บทความศึกษา 18
ความรักและความยุติธรรมในประชาคมคริสเตียน
“ให้ช่วยแบ่งเบาภาระของกันและกันต่อไป การทำแบบนี้แสดงว่าพวกคุณเชื่อฟังกฎหมายของพระคริสต์”—กท. 6:2
เพลง 12 พระยะโฮวา พระเจ้าองค์ยิ่งใหญ่
ใจความสำคัญ *
1. มีอะไร 2 อย่างที่เรามั่นใจได้?
พระยะโฮวาพระเจ้ารักผู้นมัสการพระองค์ตลอดมาและจะรักตลอดไป พระองค์รักความยุติธรรมด้วย (สด. 33:5) เราเลยมั่นใจได้ 2 อย่างคือ (1) พระองค์รู้สึกเจ็บปวดทุกครั้งเมื่อเห็นคนของพระองค์ไม่ได้รับความยุติธรรม (2) พระองค์สัญญาว่าคนของพระองค์จะไม่ถูกปฏิบัติอย่างไร้ความเป็นธรรมตลอดไปและจะลงโทษคนที่ทำไม่ดีกับพวกเขาแน่นอน ในบทความแรกของบทความชุดนี้ * เราได้เรียนไปแล้วว่ากฎหมายที่พระยะโฮวาให้กับชาวอิสราเอลผ่านทางโมเสสเป็นกฎหมายที่มีพื้นฐานมาจากความรัก กฎหมายนั้นส่งเสริมความยุติธรรมและสนับสนุนให้แสดงความยุติธรรมกับคนอื่นโดยเฉพาะกับคนที่ปกป้องตัวเองไม่ได้ (ฉธบ. 10:18) กฎหมายนั้นทำให้เห็นว่าพระยะโฮวารักและเป็นห่วงผู้นมัสการพระองค์มาก
2. เราจะคุยกันเกี่ยวกับคำถามอะไร?
2 กฎหมายของโมเสสถูกยกเลิกในปีคริสต์ศักราช 33 ตอนที่ประชาคมคริสเตียนถูกตั้งขึ้น นี่ทำให้คริสเตียนไม่มีกฎหมายที่มีพื้นฐานมาจากความรักและส่งเสริมความยุติธรรมซึ่งช่วยปกป้องพวกเขาไหม? ไม่ เพราะคริสเตียนมีกฎหมายใหม่ ในบทความนี้เราจะคุยกันก่อนว่ากฎหมายนั้นคืออะไร? และเราจะตอบคำถามต่อไปนี้ ทำไมถึงบอกได้ว่ากฎหมายใหม่นี้มีพื้นฐานมาจากความรัก? ทำไมถึงบอกได้ว่ากฎหมายนี้ส่งเสริมความยุติธรรม? และคนที่มีอำนาจซึ่งอยู่ภายใต้กฎหมายนี้ควรปฏิบัติกับคนอื่นอย่างไร?
“กฎหมายของพระคริสต์” คืออะไร?
3. “กฎหมายของพระคริสต์” ที่พูดถึงในกาลาเทีย 6:2 หมายถึงอะไร?
3 อ่านกาลาเทีย 6:2 คริสเตียนอยู่ภายใต้ “กฎหมายของพระคริสต์” พระเยซูไม่ได้เขียนกฎหมายนี้เป็นข้อ ๆ ให้สาวกของท่านทำตาม แต่ท่านให้คำแนะนำ คำสั่ง และหลักการเพื่อชี้นำพวกเขา “กฎหมายของพระคริสต์” หมายถึงทุกสิ่งที่ท่านสอน ให้เรามาดูกฎหมายนี้ด้วยกัน
4-5. พระเยซูสอนอย่างไร? และท่านสอนเมื่อไรบ้าง?
