเตียน จากวันหยุดของพวกนอกรีตเป็นวันหยุดที่เรียกตามชื่อใหม่ ๆ แบบคริสเตียน และตัวอย่างหนึ่งก็คือ วันคริสต์มาส” หอสังเกตการณ์ ปี 1883 ในหัวเรื่อง “พระเยซูเกิดเมื่อไร?” ให้เหตุผลว่าพระเยซูเกิดในช่วงต้นเดือนตุลาคม c แต่ตอนนั้นนักศึกษาคัมภีร์ไบเบิลยังไม่เข้าใจชัดเจนว่าต้องเลิกฉลองคริสต์มาส แม้แต่สมาชิกครอบครัวเบเธลที่บรุกลินก็ฉลองด้วย แต่หลังจากปี 1926 ก็เริ่มมีการเปลี่ยนแปลง เพราะอะไร?
9. ในที่สุดนักศึกษาคัมภีร์ไบเบิลก็เข้าใจอะไรเกี่ยวกับคริสต์มาส?
9 หลังจากตรวจสอบเรื่องนั้นอย่างละเอียด นักศึกษาคัมภีร์ไบเบิลก็เข้าใจว่าต้นตอและพิธีต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับคริสต์มาส ที่จริงแล้วเป็นการลบหลู่พระเจ้า วารสารเดอะ โกลเดน เอจ 14 ธันวาคม 1927 หัวเรื่อง “ต้นกำเนิดคริสต์มาส” บอกว่า คริสต์มาสเป็นเทศกาลของพวกนอกรีตที่เน้นแต่เรื่องความสนุกสนานบันเทิง และเกี่ยวข้องกับการไหว้รูปเคารพ บทความนั้นบอกว่าพระคริสต์ไม่ได้สั่งให้ฉลอง และสรุปด้วยการพูดตรง ๆ ว่า “เนื่องจากการฉลองคริสต์มาสเป็นสิ่งที่โลก มนุษย์ผิดบาป และซาตานส่งเสริม . . . สำหรับคนที่อุทิศชีวิตเพื่อรับใช้พระยะโฮวา เหตุผลแค่นี้ก็มากพอแล้วที่จะทำให้เลิกฉลองคริสต์มาส” ไม่แปลกเลยที่สมาชิกครอบครัวเบเธลไม่ได้ฉลองคริสต์มาสในเดือนธันวาคมปีนั้น และเลิกเด็ดขาดตั้งแต่นั้นมา!
10. (ก) ในเดือนธันวาคม 1928 มีการให้ข้อมูลอะไรเพื่อเปิดโปงต้นตอของคริสต์มาส? (ดูกรอบ “ ต้นกำเนิดของคริสต์มาส”) (ข) มีการเตือนประชาชนของพระเจ้าเกี่ยวกับวันหยุดและการฉลองอื่น ๆ ที่ควรหลีกเลี่ยงอย่างไร? (ดูกรอบ “ เทศกาลอื่น ๆ ที่ควรหลีกเลี่ยง”)
10 ในปีต่อมา นักศึกษาคัมภีร์ไบเบิลได้รับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับวันคริสต์มาส พี่น้องริชาร์ด เอช. บาร์เบอร์ ซึ่งเป็นสมาชิกคนหนึ่งในสำนักงานใหญ่ บรรยายทางสถานีวิทยุในวันที่ 12 ธันวาคม 1928 เพื่อเปิดโปงต้นตอที่น่ารังเกียจของเทศกาลนี้ เมื่อประชาชนของพระเจ้าได้รับคำแนะนำที่ชัดเจนจากสำนักงานใหญ่ พวกเขาตอบรับอย่างไร? เมื่อพี่น้องชาลส์ แบรนด์ไลน์ นึกถึงตอนที่เขากับครอบครัวเลิกฉลองคริสต์มาส เขาพูดว่า “เราเสียดายไหมที่ไม่ได้ฉลองเทศกาลของพวกนอกรีตอีก? ไม่เลย! . . . มันก็เหมือนโยนเสื้อผ้าสกปรก ๆ ทิ้งนั่นแหละ” พี่น้องเฮนรี่ เอ. แคนท์เวล ซึ่งตอนหลังได้ทำหน้าที่ผู้ดูแลเดินทางก็พูดคล้าย ๆ กันว่า “เราดีใจที่สามารถเลิกทำอะไรบางอย่างเพื่อพิสูจน์ว่าเรารักพระยะโฮวา” สาวกที่ซื่อสัตย์ของพระคริสต์เต็มใจเปลี่ยนแปลงสิ่งต่าง ๆ ที่จำเป็น และไม่ฉลองเทศกาลที่มีต้นตอจากการนมัสการเท็จ d—โย. 15:19; 17:14
11. เราจะแสดงให้เห็นได้อย่างไรว่าเราสนับสนุนกษัตริย์มาซีฮา?
