เรื่องราวชีวิตจริง
รักครั้งแรกช่วยผมให้อดทนได้
เล่าโดย แอนโทนี มอร์ริสที่ 3
ช่วงต้นฤดูร้อนปี ค.ศ. 1970 ผมนอนอยู่บนเตียงผู้ป่วยที่โรงพยาบาลแวลลีย์ ฟอร์จ ในฟีนิกซ์วิลล์ รัฐเพนซิลเวเนีย สหรัฐอเมริกา ตอนนั้นผมอายุ 20 ปี ผมเป็นทหารและกำลังป่วยเพราะติดเชื้ออย่างรุนแรง บุรุษพยาบาลคนหนึ่งซึ่งน่าจะอายุมากกว่าผมแค่ไม่กี่ปีเข้ามาวัดความดันผมทุก ๆ ครึ่งชั่วโมง เขามีสีหน้ากังวลที่เห็นความดันของผมลดต่ำลงเรื่อย ๆ ผมถามเขาว่า “คุณยังไม่เคยเห็นใครตายมาก่อนใช่ไหม?” เขาหน้าซีดแล้วตอบว่า “ไม่ ผมไม่เคยเห็น”
ตอนนั้น ชีวิตผมดูเหมือนไม่มีความหวัง ผมมาอยู่ที่โรงพยาบาลได้อย่างไร? ผมจะเล่าเรื่องของผมให้ฟัง
ก้าวเข้าสู่สงคราม
ผมเริ่มป่วยตอนที่ทำงานในห้องผ่าตัดช่วงสงครามเวียดนาม ผมมีความสุขที่ได้ช่วยคนป่วยและคนบาดเจ็บ ที่จริง ผมมีเป้าหมายอยากเป็นหมอผ่าตัด ผมมาที่เวียดนามในเดือนกรกฎาคม ปี 1969 ผมกับคนอื่น ๆ ที่เพิ่งมาใหม่ได้รับอนุญาตให้พัก 1 สัปดาห์ก่อนเริ่มงานเพื่อปรับตัวให้เข้ากับเวลาที่ต่างกันและอากาศที่ร้อนอบอ้าว
หลังจากรายงานตัวที่โรงพยาบาลผ่าตัดซึ่งอยู่บริเวณสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขงในดองทาม ผมเห็นเฮลิคอปเตอร์หลายลำนำผู้บาดเจ็บมาส่ง เมื่อเห็นอย่างนั้น ด้วยความรักชาติและชอบทำงานผมจึงอยากเริ่มงานทันที เมื่อผู้บาดเจ็บมาถึง จะมีการปฐมพยาบาลเบื้องต้น จากนั้นก็รีบส่งไปห้องผ่าตัดซึ่งเป็นห้องปรับอากาศที่ดัดแปลงจากตู้คอนเทนเนอร์ขนาดเล็ก ที่นั่นมีศัลยแพทย์ วิสัญญีแพทย์ และบุรุษพยาบาลสองคนคอยช่วย ทุกคนมารวมกันอยู่ในห้องแคบ ๆ นั้นและพยายามสุดความสามารถเพื่อรักษาชีวิตคนเจ็บ และผมยังสังเกตว่ามีถุงดำขนาดใหญ่หลายใบที่ไม่ได้ขนลงจากเฮลิคอปเตอร์ มีคนบอกว่าถุงเหล่านั้นมีชิ้นส่วนอวัยวะของทหารที่โดนระเบิด นี่แหละที่ผมเริ่มก้าวเข้าสู่สงคราม
แสวงหาพระเจ้า
ตอนเป็นวัยรุ่น ผมได้รู้ความจริงบางอย่างเกี่ยวกับพระเจ้า
ตอนเป็นหนุ่ม ผมได้รู้ความจริงบางอย่างเกี่ยวกับพระเจ้าจากพยานพระยะโฮวาเพราะแม่ของผมเคยศึกษาคัมภีร์ไบเบิลกับพยานฯแต่ไม่ก้าวหน้าจนถึงขั้นรับบัพติสมา ผมมีความสุขที่ได้นั่งฟังตอนที่แม่ศึกษาพระคัมภีร์ มีอยู่วันหนึ่ง ผมกับพ่อเลี้ยงได้ผ่านหน้าหอประชุมราชอาณาจักร ผมถามพ่อว่า “ที่นั่นเป็นอะไรเหรอครับ?” พ่อตอบว่า “อย่าไปยุ่งกับคนพวกนั้นเด็ดขาด!” เนื่องจากผมรักและเชื่อฟังพ่อเลี้ยงของผมมาก ผมเลยไม่ได้ติดต่อกับพยานพระยะโฮวาอีก