4 พระเยซูสอนอย่างไร? อย่างแรกท่านสอนโดยคำพูด คำพูดของท่านมีพลังเพราะท่านสอนความจริงเกี่ยวกับพระเจ้า สอนว่าจุดมุ่งหมายที่แท้จริงของชีวิตคืออะไร และสอนว่ารัฐบาลของพระเจ้าเท่านั้นที่จะแก้ปัญหาทุกอย่างของมนุษย์ได้ (ลก. 24:19) นอกจากนั้น พระเยซูยังสอนโดยตัวอย่างของท่าน การใช้ชีวิตของท่านทำให้พวกสาวกเห็นว่าพวกเขาควรใช้ชีวิตอย่างไร—ยน. 13:15
5 พระเยซูสอนเมื่อไรบ้าง? ท่านสอนตอนที่ทำงานรับใช้พระเจ้าบนโลก (มธ. 4:23) และไม่นานหลังจากฟื้นขึ้นจากตายท่านก็สอนด้วย ตัวอย่างเช่น ตอนที่ท่านปรากฏตัวให้สาวกกลุ่มหนึ่งเห็นซึ่งอาจมีมากกว่า 500 คน ท่านสั่งพวกเขาให้ไป “สอนคน . . . ให้เป็นสาวก” (มธ. 28:19, 20; 1 คร. 15:6) เนื่องจากท่านเป็นผู้นำของประชาคม ท่านยังคงสอนสาวกต่อไปหลังจากที่ท่านกลับไปสวรรค์แล้ว ตัวอย่างเช่น ประมาณปี ค.ศ. 96 พระเยซูชี้นำอัครสาวกยอห์นเพื่อให้เขาให้กำลังใจและให้คำแนะนำคริสเตียนผู้ถูกเจิม—คส. 1:18; วว. 1:1
6-7. (ก) คำสอนของพระเยซูบันทึกไว้ที่ไหน? (ข) เราจะเชื่อฟังกฎหมายของพระคริสต์อย่างไร?
6 คำสอนของพระเยซูบันทึกไว้ที่ไหน? มีการบันทึกคำสอนของท่านไว้ในหนังสือข่าวดีสี่เล่มซึ่งบันทึกหลายอย่างเกี่ยวกับสิ่งที่พระเยซูพูดและทำตอนอยู่บนโลก นอกจากนั้น หนังสืออื่น ๆ ที่เหลือในพระคัมภีร์คริสเตียนภาคภาษากรีกก็ช่วยเราให้เข้าใจความคิดของพระเยซู เพราะคนที่เขียนหนังสือเหล่านั้นได้รับการดลใจจากพลังบริสุทธิ์และมี “จิตใจอย่างพระคริสต์”—1 คร. 2:16
7 บทเรียนคือ คำสอนของพระเยซูใช้ได้ในทุกแง่มุมของชีวิต ดังนั้น กฎหมายของพระคริสต์จึงมีผลต่อทุกอย่างที่เราทำทั้งที่บ้าน ที่ทำงานหรือที่โรงเรียน และในประชาคม เราเรียนรู้กฎหมายนี้ได้โดยอ่านพระคัมภีร์คริสเตียนภาคภาษากรีกและคิดใคร่ครวญ เราเชื่อฟังกฎหมายนี้โดยใช้ชีวิตตามคำแนะนำ คำสั่ง และหลักการในหนังสือเหล่านั้น เมื่อเราเชื่อฟังกฎหมายของพระคริสต์ เราก็กำลังเชื่อฟังพระยะโฮวาพระเจ้าที่รักเรา เพราะทุกสิ่งที่พระเยซูสอนมาจากพระองค์—ยน. 8:28
กฎหมายที่มีพื้นฐานมาจากความรัก
8. กฎหมายของพระคริสต์มีพื้นฐานมาจากอะไร?