11 นักศึกษาคัมภีร์ไบเบิลเหล่านั้นวางแบบอย่างที่ดีเยี่ยมให้เราจริง ๆ! เมื่อคิดถึงตัวอย่างของพวกเขา เราก็น่าจะถามตัวเอง ‘ฉันรู้สึกอย่างไรกับคำแนะนำที่มาจากทาสสัตย์ซื่อ?’ ‘ฉันยินดียอมรับและทำตามคำแนะนำที่ได้เรียนรู้ไหม?’ การเชื่อฟังด้วยความเต็มใจแสดงว่าเราสนับสนุนกษัตริย์มาซีฮา ซึ่งกำลังใช้ทาสสัตย์ซื่อให้แจกจ่ายความรู้ของพระเจ้าแบบที่เหมาะกับเวลาจริง ๆ—กิจ. 16:4, 5
คริสเตียนควรใช้ไม้กางเขนไหม?
12. ตลอดหลายสิบปี นักศึกษาคัมภีร์ไบเบิลเคยคิดอย่างไรเรื่องไม้กางเขน?
12 เป็นเวลาหลายสิบปีที่นักศึกษาคัมภีร์ไบเบิลเคยคิดว่า ไม้กางเขนเป็นสัญลักษณ์ที่เหมาะกับศาสนาคริสเตียน แต่พวกเขาไม่ได้คิดที่จะนมัสการ ไม้กางเขนเลย เพราะเข้าใจดีอยู่แล้วว่าการนมัสการรูปเคารพเป็นเรื่องที่ผิด (1 โค. 10:14; 1 โย. 5:21) ตั้งแต่ปี 1883 หอสังเกตการณ์ ได้พูดอย่างตรงไปตรงมาว่า “รูปเคารพทั้งหมดเป็นสิ่งที่พระเจ้ารังเกียจ” ตอนแรกนักศึกษาคัมภีร์ไบเบิลเห็นว่าไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไรถ้าจะใช้ไม้กางเขนเป็นแค่สัญลักษณ์ ตัวอย่างเช่น พวกเขาติดเข็มกลัดรูปไม้กางเขนกับมงกุฎไว้บนปกเสื้อด้วยความภาคภูมิใจ พวกเขามองว่าตราสัญลักษณ์นี้เป็นเครื่องหมายว่าเขาจะได้รับมงกุฎแห่งชีวิตถ้าเขาซื่อสัตย์ต่อพระเจ้าตราบจนวันตาย และตั้งแต่ปี 1891 ก็เริ่มใช้ตราสัญลักษณ์นี้บนปกหอสังเกตการณ์
13. ผู้ติดตามพระคริสต์มีความเข้าใจมากขึ้นเกี่ยวกับการใช้ไม้กางเขนอย่างไร? (ดูกรอบ “ ความเข้าใจที่ชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ เกี่ยวกับไม้กางเขน”)
13 นักศึกษาคัมภีร์ไบเบิลรู้สึกภาคภูมิใจที่ได้ใช้ตราสัญลักษณ์นี้ แต่พอถึงปลายทศวรรษ 1920 ผู้ติดตามพระคริสต์ก็เริ่มเข้าใจมากขึ้นเรื่อย ๆ เกี่ยวกับต้นตอของไม้กางเขน เมื่อพูดถึงการประชุมใหญ่ในปี 1928 ที่เมืองดีทรอยต์ รัฐมิชิแกน สหรัฐอเมริกา พี่น้องแกรนต์ ซูตเตอร์ ซึ่งต่อมาได้เป็นคณะกรรมการปกครองเล่าว่า “การประชุมครั้งนั้นแสดงให้เห็นว่าตราสัญลักษณ์รูปไม้กางเขนกับมงกุฎนอกจากจะไม่จำเป็นต้องใช้แล้ว ยังผิดด้วย” ตลอดช่วงสองสามปีหลังจากนั้นก็มีความเข้าใจชัดเจนว่าไม่ควรใช้ไม้กางเขนในการนมัสการพระเจ้าอย่างเด็ดขาด
14. เมื่อได้รับความเข้าใจมากขึ้นเป็นขั้น ๆ เกี่ยวกับไม้กางเขน ประชาชนของพระเจ้าตอบรับอย่างไร?
