เขียนโดยมัทธิว 26:1-75
ข้อมูลสำหรับศึกษา
หลังจาก: เรื่องราวใน มธ 26:1-5 เกิดขึ้นในวันที่ 12 เดือนนิสานเพราะข้อ 2 บอกว่า “อีก 2 วันจะเป็นเทศกาลปัสกา [วันที่ 14 เดือนนิสาน]”—ดูภาคผนวก ก7, ข12, และข้อมูลสำหรับศึกษาที่ มธ 26:6
ปัสกา: เทศกาลนี้ (คำกรีก พาสฆา มาจากคำฮีบรู เปสัก ซึ่งคำกริยาคือ ปาสัก หมายถึง “เว้นผ่าน, ผ่านไป”) ตั้งขึ้นในตอนเย็นและหลังจากนั้นชาติอิสราเอลก็อพยพออกจากอียิปต์ เทศกาลนี้ตั้งขึ้นเพื่อระลึกถึงการช่วยชาวอิสราเอลให้รอดจากอียิปต์และระลึกถึงการ ‘เว้นผ่าน’ ลูกชายคนโตของพวกเขาตอนที่พระยะโฮวาประหารลูกชายคนโตของชาวอียิปต์—อพย 12:14, 24-47; ดูส่วนอธิบายศัพท์
ลูกมนุษย์: ดูข้อมูลสำหรับศึกษาที่ มธ 8:20
ประหารบนเสา: หรือ “ทำให้ติดอยู่กับเสา”—ดูข้อมูลสำหรับศึกษาที่ มธ 20:19 และส่วนอธิบายศัพท์คำว่า “เสา”; “เสาทรมาน”
ปุโรหิตใหญ่: ดูข้อมูลสำหรับศึกษาที่ มธ 2:4 และส่วนอธิบายศัพท์คำว่า “ปุโรหิตใหญ่”
ผู้นำ: ดูข้อมูลสำหรับศึกษาที่ มธ 16:21
มหาปุโรหิต: ตอนที่ชาติอิสราเอลเป็นเอกราช มหาปุโรหิตจะอยู่ในตำแหน่งตลอดชีวิต (กดว 35:25) แต่ตอนที่ชาติอิสราเอลอยู่ภายใต้การปกครองของโรม ผู้ปกครองที่ได้รับอำนาจจากโรมมีสิทธิ์แต่งตั้งหรือปลดมหาปุโรหิตได้—ดูส่วนอธิบายศัพท์
เคยาฟาส: เป็นมหาปุโรหิตที่โรมแต่งตั้ง เคยาฟาสมีความสามารถด้านการทูต เขาอยู่ในตำแหน่งมหาปุโรหิตนานกว่าคนอื่น ๆ ก่อนหน้าเขา เคยาฟาสได้รับการแต่งตั้งประมาณปี ค.ศ. 18 และดำรงตำแหน่งจนถึงประมาณปี ค.ศ. 36—ดูภาคผนวก ข12 เพื่อจะเห็นตำแหน่งที่น่าจะเป็นบ้านของเคยาฟาส
เมื่อพระเยซูอยู่ที่หมู่บ้านเบธานี: เรื่องราวใน มธ 26:6-13 ดูเหมือนเกิดขึ้นหลังจากดวงอาทิตย์ตกซึ่งเป็นตอนเริ่มต้นของวันที่ 9 เดือนนิสาน เรารู้เรื่องนี้ได้จากบันทึกเหตุการณ์เดียวกันในหนังสือยอห์นที่บอกว่าพระเยซูมาถึงหมู่บ้านเบธานี “หกวันก่อนถึงเทศกาลปัสกา” (ยน 12:1) พระเยซูคงต้องมาถึงตอนเริ่มต้น (ตอนดวงอาทิตย์ตก) ของวันที่ 8 เดือนนิสานซึ่งเป็นวันสะบาโต และในวันรุ่งขึ้นท่านก็ไปกินข้าวที่บ้านซีโมน—ยน 12:2-11; ดูภาคผนวก ก7 และ ข12
ซีโมนที่เคยเป็นโรคเรื้อน: มีการพูดถึงซีโมนคนนี้เฉพาะในข้อนี้และในบันทึกเหตุการณ์เดียวกันที่ มก 14:3 เป็นไปได้มากที่พระเยซูเคยรักษาเขาให้หายจากโรคเรื้อน—ดูข้อมูลสำหรับศึกษาที่ มธ 8:2 และส่วนอธิบายศัพท์คำว่า “โรคเรื้อน”