8 บ้านที่สร้างอย่างดีมีฐานรากที่มั่นคงซึ่งทำให้คนที่อยู่ในบ้านรู้สึกปลอดภัย เหมือนกัน กฎหมายที่ดีก็ต้องมีพื้นฐานที่ดีซึ่งจะทำให้คนที่ทำตามกฎหมายนั้นรู้สึกมั่นคงและปลอดภัย กฎหมายของพระคริสต์มาจากพื้นฐานที่ดีที่สุด นั่นคือความรัก มีเหตุผลอะไรบ้างที่เราบอกแบบนั้นได้?
9-10. มีตัวอย่างอะไรบ้างที่แสดงให้เห็นว่าสิ่งที่พระเยซูทำมาจากความรัก? และเราจะเลียนแบบท่านได้อย่างไร?
9 เหตุผลแรก ทุกอย่างที่พระเยซูทำมาจากความรัก ความรักแสดงออกโดยความสงสารและเห็นอกเห็นใจ พระเยซูรู้สึกสงสาร ท่านเลยสอนผู้คน รักษาคนป่วย เลี้ยงอาหารคนที่หิว และปลุกคนตายให้ฟื้น (มธ. 14:14; 15:32-38; มก. 6:34; ลก. 7:11-15) แม้การทำสิ่งเหล่านี้จะต้องใช้เวลาและพลังงานเยอะมาก แต่ท่านก็เต็มใจให้ความจำเป็นของคนอื่นมาก่อนตัวเอง ที่สำคัญที่สุด พระเยซูแสดงความรักที่ยิ่งใหญ่โดยสละชีวิตเพื่อคนอื่น—ยน. 15:13
10 บทเรียนคือ เราสามารถเลียนแบบพระเยซูได้โดยให้ความจำเป็นของคนอื่นมาก่อนตัวเราเอง นอกจากนั้น เราน่าจะสงสารและเห็นอกเห็นใจคนที่เราพบในเขตประกาศ ถ้าเราประกาศและสอนข่าวดีกับผู้คนเพราะเราเห็นอกเห็นใจพวกเขา นั่นก็แสดงว่าเรากำลังเชื่อฟังกฎหมายของพระคริสต์
11-12. (ก) อะไรแสดงว่าพระยะโฮวารักและเป็นห่วงเรามาก? (ข) เราจะเลียนแบบความรักของพระองค์ได้อย่างไร?
11 เหตุผลที่ 2 พระเยซูแสดงให้เห็นความรักของพระยะโฮวาผู้เป็นพ่อของท่าน ตลอดช่วงที่พระเยซูรับใช้บนโลก ท่านแสดงให้เห็นว่าพระยะโฮวารักและเป็นห่วงผู้รับใช้ของพระองค์มาก มีหลายวิธีที่ท่านทำแบบนั้น วิธีหนึ่งก็คือ พระเยซูสอนว่าเราทุกคนมีค่ามากสำหรับพระยะโฮวา (มธ. 10:31) พระองค์รอคอยที่จะต้อนรับคนที่เป็นเหมือนแกะหลงฝูงซึ่งกลับใจและกลับมาที่ประชาคม (ลก. 15:7, 10) พระยะโฮวาพิสูจน์ว่ารักเราโดยสละลูกชายของพระองค์เป็นค่าไถ่เพื่อเรา—ยน. 3:16
12 บทเรียนคือ เราสามารถเลียนแบบความรักของพระยะโฮวาโดยมองพี่น้องแต่ละคนว่ามีค่ามากและควรยินดีต้อนรับ “แกะหลงฝูง” ที่กลับมาหาพระองค์ (อฟ. 5:1, 2; สด. 119:176) เราพิสูจน์ว่ารักพี่น้องโดยเสียสละเวลาและกำลังเพื่อช่วยพวกเขาตอนที่พวกเขาต้องการ (1 ยน. 3:17) ถ้าเราแสดงความรักกับคนอื่น เราก็กำลังเชื่อฟังกฎหมายของพระคริสต์
13-14. (ก) อย่างที่บอกในยอห์น 13:34, 35 พระเยซูมีคำสั่งให้สาวกทำอะไร? และทำไมถึงเรียกว่าเป็นกฎหมายใหม่? (ข) เราจะเชื่อฟังกฎหมายใหม่นี้อย่างไร?