14 เมื่อได้รับความเข้าใจมากขึ้นเป็นขั้น ๆ เกี่ยวกับไม้กางเขน ประชาชนของพระเจ้าตอบรับอย่างไร? พวกเขายังใช้ตราสัญลักษณ์นั้นด้วยความภาคภูมิใจต่อไปไหม? พี่น้องลิลา โรเบิตส์ ซึ่งรับใช้พระยะโฮวามานานแล้วเล่าว่า “พอรู้ว่ามันหมายถึงอะไร เราก็แค่เลิกใช้” อูร์ซูลา เซอเรนโก พี่น้องหญิงที่ซื่อสัตย์อีกคนหนึ่งพูดแทนความรู้สึกของหลาย ๆ คนว่า “เราเข้าใจแล้วว่าสัญลักษณ์ที่เราเคยใช้เพื่อระลึกถึงการเสียชีวิตขององค์พระผู้เป็นเจ้าและความเลื่อมใสศรัทธาของคริสเตียน ที่แท้แล้วก็เป็นสัญลักษณ์ของพวกนอกรีต เราขอบคุณที่เส้นทางของความจริงสว่างขึ้นเรื่อย ๆ อย่างที่สุภาษิต 4:18 ได้บอกไว้” สาวกที่ซื่อสัตย์ของพระคริสต์ไม่ต้องการมีส่วนร่วมกับสิ่งใด ๆ ที่ไม่สะอาดของศาสนาเท็จ!
15, 16. เราจะแสดงให้เห็นได้อย่างไรว่า เราตั้งใจแน่วแน่ที่จะรักษาลานวิหารของพระยะโฮวาบนแผ่นดินโลกให้สะอาดหมดจดอยู่เสมอ?
15 พวกเราในทุกวันนี้ก็มีความตั้งใจแบบเดียวกัน เรารู้ว่าพระคริสต์ได้ใช้ช่องทางที่เห็นได้ชัด ซึ่งก็คือทาสสัตย์ซื่อและสุขุม เพื่อช่วยประชาชนของท่านให้เป็นคนสะอาดด้านการนมัสการพระเจ้า ดังนั้น เมื่อเราได้รับความรู้จากพระเจ้าที่เตือนเราในเรื่องเทศกาล พิธีกรรม หรือธรรมเนียมต่าง ๆ ของศาสนาเท็จ เราก็พร้อมจะเชื่อฟังและเลิกยุ่งเกี่ยวกับสิ่งเหล่านั้นทันที เหมือนกับพี่น้องชายหญิงที่ซื่อสัตย์ซึ่งมีชีวิตอยู่ในช่วงที่พระคริสต์เริ่มปกครองในสวรรค์ เราก็ตั้งใจแน่วแน่ที่จะรักษาลานวิหารของพระยะโฮวาบนแผ่นดินโลกให้สะอาดหมดจดอยู่เสมอ
16 นอกจากนี้ ตลอดช่วงสมัยสุดท้ายพระคริสต์ได้ปกป้องประชาคมต่าง ๆ ของพระยะโฮวาในวิธีที่มองไม่เห็น เพื่อไม่ให้ใครมาทำให้การนมัสการแท้เสื่อมเสีย แล้วพระคริสต์ทำอย่างไรล่ะ? ให้เรามาดูด้วยกัน
“แยกคนชั่วออกจากคนชอบธรรม”
17, 18. จากตัวอย่างเรื่องอวนลาก วลีต่อไปนี้หมายถึงอะไร? (ก) การหย่อนอวนลากลงในทะเล (ข) ‘การรวบรวมเอาปลาทุกชนิด’ (ค) ‘การคัดเอาปลาดี ๆ ใส่ถัง’ (ง) การเอาปลาที่ไม่ดีทิ้งไป
17 กษัตริย์เยซูคริสต์คอยเฝ้าดูประชาชนของพระเจ้าในประชาคมต่าง ๆ ทั่วโลก ท่านและเหล่าทูตสวรรค์คัดแยกผู้คนในวิธีที่เราอาจไม่ได้สังเกต พระเยซูอธิบายถึงงานที่ทำอยู่นี้โดยใช้ตัวอย่างเปรียบเทียบเรื่องอวนลาก (อ่านมัดธาย 13:47-50) ตัวอย่างเรื่องนี้หมายถึงอะไร?
18 การหย่อน ‘อวนลากลงในทะเล’ คำว่าอวนลากในที่นี้หมายถึง การประกาศเรื่องราชอาณาจักรไปทั่วท้องทะเลซึ่งก็คือมนุษย์โลกเพื่อ “รวบรวมเอาปลาทุกชนิด” ข่าวดีก็ดึงดูดคนทุกชนิดที่ยอมปรับเปลี่ยนตัวเองเพื่อมาเป็นคริสเตียนแท้ รวมทั้งคนอื่นอีกหลายคนที่อาจเริ่มแสดงความสนใจ แต่ยังไม่ได้สนับสนุนการนมัสการแท้อย่างเต็มที่ e ‘การคัดเอาปลาดี ๆ ใส่ถัง’ หมายถึง การรวบรวมคนที่มีความจริงใจเข้ามาในประชาคมซึ่งเปรียบเหมือนถัง ที่นั่นพวกเขาสามารถนมัสการพระยะโฮวาได้อย่างถูกต้อง ส่วนปลา “ที่ไม่ดี” ก็เอาทิ้งไป ตลอดช่วงสมัยสุดท้าย พระคริสต์กับเหล่าทูตสวรรค์ได้ “แยกคนชั่วออกจากคนชอบธรรม” f ดังนั้น คนที่ไม่จริงใจ เช่น คนที่ไม่ยอมทิ้งความเชื่อหรือพิธีทางศาสนาแบบผิด ๆ ก็ไม่สามารถทำให้ประชาคมเสื่อมเสียได้ g
19. คุณรู้สึกอย่างไรที่พระคริสต์คอยปกป้องดูแลประชาชนให้นมัสการพระเจ้าได้อย่างสะอาดหมดจด?