ผู้หญิงคนหนึ่ง: ยน 12:3 บอกให้รู้ว่าผู้หญิงคนนี้คือมารีย์พี่น้องของมาร์ธาและลาซารัส
ขวด: ดูส่วนอธิบายศัพท์คำว่า “อะลาบาสเตอร์”
น้ำมันหอมราคาแพง: บันทึกของมาระโกและยอห์นบอกว่านี่เป็นน้ำมัน “นารดาบริสุทธิ์” หนักประมาณครึ่งลิตรซึ่งมีราคาสูงถึง 300 เดนาริอัน เท่ากับค่าแรงประมาณ 1 ปี (มก 14:3-5; ยน 12:3-5) เชื่อกันว่าน้ำมันหอมนี้ได้จากพืชที่มีกลิ่นหอมชนิดหนึ่ง (Nardostachys jatamansi) ซึ่งขึ้นในแถบเทือกเขาหิมาลัย มักมีการเอาน้ำมันที่ด้อยกว่ามาผสมและบางครั้งก็มีการปลอมแปลง แต่ทั้งมาระโกกับยอห์นบอกว่าน้ำมันที่ใช้กับพระเยซูนี้เป็นน้ำมัน “บริสุทธิ์”
เทน้ำมันหอมลงบนหัวของท่าน: ตามเรื่องราวในมัทธิวกับมาระโก ผู้หญิงคนนี้เทน้ำมันหอมลงบนหัวของพระเยซู (มก 14:3) ยอห์นซึ่งเขียนหนังสือของเขาในอีกหลายสิบปีต่อมาเพิ่มเติมรายละเอียดว่าเธอเทน้ำมันหอมลงบนเท้าของท่านด้วย (ยน 12:3) พระเยซูบอกว่าการกระทำที่แสดงความรักนี้เป็นเหมือนการเตรียมท่านไว้สำหรับการฝังศพ—ดูข้อมูลสำหรับศึกษาที่ มธ 26:12
พวกสาวก: มีแต่ยอห์นเท่านั้นที่บันทึกว่ายูดาสอิสคาริโอทต่อว่ามารีย์ที่เอาน้ำมันราคาแพงมาทำแบบนี้ (ยน 12:4-7) ดูเหมือนอัครสาวกคนอื่นแค่เห็นด้วยกับคำพูดของเขา
เงินเยอะ: ดูข้อมูลสำหรับศึกษาที่ มก 14:5
ผู้หญิงคนนี้เทน้ำมันหอมชโลมตัวผม: สิ่งที่ผู้หญิงคนนี้ทำ (ดูข้อมูลสำหรับศึกษาที่ มธ 26:7) แสดงถึงความใจกว้าง ความรัก และความสำนึกบุญคุณต่อพระเยซู พระเยซูบอกว่าโดยไม่รู้ตัวเธอได้เตรียมร่างกายของท่านสำหรับการฝังศพ เพราะชาวยิวมักจะใช้น้ำมันหอมและเครื่องหอมในการชโลมศพก่อนเอาไปฝัง—2พศ 16:14
ประกาศไปที่ไหนในโลก: คล้ายกับคำพยากรณ์ของพระเยซูที่ มธ 24:14 ในข้อนี้ท่านบอกล่วงหน้าว่าจะมีการประกาศข่าวดีไปทั่วโลกและข่าวดีนี้รวมถึงสิ่งที่ผู้หญิงคนนี้ทำ พระเจ้าดลใจให้ผู้เขียนหนังสือข่าวดี 3 คนบันทึกเหตุการณ์นี้—มก 14:8, 9; ยน 12:7; ดูข้อมูลสำหรับศึกษาที่ มธ 24:14
ยูดาสอิสคาริโอท: ดูข้อมูลสำหรับศึกษาที่ มธ 10:4
ไปหา: เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในวันที่ 12 เดือนนิสาน คือวันเดียวกับที่เกิดเหตุการณ์ใน มธ 26:1-5—ดูภาคผนวก ก7, ข12, และข้อมูลสำหรับศึกษาที่ มธ 26:1, 6