13 เหตุผลที่ 3 พระเยซูสั่งให้สาวกของท่านแสดงความรักที่ไม่เห็นแก่ตัว (อ่านยอห์น 13:34, 35) คำสั่งนี้ของพระเยซูเป็นกฎหมายใหม่เพราะบอกให้เราแสดงความรักในอีกแบบหนึ่งที่ไม่มีบอกไว้ในกฎหมายที่พระเจ้าให้กับชาวอิสราเอล เราต้องรักเพื่อนร่วมความเชื่อเหมือนที่พระเยซูรักเรา นี่หมายความว่าเราต้องมีความรักที่ไม่เห็นแก่ตัว * เราต้องรักพี่น้องมากกว่ารักตัวเอง เรารักพวกเขามากจนเต็มใจตายแทนพวกเขาได้ เหมือนที่พระเยซูตายแทนเรา
14 บทเรียนคือ เราจะเชื่อฟังกฎหมายใหม่นี้โดยเสียสละเพื่อพี่น้องของเรา เรารักพวกเขามากจนเต็มใจเสียสละครั้งยิ่งใหญ่ เช่น ยอมตายเพื่อพวกเขา แต่ไม่ใช่แค่นั้น เราอาจเสียสละเล็ก ๆ น้อย ๆ ด้วย เช่น เสียสละรับส่งพี่น้องสูงอายุไปประชุมเป็นประจำ หรือเต็มใจสละบางอย่างที่เราชอบเพื่อให้พี่น้องมีความสุข หรือลางานไปช่วยในงานบรรเทาทุกข์ เมื่อเราทำอย่างนี้ เราก็กำลังเชื่อฟังกฎหมายของพระคริสต์และช่วยให้ประชาคมเป็นที่ที่ทุกคนจะรู้สึกมั่นคงและปลอดภัย
กฎหมายที่ส่งเสริมความยุติธรรม
15-17. (ก) พระเยซูทำอะไรบ้างที่ทำให้เรารู้ว่าท่านมองความยุติธรรมอย่างไร? (ข) เราจะเลียนแบบพระเยซูได้อย่างไร?
15 คำว่า “ยุติธรรม” ที่ใช้ในคัมภีร์ไบเบิลหมายถึงการทำสิ่งที่พระยะโฮวาบอกว่าถูกต้องและทำโดยไม่ลำเอียง มีเหตุผลอะไรที่บอกได้ว่ากฎหมายของพระคริสต์ส่งเสริมความยุติธรรม?
16 เหตุผลแรก ให้เรามาดูกันว่าสิ่งที่พระเยซูทำแสดงให้เห็นว่าท่านมองความยุติธรรมอย่างไร ในสมัยของพระเยซู พวกผู้นำศาสนาชาวยิวเกลียดคนต่างชาติ นอกจากนั้น พวกเขาคิดว่าตัวเองดีกว่าชาวยิวทั่วไปที่ไม่ได้เรียนในโรงเรียนสอนศาสนาของชาวยิว และพวกเขายังดูถูกผู้หญิงด้วย แต่พระเยซูปฏิบัติกับทุกคนอย่างยุติธรรมและไม่ลำเอียง ท่านยอมรับคนต่างชาติที่มีความเชื่อในตัวท่าน (มธ. 8:5-10, 13) ท่านประกาศกับทุกคนไม่ว่ารวยหรือจนอย่างไม่มีอคติ (มธ. 11:5; ลก. 19:2, 9) ท่านไม่เคยหยาบคายหรือทำไม่ดีกับผู้หญิง ในทางตรงกันข้าม ท่านให้เกียรติและใจดีกับผู้หญิงรวมถึงคนที่ใคร ๆ มองว่าไม่ดี—ลก. 7:37-39, 44-50
17 บทเรียนคือ เราเลียนแบบพระเยซูได้โดยปฏิบัติกับทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน และประกาศกับทุกคนที่เต็มใจฟังไม่ว่ารวยหรือจนและไม่ว่าจะนับถือศาสนาอะไร ผู้ชายคริสเตียนเลียนแบบพระเยซูโดยให้เกียรติผู้หญิง เมื่อทำแบบนี้ เราก็กำลังเชื่อฟังกฎหมายของพระคริสต์
18-19. พระเยซูสอนอะไรบ้างเกี่ยวกับความยุติธรรม? และเราได้บทเรียนอะไร?