พอกลับมาจากเวียดนาม ผมรู้สึกว่าผมต้องการพระเจ้า ความทรงจำอันแสนเจ็บปวดทำให้ความรู้สึกของผมด้านชา ตอนนั้นดูเหมือนว่าไม่มีใครเข้าใจจริง ๆ ว่าเกิดอะไรขึ้นที่เวียดนาม ผมจำได้ว่ากลุ่มผู้ประท้วงเรียกทหารอเมริกันว่าพวกสังหารเด็ก เพราะมีการรายงานข่าวว่ามีเด็กที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่จำนวนมากถูกฆ่าในสงคราม
ผมอยากรู้จักพระเจ้ามากขึ้น ผมจึงเริ่มไปโบสถ์ต่าง ๆ จริง ๆ แล้วผมรักพระเจ้ามาตลอดแต่รู้สึกผิดหวังกับสิ่งที่เจอในโบสถ์เหล่านั้น ในที่สุด ผมก็ลองไปหอประชุมราชอาณาจักรของพยานพระยะโฮวาในเมืองเดลเรย์บีช รัฐฟลอริดา ซึ่งตรงกับวันอาทิตย์ของเดือนกุมภาพันธ์ปี 1971
ตอนที่ผมไปถึงหอประชุม คำบรรยายสาธารณะเกือบจะจบแล้ว แต่ผมก็อยู่ต่อเพื่อร่วมศึกษาวารสารหอสังเกตการณ์ แม้ผมจะจำชื่อเรื่องที่ศึกษาไม่ได้ แต่ผมจำได้ว่ามีเด็กเล็ก ๆ คนหนึ่งพยายามเปิดหาข้อคัมภีร์ด้วยตัวเอง นั่นทำให้ผมประทับใจมาก! ผมนั่งสังเกตและฟังอยู่เงียบ ๆ จนจบการประชุม และเมื่อผมกำลังจะกลับก็มีพี่น้องชายที่น่ารักคนหนึ่งอายุประมาณ 80 ปีเดินมาหาผม เขาชื่อจิม การ์ดเนอร์ เขายื่นหนังสือเล่มหนึ่งที่มีชื่อว่าความจริงซึ่งนำไปสู่ชีวิตถาวร ให้ผมแล้วถามว่า “คุณอยากได้หนังสือนี้ไหมครับ?” จากนั้นเราก็นัดเจอกันในเช้าวันพฤหัสบดีเพื่อเริ่มการศึกษาคัมภีร์ไบเบิลครั้งแรก
หลังกลับจากการประชุมในวันนั้น ผมต้องทำงานที่โรงพยาบาลเอกชนชื่อโบคาเรตันในรัฐฟลอริดา ผมทำงานในห้องฉุกเฉินตั้งแต่ 5 ทุ่มถึง 7 โมงเช้า ซึ่งเป็นช่วงที่เงียบและไม่วุ่นวาย ผมจึงมีเวลาอ่านหนังสือความจริง ขณะที่ผมกำลังอ่านเพลิน ๆ ก็มีพยาบาลรุ่นพี่คนหนึ่งเดินเข้ามาและกระชากหนังสือออกจากมือผม เธอดูที่หน้าปกและพูดเสียงดังว่า “คุณจะไปเป็นพวกเขาอีกคนเหรอ?” ผมดึงหนังสือกลับแล้วบอกว่า “ใช่ ถึงผมจะอ่านได้แค่ครึ่งเดียว แต่ผมจะเป็นพยานพระยะโฮวาแน่นอน!” เมื่อได้ยินอย่างนั้นเธอก็ไป ส่วนผมก็อ่านหนังสือต่อจนจบ
จิม การ์ดเนอร์สอนคัมภีร์ไบเบิลให้ผม เขาเป็นผู้ถูกเจิมและรู้จักกับชาลส์ เทซ รัสเซลล์