เหรียญเงิน . . . 30 เหรียญ: มัทธิวเป็นผู้เขียนหนังสือข่าวดีคนเดียวที่พูดถึงจำนวนเงินที่พระเยซูถูกขายโดยผู้ทรยศ นี่น่าจะเป็นเหรียญเงินที่ทำจากเมืองไทระซึ่งมีน้ำหนัก 30 เชเขล จำนวนเงินนี้แสดงให้เห็นว่าพวกปุโรหิตใหญ่ดูถูกพระเยซู เพราะตามกฎหมายของโมเสสเงินจำนวนนี้เท่ากับค่าตัวทาสคนหนึ่ง (อพย 21:32) เหมือนกับตอนที่เศคาริยาห์ไปขอค่าจ้างในการพยากรณ์จากชาวอิสราเอลที่ไม่ซื่อสัตย์ พวกเขาก็ชั่งเงินให้เศคาริยาห์ “30 เชเขล” ทำให้เห็นว่าพวกเขามองเศคาริยาห์ไม่ต่างอะไรกับทาสคนหนึ่งเท่านั้น—ศคย 11:12, 13
ในวันแรกของเทศกาลขนมปังไม่ใส่เชื้อ: เทศกาลขนมปังไม่ใส่เชื้อเริ่มวันที่ 15 เดือนนิสาน ซึ่งก็คือ 1 วันหลังจากปัสกา (14 เดือนนิสาน) และเทศกาลนี้จะฉลองนาน 7 วัน (ดูภาคผนวก ข15) แต่ในสมัยของพระเยซู การฉลองปัสกามีความเกี่ยวข้องอย่างมากกับเทศกาลนี้ จนทำให้บางครั้งผู้คนมองว่า “เทศกาลขนมปังไม่ใส่เชื้อ” มีทั้งหมด 8 วันเพราะรวมวันที่ 14 เดือนนิสานซึ่งเป็นวันปัสกาเข้าไปด้วย (ลก 22:1) นอกจากนั้นในท้องเรื่องนี้ คำว่า “ในวันแรกของ” อาจแปลได้ว่า “หนึ่งวันก่อน” (เทียบกับ ยน 1:15, 30 ซึ่งมีรูปประโยคคล้ายกันและใช้คำกรีกเดียวกัน ในมัทธิวแปลคำกรีก โพรท็อส ว่า “แรก” แต่ในยอห์นแปลว่า “ก่อน” ในประโยคที่บอกว่า “ท่านมีชีวิตอยู่ก่อน [โพรท็อส] ผม”) ดังนั้น ทั้งธรรมเนียมของชาวยิวและคำภาษากรีกทำให้เข้าใจได้ว่าสาวกน่าจะถามพระเยซูในวันที่ 13 เดือนนิสาน และตอนกลางวันของวันที่ 13 พวกเขาก็เตรียมการฉลองปัสกา แล้วเริ่มฉลองใน “ตอนค่ำ” ซึ่งเป็นตอนเริ่มต้นวันที่ 14 เดือนนิสาน—มก 14:16, 17
พอถึงตอนค่ำ: คือตอนค่ำซึ่งเป็นตอนเริ่มต้นวันที่ 14 เดือนนิสาน—ดูภาคผนวก ก7 และ ข12
จิ้มในชามใบนี้พร้อมกับผม: ปกติแล้วผู้คนจะกินอาหารด้วยมือหรือเอาขนมปังมาใช้เป็นช้อน คำพูดนี้อาจเป็นสำนวนหมายถึง “กินอาหารด้วยกัน” การกินอาหารกับใครคนหนึ่งหมายถึงการสนิทกับคนนั้น ดังนั้น การหักหลังคนที่เป็นเพื่อนสนิทแบบนี้เป็นการทรยศที่เลวร้ายที่สุด—สด 41:9; ยน 13:18
ชาม: คำกรีกนี้หมายถึงชามใส่อาหารที่มีก้นค่อนข้างลึก
คุณก็รู้คำตอบอยู่แล้วนี่: เป็นสำนวนที่ชาวยิวใช้เพื่อยืนยันว่าคำพูดของคนที่ถามเป็นความจริง เมื่อพระเยซูพูดอย่างนี้ก็เหมือนท่านกำลังพูดว่า “คุณก็พูดไปแล้ว และที่คุณพูดก็เป็นความจริง” คำตอบของท่านดูเหมือนชี้ให้เห็นว่ายูดาสยอมรับเองว่าเขาเป็นคนทรยศพระเยซู หลังจากนั้น ยูดาสคงต้องออกไปจากห้องก่อนที่พระเยซูจะตั้งการฉลองอาหารมื้อเย็นของพระคริสต์อย่างที่เห็นได้จากบันทึกที่ ยน 13:21-30 ส่วนในบันทึกของมัทธิว มีการพูดถึงยูดาสครั้งต่อไปที่ มธ 26:47 ตอนที่เขาเข้ามาในสวนเกทเสมนีกับคนกลุ่มใหญ่