18 เหตุผลที่ 2 ให้เราดูสิ่งที่พระเยซูสอนเรื่องความยุติธรรม ท่านสอนหลักการที่ช่วยให้สาวกรู้ว่าควรทำกับคนอื่นด้วยความยุติธรรมอย่างไร ตัวอย่างเช่น ขอให้คิดถึงกฎทอง (มธ. 7:12) ถ้าเราอยากได้รับการปฏิบัติอย่างยุติธรรม เราต้องปฏิบัติกับคนอื่นอย่างยุติธรรม แล้วถ้าเราทำอย่างนั้น เขาก็อาจปฏิบัติกับเราอย่างยุติธรรมด้วย แต่ถ้าเราไม่ได้รับความยุติธรรมล่ะ? พระเยซูสอนด้วยว่า สาวกของท่านต้องไว้วางใจว่าพระยะโฮวาจะ “ให้ความยุติธรรมกับคนที่ . . . ขอความช่วยเหลือจากพระองค์ทั้งวันทั้งคืน” (ลก. 18:6, 7) นี่คือคำสัญญาของพระยะโฮวา พระองค์เป็นพระเจ้าที่ยุติธรรม พระองค์รู้ว่าเรากำลังเจอความยากลำบากอะไรในสมัยสุดท้ายนี้ และพระองค์จะให้ความยุติธรรมกับเราเมื่อถึงเวลา—2 ธส. 1:6
19 บทเรียนคือ เมื่อเราทำตามหลักการที่พระเยซูสอน เราก็จะปฏิบัติกับคนอื่นอย่างยุติธรรม และถ้าเราเป็นเหยื่อของความไม่ยุติธรรมในโลกของซาตาน เราก็ได้กำลังใจที่รู้ว่าพระยะโฮวาจะให้ความยุติธรรมกับเราแน่นอน
คนที่ได้รับอำนาจจากพระเจ้าควรปฏิบัติกับคนอื่นอย่างไร?
20-21. (ก) คนที่ได้รับอำนาจจากพระเจ้าจะปฏิบัติกับคนอื่นอย่างไร? (ข) สามีจะแสดงความรักที่ไม่เห็นแก่ตัวอย่างไร? และพ่อควรปฏิบัติอย่างไรกับลูก?