พอถึงวันที่นัดกับการ์ดเนอร์ ผมถามว่า “วันนี้เราจะศึกษาอะไรครับ?” เขาบอกว่า “เราจะศึกษาหนังสือที่ผมให้คุณไว้” ผมบอกเขาว่า “ผมอ่านเล่มนั้นจบแล้วครับ” เขาตอบอย่างกรุณาว่า “ดี ถ้างั้นเรามาเรียนบทแรกด้วยกันนะ” พอเรียนด้วยกันผมก็แปลกใจว่าจริง ๆ แล้วมีหลายอย่างที่ผมยังไม่รู้ เขาให้ผมดูข้อพระคัมภีร์หลายข้อจากคัมภีร์ไบเบิลฉบับคิงเจมส์ ของผม ในที่สุด ผมก็ได้เรียนรู้เกี่ยวกับพระยะโฮวาพระเจ้าเที่ยงแท้ ในเช้าวันนั้นผมได้เรียนหนังสือความจริง ถึง 3 บทจากพี่น้องการ์ดเนอร์ที่ผมชอบเรียกว่าจิม จากนั้น ทุก เช้าวันพฤหัสบดีเราจะศึกษาครั้งละ 3 บท ผมมีความสุขที่ได้เรียนรู้หลายเรื่อง ผมรู้สึกว่าเป็นสิทธิพิเศษที่ได้เรียนกับจิมซึ่งเป็นผู้ถูกเจิมและเขาก็รู้จักกับชาลส์ ที. รัสเซลล์เป็นอย่างดีด้วย!
ไม่กี่สัปดาห์ต่อมา ผมก็มีคุณสมบัติได้เป็นผู้ประกาศข่าวดี จิมช่วยผมรับมือกับความกังวลต่าง ๆ รวมทั้งข้อท้าทายในการประกาศตามบ้านด้วย (กิจ. 20:20) การที่ผมได้ประกาศคู่กับจิมทำให้ผมมีความสุขมาก ผมมองงานรับใช้ว่าเป็นสิทธิพิเศษที่ยิ่งใหญ่ นับว่าน่ายินดีมากจริง ๆ ที่ได้เป็นผู้ร่วมงานกับพระเจ้า!—1 โค. 3:9
รักครั้งแรกที่มีต่อพระยะโฮวา
ตอนนี้ผมอยากเล่าเกี่ยวกับความรักครั้งแรกที่มีต่อพระยะโฮวา (วิ. 2:4) ความรักนั้นช่วยผมให้รับมือกับความทรงจำอันแสนเจ็บปวดในช่วงสงครามและเมื่อเจอปัญหาอื่น ๆ อีกมากมาย—ยซา. 65:17
ความรักต่อพระยะโฮวาช่วยผมให้รับมือกับความทรงจำอันแสนเจ็บปวดในช่วงสงครามและเมื่อเจอปัญหาอื่น ๆ อีกมากมาย
ผมรับบัพติสมาที่สนามกีฬาแยงกี ในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1971 ในการประชุมภาคที่มีชื่อว่า “พระนามของพระเจ้า”
ผมจำได้ดีถึงวันพิเศษวันหนึ่งในฤดูใบไม้ผลิปี 1971 ตอนนั้น ผมเพิ่งถูกพ่อเลี้ยงไล่ออกจากคอนโดมิเนียมเพราะเขาไม่อยากให้มีพยานพระยะโฮวาแม้แต่คนเดียวมาอยู่ในคอนโดของเขา ช่วงนั้นผมไม่ค่อยมีเงิน แม้โรงพยาบาลที่ผมทำงานอยู่จะจ่ายเงินให้ทุก ๆ 2 สัปดาห์ แต่ผมก็เอาเงินเกือบทั้งหมดไปซื้อเสื้อผ้าสำหรับใส่ประกาศเพื่อจะได้ดูเรียบร้อยและเหมาะสมที่จะเป็นตัวแทนของพระยะโฮวา ที่จริง ผมก็พอมีเงินเก็บอยู่บ้าง แต่เงินนั้นฝากไว้ในธนาคารที่มิชิแกน รัฐที่ผมเคยอยู่ตอนเป็นเด็กซึ่งอยู่ไกลออกไป ผมก็เลยต้องอาศัยอยู่ในรถสองสามวัน เวลาจะโกนหนวดและอาบน้ำผมจะใช้ห้องน้ำที่ปั๊มน้ำมัน