หยิบขนมปังแผ่นหนึ่ง . . . หัก: ขนมปังที่กินกันตามปกติในประเทศแถบตะวันออกกลางสมัยโบราณจะเป็นแผ่นบาง และถ้าไม่ใส่เชื้อก็จะหักได้ง่าย การที่พระเยซูหักขนมปังไม่ได้มีความหมายอะไรเป็นพิเศษ นี่เป็นวิธีแบ่งขนมปังตามปกติ—ดูข้อมูลสำหรับศึกษาที่ มธ 14:19
อธิษฐานขอบคุณ: แปลตรงตัวว่า “กล่าวอวยพร” คำนี้น่าจะหมายถึงการอธิษฐานเพื่อขอบคุณและสรรเสริญพระเจ้า
หมายถึง: คำกรีก เอ็สทิน (มีความหมายตรงตัวว่า “คือ”) แต่ในข้อนี้มีความหมายว่า “หมายถึง, แปลว่า, เป็นสัญลักษณ์หมายถึง” พวกอัครสาวกเข้าใจความหมายคำพูดนี้ของพระเยซูได้ชัดเจน เพราะในตอนนั้นร่างกายที่สมบูรณ์แบบของพระเยซูอยู่ตรงหน้าพวกเขา และพวกเขาก็กำลังจะกินขนมปังไม่ใส่เชื้อด้วย ดังนั้น ขนมปังจะต้องไม่ใช่ร่างกายจริง ๆ ของพระเยซู น่าสังเกตว่ามีการใช้คำกรีกเดียวกันนี้ที่ มธ 12:7 และคัมภีร์ไบเบิลหลายฉบับแปลคำนั้นว่า “ความหมาย”
เลือดที่ทำให้สัญญามีผลบังคับใช้: สัญญาใหม่เป็นสัญญาระหว่างพระยะโฮวากับคริสเตียนผู้ถูกเจิม เครื่องบูชาของพระเยซูทำให้สัญญานี้มีผลบังคับใช้ (ฮบ 8:10) ในข้อนี้ พระเยซูใช้คำเดียวกับที่โมเสสใช้ตอนที่เขาทำหน้าที่คนกลางและตั้งสัญญาเกี่ยวกับกฎหมายที่ภูเขาซีนาย (อพย 24:8; ฮบ 9:19-21) เช่นเดียวกับเลือดของวัวและแพะที่ทำให้สัญญาเกี่ยวกับกฎหมายระหว่างพระเจ้ากับชาวอิสราเอลมีผลบังคับใช้ เลือดของพระเยซูก็ทำให้สัญญาใหม่ระหว่างพระยะโฮวากับอิสราเอลของพระเจ้ามีผลบังคับใช้ในวันเพ็นเทคอสต์ ปี ค.ศ. 33—ฮบ 9:14, 15
ดื่มเหล้าองุ่นใหม่: ในพระคัมภีร์ บางครั้งเหล้าองุ่นเป็นสัญลักษณ์ของความสุข—สด 104:15; ปญจ 10:19
ร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้า: หรือ “ร้องเพลงสดุดี” คำสอนสืบปากของชาวยิวบอกว่ามีการร้องเพลงฮัลเลล 2 บทแรกในช่วงการกินปัสกา (113, 114) และมีการร้อง 4 บทสุดท้ายในตอนจบ (115-118) เพลงฮัลเลลบทสุดท้ายคือ สด 118 มีคำพยากรณ์บางส่วนที่พูดถึงเมสสิยาห์ เพลงบทนี้เริ่มและจบด้วยประโยคที่บอกว่า “ขอให้ขอบคุณพระยะโฮวาเพราะพระองค์ดีจริง ๆ พระองค์มีความรักที่มั่นคงตลอดไป” (สด 118:1, 29) นี่อาจเป็นเพลงสรรเสริญสุดท้ายที่พระเยซูร้องกับอัครสาวกที่ซื่อสัตย์ในคืนก่อนที่ท่านจะเสียชีวิต