20 คนที่มีอำนาจซึ่งอยู่ภายใต้กฎหมายของพระคริสต์ควรปฏิบัติกับคนอื่นอย่างไร? เพราะกฎหมายของพระคริสต์มีพื้นฐานมาจากความรัก คนที่มีอำนาจก็ต้องปฏิบัติกับคนที่อยู่ใต้อำนาจของเขาโดยให้เกียรติและแสดงความรัก พวกเขาต้องจำไว้ว่าแนวทางของพระคริสต์คือแนวทางของความรัก พระเยซูอยากให้เราทำทุกอย่างด้วยความรัก
21 ในครอบครัว สามีต้องรักภรรยา “เหมือนที่พระคริสต์รักประชาคม” (อฟ. 5:25, 28, 29) สามีต้องเลียนแบบความรักที่ไม่เห็นแก่ตัวแบบพระคริสต์โดยให้ความจำเป็นและผลประโยชน์ของภรรยามาก่อนตัวเอง ผู้ชายบางคนอาจรู้สึกว่ายากที่จะแสดงความรักแบบนั้น เพราะเขาอาจโตมาในครอบครัวที่ไม่ได้แสดงความรักและไม่ได้ปฏิบัติกับคนอื่นอย่างเท่าเทียมกัน แม้อาจเป็นเรื่องยากที่จะเปลี่ยนนิสัย แต่เขาต้องทำให้ได้เพื่อจะเชื่อฟังกฎหมายของพระคริสต์ สามีซึ่งแสดงความรักที่ไม่เห็นแก่ตัวจะได้รับความนับถือจากภรรยา นอกจากนั้น พ่อที่รักลูกจริง ๆ จะไม่ทำร้ายลูกทั้งคำพูดและการกระทำ (อฟ. 4:31) แทนที่จะเป็นอย่างนั้น เขาจะแสดงให้ลูกเห็นว่าเขารักและภูมิใจในตัวลูก นี่จะทำให้ลูกรู้สึกมั่นคงและปลอดภัย พ่อแบบนี้จะได้รับความรักและความไว้ใจจากลูก
22. อย่างที่บอกไว้ใน 1 เปโตร 5:1-3 “แกะ” เป็นของใคร? และพวกเขาควรได้รับการปฏิบัติอย่างไร?
22 ในประชาคม ผู้ดูแลต้องจำไว้ว่า “แกะ” ไม่ได้เป็นของพวกเขา (ยน. 10:16; อ่าน 1 เปโตร 5:1-3) คำว่า “ฝูงแกะของพระเจ้า” “ทำอย่างเต็มใจให้พระเจ้า” และ “ทรัพย์สมบัติของพระเจ้า” เตือนผู้ดูแลว่าแกะเป็นของพระยะโฮวา พระองค์อยากให้ผู้ดูแลรักและแสดงความอ่อนโยนกับแกะเหล่านั้น (1 ธส. 2:7, 8) ผู้ดูแลที่ทำหน้าที่ดูแลแกะของพระยะโฮวาด้วยความรักกำลังทำให้พระองค์พอใจ ผู้ดูแลแบบนี้จะได้รับความรักและความนับถือจากพี่น้อง
23-24. (ก) ผู้ดูแลมีหน้าที่อย่างไรในการจัดการกับความผิดร้ายแรง? (ข) เมื่อจัดการกับความผิดร้ายแรง ผู้ดูแลควรคิดถึงอะไร?
23 ผู้ดูแลมีหน้าที่อย่างไรในการจัดการกับความผิดร้ายแรง? หน้าที่ของพวกเขาไม่เหมือนกับหน้าที่ของผู้พิพากษาและผู้นำที่อยู่ภายใต้กฎหมายที่พระเจ้าให้กับชาวอิสราเอล พวกผู้นำสมัยนั้นไม่ใช่แค่ตัดสินเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับการนมัสการเท่านั้น พวกเขาต้องจัดการกับความขัดแย้งและการทำผิดกฎหมายอื่น ๆ ด้วย แต่ผู้ดูแลที่อยู่ภายใต้กฎหมายของพระคริสต์มีหน้าที่ตัดสินเรื่องราวเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับการนมัสการเท่านั้น พวกเขารู้ดีว่าพระเจ้าให้เจ้าหน้าที่บ้านเมืองมีสิทธิ์จัดการกับความขัดแย้งและการทำผิดกฎหมายอื่น ๆ ทั้งในคดีแพ่งและคดีอาญา เจ้าหน้าที่เหล่านั้นมีสิทธิ์ที่จะตัดสินให้จ่ายค่าปรับหรือจำคุกได้—รม. 13:1-4
24 ผู้ดูแลจะทำอะไรเมื่อมีการทำผิดร้ายแรงในประชาคม? พวกเขาจะใช้คัมภีร์ไบเบิลวิเคราะห์เรื่องที่เกิดขึ้นและตัดสินใจในเรื่องต่าง ๆ พวกเขาจะจำไว้เสมอว่ากฎหมายของพระคริสต์มีพื้นฐานมาจากความรัก ความรักจะทำให้ผู้ดูแลคิดว่าควรทำอย่างไรเพื่อช่วยคนในประชาคมที่ตกเป็นเหยื่อ ส่วนคนที่ทำผิด ความรักจะทำให้ผู้ดูแลคิดถึงคำถามต่อไปนี้ เขากลับใจไหม? จะช่วยเขาอย่างไรให้มีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับพระยะโฮวาเหมือนเดิม?
25. เราจะคุยอะไรในบทความหน้า?
25 เรารู้สึกขอบคุณจริง ๆ ที่มีกฎหมายของพระคริสต์ เมื่อทุกคนพยายามเต็มที่ที่จะเชื่อฟังกฎหมายนี้ เราก็ทำให้ประชาคมเป็นที่ที่ทุกคนจะรู้สึกว่าตัวเองมีค่า ได้รับความรัก และรู้สึกปลอดภัย ที่จริงเรายังอยู่ในโลกที่ “คนชั่ว” จะยิ่ง “ชั่วร้ายขึ้นเรื่อย ๆ” เราต้องตื่นตัวเสมอ (2 ทธ. 3:13) ประชาคมคริสเตียนจะแสดงให้เห็นความยุติธรรมของพระเจ้าอย่างไรเมื่อจัดการกับการทำร้ายเด็กทางเพศ? บทความถัดไปจะตอบคำถามนี้
เพลง 15 สรรเสริญลูกคนโตของพระยะโฮวา!
^ วรรค 5 บทความนี้และ 2 บทความต่อจากนี้อยู่ในบทความชุดซึ่งจะทำให้เข้าใจว่า ทำไมเราถึงมั่นใจได้ว่าพระยะโฮวาเป็นพระเจ้าแห่งความรักและความยุติธรรม พระยะโฮวาอยากให้คนของพระองค์ได้รับความยุติธรรม และพระองค์ปลอบใจคนที่ไม่ได้รับความยุติธรรมในโลกที่ชั่วร้ายนี้
^ วรรค 1 ดูบทความ “ความรักและความยุติธรรมในสมัยอิสราเอลโบราณ” ในหอสังเกตการณ์ เดือนกุมภาพันธ์ 2019
^ วรรค 13 อธิบายคำศัพท์ ถ้าเรามีความรักที่ไม่เห็นแก่ตัวเราจะให้ความจำเป็นและผลประโยชน์ของคนอื่นมาก่อนตัวเราเอง เราจะเต็มใจเสียสละตัวเองหรือยอมสละบางอย่างเพื่อช่วยคนอื่นหรือเพื่อให้คนอื่นได้ประโยชน์
^ วรรค 61 คำอธิบายภาพ พระเยซูเห็นแม่ม่ายที่ลูกชายคนเดียวตาย ท่านรู้สึกสงสารเลยปลุกลูกชายของเธอให้ฟื้นขึ้นจากตาย
^ วรรค 63 คำอธิบายภาพ พระเยซูกินข้าวที่บ้านของซีโมนที่เป็นฟาริสี มีผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งอาจเป็นโสเภณีใช้น้ำตาของเธอล้างเท้าให้พระเยซู เธอเอาผมเช็ดเท้าให้ท่านและเทน้ำมันหอมบนเท้าของท่าน ซีโมนไม่พอใจที่เธอทำแบบนี้ แต่พระเยซูปกป้องเธอ
เรื่องที่คุณอาจสนใจ
หอสังเกตการณ์ (ฉบับศึกษา)
ความรักและความยุติธรรมในสมัยอิสราเอลโบราณ
กฎหมายของโมเสสแสดงให้เห็นถึงความรักและความยุติธรรมของพระยะโฮวาอย่างไร?
หอสังเกตการณ์ (ฉบับศึกษา)