วันหนึ่งหลังจากเลิกงาน และตอนนั้นผมยังอาศัยอยู่ในรถ ผมมาที่หอประชุมประมาณสองชั่วโมงก่อนพี่น้องจะมาเจอกันเพื่อไปประกาศ ผมนั่งอยู่หลังหอประชุมซึ่งไม่มีใครเห็น ทันใดนั้น ความทรงจำตอนที่อยู่เวียดนามก็ผุดขึ้นมาทั้งกลิ่นร่างของคนที่ถูกไฟไหม้และภาพของคนที่เนื้อตัวเต็มไปด้วยเลือด ผมเห็น ภาพพวกเด็กหนุ่มและได้ยิน พวกเขาร้องว่า “ผมจะรอดไหม? ผมจะรอดไหม?” ทั้ง ๆ ที่รู้ ว่าพวกเขาจะต้องตาย แต่ผมต้องพยายามเก็บความรู้สึกไม่ให้แสดงออกมาทางสีหน้าและปลอบพวกเขา เมื่อนึกถึงเรื่องเหล่านั้น ผมก็รู้สึกเศร้าและสลดหดหู่อย่างบอกไม่ถูก
เวลาที่ผมเจอปัญหาและความยุ่งยากต่าง ๆ ผมจะทำสุดความสามารถเพื่อไม่ให้ความรักครั้งแรกที่มีต่อพระยะโฮวาหมดไป
ผมอธิษฐานทั้งน้ำตา (เพลง. 56:8) แล้วก็เริ่มคิดอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับความหวังเรื่องการฟื้นขึ้นจากตาย เรื่องนั้นทำให้ผมคิดได้ว่าพระยะโฮวาพระเจ้าจะทำให้การนองเลือดที่ผมเคยเห็นหมดไป รวมทั้งบาดแผลทางอารมณ์ที่ผมกับคนอื่น ๆ ได้รับก็จะหายไปด้วย พระเจ้าจะทำให้เด็กหนุ่มเหล่านั้นกลับมามีชีวิตอีกครั้ง และมีโอกาสได้เรียนความจริงเกี่ยวกับพระองค์ (กิจ. 24:15) เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ หัวใจของผมก็เต็มล้นไปด้วยความรักต่อพระยะโฮวา วันนั้นจึงเป็นวันพิเศษสำหรับผมเสมอ ตั้งแต่นั้นมา เวลาที่ผมเจอปัญหาและความยุ่งยากต่าง ๆ ผมจะทำสุดความสามารถเพื่อไม่ให้ความรักครั้งแรกที่มีต่อพระยะโฮวาหมดไป
พระยะโฮวาดีต่อผมเสมอ
ผู้คนทำสิ่งที่น่าสยดสยองในสงครามและผมเองก็เคยทำอย่างนั้นด้วย แต่การใคร่ครวญข้อคัมภีร์สองข้อที่ผมชอบเป็นพิเศษช่วยได้มาก ข้อแรกคือวิวรณ์ 12:10, 11 ที่บอกว่าพญามารจะพ่ายแพ้ไม่ใช่แค่โดยงานประกาศของเราเท่านั้น แต่โดยเลือดของพระเมษโปดกด้วย ข้อที่สองคือกาลาเทีย 2:20 ในข้อนั้นผมรู้ว่าพระคริสต์ตาย ‘เพื่อผม’ ดังนั้น พระยะโฮวาได้ให้อภัยสิ่งที่ผม ทำในอดีตโดยอาศัยเลือดของพระเยซู การรู้เรื่องนี้ทำให้ผมสบายใจและทำให้ผมอยากทำทุกสิ่งเพื่อช่วยคนอื่นให้รู้จักความจริงเกี่ยวกับพระยะโฮวาพระเจ้าผู้เมตตาของเรา!—ฮีบรู 9:14
พอมองย้อนกลับไป ผมรู้สึกขอบคุณอย่างลึกซึ้งที่พระยะโฮวาดูแลผมเสมอ เช่น เมื่อจิมรู้ว่าผมอาศัยอยู่ในรถ เขาก็ช่วยติดต่อพี่น้องหญิงที่มีห้องให้เช่า ผมเชื่อจริง ๆ ว่าพระยะโฮวาใช้จิมและพี่น้องหญิงคนนั้นให้จัดหาที่อยู่ที่เหมาะสมให้ผม พระยะโฮวากรุณาจริง ๆ! พระองค์ดูแลผู้รับใช้ที่ซื่อสัตย์ของพระองค์เสมอ