ก่อนไก่ขัน: หนังสือข่าวดีทั้ง 4 เล่มมีข้อความนี้ แต่เฉพาะเรื่องราวในมาระโกเพิ่มรายละเอียดว่าไก่ขัน 2 ครั้ง (มธ 26:74, 75; มก 14:30, 72; ลก 22:34, 60, 61; ยน 13:38; 18:27) หนังสือมิชนาห์บอกว่ามีการเลี้ยงไก่ในกรุงเยรูซาเล็มสมัยพระเยซูซึ่งเป็นการสนับสนุนบันทึกนี้ในคัมภีร์ไบเบิล ไก่ที่พูดถึงในข้อนี้น่าจะขันก่อนเช้ามืด
เกทเสมนี: สวนนี้น่าจะอยู่บนภูเขามะกอก ซึ่งถ้าเดินทางจากกรุงเยรูซาเล็มจะต้องข้ามหุบเขาขิดโรนก่อน ดูเหมือนว่าสวนนี้มีเครื่องหีบน้ำมันมะกอกอยู่ด้วยเพราะชื่อสวนนี้มาจากคำภาษาฮีบรูหรืออาราเมอิก (กัทเชมาเนห์) ที่แปลว่า “เครื่องหีบน้ำมัน” แม้ไม่มีใครรู้ว่าสวนนี้อยู่ที่ไหนจริง ๆ แต่คำสอนหนึ่งของชาวยิวพูดถึงเกทเสมนีว่าเป็นสวนที่อยู่ตรงทางแยกด้านตะวันตกของเชิงเขามะกอก—ดูภาคผนวก ข12
ผม: หรือ “จิตวิญญาณของผม, ใจของผม” คำกรีก พะซูเฆ ในข้อนี้ พระคัมภีร์หลายฉบับมักแปลว่า “จิตวิญญาณ, ใจ” จริง ๆ แล้วคำนี้หมายถึงตัวตนทั้งหมดของคนหนึ่ง ดังนั้น จึงอาจแปลได้ว่า “ตัวตนทั้งหมดของผม” หรือแค่ “ผม”
เฝ้าระวัง: แปลตรงตัวว่า “ตื่นตัวอยู่เสมอ” ก่อนหน้านี้พระเยซูเน้นว่าพวกสาวกต้องตื่นตัวทางความเชื่อเพราะพวกเขาไม่รู้ว่าวันเวลาที่ท่านจะมาคือเมื่อไร (ดูข้อมูลสำหรับศึกษาที่ มธ 24:42; 25:13) ในข้อนี้และที่ มธ 26:41 พระเยซูกระตุ้นเตือนอีกโดยเชื่อมโยงการตื่นตัวทางความเชื่อกับการอธิษฐานอยู่เรื่อย ๆ คำกระตุ้นเตือนคล้ายกันนี้มีอยู่ตลอดในพระคัมภีร์คริสเตียนภาคภาษากรีก แสดงให้เห็นว่าการตื่นตัวทางความเชื่อเป็นเรื่องสำคัญมากสำหรับคริสเตียนแท้—1คร 16:13; คส 4:2; 1ธส 5:6; 1ปต 5:8; วว 16:15
ซบหน้าลง: หรือ “ทรุดตัวก้มหน้าลงกับพื้น” ซึ่งอาจเป็นการหมอบลงโดยเอามือหรือข้อศอกยันพื้นไว้ คัมภีร์ไบเบิลพูดถึงท่าทางตอนอธิษฐานหลายแบบรวมถึงการยืนและคุกเข่าด้วย แต่คนที่อธิษฐานด้วยความรู้สึกที่แรงกล้ามาก ๆ อาจถึงกับนอนเหยียดยาวและซบหน้าลงกับพื้น
ขอให้ถ้วยนี้ผ่านพ้นไป: ในคัมภีร์ไบเบิล คำว่า “ถ้วย” มักใช้ในความหมายเป็นนัยหมายถึงความต้องการของพระเจ้า หรือ “ส่วนแบ่งที่ให้” กับคนหนึ่ง (ดูข้อมูลสำหรับศึกษาที่ มธ 20:22) พระเยซูคงต้องเป็นห่วงมากที่การตายของท่านในข้อหาหมิ่นประมาทและปลุกระดมจะทำให้ชื่อของพระเจ้าเสื่อมเสีย ความรู้สึกนี้กระตุ้นพระเยซูให้อธิษฐานขอให้ “ถ้วย” นี้ผ่านพ้นไปจากท่าน