19 เรารู้สึกมั่นใจใช่ไหมเมื่อรู้ว่ากษัตริย์เยซูคริสต์คอยดูแลคนที่อยู่ใต้การปกครองของท่าน? เรามีกำลังใจขึ้นด้วยใช่ไหมเมื่อรู้ว่า ท่านกระตือรือร้นที่จะปกป้องการนมัสการแท้และคนที่นมัสการพระเจ้า เหมือนตอนที่ท่านชำระวิหารในศตวรรษแรก? เรารู้สึกขอบคุณจริง ๆ สำหรับสิ่งที่พระคริสต์ได้ทำเพื่อปกป้องดูแลประชาชนให้นมัสการพระเจ้าได้อย่างสะอาดหมดจด! เราจะแสดงให้เห็นว่าเราสนับสนุนกษัตริย์และราชอาณาจักรได้โดยไม่เข้าไปเกลือกกลั้วกับอะไรก็ตามที่เกี่ยวข้องกับศาสนาเท็จ
a เพื่อชำระภาษีประจำปีสำหรับวิหาร ชาวยิวจากที่อื่น ๆ ต้องแลกเงินให้เป็นชนิดที่มีการกำหนดให้ใช้ คนรับแลกเงินก็จะคิดค่าธรรมเนียมจากคนเหล่านั้น นอกจากนั้น คนที่มาถวายเครื่องบูชาอาจต้องซื้อสัตว์ด้วย ที่พระเยซูเรียกพ่อค้าเหล่านั้นว่า “โจร” อาจเป็นเพราะคนพวกนั้นโก่งราคามากหรือคิดค่าธรรมเนียมแบบขูดรีด
b ประชาชนของพระยะโฮวาที่นมัสการพระองค์บนแผ่นดินโลกเปรียบเหมือนอยู่ในลานวิหาร
c บทความนี้ตั้งข้อสังเกตว่า วันเกิดของพระเยซูในฤดูหนาว “ไม่ตรงกับข้อเท็จจริงที่ว่าคนเลี้ยงแกะกำลังเฝ้าฝูงแกะในทุ่งหญ้าตอนกลางคืน”—ลูกา 2:8
d พี่น้องเฟรเดอริก ดับเบิลยู. แฟรนซ์ เขียนจดหมายลงวันที่ 14 พฤศจิกายน 1927 ว่า “เราจะไม่ฉลองคริสต์มาสในปีนี้ สมาชิกครอบครัวเบเธลได้ลงมติว่าจะไม่ฉลองคริสต์มาสอีกต่อไป” สามเดือนต่อมา คือในวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 1928 พี่น้องแฟรนซ์ก็เขียนจดหมายอีกว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ชำระพวกเราทีละเล็กทีละน้อยจากคำสอนผิด ๆ ของบาบิโลนหรือองค์การศาสนาของซาตาน”
e ตัวอย่างเช่น ในปี 2013 มียอดผู้ประกาศ 7,965,954 คน แต่มียอดผู้เข้าร่วมการประชุมอนุสรณ์เพื่อระลึกถึงการเสียชีวิตของพระคริสต์ถึง 19,241,252 คน
f การแยกปลาดีกับปลาที่ไม่ดีต่าง กับการแยกแกะออกจากแพะ (มัด. 25:31-46) เพราะการแยกแกะออกจากแพะหรือการพิพากษาขั้นสุดท้ายจะเกิดขึ้นในช่วงความทุกข์ลำบากใหญ่ ก่อนจะถึงตอนนั้น คนที่เป็นเหมือนปลาไม่ดียังมีโอกาสกลับเข้ามาหาพระยะโฮวาและถูกรวบรวมเข้ามาในประชาคมซึ่งเปรียบเหมือนถัง—มลคี. 3:7
g ในที่สุด คนที่ไม่คู่ควรก็จะเป็นเหมือนปลาไม่ดีที่ถูกโยนเข้าไปในเตาไฟ ซึ่งหมายความว่าพวกเขาจะถูกทำลายในอนาคต