กระตือรือร้นแต่ต้องเรียนรู้ที่จะผ่อนหนักผ่อนเบา
ในเดือนพฤษภาคม ปี 1971 ผมต้องไปมิชิแกนเพื่อทำธุระบางอย่าง แต่ก่อนเดินทางผมเอาหนังสือต่าง ๆ จากประชาคมเดลเรย์บีชไปเต็มรถ แล้วออกจากฟลอริดามุ่งหน้าไปทางเหนือบนทางหลวงหมายเลข 75 ผมประกาศข่าวดีเรื่องราชอาณาจักรอย่างกระตือรือร้นตลอดเส้นทาง ผมแวะประกาศที่เรือนจำ และถึงกับให้แผ่นพับกับพวกผู้ชายในห้องน้ำของจุดพักรถหลายแห่งด้วย ดังนั้น พอไปได้ครึ่งทางหนังสือที่ผมเอาไปก็หมดเกลี้ยง ทุกวันนี้ ผมยังคงสงสัยว่าหนังสือที่เป็นเหมือนเมล็ดแห่งความจริงที่ได้หว่านในตอนนั้นจะงอกขึ้นบ้างไหม—1 โค. 3:6, 7
ผมยอมรับว่า ตอนที่เรียนความจริงครั้งแรก ผมไม่ค่อยผ่อนหนักผ่อนเบาเท่าไรโดยเฉพาะเมื่อประกาศกับคนในครอบครัว เนื่องจากความรักครั้งแรกต่อพระยะโฮวาลุกโชนในตัวผม ผมจึงประกาศกับพวกเขาอย่างกล้าหาญแต่เป็นแบบขวานผ่าซาก เช่น ผมพยายามยัดเยียดความจริงให้จอห์นกับรอนพี่ชายของผมเพราะผมรักพวกเขามาก ต่อมา ผมรู้สึกเสียใจที่ไม่ได้คิดถึงความรู้สึกของพวกเขา แต่ผมก็ไม่ เลิกอธิษฐานขอพระยะโฮวาให้ช่วยพวกเขาตอบรับความจริง ตั้งแต่นั้นมา พระยะโฮวาได้สอนและช่วยผมให้ผ่อนหนักผ่อนเบามากขึ้นเมื่อประกาศและสอนความจริง—โกโล. 4:6
ความรักครั้งที่สอง
แม้ผมจะจำความรักครั้งแรกที่มีต่อพระยะโฮวาได้ดี แต่ผมก็ยังจำความรักครั้งที่สองที่มีต่อซูซานภรรยาสุดที่รักของผมได้ด้วย ผมอยากมีคู่ที่ช่วยให้ทำงานราชอาณาจักรได้ต่อ ๆ ไป ซูซานเป็นผู้หญิงที่มีความเชื่อเข้มแข็ง ผมจำได้ดีตอนที่เราเป็นแฟนกัน วันหนึ่งผมแวะไปหาเธอที่เมืองแครนสตัน รัฐโรดไอแลนด์ เธอนั่งอยู่ที่ระเบียงหน้าบ้านของพ่อแม่กำลังอ่านวารสารหอสังเกตการณ์ พร้อมกับเปิดคัมภีร์ไบเบิล ผมประทับใจที่เห็นเธอเปิดพระคัมภีร์ตามทั้งบทความศึกษาและบทความอื่นด้วย ผมคิดว่า ‘ผู้หญิงคนนี้แหละที่รักพระเจ้า!’ จากนั้น เราแต่งงานกันในเดือนธันวาคมปี 1971 ผมรู้สึกขอบคุณที่เธออยู่เคียงข้างและสนับสนุนผมเสมอ ผมเห็นคุณค่าที่เธอรักพระยะโฮวามากกว่ารักผม
กับซูซานภรรยาของผม และพอลกับเจสซีลูกชายของเรา