คุณจะ: คำกริยาภาษากรีกที่ใช้ในประโยคนี้แสดงว่าพระเยซูไม่ได้พูดกับเปโตรเท่านั้น แต่พูดกับสาวกคนอื่นด้วย
ใจ: ในที่นี้หมายถึงแรงกระตุ้นที่มาจากหัวใจซึ่งกระตุ้นให้คนเราพูดหรือทำบางอย่าง—ดูส่วนอธิบายศัพท์
ร่างกาย: แปลตรงตัวว่า “เนื้อหนัง” คัมภีร์ไบเบิลมักใช้คำนี้เพื่อหมายถึงมนุษย์ไม่สมบูรณ์ที่มีบาป
จูบท่านอย่างนุ่มนวล: คำกริยากรีกที่แปลว่า “จูบอย่างนุ่มนวล” ในข้อนี้อยู่ในรูปคำที่แสดงความรู้สึกมากกว่าคำว่า “จูบ” ใน มธ 26:48 การที่ยูดาสทักทายพระเยซูอย่างอบอุ่นและเป็นมิตรแบบนี้ แสดงว่าเขาเป็นคนหลอกลวงและเสแสร้งอย่างมาก
คนหนึ่งที่อยู่กับพระเยซู: ในบันทึกเหตุการณ์เดียวกันที่ ยน 18:10 แสดงให้เห็นว่าซีโมนเปโตรเป็นคนชักดาบออกมาฟันทาสของมหาปุโรหิตที่ชื่อมัลคัส และบันทึกที่ ลก 22:50 กับ ยน 18:10 บอกให้รู้ด้วยว่าหูที่ขาดเป็น “หูขวา”—ดูข้อมูลสำหรับศึกษาที่ ยน 18:10
ฟันทาสของมหาปุโรหิต: ดูข้อมูลสำหรับศึกษาที่ ยน 18:10
กอง: เป็นวิธีแบ่งกลุ่มทหารในกองทัพโรมัน ในศตวรรษแรกปกติแล้วทหารหนึ่งกองมีประมาณ 6,000 นาย คำว่า “12 กอง” ที่ใช้ในข้อนี้น่าจะหมายถึงกองทัพใหญ่ที่มีทหารมากมายนับไม่ถ้วน ดังนั้น พระเยซูกำลังบอกว่าถ้าท่านขอ พระเจ้าผู้เป็นพ่อจะส่งทูตสวรรค์มากมายมาปกป้องท่าน
พระคัมภีร์: มักมีการใช้คำนี้เพื่อหมายถึงพระคัมภีร์ภาคภาษาฮีบรูทั้งหมดที่ได้รับการดลใจ
เพื่อข้อความที่พวกผู้พยากรณ์เขียนไว้จะเป็นจริง: ดูข้อมูลสำหรับศึกษาที่ มธ 1:22
มหาปุโรหิตเคยาฟาส: ดูข้อมูลสำหรับศึกษาที่ มธ 26:3
ปุโรหิตใหญ่: หมายถึงกลุ่มคนสำคัญในคณะปุโรหิต—ดูข้อมูลสำหรับศึกษาที่ มธ 2:4 และส่วนอธิบายศัพท์คำว่า “ปุโรหิตใหญ่”
ศาลแซนเฮดริน: คือศาลสูงของชาวยิวในกรุงเยรูซาเล็ม คำกรีกที่แปลว่า “แซนเฮดริน” (ซูนเอ็ดริออน ) มีความหมายตรงตัวว่า “นั่งลงกับ” แม้มีการใช้คำนี้ในความหมายทั่ว ๆ ไปเพื่อหมายถึงที่ประชุมหรือการประชุม แต่ในอิสราเอลคำนี้อาจหมายถึงคณะผู้พิพากษาหรือศาลที่ตัดสินคดีทางศาสนา—ดูข้อมูลสำหรับศึกษาที่ มธ 5:22 และส่วนอธิบายศัพท์; ดูภาคผนวก ข12 เพื่อจะเห็นตำแหน่งที่น่าจะเป็นศาลแซนเฮดริน
พระคริสต์: ดูข้อมูลสำหรับศึกษาที่ มธ 11:2
เป็นอย่างที่คุณพูด: พระเยซูไม่ได้หลบเลี่ยงไม่ตอบคำถามของเคยาฟาส เพราะท่านรู้ว่ามหาปุโรหิตมีอำนาจสั่งให้ท่านสาบานว่าจะพูดความจริง (มธ 26:63) ดูเหมือนว่านี่เป็นสำนวนที่ชาวยิวใช้เพื่อยืนยันว่าคำพูดของอีกคนหนึ่งเป็นความจริง บันทึกเหตุการณ์เดียวกันในหนังสือมาระโกก็สนับสนุนเรื่องนี้ เพราะในข้อนั้นพระเยซูตอบว่า “ใช่แล้ว”—มก 14:62; ดูข้อมูลสำหรับศึกษาที่ มธ 26:25; 27:11
ลูกมนุษย์ . . . มาบนเมฆในท้องฟ้า: พระเยซูกำลังพูดถึงคำพยากรณ์เกี่ยวกับเมสสิยาห์ใน ดนล 7:13, 14 ซึ่งเป็นการยืนยันว่าท่านคือคนที่จะได้รับอนุญาตให้เข้าไปหาพระเจ้าและได้รับอำนาจปกครองในสวรรค์—ดูส่วนอธิบายศัพท์คำว่า “ลูกมนุษย์”
ข้างขวาของพระองค์ผู้มีฤทธิ์อำนาจ: การอยู่ข้างขวาของผู้มีอำนาจหมายถึงการมีความสำคัญเป็นที่สองรองจากผู้นั้น (สด 110:1; กจ 7:55, 56) บันทึกเหตุการณ์เดียวกันที่ ลก 22:69 ใช้สำนวนคล้าย ๆ กันว่า “ข้างขวาของพระเจ้าผู้มีฤทธิ์อำนาจ” สำนวนทั้งสองนี้อาจแสดงด้วยว่าพระเยซูจะได้รับฤทธิ์อำนาจเพราะท่านอยู่ข้างขวาของพระเจ้า
ฉีกเสื้อชั้นนอก: เป็นท่าทางแสดงความโกรธ ดูเหมือนเคยาฟาสจะฉีกเสื้อด้านบนที่เป็นส่วนอกของเขาเพื่อโชว์ว่าเขาเป็นคนดีและโกรธมากที่พระเยซูพูดอย่างนั้น
ทายมาสิว่าใครตบ?: คำกรีกที่แปลว่า “ทาย” แปลตรงตัวว่า “พยากรณ์” ถึงอย่างนั้นในข้อนี้คำนี้ไม่ได้หมายถึงการทำนาย แต่หมายถึงการบอกว่าใครเป็นคนตบโดยอาศัยการเปิดเผยจากพระเจ้า ในบันทึกเหตุการณ์เดียวกันที่ มก 14:65 และ ลก 22:64 แสดงให้เห็นว่าคนที่สอบสวนพระเยซูปิดหน้าท่านไว้ นี่ทำให้เข้าใจว่าทำไมพวกเขาถึงท้าให้พระเยซูทายว่าใครเป็นคนตบท่าน
ซุ้มประตูทางเข้า: แปลตรงตัวว่า “ประตู” แต่บันทึกในมาระโกใช้คำกรีกที่อาจหมายถึง “ทางเข้า” หรือ “โถงทางเข้า” ซึ่งแสดงว่าข้อนี้ไม่ได้พูดถึงประตูธรรมดาทั่วไป (มก 14:68) ดูเหมือนว่าประตูนี้คือซุ้มทางเดินที่มีหลังคาซึ่งเชื่อมจากลานบ้านไปจนถึงประตูด้านหน้าที่ติดกับถนน
สำเนียงของคุณ: หรือ “วิธีพูดของคุณ” เปโตรคงใช้คำศัพท์และสำเนียงแบบชาวกาลิลีซึ่งต่างจากภาษาฮีบรูที่พูดกันในยูเดีย บางคนเชื่อว่าคำศัพท์และสำเนียงของชาวกาลิลีได้รับอิทธิพลจากภาษาต่างประเทศ
สาบาน: ด้วยความกลัว เปโตรพยายามทำให้คนที่นั่นเชื่อว่าเขาพูดความจริง การที่เปโตรสาบานแบบนี้เขาก็กำลังยืนยันว่าคำพูดของเขาเป็นความจริงและถ้าเขาโกหกก็ขอให้เจอกับเรื่องร้าย ๆ