ผมกับซูซานมีลูกชาย 2 คนคือเจสซีกับพอลซึ่งเป็นเหมือนของขวัญจากพระยะโฮวา ตั้งแต่เล็กจนโตพระยะโฮวาอยู่กับพวกเขาเสมอ (1 ซามู. 3:19) พวกเขาทำให้ความจริงเป็นของตัวเอง เรื่องนี้ทำให้ผมกับซูซานมีความสุขมาก พวกเขารับใช้พระยะโฮวามาตลอดเพราะคิดถึงความรักครั้งแรกที่มี ต่อพระองค์เหมือนกับผม พวกเขาแต่ละคนทำงานรับใช้เต็มเวลามากกว่า 20 ปีแล้ว ผมยังภูมิใจในตัวลูกสะใภ้ที่น่ารักทั้งสองด้วยคือสเตฟานีและราเคล ผมมองพวกเธอเหมือนลูกสาวแท้ ๆ ของผม ลูก ๆ ของผมแต่งงานกับผู้หญิงที่มีความเชื่อและรักพระยะโฮวาพระเจ้าอย่างสุดหัวใจ—เอเฟ. 6:6
ครอบครัวของเรามีความสุขที่ได้ประกาศในเขตที่ไม่ค่อยได้ทำ
หลังจากรับบัพติสมา ผมรับใช้ในรัฐโรดไอแลนด์ 16 ปี ที่นั่นผมมีเพื่อนที่ดีหลายคน ผมมีความทรงจำดี ๆ ที่ได้รับใช้กับเหล่าผู้ปกครองที่น่ารัก ยิ่งกว่านั้น ผมรู้สึกขอบคุณผู้ดูแลเดินทางหลายคนที่เป็นตัวอย่างให้ผม เป็นสิทธิพิเศษจริง ๆ ที่ได้ทำงานร่วมกับพี่น้องชายซึ่งได้รักษาความรักครั้งแรกที่มีต่อพระยะโฮวา! ต่อมาในปี 1987 เราย้ายไปที่รัฐนอร์ทแคโรไลนาเพื่อรับใช้ในเขตที่ต้องการผู้ประกาศมากกว่าและที่นั่นเราได้พัฒนาความสัมพันธ์ที่มีค่ากับหลายคน a
นำการประชุมเพื่อการประกาศตอนที่ผมเป็นผู้ดูแลหมวด
ในเดือนสิงหาคม ปี 2002 ผมกับซูซานตอบรับคำเชิญให้มารับใช้ที่เบเธลแพตเทอร์สัน ผมทำงานในแผนกการรับใช้และซูซานทำงานในแผนกซักรีด เธอชอบ ทำงานที่นั่นมาก ๆ ต่อมา ในเดือนสิงหาคม ปี 2005 ผมได้รับสิทธิพิเศษให้รับใช้เป็นสมาชิกคนหนึ่งของคณะกรรมการปกครอง ผมรู้สึกว่าตัวเองไม่คู่ควรกับสิทธิพิเศษนี้ ภรรยาของผมก็กังวลกับหน้าที่รับผิดชอบใหม่นี้ที่ต้องเดินทางบ่อย ๆ แม้ซูซานไม่ชอบนั่งเครื่องบินเลยแต่เราก็บินหลายครั้ง! เธอบอกว่า ภรรยาสมาชิกคณะกรรมการปกครองคนอื่น ๆ ให้กำลังใจเธอด้วยความรัก เธอจึงตั้งใจสนับสนุนผมมากเท่าที่ทำได้ และเธอก็ทำอย่างนั้นจริง ๆ นั่นแหละที่ทำให้ผมรักเธอ
ห้องทำงานของผมเต็มไปด้วยภาพต่าง ๆ ที่มีความหมายกับผมมาก ภาพเหล่านั้นเตือนผมให้คิดถึงชีวิตที่มีความสุข ที่จริง ผมได้รับรางวัลมากมายอยู่แล้วจากการที่ได้ทำสุดความสามารถเพื่อจะไม่ลืมความรักครั้งแรกที่มีต่อพระยะโฮวา!
การได้อยู่กับครอบครัวทำให้ผมมีความสุขมาก
a ดูรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับงานรับใช้เต็มเวลาของพี่น้องมอร์ริสได้ในหอสังเกตการณ์ 15 มีนาคม 2006 หน้า 26
หอสังเกตการณ์ (ฉบับศึกษา)