ไก่ขัน: ดูข้อมูลสำหรับศึกษาที่ มก 14:72
วีดีโอและรูปภาพ
แต่เดิมขวดใส่น้ำหอมเล็ก ๆ คล้ายแจกันนี้ทำมาจากหินที่พบใกล้เมืองอะลาบาสตรอนในอียิปต์ ต่อมามีการเรียกหินปูนหรือแคลเซียมคาร์บอเนตที่เอามาทำขวดใส่น้ำหอมว่าอะลาบาสตรอนด้วย ขวดที่เห็นในภาพถูกพบในอียิปต์ ซึ่งทำขึ้นระหว่างปี 150 ก่อน ค.ศ. ถึงปี ค.ศ. 100 มีการทำขวดคล้าย ๆ กันจากวัสดุที่มีราคาถูกกว่า เช่น ยิปซัม และเรียกว่าขวดอะลาบาสเตอร์ด้วยเพราะใช้ใส่น้ำหอมเหมือนกัน แต่ขวดอะลาบาสเตอร์แท้จะเอาไว้ใส่น้ำมันหอมและน้ำหอมราคาแพงเท่านั้น เช่น น้ำมันหอมที่มีคนมาเทลงบนพระเยซู 2 ครั้ง ครั้งหนึ่งที่บ้านฟาริสีในกาลิลี และอีกครั้งหนึ่งที่บ้านซีโมนที่เคยเป็นโรคเรื้อนในหมู่บ้านเบธานี
ส่วนสำคัญในมื้ออาหารปัสกาคือ ลูกแกะย่าง (ต้องไม่ถูกทุบกระดูก) (หมายเลข 1) ขนมปังไม่ใส่เชื้อ (หมายเลข 2) และผักที่มีรสขม (หมายเลข 3) (อพย 12:5, 8; กดว 9:11) ตามที่บอกในหนังสือมิชนาห์ ผักที่มีรสขมอาจเป็นผักกาดหอม ชิโครี ผักแว่น เอนไดว์ หรือแดนดิไลออน ดูเหมือนว่าผักเหล่านี้เตือนใจชาวอิสราเอลให้นึกถึงชีวิตที่ขมขื่นตอนเป็นทาสในอียิปต์ พระเยซูใช้ขนมปังไม่ใส่เชื้อเป็นสัญลักษณ์หมายถึงร่างกายมนุษย์ที่สมบูรณ์แบบของท่าน (มธ 26:26) และอัครสาวกเปาโลเรียกพระเยซูว่า “ลูกแกะปัสกาของเรา” (1คร 5:7) พอถึงศตวรรษแรกก็มีการเสิร์ฟเหล้าองุ่น (หมายเลข 4) ในมื้ออาหารปัสกาด้วย พระเยซูใช้เหล้าองุ่นเป็นสัญลักษณ์หมายถึงเลือดของท่านที่จะต้องสละเป็นเครื่องบูชา—มธ 26:27, 28
มีการปลูกต้นองุ่น (Vitis vinifera [vi-nif-era]) มานานหลายพันปี ซึ่งพบเห็นได้ทั่วไปในบริเวณที่พระเยซูอาศัยอยู่ คนงานในสวนมักใช้ไม้ที่เขาหาได้เพื่อค้ำต้นองุ่น ในช่วงฤดูหนาว ผู้ดูแลสวนจะตัดแต่งต้นองุ่นที่เขาปลูกเมื่อปีก่อน. และในช่วงฤดูใบไม้ผลิ ถ้ามีบางกิ่งที่ไม่เกิดผล คนงานก็จะตัดทิ้งไป (ยน 15:2) การทำแบบนี้จะช่วยให้ต้นองุ่นเกิดผลที่มีคุณภาพมากขึ้น.พระเยซูเปรียบว่าพระยะโฮวาเป็นเหมือนผู้ดูแลสวน ตัวท่านเองเป็นต้นองุ่น และสาวกก็เป็นกิ่ง เหมือนกับกิ่งของต้นองุ่นที่ต้องได้รับสารอาหารจากลำต้น สาวกของพระเยซูก็จะได้รับอาหารที่ช่วยให้พวกเขามีความเชื่อเข้มแข็ง ถ้าพวกเขาติดสนิทกับ “ต้นองุ่นแท้”—ยน 15:1, 5